Sunday, 29 June 2025
ค้นหา พบ 49086 ที่เกี่ยวข้อง

สิ้นชื่อ ‘Sergi Mingote’ นักปีนเขาชื่อดัง ประสบอุบัติเหตุในขณะปีนยอดเขาที่สูงเป็นอันดับสองของโลก จบชีวิตลงในวัยเพียง 49 ปี

คอลัมน์ ริมทางถนนคาราโครัมไฮเวย์

เกิดข่าวช็อคกับแวดวงนักปีนเขา เมื่อ Sergi Mingote ยอดนักปีนเขาที่มีชื่อเสียง พลาดประสบอุบัติเหตุขณะขึ้นปีนยอดเขาก็อดวิน ออสเท็น (Godwin Austen) หรือยอดเขาเคทู (K2) ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงเป็นอันดับสองของโลก ส่งผลให้เจ้าตัวเสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน

Sergi Mingote ได้ชื่อว่าเป็นนักปีนเขาที่มีความเชี่ยวชาญในการปีนเขาโดยไม่ต้องใช้ออกซิเจน รวมทั้งเป็นหนึ่งในนักปีนเขาที่เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้นิยมกิจกรรมชนิดนี้อย่างมาก โดยล่าสุด เจ้าตัวได้ขึ้นไปปีนยอดเขา K2 แต่เกิดประสบอุบัติเหตุโดนหินตกใส่ ภายหลังเกิดเหตุ มีเพื่อนนักปีนเขาพยายามช่วยเหลือ แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็เสียชีวิตลง นำความโศกเศร้า และถือเป็นการสูญเสียบุคลากรในแวดวงการนักปีนเขาไปอย่างกระทันหัน

กล่าวถึง Godwin Austen หรือยอดเขา K2 ถือเป็นยอดเขาสูงที่อยู่ในเทือกเขาคาราโคราม (Karakoram) ซึ่งเป็นเทือกเขาสาขาของเทือกเขาหิมาลัย ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อของประเทศปากีสถานและประเทศจีน สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 8,611 เมตร หรือ 28,251.3 ฟุต และได้รับการจัดอันดับว่าเป็นยอดเขาที่มีความสูงเป็นอันดับสองของโลก รองจากยอดเขาเอเวอเรสต์ ที่เป็นหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัยด้วยเช่นกัน


กุลไลล่า

ไกด์สาวชาวไทย​ สะใภ้​ปากี​สถาน จากหัวหิน​พบรักหนุ่มปากีเชื้อสายวาคี อาศัยอยู่เมืองพาสสุ​ ดินแดนเหนือสุดของประเทศปากีสถาน ปัจจุบันเปิดร้านอาหารริมถนนคาราโครัมไฮเวย์​ ถนนที่ได้รับการขนานนามว่าสูงที่สุดในโลก​ หรือเส้นทางสายแพรไหมในอดีต​

คอยต้อนรับแขกที่ผ่านทางมา​ แวะกินอาหารไทย​และชิมชา​ เบเกอรี่ชื่อดัง​ ทางเหนือของปากีสถานได้​ พร้อมให้บริการท่องเที่ยวปากีสถาน​หลังโควิด​-19 ผ่านไป

‘วราวุธ’ กราบขออภัยชาวกรุงเทพฯ ตื่นมาเจอหมอก PM 2.5 เหตุเกิดจากการเผาพื้นที่การเกษตร บวกกับอากาศที่พัดเข้ากรุง เตือน 4 - 5 วันใส่แมสป้องกันทั้งฝุ่น-โควิด สั่งผู้ว่าฯ ห้ามเกษตรกรให้หยุดเผา แนะนำเศษพืชอัดก้อนขาย สร้างรายได้เสริม

ที่รัฐสภา นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งขณะนี้มีจำนวนมากว่า ต้องกราบขออภัยพี่น้องชาว กทม. ที่ตื่นมาแล้วพบกับสภาพอาการที่ขมุกขมัว เนื่องจากตามสภาพอากาศที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้พยากรณ์เอาไว้ว่าในช่วง 4-5 วันจากนี้ไป เป็นช่วงที่ลมค่อนข้างสงบ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ฝาชีครอบในพื้นที่กรุงเทพฯ

และสาเหตุที่มีฝุ่นมากขณะนี้ แม้ปริมาณฝุ่น PM และการใช้รถในกรุงเทพฯ จะลดลง แต่เราได้รับอิทธิพลจากการเผาไหม้ในพื้นที่โล่ง ซึ่งเป็นพื้นที่ทางการเกษตร มาจากทางตอนเหนือ และทิศตะวันออกของกรุงเทพฯ ซึ่งเรื่องทางกระทรวงฯ ได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด ให้สั่งการไปยังเกษตรจังหวัด และเกษตรอำเภอ พร้อมกำชับผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อขอความร่วมมือเกษตรกรไม่ให้เผาเศษพืช เช่น อ้อย ฟางข้าว หากไม่ได้ผลในอนาคตอาจจะต้องมีมาตรการที่เข้มข้นขึ้น

แต่จากการเผาที่เกิดนอกพื้นที่กรุงเทพฯ บวกกับกระแสลม จึงทำให้เกิดสถานการณ์หมอกควันที่ค่อนข้างจะรุนแรงในวันนี้ แต่หากจะดูปริมาณฝุ่น PM สามารถตรวจสอบได้จากแอปพลิเคชั่นที่กรมควบคุมมลพิษได้จัดทำขึ้นมา ก็จะทราบว่าจุดไหนมีปริมาณฝุ่น PM เท่าไหร่

“กราบขออภัยชาวกรุงเทพฯ และขอฝากว่า ช่วงนี้นอกจากช่วงโควิด-19 แล้ว ต้องใส่หน้ากากเพื่อป้องกันการสูดดมเอาควันเข้าไป และลดทำกิจกรรมกลางแจ้ง ทั้งออกกำลังกาย วิ่ง ปั่นจักรยาน ขอให้ใช้หน้ากากป้องกันในช่วง 3-4 วันนี้ และเมื่อพ้นจากช่วงนี้ไปแล้ว และมีลมพัดมาใหม่ปริมาณควันที่เกิดขึ้นก็จะกระจายตัวออกไป

และต้องขอบคุณกรมอุตุฯ ที่พยากรณ์อากาศได้แม่นยำ ทำให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือปัญหาฝุ่นที่จะเกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ได้ ดังนั้นขอให้แต่ละคนติดตามพยาการณ์อากาศในแต่ละวัน ว่าสภาพอากาศในพื้นที่ที่ท่านอยู่เป็นอย่างไร และสภาพอากาศที่เคลื่อนไหวเป็นอย่างไร เพราะจากธรรมชาติบวกกับพื้นที่กรุงเทพฯ มีตึกสูงจำนวนมาก และลมที่พัดเข้ามาจากทั่วสารทิศ จะมาหยุดอยู่ที่กรุงเทพฯ จึงทำให้ฝุ่นที่พัดมาจากต่างจังหวัดมาหยุดอยู่ที่กรุงเทพฯ และไม่ได้กระจายตัวไปไหน” รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ กล่าว

นายวราวุธ กล่าวต่อว่า ในเบื้องต้น หากยังมีฝุ่น PM 2.5 กระทบอยู่มากอาจจะต้องมีการปิดโรงเรียน โดยทางกระทรวงศึกษาได้มอบให้ผู้บริหารสถานศึกษาแต่ละพื้นที่ พิจารณาว่าจะเลื่อนเวลาเปิดเรียน หรือหยุดเรียนชั่วคราวในช่วง 2-3 วันนี้หรือไม่ เพราะหากปิดเรียนก็เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เกิดปัญหาแล้วจึงมาป้องกัน

ในส่วนแต่ละจังหวัดได้มอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ตัดสินใจว่าจะสั่งเกษตรกรห้ามเผา หรือจะออกเป็นนโยบายภาพรวมทั้งประเทศ เป็นสิ่งที่อาจจะแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เพราะแต่ละจังหวัดมีปัญหาจุดกำเนิด PM 2.5 และหมอกควันที่ต่างกัน บางจังหวัดเกิดจากพื้นที่การเกษตร บางจังหวัดเกิดจากพื้นที่ป่า ซึ่งขณะนี้เป็นช่วงเฝ้าระวัง แต่ยังไม่ใช่ช่วงเผาป่า จึงเป็นหมอกควันจากการเผาพื้นที่การเกษตรส่วนใหญ่

“ในอนาคตอาจจะมีนโยบายในการส่งเสริมเกษตรกรนำเศษพืช ทั้งซังอ้อย ซังข้าวโพด ฟางข้าว มาอัดก้อนขายแทนการเผา เพื่อเป็นการสร้างรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง จึงอยากให้เกษตรกรเลือกว่า จะเอาเงิน หรือจะเผาเงินทิ้ง” นายวราวุธ กล่าว

อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์เฟซบุ๊ก ต่อจิ๊กซอว์ขบวนการดิสเครดิต ปล่อยข่าวให้ร้ายสถาบัน เหมือนขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครองในลาว

นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์เฟซบุ๊ก โดยแชร์ข้อความระบุว่า...

วางแผนทำกันเป็นขบวนการ ตีทุกอย่างที่เกี่ยวกับในหลวง ร.9 เพื่อดิสเครดิตพระองค์ท่านให้ด้อยค่าในสายตาเด็กรุ่นใหม่

ลองไล่เรียงดูสิว่ามันวางแผนตีอะไรบ้าง เริ่มด้วยตีเรื่องฝนหลวง ตีเรื่องปลานิล ตีเรื่องโครงการหลวง ตีเรื่องเขื่อน ตีเรื่องโซล่าเซลล์ ตีเรื่องดอยคำ ล่าสุดตีเรื่อง สยามไบโอไซเอนส์

เห็น “จิ๊กซอว์” หรือยัง ? ลองทายกันดูว่าต่อไปพวกมันจะหยิบเอาเรื่องใดมาตีกระทบสถาบันอีก ?

แผนการแบบนี้ทำให้นึกถึงช่วงก่อนที่ลาวจะเปลี่ยนแปลงการปกครองล้มระบอบกษัตริย์ ก็มีการปล่อยข่าวให้ร้ายสถาบันกษัตริย์ของลาวแบบนี้เช่นกัน


ที่มา: เฟซบุ๊ก Fuangrabil Narisroj

โจ ไบเดน ฟิตเต็มร้อย เซ็นคำสั่งประธานาธิบดี ยกเลิกคำสั่งเก่าของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แบบยกแผง ตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำเนียบ รวมถึงการนำอเมริกากลับเข้าเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก และข้อตกลงปารีสอีกครั้ง

สื่ออเมริกันรายงานว่า ประธานาธิบดีป้ายแดง โจ ไบเดน เตรียมใช้อำนาจเต็ม เซ็นคำสั่งประธานาธิบดีในนโยบายเร่งด่วนในการแก้ปัญหา COVID -19 ที่จะอุดช่องโหว่ร้ายแรงในสมัยของทรัมป์ นั่นก็คือ การบังคับสวมหน้ากากอนามัยทั่วประเทศ และยกเลิกคำสั่งประธานาธิบดีของทรัมป์หลายรายการ โดยได้มีการแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ได้ดังนี้

ด้าน COVID -19

- โจ ไบเดน เตรียมออกแคมเปญ 100 Days Masking Challenge รณรงค์ให้ชาวอเมริกันสวมหน้ากากอนามัยทั่วประเทศให้ได้ 100 วัน และออกกฎบังคับให้ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทุกครั้งเมื่อเข้ามาในบริเวณสถานที่ราชการของรัฐบาลกลางสหรัฐ

- ตั้งทีมประสานงานติดตามผลการระบาดของ COVID -19 และนั่นหมายความว่า โจ ไบเดน จะนำทีมเก่าจากหน่วยงานด้านปฏิบัติการป้องกันด้านชีวภาพ ประจำสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ตั้งขึ้นในสมัยบารัค โอบามา แต่ถูกคำสั่งของทรัมป์ให้ย้ายไปรับผิดชอบงานด้านอื่นก่อนเกิดวิกฤติ COVID -19 กลับมานำทีมกู้วิกฤติโรคระบาดตามเดิม

- เซ็นคำสั่งให้สหรัฐกลับไปเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก หลังจากที่ทรัมป์ได้เซ็นยกเลิกการบริจาคเงินให้องค์การอนามัยโลก และถอนสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกเมื่อปี 2020

ด้านเงินช่วยเหลือเยียวยา วิกฤติ COVID -19

- ออกคำสั่งขยายระยะเวลาในการบังคับย้ายบ้าน ยึดทรัพย์ และพักชำระหนี้อสังหาริมทรัพย์ของผู้ที่เดือดร้อนจากพิษวิกฤติ COVID -19 ไปจนถึงเดือนมีนาคม 2021

- ออกคำสั่งให้พักชำระหนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาให้จนถึงเดือนกันยายน 2021

ด้านสิ่งแวดล้อม

- โจ ไบเดน จะเซ็นคำสั่งพาสหรัฐกลับสู่ข้อตกลงปารีส ว่าด้วยเรื่องความร่วมมือในการลดก๊าซคาร์บอนฯ ที่ทรัมป์ได้แหกกระแสโลก เซ็นถอนตัวออกมาในปี 2017 ด้วยเหตุผลว่าต้องการปกป้องอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินในประเทศ

- สั่งระงับโครงการท่อส่งก๊าซระหว่าง แคนาดา - สหรัฐ ที่ชื่อว่า Keystone XL Pipeline ที่มีประเด็นในเรื่องปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและรุกล้ำแหล่งที่อยู่ตามธรรมชาติของสัตว์ป่า เป็นโครงการที่เริ่มต้นก่อสร้างตั้งแต่ปี 2010 แต่ก็ถูก บารัค โอบามา เซ็นระงับโครงการไปก่อนชั่วคราว เนื่องจากมีข้อท้วงติงด้านสิ่งแวดล้อม แต่โครงการนี้กลับมาเดินหน้าใหม่ในสมัยของทรัมป์ที่ต้องการสานต่อโครงการให้เสร็จ แต่เมื่อมาถึงยุคโจ ไบเดน ก็คงต้องพับแผนยาวอย่างน้อยอีก 1 สมัย เพราะเขาจะเซ็นคำสั่งระงับโครงการเพราะเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมแล้วในวันนี้

ด้านสิทธิมนุษยชน

- โจ ไบเดน จะเซ็นคำสั่งให้นับสำมะโนครัวประชากรสหรัฐฯ ใหม่ โดยจะต้องนับรวมประชากรที่ไม่มีเอกสารระบุตัวตน หรือกลุ่มที่เข้าเมืองแบบผิดกฏหมายด้วย ซึ่งทรัมป์เคยเซ็นคำสั่งให้ยกเลิกการนับรวมประชากรกลุ่มนี้เมื่อกลางปี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่งจะมีผลต่องบประมาณช่วยเหลือของรัฐบาลกลางในการบรรเทาสาธารณภัยต่าง ๆ ที่คนกลุ่มนี้จะไม่ได้รับสิทธิ์เพราะตกสำรวจนั่นเอง

- นอกจากนี้ ไบเดน อาจพิจารณางบประมาณเพิ่มเติมในการสนับสนุนให้เกิดสิทธิ และความเสมอภาคภายในองค์กรทั้งภาครัฐ และเอกชน ที่จะครอบคลุมสิทธิ และป้องกันการเลือกปฏิบัติกับ ชนกลุ่มน้อย สตรี และกลุ่มเพศทางเลือก LGBTQ+

ด้านกฏหมายเข้าเมือง

- ชาว Dreamer หรือ กลุ่มเด็ก ๆ ที่ติดตามพ่อ-แม่ ที่ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ได้เฮแล้ว หลังจากที่ทรัมป์ได้เพิกถอนสิทธิ์คุ้มครองกับเด็กกลุ่มนี้ และเตรียมผลักดันออกนอกประเทศ แต่โจ ไบเดน จะให้สภาคองเกรสพิจารณาที่จะให้สิทธิคุ้มครองใหม่ ซึ่งจะทำให้กลุ่ม Dreamer สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นพลเมืองสหรัฐได้ในภายหลังอีกด้วย

- ยกเลิกคำสั่งแบนชาวมุสลิมเข้าเมืองสหรัฐ ซึ่งเป็นนโยบายจากผลพวง “Islamophobia” หรือโรคเกลียดกลัวชาวมุสลิมของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ออกคำสั่งห้ามชาวมุสลิมจากหลายประเทศ อาทิ ซีเรีย อิหร่าน อิรัก ซูดาน ลิเบีย โซมาเลีย ฯลฯ เข้าประเทศ ตั้งแต่ปี 2017 แต่หลังจากนี้ การพิจารณาวีซ่าให้กับประเทศมุสลิมที่เคยต้องห้ามในสมัยทรัมป์ จะกลับมาใหม่อีกครั้ง

- เช่นเดียวกันกับคำสั่งของทรัมป์ ที่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองยกระดับการใช้กฏหมายอย่างเข้มข้นในการจับกลุ่มคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นคำสั่งประธานาธิบดีแรก ๆ ของทรัมป์เมื่อเข้ารับตำแหน่ง ทำให้มีคดีจับกุมคนลักลอบเข้าเมืองในสหรัฐเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเกือบ 40% ซึ่งไบเดน จะเซ็นคำสั่งให้ผ่อนคลายลง ไม่ต้องทุ่มงบประมาณ และเจ้าหน้าที่รัฐไปไล่จับกันถึงขนาดนั้นก็ได้

- นโยบายกำแพงเม็กซิโกของทรัมป์ก็ไม่รอด โดยไบเดน จะเซ็นคำสั่งยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉินในเขตชายแดนทางตอนใต้ ที่ทรัมปืใช้เป็นกลยุทธในการของบไปสร้างกำแพงเม็กซิโกนั่นเอง

สุดท้ายที่จี๊ดกว่านั้นคือ โจ ไบเดน จะเซ็นคำสั่ง ให้ระงับคำสั่งประธานาธิบดีของทรัมป์ที่ได้เซ็นทิ้งทวนก่อนลาตำแหน่งในนาทีสุดท้าย ที่กำลังจะมาไล่ว่าทรัมป์ได้แอบเซ็นอะไรไว้ก่อนไปบ้าง

ที่ไล่เรียงมานี่ยังมีเพียงแค่ส่วนเดียวในมรดกที่ทรัมป์ทิ้งไว้ให้ ซึ่งยังเหลือปัญหาอีกเยอะแยะ ที่ต้องมาตามแก้กันอีกยาว ไม่ว่าจะเป็น ข้อตกลงอิหร่านว่าด้วยเรื่องการยุติการพัฒนานิวเคลียร์ของเตหะราน สนธิสัญญาเปิดน่านฟ้า หรือ สนธิสัญญาจำกัดขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง หรือ Intermediate-Range Nuclear Forces Treaty ที่เซ็นกันมาเนิ่นนานระหว่าง สหรัฐ-รัสเซีย ตั้งแต่สมัยโรนัลด์ เรแกน ก็มาถูกฉีกทิ้งในสมัยของทรัมป์เช่นเดียวกัน

รับรองว่ามีงานรอให้โจ ไบเดน ต้องตามเซ็นถอนคำสั่งของทรัมพ์จนมือเปื่อย มือหงิก กันทีเดียว


แหล่งข่าว

https://www.cbsnews.com/news/biden-executive-orders-watch-live-stream-today-2021-01-20/

https://www.usatoday.com/story/news/politics/2021/01/20/joe-bidens-day-1-orders-reversing-trumps-most-egregious-moves/6641289002/

ธนาคารกสิกรไทย แจ้งผลประกอบการ ปี 2563 กำไร 29,487 ล้านบาท ลดจากปีก่อน 23.86% เหตุตั้งสำรองฯ สูงขึ้นถึง 28% รองรับผลกระทบวิกฤตโควิด-19 ขณะที่ NPL ขึ้นมาอยู่ที่ 3.93% เพิ่มจากปี 2562 ราว 7%

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิสำหรับปี 63 จำนวน 29,487 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนจำนวน 9,240 ล้านบาท หรือ 23.86%

ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ธนาคารและบริษัทย่อยใช้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการพิจารณาสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss: ECL) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 9,536 ล้านบาท หรือ 28.04% ซึ่งเป็นการตั้งสำรองฯ ตั้งแต่ในครึ่งแรกของปี 63 เป็นจำนวนรวม 32,064 ล้านบาท เนื่องจากความไม่แน่นอนในระดับสูงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีผลกระทบที่รุนแรงทั้งในและต่างประเทศ อันเป็นวิกฤตการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในลักษณะนี้มาก่อน รวมทั้งผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการของทางการที่ให้สถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือลูกค้าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ธนาคารและบริษัทย่อยถือปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวกับเครื่องมือทางการเงิน (รวมถึง TFRS 9) ทำให้งบการเงินและอัตราส่วนทางการเงินบางรายการไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับปีก่อน

อย่างไรก็ดี แม้ว่าในครึ่งปีหลังที่มาตรการช่วยเหลือลูกค้าทยอยสิ้นสุดลง ลูกค้ายังสามารถผ่อนชำระได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมทั้งในปลายไตรมาส 4 มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ก็ตาม ธนาคารได้มีการทบทวนประเมินความเพียงพอของสำรองฯ พบว่าการตั้งสำรองฯ ในสามไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่เพียงพอแล้ว ธนาคารจึงพิจารณาตั้งสำรองฯ ในไตรมาส 4 ในระดับที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงสามไตรมาสของปี โดยเมื่อรวมการตั้งสำรองฯ ในปี 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 43,548 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นระดับที่สามารถรองรับความเสียหายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 6,334 ล้านบาท หรือ 6.17% ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ซึ่งเป็นผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย และการปรับลดอัตราเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ทำให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin: NIM) อยู่ที่ระดับ 3.27% สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 11,934 ล้านบาท หรือ 20.65% ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้จากการจำหน่ายหลักทรัพย์ที่ลดลง และค่าธรรมเนียมรับเกี่ยวกับการให้สินเชื่อลดลงจากการเปลี่ยนไปแสดงเป็นรายได้ดอกเบี้ย รวมทั้งค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ลดลงจำนวน 2,733 ล้านบาท หรือ 3.76% ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของประมาณการค่าใช้จ่ายพนักงาน และค่าใช้จ่ายทางการตลาด ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการจัดการหนี้เพิ่มขึ้น

แม้ว่าในไตรมาส 4 ปี 2563 ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ เพิ่มขึ้นจำนวน 3,825 ล้านบาท หรือ 23.26% ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้า ค่าใช้จ่ายทางการตลาด ซึ่งเป็นปกติตามฤดูกาล และค่าใช้จ่ายในกิจกรรมร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) ปี 2563 อยู่ที่ระดับ 45.19%

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 3,658,798 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2562 จำนวน 364,909 ล้านบาท หรือ 11.08% ส่วนใหญ่เป็นการเติบโตของสินเชื่อ สำหรับเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 อยู่ที่ระดับ 3.93% โดยธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งติดตามดูแลคุณภาพสินเชื่อของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างใกล้ชิด ขณะที่สิ้นปี 2562 อยู่ที่ระดับ 3.65%

ด้าน อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 อยู่ที่ระดับ 149.19% โดยสิ้นปี 2562 อยู่ที่ระดับ 148.60% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 อยู่ที่ 18.80% โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 16.13%


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top