Saturday, 21 June 2025
ค้นหา พบ 48941 ที่เกี่ยวข้อง

สมาคมแม่บ้านตำรวจ บุกขึ้นดอยเยี่ยมโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเวียงแหง จ.เชียงใหม่ ชมการปลูกกาแฟคุณภาพ มุ่งสร้างรายได้ให้ชุมชน และครอบครัวตำรวจ ต่อยอดขยาย สาขาร้านปันรักษ์คาเฟ่

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมด้วย คุณจันทร์ทิพา หลักบุญ พล.ต.ต.หญิงวิรญา พรหมายน กรรมการบริหารสมาคมฯ เยี่ยมชมโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเบญจมะ1 บ้านสามหมื่น ต.เมืองแหง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ เพื่อประชุมหาแนวทางในการปรับเพิ่มผลผลิตและคุณภาพเมล็ดกาแฟ เตรียมพร้อมในการขยายสาขาร้านปันรักษ์คาเฟ่ 

โดยมี พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 และคุณพิยดา ต๊ะวิชัย ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธร ภ.5  พ.ต.อ.รังสิมันต์ สงเคราะห์ธรรม 
รอง ผบก.ตชด.ภ.3ให้การต้อนรับ

ในโอกาสนี้ได้มอบเครื่องอุปโภค บริโภค และของใช้ที่จำเป็นให้กับ สภ. เวียงแหง เพื่อสร้างขวัญและกำลังให้กับข้าราชการตำรวจโดย พ.ต.อ.ชาญชาย เพ็ญไชยา ผกก.สภ.เวียงแหง เป็นผู้รับมอบ

เมื่อคณะสมาคมแม่บ้านฯ เดินทางถึง รร.ตชด.เบญจมะ 1 พ.ต.อ.ผดุงเกียรติ ปัณฑรนนทกะ ผกก.ตชด.33 ด.ต.หญิง รำพึง ต่อปัญญา ครูใหญ่ ได้นำคณะครูและนักเรียนมาต้อนรับ พร้อมจัดการแสดงของนักเรียน และบรรยายสรุปความเป็นมาของโรงเรียน จุดเริ่มต้นในการปลูกกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้า จนมาเปิดเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ภายใน โรงเรียน และการฝึกนักเรียนให้เป็นบาริสต้าน้อย 

หลังจากนั้น คณะสมาคมฯ เดินทางไปยังสวนกาแฟ เพื่อชมกระบวนการผลิตกาแฟ ตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก การเก็บเมล็ดกาแฟ การคัดเมล็ด การสี การตาก จนถึงการคั่วกาแฟ และบด แบบครบวงจร พร้อมทั้งเลี้ยงอาหารกลางวันคณะครูและนักเรียน จำนวนกว่า 80 คน

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ จัดพิธีทําบุญในโอกาสครบรอบ 35 ปี การดําเนินงาน

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ จัดพิธีทําบุญในโอกาสครบรอบ 35 ปี การดําเนินงาน ทั้งนี้จํานวนผู้โดยสารและเที่ยวบินมีอัตราเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยการให้บริการในภาพรวมกลับคืนมาแล้วกว่าร้อยละ 63 เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โรคโควิด-19

วันที่ 1 มีนาคม 2566 นายวิจิตต์ แก้วไทรเทียม ผู้อํานวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) เป็นประธานพิธีทําบุญเนื่องในโอกาสวันครบรอบ 35 ปี การดําเนินงานท่าอากาศยานเชียงใหม่ โดยมี นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ประกอบการ บริษัทสายการบิน ผู้บริหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงสื่อมวลชน ให้เกียรติร่วมพิธีและร่วมแสดงความยินดีในโอกาสดังกล่าวโอกาสนี้ คณะผู้บริหารท่าอากาศยานเชียงใหม่ ได้ร่วมกันแถลงผลการดําเนินงานของท่าอากาศยานเชียงใหม่

โดยนายวิจิตต์ แก้วไทรเทียม ผู้อํานวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ท่าอากาศยาน เชียงใหม่ มีอัตราการเจริญเติบโตในทิศทางขาขึ้นมาโดยตลอด  มีจํานวนผู้โดยสารสูงสุดเมื่อปี 2562 ถึงกว่า 11 ล้าน 3 แสนคน และมีอัตราเที่ยวบินและผู้โดยสารลดลงเป็นครั้งแรกในปี 2563 ต่อเนื่องจนถึงปี 2564 ซง่ึ เป็นช่วงที่มีการระบาด ของโรคโควิด-19 แต่หลังจากรัฐบาลไทยและทั่วโลกผ่อนคลายมาตรการการเดินทาง ทําให้ในปี 2565 ที่ผ่านมา ท่าอากาศยาน เชียงใหม่ มีอัตราการเพิ่มขึ้นของจํานวนเที่ยวบินและผู้โดยสารอีกครั้ง มีผลการดําเนินงาน มีอากาศยานพาณิชย์ ขึ้น-ลง 39,027 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 90.88  มีจํานวนผู้โดยสาร 5.46 ลา้ นคน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 209.72
มีปริมาณการขนถ่ายสินค้า 5,588 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 68.42

ด้านนายณัฐวุฒิ ทาอินต๊ะ รองผู้อํานวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ (สายปฏิบัติการ) กล่าวว่า ปัจจุบัน ท่าอากาศยานเชียงใหม่ มีสายการบินที่ให้บริการทั้งหมด 24 สายการบิน ใน 30 เส้นทาง เป็นสายการบินภายในประเทศ 12 เส้นทาง ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค และมีเส้นทางบินตรงระหว่างประเทศ 18 เส้นทาง ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนเกิด สถานการณ์โควิดถือว่าการให้บริการในภาพรวมกลับคืนมาแล้วกว่าร้อยละ 63 โดยเส้นทางล่าสุดที่คาดว่าจะเปิดให้บริการ ในตารางฤดูร้อนคือช่วงปลายเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ ได้แก่ เส้นทาง คุนหมิง-เชียงใหม่

ขณะที่ นายสรายุทธ จําปา รองผู้อํานวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ (สายสนับสนุนธุรกิจ) เปิดเผยถึง ผลประกอบการด้านการเงินว่า เป็นไปในทิศทางเดียวกับจํานวนผู้โดยสารและผู้ใช้บริการ โดยท่าอากาศยานเชียงใหม่ เคยมีกําไรสูงสุดในปี 2562 และขาดทุนครั้งแรกในปี 2564 ต่อเนื่องจนถึงปี 2565 ทั้งนรี้ ายได้ที่ลดลงจํานวนมากคือรายได้ จากส่วนแบ่งผลประโยชน์ ซึ่งเป็นรายได้หลักจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับการบินหรือ Non Aero เนื่องจาก ทอท.ได้มีนโยบาย ช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 และปัจจุบันก็ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ซึ่งหากสถานการณ์ต่างๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ร้านค้าต่างๆ กลับมาเปิดให้บริการเต็มพื้นที่ ผลประกอบการก็คาดว่าจะกลับมาเป็นเชิงบวกได้ภายในปีนี้

สําหรับโครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระยะที่ 1 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณารายงานวิเคราะห์ ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งดําเนินการควบคู่ไปกับการจ้างออกแบบและจัดหาผู้รับจ้าง โดยคาดว่าจะได้ผู้รับจ้าง ภายในปีงบประมาณ 2566 นอกจากนี้ยังมีงานเร่งด่วนบรรเทาความแออัด ซึ่งเป็นงานก่อสร้างกลุ่มอาคารทดแทน ได้แก่ อาคารดับเพลิง อาคารคลังสินค้า และลานจอด GSE โดยอยู่ระหว่างเตรียมเข้ากระบวนการจัดหาภายในปีงบประมาณ 2566 นี้เช่นกัน

'Honda LPGA Thailand 2023 Charity Night' จัดงานประมูลของรักนักกอล์ฟหญิงระดับโลกรวมรายได้กว่า 1.6 ล้านบาท มอบแก่ศิริราชมูลนิธิ เพื่อสนับสนุนอุปกรณ์การแพทย์และดูแลผู้ป่วย

(ชลบุรี) ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2023 จัดกิจกรรมเพื่อการกุศล 'Honda LPGA Thailand 2023 Charity Night' เพื่อนำเงินรายได้ทั้งหมดจากการจัดประมูลไอเทมของนักกอล์ฟหญิงระดับโลก มอบให้แก่ศิริราชมูลนิธิ ได้แก่ ไม้กอล์ฟที่สั่งทำพิเศษพร้อมลายเซ็นเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ 2020 เนลลี่ คอร์ด้า เสื้อพร้อมลายเซ็นของ จินยอง โค ไดร์เวอร์คู่ใจที่ช่วยให้ นาสะ ฮาตาโอกะ คว้าแชมป์หลายรายการในอดีตธงและหมวกที่ใช้ในการคว้าแชมป์ซีเอ็มอี กรุ๊ปทัวร์ 2022 พร้อมลายเซ็นลิเดีย โค รวมถึงเวดจ์คู่ใจพร้อมลายเซ็นของอาฒยา ฐิติกุล นอกจากนี้ถุงกอล์ฟพร้อม 72 ลายเซ็นของเหล่าโปรกอล์ฟชั้นนำที่ร่วมแข่งขันในรายการ ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2023 

สำหรับยอดเงินที่ได้จากการประมูลไอเทมของนักกอล์ฟในงาน 'Honda LPGA Thailand 2023 Charity Night' เมื่อรวมกับยอดเงินบริจาคสมทบของนายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานบริษัท สื่อสากล จำกัด จำนวนทั้งสิ้น 1,630,000 บาท จะนำไปบริจาคแก่ศิริราชมูลนิธิ เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์และช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยากไร้ในโรงพยาบาลศิริราช ทั้งนี้ ศิริราชมูลนิธิมีส่วนช่วยในการพัฒนาแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์โดยสนับสนุนด้านการศึกษา การฝึกอบรม และการค้นคว้าวิจัยให้กับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล 

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.hondalpgathailand.com หรือติดตามผ่านทางเฟซบุ๊ค www.facebook.com/lpgaThailand และอินสตาแกรม https://www.instagram.com/hondalpgathailand 

‘เศรษฐา’ กั๊กตอบนั่งแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย แต่พร้อมช่วย ‘อุ๊งอิ๊ง’ เดินหน้าหาเสียงเต็มที่

(1 มี.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ได้เดินทางเข้าพรรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ ภายหลังได้รับแต่งตั้ง โดยมี นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพฯ นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้าน ให้การต้อนรับ

โดย นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ว่า ตนเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว ได้มีส่วนร่วมในการให้คำปรึกษา และพูดคุยกับผู้ใหญ่ภายในพรรคมาโดยตลอด วันนี้เป็นฤกษ์ดีที่ถึงเวลาแล้วที่ต้องมาทำงานการเมืองให้มากขึ้น ส่วนการเดินหน้าทำการเมืองเพื่อรณรงค์ไปสู่การเลือกตั้ง ขอให้เป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งตลอดการหาเสียงช่วงที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร ทำได้ด้วยดีมาโดยตลอด แต่คนที่ตั้งครรภ์ 7 เดือนก็มีขีดจำกัด ส่วนตัวก็พร้อมที่จะมาช่วยในลักษณะที่ตนถนัด

เมื่อถามว่า นี่คือก้าวแรกของการเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า อย่าเพิ่งไปถึงขั้นนั้น ขอให้เป็นขั้นตอน เพราะยังมีอีกหลายเรื่อง ต้องให้เกียรติสมาชิกพรรคเพื่อไทยด้วย เพราะมีหลายท่านที่มีความเหมาะสม

เมื่อถามย้ำว่า หลายฝ่ายฟันธงไปแล้วว่า นายเศรษฐา คือ แคนดิเดตนายกฯ นายเศรษฐา กล่าวว่า วันนี้ตนมาเป็นที่ปรึกษาให้ น.ส.แพทองธาร มาช่วยเติมเต็มในส่วนที่คิดว่าจะช่วยประเทศชาติได้ หลังจากนี้ จะไปช่วยหาเสียง ที่ผ่านมาเราทำธุรกิจก็อยู่แค่เมืองหลวงอย่างเดียว ซึ่งการลงพื้นที่ต่างจังหวัดเพื่อรับฟังความเห็นของประชาชนก็เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น การลงพื้นที่ก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ตนไปทำ แต่ก็ต้องมีความเป็นตัวตนของตนด้วย และทำในสิ่งที่ตนเองถนัด

เมื่อถามว่า หากคณะกรรมการรบริหารเสนอให้เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพร้อมจะรับหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอให้ถึงวันนั้นก่อนดีกว่า ต้องให้เกียรติ หากไปพูดก่อนจะเป็นการกดดันคนอื่นที่มีศักยภาพ ตนเป็นน้องใหม่ ยังมีผู้ใหญ่หลายท่านที่มีคุณภาพ

เมื่อถามย้ำว่า ขณะนี้พร้อมแล้วหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า จะพร้อมหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งที่ตนต้องพูด เป็นระบอบพรรคการเมือง เราไม่ใช่คนตัดสิน ต้องให้เกียรติผู้บริหารพรรคด้วย ที่สำคัญขณะนี้ยังไม่ยุบสภาฯ ขอทำหน้าที่ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยก่อน ในฐานะที่มีประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจมากว่า 30 ปี ตนจะขอทำให้เต็มที่จนถึงที่สุด หวังว่าขอเสนอแนะของตนจะเป็นประโยชน์พรรคการเมือง

'TDRI' ดันกลุ่ม 'คุณแม่วัยเรียน' เข้าสู่ระบบการศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตทุกคน อย่างเท่าเทียม

(1 มี.ค. 66) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เผยแพร่บทความ “โอกาสที่หายไปของ ‘แม่วัยรุ่น’ และสังคมไทย” เนื้อหาดังนี้ “สังคมไทยมีอัตราแม่วัยรุ่นสูงห่างจากหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว” ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอยู่ในระดับที่สูง สะท้อนจากสถิติอัตราการคลอดของหญิงอายุ 15-19 ปี ต่อประชากรหญิงอายุเดียวกันพันคน (ปี 2563 หญิง 29 คน ต่อ 1 พันคน ตั้งครรภ์ในวัยรุ่น) แม้ว่าหลังปี 2555 เป็นต้นมา สถานการณ์แม่วัยรุ่นจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น 

แต่จำนวนยังสูงกว่าประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิก ที่มีอัตราคลอด 23 ต่อพันคน และประเทศพัฒนาแล้วที่มีอัตราคลอด 12 ต่อพันคน รวมไปถึงแม่วัยรุ่นต้องเผชิญกับภาระทางสุขภาพและความต่างทางรายได้ในอนาคตเมื่อเข้าสู่วัยทำงาน สูญเสียโอกาสของตนเองและประเทศ การกำหนดมาตราการป้องกันและช่วยเหลือทั้งก่อนและหลังตั้งครรภ์ รวมถึงการสร้างความเข้าใจและให้โอกาสกับแม่วัยรุ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ

“แม่วัยรุ่นส่วนใหญ่จบการศึกษาสูงสุดในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น” เมื่อแบ่งกลุ่มอายุแม่วัยรุ่นเป็นกลุ่มช่วงอายุต่างๆ สามารถให้ผลที่ชัดเจนขึ้นในเรื่องการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น กลุ่มแม่วัยรุ่นที่ปัจจุบันอายุอยู่ระหว่าง 15-30 ปี มีสัดส่วนของการตั้งครรภ์ในขณะเรียนสูงในกลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น (ร้อยละ 38.8) รองลงมาคือ ประถมปลาย ร้อยละ 34.5 และอันดับ 3 มัธยมปลาย ร้อยละ 21.4

“ลักษณะสภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของแม่วัยรุ่นส่วนใหญ่” เมื่อทดสอบข้อมูลในกลุ่มหญิงอายุ 15-30 ปี โดยควบคุมลักษณะบุคคล และครัวเรือน พบปัจจัยร่วมที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นส่วนใหญ่ ทั้งด้านลักษณะของครอบครัว ชั้นรายได้ของครอบครัว 3 ประการ ประกอบด้วย 1.อยู่นอกเขตเทศบาล 2.อยู่ในครัวเรือน เกษตรกร/ผู้ใช้แรงงาน และ 3.มักเกิดซ้ำในครัวเรือนที่มีแม่เป็นวัยรุ่น

“แม่วัยรุ่น (อายุ 15-19 ปี) มีรายได้เฉลี่ยต่อปีตํ่ากว่า แม่ที่ตั้งครรภ์เมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไป” การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นจะลดโอกาสในการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งโอกาสในอาชีพและการหารายได้ ข้อมูล socio economic survey แสดงให้เห็นว่ากลุ่มตั้งครรภ์ในวัยรุ่นมีรายได้เฉลี่ยต่อปีในระดับต่ำกว่ากลุ่มที่ตั้งครรภ์เมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไป โดยแม่อายุ 20 ปีขึ้นไป มีรายได้อยู่ที่ 159,305 บาท/ปี ขณะที่แม่วัยรุ่น อยู่ที่ 121,867 บาท/ปี ทั้งนี้ “3 ลักษณะชีวิตด้านการศึกษาของแม่วัยรุ่น” มีอยู่ 3 รูปแบบ คือ 1.ตั้งครรภ์แต่ยังกลับเข้าเรียน 2.ตั้งครรภ์แล้วหลุดจากระบบการศึกษา และ 3.หลุดจากระบบการศึกษาแล้วตั้งครรภ์ 

“โอกาสทางรายได้ที่หายไปของแม่วัยรุ่น” หากแม่วัยรุ่นไม่ได้รับการดูแลและความเข้าใจจากสังคม การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นจะนำไปสู่การแบกรับภาระหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน สูญเสียรายได้ในอนาคต และเมื่อต้องเข้าสู่ตลาดแรงงานก็เป็นแรงงานที่ได้รับผลตอบแทนไม่สูงมาก ตลอดจนโอกาสที่ทารกจากแม่วัยรุ่นจะมีสุขภาพไม่ดี และนำไปสู่ภาวะพึ่งพิงทางการเงินของครอบครัวมากขึ้น สำหรับรายได้ของแม่วัยรุ่นที่หายไปนั้น แม่วัยรุ่นทั้ง 3 ลักษณะ จะมีรายได้เฉลี่ยตํ่ากว่ากลุ่มควบคุมวัยเดียวกันที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ 2,811บาท/คน/เดือน

“ความต่างของรายได้ยิ่งมากหากไม่ได้กลับเข้าเรียน” การตั้งครรภ์ไม่ว่าจะเกิดโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แม่วัยรุ่นกลุ่มนี้หากต้องการเข้าสู่ตลาดแรงงานหลังคลอดบุตร โอกาสในการทำงานและค่าจ้างที่ได้รับจะขึ้นอยู่กับ ระดับการศึกษา และ เวลาที่ต้องใช้ในการดูแลเด็กเล็ก ดังนั้นความต่างของรายได้เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ จะยิ่งมากหากไม่ได้กลับเข้าเรียน โดยหากตั้งครรภ์แต่ยังได้กลับเข้าเรียน รายได้จะต่างจากกลุ่มที่ไม่ได้ตั้งครรภ์เฉลี่ย -3,936 บาท/คน/เดือน แต่หากตั้งครรภ์แล้วยังหลุดออกจากะบบการศึกษา รายได้จะยิ่งต่างมากขึ้นไปอีก โดยอยู่ที่เฉลี่ย -4,582 บาท/คน/เดือน

“ปรากฎการณ์ ‘แม่วัยรุ่น’ ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศ” ไม่เพียงแต่แม่วัยรุ่นจะเสียโอกาสทางเศรษฐกิจด้านรายได้ตลอดช่วงชีวิต แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศในช่วงชีวิตของตนเอง มูลค่าถึง 8.3 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5.1 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ในอนาคต รายได้ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีแนวโน้มแตกต่างกันมากขึ้น ทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจของแม่วัยรุ่นในรุ่นถัดไป มากยิ่งขึ้นไปอีกและจะส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ สูงขึ้นถึง 12 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7.2 ต่อ GDP

“พาแม่วัยรุ่นกลับเข้าเรียน เพิ่มโอกาสสร้างรายได้” แม่วัยรุ่น ต้องได้กลับเข้าเรียนในระบบการศึกษาหรือกลับเข้าโรงเรียนโดยไม่มีอุปสรรค จนเรียนจบในระดับการศึกษาตามที่ได้ตั้งไจไว้ เพื่อให้มีโอกาสทำงานและมีรายได้ที่เหมาะสมในอนาคต อย่างไรก็ตาม แม่วัยรุ่นจำนวนไม่น้อยไม่กลับเข้าเรียนในระบบ แต่เลือกที่จะเข้าเรียนในการศึกษานอกระบบหรือการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) แทน การพัฒนาคุณภาพของการศึกษานอกระบบให้เท่าเทียมกับการศึกษาในระบบจึงเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากแม่วัยรุ่นควรมีโอกาสเพิ่มพูนความรู้และทักษะเพื่อการหารายได้ในระดับที่ใกล้เคียงกับกลุ่มที่เรียนอยู่ในระบบ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top