Monday, 7 July 2025
ค้นหา พบ 49241 ที่เกี่ยวข้อง

รู้จัก 6 ดิจิทัล เทคโนโลยีสำคัญ ช่วยยกระดับเกษตรกร สู่ Smart Farmer

ภาคเกษตรไทยอยู่ในภาวะเผชิญความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงด้านการผลิต และการเปลี่ยนผ่านของ generation มีงานวิจัยหลายชิ้นที่บ่งชี้ว่า เทคโนโลยีและนวัตกรรมจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการเพิ่มผลิตภาพและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับเกษตรกรได้ หน่วยงานภาครัฐเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยมีส่งเสริมเรื่อง Smart Farmer ให้กับเกษตรกรรุ่นใหม่ ซึ่งไม่เพียงเป็นประโยชน์กับตนเอง และจะช่วยขยายความรู้นี้ไปสู่เกษตรกรคนอื่น ๆ ด้วย นี่คือ 6 ดิจิทัลเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยยกระดับการผลิตให้ภาคเกษตรได้

1. เทคโนโลยีการเก็บข้อมูล 
การเก็บข้อมูลระยะใกล้จาก sensor ที่วัดสภาพดินและค่าต่าง ๆ ในแปลงเพาะปลูก การเก็บข้อมูลระยะกลางจากกล้องที่ติดกับโดรนเพื่อสำรวจแปลงเพาะปลูก และการเก็บข้อมูลระยะไกลจากภาพถ่ายดาวเทียมที่สามารถนำมาใช้ระบุพื้นที่เพาะปลูก ชนิดพืช สถานะการเจริญเติบโต และการเกิดภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม หรือภัยแล้งได้ละเอียดถึงระดับแปลงเพาะปลูกของเกษตรกร

2. ฐานข้อมูลขนาดใหญ่
หรือ big data ที่รวมศูนย์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวเกษตรกรเองและการเพาะปลูกทั้งในปัจจุบันและย้อนหลังไปในอดีต ในรูปแบบดิจิทัลที่นำไปวิเคราะห์ได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ความต้องการที่แตกต่างกันของเกษตรกร และการออกแบบแนวทางแก้ไขที่ตรงจุด

3. Internet of Things (IoT) 
การเชื่อมโยงการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกันผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน สามารถควบคุมได้ เช่น การสั่งงานรดน้ำและใส่ปุ๋ยแปลงเพาะปลูกตามเวลาและปริมาณที่กำหนด

เลขาธิการ ศอ.บต. พบปะ สื่อมวลชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมแถลงนโยบายแผนการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้

ในห้วงที่ผ่านมาและที่จะดำเนินต่อไปในปี 66 เน้นยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนมีความกินดี อยู่ดี และอยู่ร่วมกันในวิถีพหุวัฒนธรรมที่ โรงแรมริเวอร์ ปัตตานี อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นประธานเปิดกิจกรรมเสวนาสร้างการรับรู้การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้แก่สื่อมวลชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยมี นายศรัทธา คชพลายุกต์ รองเลขาธิการ ศอ.บต. ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. ตลอดจนสื่อมวลชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าร่วม

ในการนี้ พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. ได้พบปะเพื่อขอบคุณสื่อมวลชนในการทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการสื่อสารการทำงานของ ศอ.บต. ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมีส่วนสำคัญมากต่อการทำให้บ้านเมืองในจังหวัดชายแดนภาคใต้สงบสุขเพราะพี่น้องสื่อมวลชนถือว่าเป็นกลไกหลักที่สร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจในเรื่องราวที่สำคัญของบ้านเมืองให้กับพี่น้องประชาชนที่จะทำให้เกิดทัศนคติที่ดี พร้อมกันนี้ พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. ได้แถลงนโยบายแผนการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในห้วงที่ผ่านมาและที่จะดำเนินต่อไปในปีงบประมาณ 2566 ที่เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนมีความกินดี อยู่ดี และอยู่ร่วมกันในวิถีพหุวัฒนธรรม อาทิ ในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพชีวิตซึ่งต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนตามฐานข้อมูล TPMAP ทั้ง 5 มิติ ประกอบด้วย มิติด้านสุขภาพ การศึกษา รายได้ ความเป็นอยู่ และการเข้าถึงสวัสดิการแห่งรัฐ และยังรวมไปถึงกลุ่มเปราะบาง ซึ่ง ศอ.บต. กำลังเดินหน้าในการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของการแก้ไขปัญหาความยากจน ศอ.บต. ได้ขับเคลื่อนโครงการ 1 ข้าราชการ 1 ครัวเรือนยากจน ซึ่งเป็นการจัดเจ้าหน้าที่ข้าราชการประกบครัวเรือนยากจนโดยประสานกับชุดข้าราชการตำบลทุกภาคส่วนโดยข้าราชการจะทำหน้าที่เฝ้า ประกบ ติดตาม รายงาน เพื่อแก้ไขปัญหา ที่ผ่านมาได้มีการนำร่องแล้ว 400 ครัวเรือน ปี 66 จะขยับขึ้นอีก 1,200 ครัวเรือน โดยเลขาธิการ ศอ.บต. เน้นย้ำว่า การแก้ไขปัญหาภาคใต้ต้องตอบโจทย์และต้องยั่งยืน 

นอกจากนี้ ยังมีในเรื่องของเศรษฐกิจฐานราก ไม่ว่าจะเป็นภาคการเกษตร มีการส่งเสริมการผลิตจากพืชเศรษฐกิจใหม่ ที่สอดคล้องกับศักยภาพพื้นที่และความต้องการของตลาด เช่น มะพร้าว ข้าว กาแฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการปลูกกาแฟโรบัสต้าสายพันธุ์พื้นถิ่น ซึ่งเป็นพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ได้มีพระประสงค์ให้มีการอนุรักษ์พันธุ์กาแฟพื้นถิ่น และพัฒนากระบวนการผลิตให้เป็นกาแฟที่เป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ การส่งเสริมอาชีพปศุสัตว์ ภาคการท่องเที่ยว ส่งเสริมศักยภาพของวิสาหกิจท่องเที่ยวชุมชน ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวก โดยเน้นการสร้างอัตลักษณ์เฉพาะของแหล่งท่องเที่ยว

5 เทรนด์ AI ในปี 2023 ที่จะเกิดขึ้นจริง ทำหน้าที่แทนมนุษย์ได้เนียนจนแยกไม่ออก

Marketingoops เผย 5 เทรนด์ AI ในปี 2023 ที่จะเกิดขึ้นจริง ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาจนสามารถทดแทนความสามารถของมนุษย์ได้หลายๆ เรื่องกันเลยทีเดียว

1. AI จะต่อยอดศักยภาพให้ 5G
การสื่อสารแบบ 5G เมื่อมาเชื่อมต่อกับ AI จะทำให้นวัตกรรมล้ำยุคต่าง ๆ ใช้งานได้อย่างแพร่หลาย เช่น รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ กล้องวีดีโอสตรีมมิ่งเรียลไทม์ความละเอียดสูง โดรนควบคุมระยะไกล ฯลฯ

2. AI จะสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเชื่อถือได้
ความกดดันทางธุรกิจอันเกิดจากความผันผวนทางเศรษฐกิจสามารถแก้ไขได้ด้วย AI ซึ่งจะอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ทั้งการคาดการณ์การคำนวณสิ่งที่จำเป็นและการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

3. AI ช่วยลดต้นทุนและหลีกเลี่ยงปัญหา
ปัญหาของโลกยุคใหม่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น แต่ AI จะช่วยคำนวณ การลดต้นทุน และคาดการณ์ปัญหาที่จะเกิดขึ้นเพื่อหาทางหลีกเลี่ยง

รู้จัก ‘alt.Eatery’ คอมมูนิตี้แห่ง Plant-based อาหาร ‘สุขภาพ-รักษ์โลก’ ในราคาที่เอื้อมถึง

กระแส Plant-based กำลังกลายเป็นเทรนด์ระดับโลก เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ ผนวกกับเทรนด์ในการรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อมเด่นชัดขึ้น เนื่องจากกระบวนผลิตและบริโภคเนื้อจากพืช (Plant-based) ช่วยลดโลกร้อนได้ อีกทั้งยังคำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ที่กลายเป็นอาหารของมนุษย์มาอย่างยาวนาน 

ก่อนหน้านี้ได้มีผลสำรวจจาก Euromonitor International's Voice of the Industry: Health and Nutrition 2022 ที่ตั้งคำถามว่า “เหตุผลอะไรที่คุณบริโภค Plant-based” โดยสำรวจไว้เมื่อปี 2021 และล่าสุดเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2022 แล้ว ก็ปรากฏว่า เหตุผลใน 3อันดับแรกที่เคยสำรวจไว้ไม่แตกต่างกัน ได้แก่... 

- ร้อยละ 37 ทาน Plant-based เพราะรู้สึกแข็งแรงขึ้น 
- ร้อยละ 25 ทาน Plant-based เพราะต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพในระยะยาว 
- และร้อยละ 24 ทาน Plant-based เพราะรสชาติอร่อย

ขณะที่บริษัท Euromonitor and Alliesได้ประมาณการมูลค่าตลาดของ Plant-based ในประเทศไทยไว้ ว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 845 ล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2562 เป็น 1,500 ล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2567 ซึ่งถือเป็นการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 10 ต่อปี 

จากข้อมูลเหล่านี้ จึงเริ่มชี้ชัดว่า ธุรกิจอาหาร Plant-based จะกลายเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ ตอบโจทย์ทั้งในเชิงของการรักษ์โลกและสุขภาพที่กำลังเป็นเทรนด์มาแรงอีกด้วย

สำหรับในประเทศไทย ปัจจุบันก็เริ่มมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ Plat-Based เกิดขึ้นมาก แต่ที่โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด ก็คือหนีไม่พ้นคอมมูนิตี้แห่งอาหาร Plant-based ที่ใช้ชื่อว่า ‘alt.Eatery’

คุณพรรณนภิศ ฤทธิไพโรจน์ (คุณพลอย) ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจและการตลาด บริษัท นิวทรา รีเจนเนอเรทีฟ โปรตีน จำกัด (NRPT) บริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (บริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้น 100%) กับบริษัท โนฟ ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืชแบบครบวงจร ได้พูดคุยถึงธุรกิจ ‘Life Science’ ของอาหารเพื่อสุขภาพ Plant-based กับทีมข่าว THE STATES TIMES ว่า…

“ร้าน alt.Eatery เป็นคอมมูนิตี้อาหาร Plant-based ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ แห่งแรกบนพื้นที่ของแสนสิริ ริมถนนสุขุมวิท 51 ภายในร้านประกอบด้วย 2 โซน ได้แก่ร้านอาหาร และ Mini Mart ในโซนร้านอาหารมีเมนูตั้งแต่ Appetizer, Main, ของหวาน โดยในโซน Mini Mart นั้นจะมีสินค้า Plant-based มากกว่า 500 ชนิด จากผู้ประกอบการมากกว่า 80 ราย ให้เลือกซื้อ”

คุณพลอย เล่าต่อว่า “การรับประทานอาหาร Plant-based เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน เพราะมันเป็นทั้งไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่จะได้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แถมยังช่วยรักษ์โลกได้ในเวลาเดียวกัน 

สำหรับ ‘alt.Eatery’ นั้น ไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญด้านอาหาร Plant-based เพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญแม้กระทั่งตัวอาคารของร้าน alt.Eatery ที่สะท้อนถึงความยั่งยืนในทุกจุด เริ่มจากตัวอาคารที่สร้างด้วยแนวคิด Low Carbon Footprint ด้านหลังร้านมีการตั้งจุดชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถ EV ส่วนด้านบนหลังคาของอาคารมีการใช้ระบบ Solar Roof เพื่อประหยัดพลังงาน หรือแม้กระทั่งตัวอาคารก็สร้างแบบ Complete Knock-Down ไม่มี Construction Wastes เลย 

THE STATES TIMES ได้ถามคุณพลอยอีกว่า ความต่างของ Plant-based กับอาหารในปัจจุบันอยู่ที่ตรงไหน คุณพลอยอธิบายว่า “Plant-based คือ นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต นวัตกรรมทำให้สามารถแยกโปรตีนและแป้งออกจากกันได้ สามารถพัฒนาโภชนาการอาหารเพื่อสุขภาพ เน้นให้เหมาะกับบุคคลแต่ละกลุ่ม ตามอายุ เพศ หรือความต้องการด้านโภชนาการเพื่อป้องกันโรคและโภชนาการทางการแพทย์ (Medical Nutrition) หรือแม้แต่สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการดูแลทางโภชนาการ ผู้ป่วยเฉพาะโรค 

“ยกตัวอย่างเช่น คนที่ทานแต่เนื้อสัตว์และไม่ทานพืชผักเลย ก็อาจจะขาดกรดอะมิโนบางชนิดที่อยู่ในพืชผักได้ ซึ่ง Plant-based สามารถใส่กรดอะมิโนลงไปหรือการพัฒนาโภชนาการอาหารให้เหมาะสมกับผู้ป่วยในอนาคต เราสามารถ Customize ให้เหมาะสม หรือในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการเคี้ยวเราสามารถใช้นวัตกรรมปรับเนื้อให้อ่อนนุ่มเพื่อให้ผู้สูงอายุเคี้ยวได้ง่ายขึ้น” 

ตร. แถลงผลปฏิบัติการ ‘ล้มไม้ค้ำ ลิดกิ่งก้าน’ ทลายแก๊งจีนทำธุรกิจสีเทา ยึดทรัพย์กว่า 300 ลบ.

เปิดปฏิบัติการ 'ล้มไม้ค้ำ ลิดกิ่งก้าน' รองต่อ-รองโจ๊ก ผนึกกำลัง ทลายแก๊งคนจีนสีเทา สวมบัตร ปชช. เอี่ยวโยงคิงส์โรมัน พบพิรุธถือครองสินทรัพย์หมู่บ้านหรูย่านอุดมสุขกว่าครึ่งเฟสใหม่

วันที่ (3 พ.ย. 65) ที่ บช.สอท. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 และพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง ผบก.ตม.1 ร่วมกันแถลงข่าวผลปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายนายทุนจีนสีเทา ตามปฏิบัติการ 'ล้มไม้ค้ำ ลิดกิ่งก้าน' โดยปิดล้อมตรวจค้น 3 จุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จับกุมผู้ต้องหากว่า 15 ราย ในจำนวนนี้เป็นคนจีน 11 ราย คนไทย 4 ราย พร้อมของกลางเป็นเงินสดกว่า 42 ล้านบาท รถยนต์หรูกว่า 10 คัน โฉนดที่ดินหลายรายการ สุราต่างประเทศ สำรับไพ่ กระเป๋าแบรนด์เนม มูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า การปิดล้อมตรวจค้นครั้งนี้เป็นนโยบายของทางรัฐบาล และทาง พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ที่ให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมประกอบกับในช่วงที่ผ่านมามีกรณีชาวต่างชาติเสียชีวิตเพราะยาเสพติดในสถานบันเทิง และกรณีสถานบริการเปิดให้บริการเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและการพนัน โดยเจ้าของกิจการหรือสถานบริการล้วนเป็นนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตามปฎิบัติการดังกล่าวเป็นการขยายผลจากการตรวจค้นสถานบริการจินหลิง ย่านยานนาวา เขตสาทร หลังพบกลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวจีนกว่า 237 คน เป็นชายสัญชาติจีน จำนวน 111 คน เป็นหญิงสัญชาติจีน จำนวน 126 คน 

นอกจากนั้น พบพนักงานและบุคคลชาวกัมพูชา และชาวไทยในบริเวณอาคารดังกล่าวอีกจำนวนกว่า 29 คน ตรวจยึดรถยนต์หรูกว่า 30 คัน เพื่อตรวจสอบหาเจ้าของว่ามีส่วนร่วม รู้เห็น หรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือมีพฤติการณ์อันเข้าข่ายฟอกเงิน หนึ่งในรถยนต์หรูที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไว้นั้น ผู้ต้องหาหญิงชาวจีนเป็นผู้ขับ มีชายชาวจีนเป็นเจ้าของรถยนต์พบชายชาวจีนคนดังกล่าว คือ กลุ่มอาชญากรรมออนไลน์ แต่ถือหนังสือเดินทางประเทศกัมพูชาในการเดินทาง และยังมีหนังสือเดินทางของประเทศต่าง ๆ อีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งสวมสิทธิเป็นคนไทย มีบัตรประจำตัวประชาชน เงินที่ได้จากการหลอกลวงจะถูกนำมาฟอกด้วยการลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ซื้อบ้านหรู คอนโดฯหรู รถยนต์หรู และทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก มีการจ้างบอดี้การ์ดคอยคุ้มกันตลอดเวลา จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาออกหมายค้น

โดยตรวจค้น 3 จุด ประกอบไปด้วยจุดแรก เป็นบ้านเลขที่ 396/63 ซอยกาญจนาภิเษก 50 แขวงดอกไม้ แขวงประเวศ กรุงเทพฯ พบชาวจีน 5 คน และคนไทย 3 คน พร้อมทรัพย์สินหลายรายการ เช่น รถยนต์ 3 คัน รถจักรยานยนต์ ดูคาติ สีแดง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน สุราต่างประเทศกว่า 50 ขวด โทรศัพท์มือถือ 13 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 3 เครื่อง และ เงินสด 7 ล้านบาท

จุดที่ 2 บ้านเลขที่ 89/46 หมู่บ้านแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด บางนา-อ่อนนุช แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นบ้านของนาย LIN YIAN หรือนายยะปะสอ สวรรยาคีรี พร้อมตรวจยึดทรัพย์สินอีกหลายรายการ อาทิ รถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า อัลพาร์ด สีดำ (ป้ายแดง) จำนวน 3 คันนาฬิกาหรูยี่ห้อ Patek Philippe จำนวน 1 เรือน เงินสด จำนวน 7.5 ล้านบาท บัตรประจำตัวประชาชน ชื่อนายยะปะสอ สวรรยาคีรี และหนังสือเดินประเทศไทย ชื่อนายยะปะสอ สวรรยาคีรี และ จุดที่ 3 เป็นคอนโดฯ บริเวณซอยสุขุมวิท 39 พบชาวจีน 4 คน พร้อมยึดทรัพย์สิน เช่น เงินสด 28 ล้านบาท กระเป๋าแบรนด์เนมหรู 8 ใบ

โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า จากการนำบัตรประชาชนของผู้ต้องหาคือนาย LIN YIAN หรือ นายยะปะสอ สวรรยาคีรี ที่ตรวจยึด มาตรวจสอบกับสารบบ ทะเบียนราษฎร์ ของกรมการปกครองปรากฏว่า เลขประจำตัวประชาชนดังกล่าว นายทะเบียนออกให้กับบุคคลอื่น (ใบหน้าไม่ตรงกัน) โดยออกที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ จึงเชื่อว่า เป็นการปลอมบัตรประจำตัวประชาชน จากการตรวจสอบแล้วว่า บุคคลตามบัตรประชาชนยังมีชีวิตอยู่ และทำอาชีพหักข้าวโพดอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด 

โดยประเด็นนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อยู่ระหว่างการขยายผลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีหน้าที่ในการออกเอกสาร ดังกล่าว ส่วนทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ตรวจยึดได้ จะมีการตรวจสอบความถูกต้อง และความเชื่อมโยงกับคดีอาชญากรรมออนไลน์ที่ได้มีการแจ้งความไว้ในระบบการรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป นอกจากนี้ยังพบพาสปอร์ต 2 สัญชาติ คือ ไทย และ กัมพูชา มีการเดินทางเข้าออกกัมพูชา 25 ครั้ง และกัวลาลัมเปอร์ มาเลเชีย 12 ครั้ง นอกจากนี้ จากการสอบสวนในเบื้องตนยังมีการทำธุรกิจ ร้านสุกี้ในคิงส์โรมัน สปป.ลาว และพื้นที่ 3 เหลี่ยมทองคำด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top