Monday, 28 April 2025
ค้นหา พบ 47704 ที่เกี่ยวข้อง

ถึงเวลายืนบนขาตัวเอง บางส่วนก็ยังดี

คอลัมน์ "เบิ่งข้ามโขง"

.

สิ้นเดือนนี้ (วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563) ทางประเทศลาวได้มีการทดลองเดินเครื่องกลั่นน้ำมัน LAOPEC บริษัทปิโตรเคมี ลาว - จีน โรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกของลาว เพื่อนำใช้ภายในประเทศ ลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ และทำให้ราคาน้ำมันภายในประเทศลดลง นอกจากนี้ ยังสร้างงานให้แก่ประชาชนกว่า 200 ตำแหน่ง

ซึ่งโรงกลั่นบริษัทปิโตรเคมี ลาว- จีน จำกัด จะใช้วัตถุดิบนำเข้าจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเมื่อน้ำมันดิบผ่านกระบวนการกลั่นสำเร็จจะได้ผลิตภัณฑ์น้ำมันประมาณ 1 ล้านตันต่อปี ประกอบด้วย

- น้ำมันเบนซินประมาณ 2.38 แสนตัน หรือ 300 ล้านลิตร

- น้ำมันดีเซลประมาณ 3.8 แสนตัน หรือ 450 ล้านลิตร

- แก๊สหุงต้มประมาณ 15,200 ตัน

- สารเบนซินประมาณ 10,600 ตัน

ซึ่ง สปป.ลาว นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูป หลายล้านตันต่อปี ในราคาที่สูงเกินไป ดังนั้น โรงกลั่นปิโตรเคมีนี้ จะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันและลดราคาลงไป นาย ปานี พวงเพด รองผู้อำนวยการ บริษัท ปิโตรเคมี ลาว-จีน ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ...

"บริษัท ปิโตรเคมีลาวออยล์ จำกัด โรงกลั่นน้ำมัน ตั้งอยู่ในเขตพัฒนา กวมลวมไชเชดถา นครหลวงเวียงจันทน์ นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ใจกลางนครหลวงเวียงจันทน์ ได้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปีพ.ศ. 2558 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 280,000 ตารางเมตร ใช้เงินลงทุน 179 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใต้บริษัท ปิโตรเคมีลาว - ​​จีนในมณฑลยูนนาน และ กลุ่มก่อสร้างและการลงทุนยูนนาน ถือหุ้น 75% บริษัท รัฐวิสาหกิจน้ำมันเชื้อไฟลาว 20% และ บริษัทร่วมทุนลาว - ​​จีนถือหุ้น 5% 

โรงงานแห่งนี้ ยังคงมีความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของการตลาด เพราะเมื่อผลิตออกมาแล้ว แต่ยังไม่มีที่ขาย เนื่องจากทุกบริษัท ต่างแข่งขันกันในการจัดซื้อและนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง สิ่งนี้จะทำให้เรามีความท้าทายมากเพราะเป็นงานที่ยาก ดังนั้น เราต้องศึกษาตลาดอย่างรอบคอบเพื่อดูว่าอุปสงค์ในประเทศของเรามีมากน้อยเพียงใด เพื่อให้แน่ใจว่าการผลิตของเราเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

นอกจากนี้ปัญหาด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญมากเนื่องจากโรงงานของเราตั้งอยู่ใกล้กับตัวเมือง ซึ่งเราได้เอาใจใส่ดูแลในการดำเนินการและการจัดการเป็นอย่างดี โดยไม่ปล่อยควัน ออกมาในปริมาณมาก และใช้ระบบบำบัดที่มีความทันสมัย  เพื่อป้องกันมลพิษทางอากาศ ไม่ส่งผลเสียต่อประชาชนโดยรอบพื้นที่”


ที่มา  ປະເທດລາວ Pathedlao

หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชน​และภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนํา​ภาคเอกชนไทย​ บุกตลาดอินโดจีน

วิเคราะห์ 3 ประสาน ทีมต่างประเทศของ "โจ ไบเดน"

หากจะพูดถึงทีม 3 ประสานในงานต่างประเทศที่เคยได้ชื่อว่าเป็นแก๊งค์ 3 ช่าแห่งทำเนียบขาวในยุคของ 'โดนัลด์ ทรัมพ์' จะเป็นทีมไหนไปไม่ได้เลยนอกจากทีม ทรัมพ์ - ปอมเปโอ - โบลตัน อันประกอบด้วยตัวประธานาธิบดีเสี่ยใหญ่ 'โดนัลด์ ทรัมพ์' รัฐมนตรีต่างประเทศ 'ไมค์ ปอมเปโอ' และ อดีตที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคง 'จอห์น โบลตัน' ที่รับส่งนโยบายด้านต่างประเทศ สอดประสานกัน สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทุกมุมโลก

หากทีม 3 ประสานของทรัมพ์ นับเป็นทีมรวมดาวดังสายเหยี่ยว สไตล์เกรี้ยวกราดท้าชน แต่เมื่อมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล 'โจ ไบเดน' ก็ได้วางทีม 3 ประสานของเขาไว้แล้ว ที่จะส่งผลต่อรูปแบบนโยบายการเมืองต่างประเทศของสหรัฐตามสไตล์การเล่นของประธานาธิบดีคนใหม่

โครงสร้าง 3 ประสานของโจ ไบเดน ได้วาง 'แอนโทนี บลินเคน' ไว้ในตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ และวางตัว 'เจค ซัลลิแวน' เป็นที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงประจำตัว ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นการรวมดาวของทีม ลับ ลวง พราง เบื้องหลังที่เคยทำงานร่วมกับไบเดนมานานเกือบ 20 ปี

                                                    แอนโทนี บลินเคน

.

ตามประวัติของ 'แอนโทนี บลินเคน' ว่าที่รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ของสหรัฐ เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายยิว เกิดในนิวยอร์ค แต่ย้ายไปเรียนต่อที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส แล้วกลับมาเรียนต่อปริญญาตรีที่ฮาร์วาร์ด และด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านต่างประเทศมาก และมีแนวคิดสนับสนุนการกลุ่มพันธมิตรแบบพหุภาคี และตลาดการค้าเสรี

ต่อมาบลินเคน ได้มีโอกาสเข้ามาทำงานในสภาฝ่ายความมั่นคงในปี 2002 และเป็นที่ที่เขาได้ทำงานเป็นผู้ช่วยของโจ ไบเดนเป็นครั้งแรก ซึ่งตอนนั้นไบเดนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสภาความมั่นคง จนเมื่อถึงสมัยของโอบาม่า โจ ไบเดน ได้ขึ้นเป็นรองประธานาธิบดี เขาดึงแอนโทนี บลินเคน มาเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำตัว ก่อนที่จะดันขึ้นไปนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศ ให้กับฮิลลารี คลินตันในเวลาต่อมา

และคนที่มาแทนตำแหน่งที่ปรึกษาของไบเดน ต่อจากแอนโทนี บลินเคนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจค ซัลลิแวน นี่เอง

เจค ซัลลิแวน ก็เป็นหนึ่งในกุนซือฝ่ายต่างประเทศของพรรคเดโมแครตมาหลายปี เคยเป็นผู้ช่วยประจำตัวของฮิลลารี คลินตันมาก่อนที่จะมาทำงานคู่กับโจ ไบเดน ในฐานะที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ที่มีส่วนสำคัญในการวางแผนนโยบายต่างประเทศของสหรัฐในลิเบีย ซีเรีย และ พม่า

ดังนั้น ทั้งไบเดน - บลินเคน - ซัลลิแวน เคยทำงานในทีมเดียวกันมาก่อนในช่วงเวลา 8 ปีในสมัยของประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญของโลกหลายเหตุการณ์ ยกตัวอย่างเช่น ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ที่ถือเป็นหนึ่งในผลงานสร้างชื่อเสียงที่ส่งให้บารัค โอบาม่า ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพในปีค.ศ.2009

แต่นอกเหนือจากภารกิจด้านสันติภาพ นโยบายต่างประเทศด้านอื่น ๆ ก็เข้มข้นไม่แพ้กัน เช่นกระแสอาหรับสปริงในตะวันออกกลาง ที่สหรัฐมีส่วนสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในลิเบียเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดี 'มูห์มา กัดดาฟี' คำสั่งปฏิบัติการเด็ดชีพ โอซามา บิน ลาเดน การสนับสนุนกลุ่มชาติพันธมิตรซาอุดิอารเบียใช้กำลังทหารแทรกแซงการเมืองในเยเมน การคว่ำบาตรรัสเซียเพื่อตอบโต้การผนวกดินแดนไครเมีย หรือแม้แต่การส่งทหารเข้าร่วมฝึกกองรบให้กับกลุ่มกบฏในซีเรีย

ถึงแม้ผลงานเหล่านี้จะมีภาพของบารัค โอบาม่า หรือ ฮิลลารี คลินตัน เป็นแถวหน้า แต่เบื้องหลังในการขัดเกลานโยบาย หรือแสดงความเห็นสนับสนุนที่ปรึกษาคนสนิทมีส่วนอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะ แอนโทนี บลินเคน คือหนึ่งในผู้สนับสนุนแผนการบุกอิรักของสหรัฐในปี 2003 หรือการเพิ่มกำลังทหารในอาฟกานิสถานอีกกว่า 16,000 นายในสมัยของโอบาม่า

ดังนั้นสิ่งที่คาดเดาได้จากทีม 3 ประสาน ไบเดน - บลินเคน - ซัลลิแวน ก็ยังคงไว้ลายสายเหยี่ยว ไม่ต่างจากทีมเก่าของทรัมพ์ เพียงแต่รูปแบบในการดำเนินนโยบายจะแตกต่างกัน

                                                  เจค ซัลลิแวน

.

โจ ไบเดน เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของทรัมพ์ว่า เป็นนโยบายที่ทำให้สหรัฐเจ็บตัวมากกว่าได้ เพราะทรัมพ์ใช้ทุกทรัพยากร และอิทธิพลที่มีของสหรัฐชนศัตรูซึ่งๆหน้า ด้วยนโยบาย American First เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา และการชนดะไม่ละเว้น ก็สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจในสหรัฐไม่น้อย ซึ่งไบเดนบอกว่าเขาจะไม่ทำอย่างนั้น

ดังนั้น 3 ประสานของไบเดน น่าจะเน้นนโยบายในการแทรกซึม ผ่านอำนาจขององค์กรระหว่างประเทศ หรือชาติพันธมิตรของสหรัฐอย่าง 'NATO EU' หรือ 'กลุ่มพันธมิตรซาอุดิอารเบีย' ในการเข้าร่วมกดดันประเทศที่สหรัฐถือว่าเป็นภัยคุกคาม อันได้แก่ จีน รัสเซีย อิหร่าน เป็นต้น

วิธีการใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซงหรือสนับสนุนกลุ่มกบฏในประเทศคู่ขัดแย้งอาจถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง รวมถึงกลุ่มประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่ยืนอยู่ขั้วตรงข้าม ก็จะทวีความเข้มข้นขึ้นเช่นเดียวกัน

และดูจากประวัติการทำงานร่วมกันมาอย่างโชกโชนของ 3 ประสานชุดนี้ นับว่าแข็งแกร่ง และมีเป้าหมายชัดเจนพอที่จะทำให้โจ ไบเดน ประกาศออกมาได้อย่างมั่นใจว่า America is back! เรากลับมาแล้ว ที่ทั่วโลกจะต้องปรับเกมรับการเจาะสนามของ 3 ประสานทีมนี้ไว้ให้ดี มิฉะนั้น อาจมีสิทธิ์แพ้คาบ้านได้ง่าย ๆ


แหล่งข่าว

BBC

https://www.bbc.com/news/election-us-2020-55048975

Politico

https://www.politico.eu/article/nine-things-to-think-about-antony-blinken/

Wikipedia

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Antony_Blinken#cite_note-28

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Jake_Sullivan

รากเหง้า คือ ตัวตนของเราในวันนี้

คอลัมน์​ "เบิ่งข้ามโขง"

งานแข่งขันเป่าแคน ชิงชนะเลิศ สืบสานมรดกวัฒนธรรมโลก เสียงแคนลาว สปป.ลาว จัดงาน "แข่งขันเสียงแคนเชื้อชาติลาวกับรุ่นสืบทอด” ครั้งที่ 1 รอบชิงชนะเลิศ จัดขึ้นโดย กระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรม และท่องเที่ยว

เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 เพื่อสืบต่อ เสริมขยาย ความสำเร็จที่ เสียงแคนลาว ได้รับการยกย่อง จาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก เพื่อการปลุกระดม ปลูกฝั่ง คนรุ่นใหม่ให้รู้จักอนุรักษ์ ปกป้องรักษาวัฒนธรรมแคนลาวให้คงอยู่กับชาติลาว คนลาว

พร้อมกับ เป็นการสร้างเพื่อต้อนรับวันสำคัญของชาติที่จะมาถึง เช่น วันชาติลาวในวันที่ 2 ธันวาคม ครบรอบ 45 ปี, วันคล้าย วันเกิดของประธานประเทศ ท่านไกรสอน พรมวิหาน ครบรอบ 100 ปี ของผู้นำที่เคารพนับถือของชาวลาวและวันสำคัญอื่น ๆ เมื่อช่วงเดือนธันวาคม ปีพ.ศ.2560 องค์การยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนเสียงแคนของชาวลาว ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

โดยระบุว่า แคนของลาวซึ่งเป็นเครื่องดนตรีแบบเป่า ประกอบขึ้นจากขลุ่ยหลายเลาที่ทำจากไม้ไผ่ที่มีความยาวแตกต่างกัน เพื่อให้เกิดความหลากหลายของเสียง โดยผู้เล่นต้องเป่าลมเข้าไปข้างในเพื่อให้เกิดเสียงออกมา การแข่งขันครั้งแรกนี้ เริ่มมาตั้งแต่เดือนช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ.2563 แข่งขันกันสามรอบ คัดเอาผู้มีคะแนนดีสูงสุดในแต่ละรอบ เพื่อเข้าแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศเฉพาะรอบชิงชนะเลิศมีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 16 คน แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ชายและหญิงอายุ 7-14 ปีและชายและหญิงอายุ 15 ถึง 18 ปี

กติการการแข่งขัน ต้องเป่าให้ครบตามลายแคน ที่ทางคณะกรรมการกำหนดต้องเป่าให้ถูกต้องตามลายแคนเดิม ลายแคนต้องชัดแจ้ง ชัดเจน ม่วน สนุกสนานและถูกจังหวะ ...ซึ่งผลการแข่งขัน

ผู้ชนะเลิศรุ่นอายุ 7-14 ปี

ฝ่ายชายได้แก่ ท้าววิสะนุ สะแหวงชน ฝ่ายหญิงได้แก่ นางสินสุดา เทบสุวัน

รุ่นอายุ 15-18 ปี

ฝ่ายชายได้แก่ ท้าวสุวัน ไชพงสีดา ฝ่ายหญิงได้แก่ นางนู่นี่ จันทะวง

ทั้งหมดจะได้รับรางวัลเป็นเงินสด 2 ล้านกีบ (6,250 บาท) และของที่ระลึกอีกจำนวนหนึ่ง

บรรยากาศการแข่งขัน คึกคัก ม่วนหลาย ๆ เด้อ ...


ข่าวจาก Lao nation radio 

หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชน​และภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนํา​ภาคเอกชนไทย​ บุกตลาดอินโดจีน

มหาวิทยาลัยในมาเลเซียไม่ธรรมดา! QS! เจ้าพ่อแห่งการจัดอันดับมหาวิทยาลัย!

คอลัมน์ "สายตรงจากเคแอล"

 

มหาวิทยาลัยในมาเลเซียไม่ธรรมดา! QS! เจ้าพ่อแห่งการจัดอันดับมหาวิทยาลัย!

รายงานจาก Quacquarelli Symonds (QS) World University Rankings: Asia 2021 เผยผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยในเอเชียประจำปี 2021 จำนวน 110 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของเอเชีย (จาก 650 แห่ง)

โดยมหาวิทยาลัยในมาเลเซีย 10 แห่ง (เป็นของรัฐ 7 แห่งและเอกชนอีก 3 แห่ง) ปรากฎในรายชื่อ! ติดอันดับ 1 ใน 10 ได้แก่ มหาวิทยาลัยมาลายา (UM) อยู่ในอันดับที่ 9 ซึ่งขยับขึ้นมาจากอันดับที่ 13 เมื่อปีที่แล้ว ถือว่าเป็นปีแรกของ UM ที่ติดอันดับ Top 10 อีกด้วย

ตามมาด้วย Universiti Putra Malaysia อันดับที่ 28, Universiti Sains Malaysia อันดับที่ 34 และ Universiti Kebangsaan Malaysia อันดับที่ 35

ในขณะเดียวกัน Universiti Teknologi Malaysia ก็เข้ามาในลำดับที่ 39 , Universiti Teknologi Petronas มาที่อันดับที่ 70, Taylor’s University อยู่อันดับที่ 89, UCSI University อันดับที่ 105, Universiti Utara Malaysia อันดับที่ 107 และสุดท้าย Universiti Teknologi Mara ติดอันดับที่ 108

ด้าน National University of Singapore ยังคงรั้งตำแหน่งมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของเอเชีย ส่วนมหาวิทยาลัยของประเทศไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ติดอยู่ในอันดับที่ 43 และมหาวิทยาลัยมหิดล อันดับที่ 44

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

News Link: https://en.syok.my/news/10-malaysian-unis-make-qs-2021-world-university-r

https://www.topuniversities.com/asia-rankings/methodology

https://www.topuniversities.com/qs-world-university-rankings

 


เรื่องโดย: "ผิงกั่ว" 

สาวเมืองชล ตั้งรกรากอยู่ชานกรุงกัวลาลัมเปอร์ ตามสามีชาวจีนมาเลย์ ชีวิตท่ามกลางคนจีน แขกมาเลย์ และแขกอินเดีย พหุวัฒนธรรม ส่องมุมมองจากประเทศเพื่อนบ้านด้านล่างแผ่นดินแม่ มาเล่าสู่กันฟัง

'Spot' ไม่อยากเลี้ยงสุนัขจริง เลี้ยงสุนัขหุ่นยนต์ก็ได้นะ

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เคยเลี้ยงแต่สุนัขที่เห่าโฮ่ง ๆ แต่ในยุค 2020 ถ้าคุณเกิดเบื่อสุนัขตัวเป็น ๆ สามารถมองหาสุนัขหุ่นยนต์มาเป็นเพื่อนรู้ใจได้นะ

นวัตกรรมชั้นเลิศนี้มีชื่อว่า 'Spot' มันเป็นหุ่นยนต์สุนัขที่ถูกพัฒนาจากบริษัทด้านออกแบบวิศวกรรมหุ่นยนต์ Boston Dynamics ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อน แต่ว่าล่าสุดนี้ เจ้า Spot หมาหุ่นยนต์ได้ทำการวางจำหน่ายแล้ว

โดยรายละเอียดความสามารถของเจ้า Spot นั้น มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายเชียวล่ะ สามารถแบกของในน้ำหนักกว่า 14 กิโลกรัมได้ ทนทุกสภาพอากาศ อากาศติดลบกว่า -20 องศาเซลเซียส พี่ก็ทนได้ แถมยังไม่กลัวน้ำ ไม่กลัวฝุ่น ถ้ามีสิ่งกีดขวางมาอยู่รอบข้าง ก็สามารถหลบหลีกได้ เพราะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับวัตถุครอบคลุมแบบ 360 องศา

ที่ผ่านมา เจ้า Spot มักถูกนำไปใช้งานทางการทหารซะเป็นส่วนมาก ประมาณว่าเป็นหน่วยหุ่นยนต์หมาลาดตระเวณ หรือเคยใช้เป็นวิทยุสื่อสารระหว่างหมอกับผู้เข้าจุดคัดกรองตรวจหาโควิด-19 รวมทั้งยังใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรมอีกด้วย 

แต่เร็ว ๆ นี้ ทาง Boston Dynamics ได้เตรียมการจะทำให้เจ้า Spot กลายเป็นสุนัขแสนรู้ประจำบ้าน คอยทำความสะอาดและรักษาความปลอดภัยให้กับบ้าน เจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะ ส่วนราคาเจ้า Spot ก็ไม่มากมายเท่าไรหรอก แค่ 74,5000 เหรียญสหรัฐ หรือราว ๆ 2.3 ล้านบาทเท่านั้นเอ๊งง! 

เอิ่มมม เลี้ยงสุนัขยุค 2020 ต้องมีเงินหลักล้านนะจ้ะ จะบอกห้ายยย!

 

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top