Saturday, 21 June 2025
ค้นหา พบ 48945 ที่เกี่ยวข้อง

คืนที่ดาวครองฟ้า!! ชวนดูปรากฏการณ์ 'ดาวศุกร์เคียงดาวพฤหัสบดี' เมื่อ 'เทวีแห่งความรัก' เคียงคู่ 'ครูของปวงเทวดา'

ห้วงท้องฟ้าดาราศาสตร์ไทยในระหว่างหัวค่ำวันที่ 1-3 มีนาคม พ.ศ. 2566 นี้ จะเกิดมีปรากฏการณ์ดาวเคราะห์ชุมนุม 'ดาวศุกร์' เคียง 'ดาวพฤหัสบดี' ทางทิศตะวันตก อวดความสวยงามของวัตถุท้องฟ้าดังกล่าว ตั้งแต่หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าจนถึงเวลาประมาณสองทุ่ม สว่างเด่นสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่าทุกภูมิภาคทั่วไทย

ข้อมูลจากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ หรือ NARIT เผยแพร่องค์ความรู้ผ่านเพจเฟสบุ๊ก @NARITpage มีเนื้อหาโดยย่อว่า "...ช่วงวันที่ 1 ถึง 3 มีนาคม 2566 จะเกิดปรากฏการณ์ 'ดาวเคราะห์ชุมนุม' ดาวศุกร์ปรากฏเคียงดาวพฤหัสบดี ทางทิศตะวันตกบริเวณกลุ่มดาวปลาคู่ (Pisces) หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเป็นต้นไป จนถึงเวลาประมาณ 20.00 น. สังเกตได้ด้วยตาเปล่าทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ในวันที่ 1 มีนาคม 2566 ดาวพฤหัสบดีจะปรากฏอยู่เหนือดาวศุกร์ ห่างประมาณ 0.8 องศา  จากนั้นวันที่ 2 มีนาคม 2566 ดาวศุกร์จะเปลี่ยนตำแหน่งมาปรากฏเคียงดาวพฤหัสบดี ห่างกันประมาณ 0.6 องศา และในวันที่ 3 มีนาคม 2566 ดาวศุกร์จะปรากฏอยู่เหนือดาวพฤหัสบดี ห่างกันประมาณ 1.4 องศา และค่อย ๆ ทำมุมห่างออกจากกันมากขึ้นหลังจากนี้"

'ดาวศุกร์' (Venus) เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ในลำดับที่ 2 ชื่อละตินของดาวศุกร์ Venus (วีนัส) ยืมมาจาก 'เทพีแห่งความรัก' ของโรมัน โดยชาวบาบิโลนโบราณรู้จักดาวศุกร์มาตั้งแต่ราว 1,600 ปีก่อนคริสตกาล แต่ด้วยความสว่างสุกใสของดาวศุกร์ จึงเชื่อว่าดาวศุกร์น่าจะเป็นที่รู้จักมาก่อนหน้านั้นนานแล้ว นับตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สัญลักษณ์แทนดาวศุกร์ คือ ♀ หรือสัญลักษณ์แทนสตรีเพศนั่นเอง

สัญญาณอันตราย!! ‘ญี่ปุ่น’ ทุบสถิติ ยอดประชากรเกิดต่ำสุดในรอบ 40 ปี ‘นายกฯ’ ชี้ เป็นวิกฤต สั่งเร่งแก้ไข-เพิ่มงบหนุน 2 เท่า

(1 มี.ค. 66) สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงาน เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2566 ว่า จำนวนการแจ้งเกิดในญี่ปุ่นลดตัวลงอีกครั้ง และทำลายสถิติต่ำที่สุดอย่างต่อเนื่องเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปัญหามานานหลายสิบปี สถิติการเกิดในประเทศล่าสุดที่น่ากังวลนี้ สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นในการกระตุ้นการเกิดใหม่ของประชากร แม้จะมีความพยายามอย่างหนักก็ตาม

จากสถิติการเกิดที่เผยแพร่โดยกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2566 ญี่ปุ่นมีจำนวนเด็กทารกเกิดใหม่จำนวน 799,728 คนเมื่อปี 2022 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จำนวนการเกิดของประเทศอยู่ต่ำกว่า 800,000 คน โดยยอดดังกล่าวลดลงเกือบครึ่งหนึ่งในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ในอดีตญี่ปุ่นเคยมีสถิติการเกิดมากกว่า 1.5 ล้านคนในปี 1982

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้รายงานจำนวนผู้เสียชีวิตของปีที่ผ่านมาอยู่ที่กว่า 1.58 ล้านราย ซึ่งทุบสถิติสูงที่สุดในช่วงเวลาหลังเกิดสงคราม

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นมีอัตราการตายสูงกว่ายอดการเกิดใหม่ของประชาชนมาเป็นเวลากว่าหนึ่งทศวรรษ ซึ่งเป็นปัญหาที่หนักอึ้งต่อผู้นำประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามของโลก

ประชากรของญี่ปุ่นลดลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจของประเทศเฟื่องฟูในช่วงยุค 80 และในปี 2021 ญี่ปุ่นมีประชากรอยู่ที่ 125.5 ล้านคน อ้างอิงข้อมูลตัวเลขล่าสุดของรัฐบาล โดยอัตราการเกิดของญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ที่ 1.3 นั้น ต่ำกว่าความคาดหวังของอัตราการเกิดใหม่ของประชากรที่ 2.1 อย่างมาก โดยการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว จำเป็นอย่างยิ่งในการรักษาจำนวนประชากรให้มีคงที่ ในกรณีที่ไม่มีการย้ายถิ่นฐานของชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศ

อีกทั้ง ญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ประชากรมีอายุขัยมากที่สุดในโลก โดยในปี 2020 ข้อมูลของรัฐบาลระบุว่า สามารถพบคนญี่ปุ่นที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไป ได้ในอัตราส่วนเกือบ 1 ใน 1,500 คน

อย่าหลงเชื่อ ‘รมว.เฮ้ง’ สั่ง กรมจัดหางานเร่งตรวจสอบนายหน้าเถื่อน หลังหลอกคนไทยทำงาน 'ญี่ปุ่น-มัลดีฟส์' ด้วยวีซ่าท่องเที่ยว

(1 มี.ค. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กรณีผู้เสียหายจากหลายจังหวัดร่วม 20 คน ถูกเฟซบุ๊กรายหนึ่งแอบอ้างพาไปทำงานตำแหน่ง พนักงานต้อนรับ ประเทศมัลดีฟส์ รายได้ 80,000-90,000 บาท และตำแหน่งคนงานสวน ประเทศญี่ปุ่น รายได้ 72,000 บาท โดยใช้วีซ่านักท่องเที่ยวเข้าประเทศ สุดท้ายถูกหลอกลวงสูญเงินรายละ 50,000-85,000 บาท และเลื่อนการเดินทางออกไปเรื่อย ๆ พร้อมบ่ายเบี่ยงไม่คืนเงิน จึงรวมตัวกันเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน  บก.ปคม. เพื่อตรวจสอบดำเนินคดี ซึ่งตนทราบเรื่องแล้วไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งการไปยังอธิบดีกรมการจัดหางาน เร่งติดตาม ช่วยเหลือ และร่วมฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้มีพฤติการณ์หลอกลวงคนไทยไปทำงานต่างประเทศตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม 

ล่าสุดกรมการจัดหางานตรวจสอบประวัติและพฤติการณ์ทางทะเบียนระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์แล้ว พบว่า สาย-นายหน้ากลุ่มดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศและไม่ได้จดทะเบียนเป็นลูกจ้าง หรือตัวแทนจัดหางานของผู้รับอนุญาต ซึ่งมีความผิด ตามมาตรา 66 ข้อหาการโฆษณาการจัดหางานไม่เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 91 ตรี ข้อหา "หลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือสามารถส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ซึ่งต้องระวังโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ยังมีความผิดฐานนำเข้าข้อมูลเท็จตามพ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ” 

ที่สถิตแห่งความผูกพัน ‘วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร’ ศิลปะแห่งการผสมผสาน ที่ ‘รัชกาลที่ 3’ ทรงผูกพัน ทรงรับสั่ง “ตายแล้วจะมาอยู่ที่วัดนี้”

เมื่อไม่นานมานี้ เฟซบุ๊ก ‘น้ำเงินเข้ม’ ได้โพสต์เรื่องราวถึงความผู้กพันระหว่าง ‘พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3’ และ ‘วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร’ โดยระบุว่า

วัดที่ “ร.3” ทรงผูกพันมาก ถึงขั้นรับสั่งว่า ตายแล้วจะมาอยู่ที่วัดนี้

“ถ้าข้าตายแล้ว ข้าจะมาอยู่ที่ต้นพิกุลนี้”
คือพระราชกระแสรับรับสั่งของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 

ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว นับได้ว่าอยู่ในยุคแห่งความรุ่งเรืองและมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองอย่างมาก เพราะล้นเกล้าฯ ทรงหาเงินเข้าท้องพระคลังได้เป็นจำนวนมาก ด้วยวิธีการระบบการจัดเก็บภาษี เช่น จังกอบ อากร ฤๅชา ส่วย ภาษีเงินค่าราชการจากไพร่ เงินค่าผูกปี้ข้อมือจีน และวิธีที่ทรงหาเงินมาได้มากที่สุดก็คือ การต่อกำปั่นเรือสำเภาออกไปค้าขายกับต่างประเทศ ซึ่งทรงสนพระราชหฤทัยและเชี่ยวชาญมาตั้งแต่ครั้งทรงเป็น “พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์” จนพระบรมชนกนาถ (พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2) ตรัสเรียกพระองค์ว่า “เจ้าสัว” 

กล่าวกันว่าหลังสวรรคต เงินในท้องพระคลังยังคงมีเหลือถึง 40,000 ชั่งเลยทีเดียว นอกจากนี้เงินบางส่วนในจำนวนนี้ยังช่วยกู้แผ่นดินไว้ได้เมื่อครั้งเกิดวิกฤติในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในกรณีพิพาทระหว่างประเทศ ร.ศ. 112 กับฝรั่งเศส ซึ่งล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 3 ได้รับสั่งให้ใส่ถุงแดงเก็บไว้ไถ่บ้านไถ่เมือง ราวกับทรงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า 

ด้วยเหตุที่เป็นยุคสมัยที่มีความมั่นคงและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมาก รัชกาลที่ 3 จึงทรงปรารถนาที่จะทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทรงบูรณะวัดวาอารามขึ้นมาใหม่หลายวัด หนึ่งในนั้นก็คือ วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร อันถือกันว่าเป็นวัดประจำรัชกาล และเป็นที่มาของพระราชกระแสรับสั่งดังที่กล่าวไว้ข้างต้น แสดงถึงความผูกพันที่ทรงมีกับวัดแห่งนี้

“วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร” เดิมชื่อ “วัดจอมทอง” เป็นวัดเก่าแก่ฝั่งธนบุรีที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ต่อมารัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาวัดแห่งนี้ขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม ตั้งแต่ยังทรงพระอิสริยยศพระเจ้าลูกยาเธอฯ ต่อมาเมื่อครั้งปี พ.ศ. 2363 ทรงยกทัพไปสกัดพม่าที่ด่านเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี เมื่อกระบวนทัพเรือมาถึงวัดจอมทองแห่งนี้ จึงทรงหยุดพักและทำพิธีเบิกโขลนทวารตามตำราพิชัยสงคราม และทรงตั้งจิตอธิษฐานให้มีชัยชนะในศึกราชการทัพครั้งนี้ แต่ปรากฏว่าไม่มีทัพพม่ายกเข้ามา จึงทรงยกทัพกลับ และเดิมทีวัดแห่งนี้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2360 หลังเสร็จศึกจึงทรงบูรณะต่อจนแล้วเสร็จและยกสถานะขึ้นเป็นพระอารามหลวง ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร และพระราชทานนามให้ใหม่ว่า “วัดราชโอรส” หมายถึงตัวพระองค์เอง แล้วโปรดให้มีงานฉลองสมโภชเมื่อปี พ.ศ. 2374 

ในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดราชโอรสฯ แห่งนี้ ทรงควบคุมงานก่อสร้างโดยพระองค์เอง และสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ล้วนเป็นไปตามพระราชนิยมโดยผสมผสานระหว่างไทยและจีนเข้าด้วยกันอย่างประณีต แตกต่างจากยุคสมัยในรัชกาลก่อน ๆ ดังกลอนเพลงยาวยอพระเกียรติยศที่พระยาไชยวิชิต (เผือก) แต่งทูลเกล้าฯ ถวายพระองค์ ความตอนหนึ่งว่า

“วัดไหนไหนก็ไม่ลือระบือยศ เหมือนวัดราชโอรสอันสดใส
เป็นวัดเดิมเริ่มสร้างไม่อย่างใคร ล้วนอย่างใหม่ทรงคิดประดิษฐ์ทำ

ทรงสร้างด้วยมหาวิริยาธึก โอฬารึกพร้อมพริ้งทุกสิ่งขำ
ล้วนเกลี้ยงเกลาเพราเพริศดูเลิศล้ำ ฟังข่าวคำลือสุดอยุธยา

จะรำพันสรรเสริญก็เกินสมุด ขอยกหยุดพองามตามเลขา
กำหนดสร้างพระอาวาสโดยมาตรา ประมาณช้านับได้สิบสี่ปี”

นอกจากนี้ จอห์น ครอว์เฟิร์ด ผู้ซึ่งเป็นแพทย์ นักการทูต และนักเขียนชาวสก็อตติช และเป็นทูตที่เดินทางเข้ามายังสยามเมื่อปี พ.ศ. 2364 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ตามคำสั่งของลอร์ดเฮสติงส์ ผู้สำเร็จราชการประจำอินเดีย เพื่อให้สยามยกเลิกการจำกัดการค้าเสรี แต่ด้วยการแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมของครอว์เฟิร์ดทำให้การเจรจาล้มเหลวและต้องเดินทางกลับไป ได้บันทึกเรื่องราวการก่อสร้างวัดราชโอรสฯ แห่งนี้ไว้เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2365 ว่า

ตามบรรดาวัดที่เราได้เห็นมาแล้วในกรุงเทพฯ ไม่มีวัดไหน จะทำด้วยฝีมือประณีตงดงามเท่าวัดนี้ ขณะที่เราไปนั้นวัดกำลังก่อสร้างอยู่ เราได้มีโอกาสเห็นลำดับแห่งการก่อสร้าง เช่น องค์พระประธาน ก็เห็นหล่อขึ้นแล้ว แต่บางส่วนวางเรียงรายอยู่ในโรงงานแห่งหนึ่ง รอไว้ประกอบเมื่อภายหลัง ได้ทราบว่าโลหะที่ใช้ในการนี้ คือ ดีบุก สังกะสี ทองแดง เจือด้วยธาตุอื่นๆ อีกบ้างโดยไม่มีส่วนที่แน่นอนเพราะจักเป็นการยากอยู่บ้างที่จะกำหนดส่วน

กาลครั้งหนึ่ง เมื่อ 'อเมริกัน' เคลมสูตร 'น้ำมันงู' กูคิดเอง แต่โป๊ะแตก เพราะแอบลอกเลียนสินค้าจีน

ใครๆ ก็รู้จักอับดุลที่มาพร้อมการเร่ขายยา 

แม้รุ่นใหม่อาจจะไม่เคยเห็น แต่ถ้าถามคนรุ่นอายุสี่สิบกว่าขึ้นไป รับรองว่ารู้จัก 'อับดุล' แน่นอน   

อับดุลที่ว่านี้ไม่ใช่แขกที่ไหน แต่เป็นปาหี่ขายยาขายเลขเด็ด ไม่ว่าอับดุลจะเร่ขายยาที่ไหน ต้องมีผ้าห่มผืนหนึ่งคลุมร่างร่างชายไทยไม่ทราบชื่อ มีสั่นบ้างกระตุกบ้างพอให้ตื่นใจ แล้วชายอีกคนคอยร้องถามว่า 'อับดุลเอ๊ย' ซึ่งอับดุลก็ช่างแสนรู้ไปเสียทุกเรื่อง จากนั้นเป็นการขายเลขเด็ดบ้าง ขายยาครอบจักรวาลที่รักษาหายทุกโรคบ้างตามแต่พี่อับดุลจะขาย 

เชื่อไหมว่าอเมริกาก็มี 'อับดุล' การต้มตุ๋นหลอกขายยาเร่แบบนี้ กลายเป็นสำนวนอเมริกาว่า 'Snake Oil'  เป็นคำสแลงไว้เรียกพวกต้มตุ๋นหลอกขายของสินค้า สรุปแล้วมีความหมายในเชิงลบนั่นเอง คงเทียบสำนวนบ้านเราได้ประมาณ 'สิบแปดมงกุฎ' ทำนองนี้

เรื่องการหลอกขายน้ำมันงูนี้ คือเรื่องโกหกพกลมระดับประเทศในยุคปี ค.ศ.1860 เลยทีเดียว ยุคนั้นคือยุคตื่นทอง มีการพบทองคำที่เมืองโคโลม่า โดยรัฐแคลิฟอร์เนียในปี ค.ศ.1848 ผู้คนจากทั่วสารทิศนับแสนๆ คนหลั่งไหลเข้าไปฝั่งตะวันตก ด้วยความหวังที่จะเป็นเศรษฐีใหม่หมาดจากการขุดและค้าทองคำ

รัฐบาลเลยคิดสร้างทางรถไฟข้ามทวีป จากฝั่งตะวันออกมายังฝั่งตะวันตกเป็นระยะทาง 1,800 ไมล์ การสร้างทางรถไฟนั้นต้องใช้แรงงานคนเป็นจำนวนมาก ช่วงแรกมีการว่าจ้างกรรมกรอเมริกันและยุโรปมาสร้างทางรถไฟสายประวัติศาสตร์นี้ แต่ต่อมาพวกกรรมการฝรั่งประท้วงเพื่อเรียกร้องค่าจ้างเพิ่ม บริษัทที่รับเหมาการสร้างรางรถไฟเลยตัดปัญหากรรมกรฝรั่งช่างประท้วง ด้วยการนำเข้ากรรมกรจีนมาจากมณฑลกวางตุ้ง  

กรรมกรสร้างทางรถไฟร้อยละเก้าสิบเป็นแรงงานกรรมกรจีน ในปี ค.ศ. 1852 มีกรรมกรชาวจีนถึง 25,000 คน แม้จะมีน้ำอดน้ำทนขนาดไหน แต่ถ้าทำงานหามรุ่งหามค่ำขนาดนั้น ย่อมปวดเมื่อยเนื้อตัวเป็นธรรมดา ทีนี้อาเฮียจะอย่างไรล่ะ เมียก็ไม่ได้พามาด้วย บรรดาอาเฮียอาตี๋เลยต้องพึ่งพาน้ำมันงูที่เอามาจากเมืองจีน ไอ้น้ำมันงูแสนวิเศษนี่แหละที่กรรมกรจีนนวดถูตัวทุกคืน ซึ่งมีสรรพคุณคลายเส้นจากการทำงานหนัก   พอตื่นเช้ามา อาเฮียก็ร้องฮ้อ เจี๊ยะข้าวต้มกับน้ำชา แล้วลุยงานหนักต่อได้ทันที

เจ้าน้ำมันงูที่เหล่าอาเฮียพกมาจากเมืองจีน คือยาโบราณที่คนจีนรู้จักดี สกัดจากงูน้ำประเภทหนึ่งที่เรียกว่า 'งูสายรุ้ง' บรรเทาอาการปวดยอกกล้ามเนื้อดีมาก ทีนี้พอคนอเมริกันเห็นสรรพคุณสุดยอดของน้ำมันงูสายรุ้งจากเมืองจีนก็เกิดไอเดีย 'ก็อป' ขึ้นมาทันที

จะว่าไปแล้วก็เหมือนตลกร้าย ในปัจจุบัน ปี ค.ศ.2023 อเมริกาชี้หน้าจีนว่าก็อปสินค้าโน่นนี่ของอเมริกา แต่ในปี ค.ศ.1860 ลุงแซมหน้ามึนก็อปสินค้าของจีน แล้วสินค้าที่มะริกันก็อปจีนก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน มันคือเจ้าน้ำมันงูที่ว่านี่เอง  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top