Saturday, 28 June 2025
ค้นหา พบ 49086 ที่เกี่ยวข้อง

‘อ.นิด้า’ โพสต์เฟซบุ๊กเรียกสติคนรุ่นใหม่ อย่าหลงเชื่อรัฐบาล ‘ผูกขาด’ สั่งซื้อวัคซีนบ.สยามไบโอไซนส์ ซึ่งเป็นของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว พร้อมเผย ‘แอสตร้าฯ’ เลือก ‘สยามไบโอฯ’ ไม่ใช่รัฐจิ้มเอง

ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว Warat Karuchit ว่า...

คนจำนวนหนึ่ง ที่หลายคนเป็นคนรุ่นใหม่ ควรจะมีความรู้ หาข้อมูลเองได้ แต่กลับไปเชื่อข้อมูลที่มีคนพยายามปั่นตามๆกันว่า รัฐบาลผูกขาด สั่งซื้อวัคซีนกับ บ.สยามไบโอไซนส์ ซึ่งเป็นของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ทั้งๆที่ความจริงคือ

1. "คนขาย ไม่ได้เป็นสยามไบโอไซนส์" :  รัฐบาลสั่งซื้อวัคซีนจาก บ.แอสตร้า เซเนก้า ซึ่งก็ยังต้องสั่งตรงกับทางแอสตร้า จนกว่าบ.สยามไบโอไซนส์ จะผลิตเองได้

2. "แอสตร้า เซเนก้า เลือกสยามไบโอไซนส์เอง" : ไม่ใช่รัฐบาลเลือก รัฐบาลเสนอไปหลายแห่ง แต่ แอสตร้า เซเนก้า เลือกเพียงแห่งเดียว เพราะมีศักยภาพสูงพอจะผลิตได้ เนื่องจากสยามไบโอไซนส์ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเรื่องการผลิตวัคซีน

3. "ผลประโยชน์ต่อสาธารณะ ไม่ใช่ส่วนตัว" : อีกเหตุผลสำคัญที่แอสตร้า เซเนก้า เลือกสยามไบโอไซนส์ เพราะแม้ว่าเป็นบริษัทเอกชน แต่เป็นเอกชนที่ไม่หวังผลกำไร ทำให้ขาดทุนมาตลอด แต่เป็นพระราชปณิธานของในหลวง ร.9 ที่จะสร้างรากฐานทางการแพทย์ โดยมีความคล่องตัวในการบริหารแบบเอกชน ไม่ต้องขึ้นกับนโยบายหรือผู้บริหารภาครัฐ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของ Oxford ผู้คิดค้นวัคซีน ว่าบริษัทที่ผลิตวัคซีนสูตรนี้ ต้องไม่ทำกำไร แต่ก็ไม่ขาดทุน  (No Profit, No Loss) คือต้องขายเท่าทุน เพื่อไม่ให้แพงเกินไป และบริษัทอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ Oxford ร่วมงานกับแอสตร้า เซเนก้า เพราะยอมรับหลักการนี้

ดังนั้นแม้ว่าในเฟสต่อๆไป เมื่อสยามไบโอไซนส์ผลิตวัคซีนเองได้แล้ว รัฐบาลจะสั่งต่อโดยตรงกับสยามไบโอไซนส์ ก็ยิ่งมีแต่ผลดี เพราะได้ราคาเดิม ไม่มีการโก่งราคาแน่นอน และสะดวกรวดเร็วเพราะผลิตในประเทศได้เอง รวมทั้งมีความมั่นคงยั่งยืนในอนาคตอีกด้วย เพราะกลายเป็นเราผลิตวัคซีนได้เองประเทศเดียวในอาเซียน นับเป็นโชคอย่างมหาศาลของคนไทยอย่างไม่รู้จะว่ายังไงอีกแล้ว

ส่วนเงินที่รัฐบาลอุดหนุนสยามไบโอไซนส์เพิ่มเติมห้าร้อยกว่าล้าน ก็ไม่ได้สูญเปล่า เพราะ 1. นำไปพัฒนาศักยภาพในการผลิตให้สูงยิ่งขึ้น รองรับเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตวัคซีนนี้ 2. เงินก้อนนี้ ประชาชนไทยจะได้คืนมาในรูปแบบของวัคซีน ในราคาเท่าทุน เรียกว่ามีแต่ Win-Win

ส่วนใครที่มัวจับผิดเรื่องไม่ต้องมีดอกเบี้ย ผมว่าคุณก็ใจต่ำไปแล้ว อย่างที่บอกว่า เงินทุกบาทของบริษัทนี้ ก็นำมาพัฒนาและผลิตวัคซีนที่อาจช่วยคุณ พ่อแม่ ปู่ย่าตายายคุณได้ เป็นบริษัทไทยที่เราควรภาคภูมิใจและต้องเอาใจช่วยบริษัทนี้ ไม่ใช่หาเรื่องจับผิดด้วยอคติ

เรียกว่าสยามไบโอไซเอนซ์ สถานภาพอาจเป็นเอกชน แต่เป็นบริษัทเอกชนที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ 100% ซึ่งในประเทศไทย (หรือแม้กระทั่งในอาเซียน) ก็คงมีเพียงบริษัทเดียวนี่แหละที่ทำแบบนี้ได้ คือทั้งมีศักยภาพสูงพอ และไม่แสวงหากำไร และนี่ก็เป็นพระวิสัยทัศน์ของคนบนฟ้า เป็นอีกหนึ่งในมรดกที่นับไม่ถ้วนที่พระองค์ทิ้งไว้ให้กับพวกเราทุกคน

ปล. แล้วถ้าจะกล่าวหาว่าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ได้ประโยชน์จากดีลนี้ (ซึ่งไม่มีเลย) ลองกดหาข่าวดู แล้วจะทราบว่าตั้งแต่ครองราชย์มาไม่กี่ปี ในหลวงและพระราชินี ทรงบริจาคพระราชทรัพย์เพื่อการแพทย์ไปแล้วหลายพันล้านบาท ทั้งหมดเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนไทยทั้งสิ้น


ที่มา: เฟซบุ๊ก Warat Karuchit

ประชาชนลุ้นกระทรวงการคลัง ทำโครงการคนละครึ่งเฟสสาม รอบใหม่ช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.64 แย้มหากเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสองยังไม่ดีก็อาจพิจารณาโครงการ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจหมุนเวียนดีขึ้น

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะยังไม่ขยายเวลาหรือเพิ่มจำนวนลงทะเบียนคนละครึ่งเฟสสองออกไป รวมถึงจะไม่มีการเปิดให้ลงทะเบียนรอบเก็บตกเพิ่มเติมด้วย ส่วนการเปิดคนละครึ่งรอบใหม่จะต้องรอฝ่ายนโยบายพิจารณาก่อน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีประชนชนเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยทำโครงการออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดค่าครองชีพในช่วงที่เกิดไวรัสโควิด-19ระบาด

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีข้อเรียกร้องการเปิดลงทะเบียนอีกรอบว่า กระทรวงการคลังจะดูก่อนว่าโครงการคนละครึ่งเฟสสามทำได้หรือไม่ เพราะต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดก่อน รวมทั้งดูเศรษฐกิจในประเทศว่ามีความคึกคักแค่ไหน เบื้องต้นถ้าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสองยังไม่ดีก็อาจพิจารณาโครงการ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจหมุนเวียนดีขึ้น

สำหรับการลงทะเบียนคนละครึ่งรอบใหม่ ล่าสุดยังไม่มีข้อสรุปจากกระทรวงการคลังออกมาว่าจะทำได้หรือไม่ จะต้องรอจบโครงการรอบนี้ 31 มี.ค.63 ก่อน และจึงจะพิจารณาเปิดเพิ่มเติมใหม่ช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.64 ซึ่งกระทรวงการคลังกำลังพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมอีกครั้ง

มติ ครม. ‘เราชนะ’ เมื่อวันก่อนนี้ สร้างข่าวดีสำหรับประชาชนที่เดือดร้อนจากวิกฤตไวรัสโควิด 19 ‘เราชนะ’ หรือจะ ‘ไทยชนะ’ นั้นหมายถึงคนไทยทุกกลุ่ม ทุกภาคส่วนต้องชนะไปด้วยกัน

มติ ครม. ‘เราชนะ’ เมื่อวานนี้สร้างข่าวดีสำหรับประชาชนที่เดือดร้อนจากวิกฤตไวรัสโควิด 19 ‘เราชนะ’ หรือจะ ‘ไทยชนะ’ นั้นหมายถึงคนไทยทุกกลุ่ม ทุกภาคส่วนต้องชนะไปด้วยกัน แต่ในวันนี้ยังเหลือประชาชนอีก 1 กลุ่มที่กำลังรอความช่วยเหลือจากภาครัฐคือ กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ SME ที่เป็นรากฐานเศรษฐกิจของประเทศ

วทันยา วงษ์โอภาสี สส.พรรคพลังประชารัฐ เผยว่า “พ.ร.ก. สินเชื่อ ซอฟท์โลน 500,000 ล้านบาทที่สภาอนุมัติไปเพื่อช่วยเอสเอ็มอีเมื่อตอนเกิดโควิด 19 รอบแรก ครั้งนั้นเดียร์เองก็ได้มีโอกาสอภิปรายถึงปัญหาของเงื่อนไขที่ ธปท. ออกเงื่อนไขใน พ.ร.ก. ที่มีแนวโน้มไม่สามารถปฏิบัติได้จริง แต่ด้วยความเร่งด่วนของ ธปท. ที่ต้องแก้ปัญหาจากการแพร่ระบาดโควิดที่วันนั้นเราไม่ทันตั้งตัว และไม่เคยมีประสบการณ์จึงเข้าใจได้ถึงข้อจำกัดที่เกิดขึ้น ซึ่งวันนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าจากวงเงินสินเชื่อ 500,000 ล้านบาทนั้นถูกนำไปใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยได้เพียง 123,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 24.6% เท่านั้นซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย

“ดังนั้นในวันนี้ที่เราเห็นถึงข้อจำกัดของผู้ประกอบการ SME ในการเข้าถึงสินเชื่อโครงการ จึงอยากเสนอให้ ธปท. และ กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนมาตรการต่างๆ

1. ให้ยืดหยุ่นเพดานดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์นำมาปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการจากเดิมที่กำหนดไว้ 2% เพื่อสร้างแรงจูงใจที่เพียงพอให้ธนาคารพาณิชย์นำสินเชื่อจากโครงการมาปล่อยกู้ให้ผู้ประกอบการ

2. ใน พ.ร.ก. ฉบับเดิมมาตรา 10 ที่กำหนดให้สถาบันการเงินชำระคืนเงินกู้ให้ ธปท. พร้อมดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ได้รับเงินภายใน 2 ปี อาจเป็นระยะเวลาที่กระชั้นชิดเกินไม่สะท้อนความจริง ดังนั้นระยะเวลาที่ธนาคารพาณิชย์ต้องชำระคืนเงินกู้ให้ ธปท. ควรขยายระยะเวลาออกไปเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพธุรกิจที่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว

3. ให้พิจารณาการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆใหม่ให้สอดคล้องตามความจำเป็นจากเดิมที่ ธปท. มีคำสั่งให้งดเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมทุกประเภท

4. ยกเลิกวงเงินที่ให้กู้ยืมจากเดิมที่กำหนดวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 20% ของมูลหนี้ที่ผู้ประกอบการมีอยู่กับธนาคารพาณิชย์ในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 เพราะการกำหนดวงเงินกู้ดังกล่าวเป็นอุปสรรคทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถได้จำนวนเงินที่เพียงพอเพื่อมาพยุงธุรกิจของตนเอง

5. นอกจากนี้อีก 1 สาระสำคัญใน พรก. สินเชื่อซอฟท์โลน 500,000 ล้านบาทนั้นคือ มาตรการชะลอการชำระหนี้ ที่วันนี้ผู้ประกอบการต่างเรียกร้องให้ทบทวนถึงการพักชำระหนี้อย่างแท้จริง คือขอให้มีการพักชำระหนี้เดิมและระงับการคำนวณดอกเบี้ยในระหว่างที่พักชำระหนี้

อย่างไรก็ตามการปรับปรุง พ.ร.ก. นั้น ก็เป็นเพียงการบรรเทาปัญหาเบื้องต้นเพื่อช่วยให้ SME สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น แต่ในความเป็นจริงคนที่เดือดร้อนจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบตั้งแต่แรกเสียด้วยซ้ำ หรือหลายรายที่ธุรกิจเริ่มประสบปัญหาจากพิษไวรัสโควิด19 ในวันนี้ก็ไม่อยู่ในความสามารถที่จะกู้ธนาคารเพิ่ม และธนาคารเองก็ต่างรัดเข็มขัดในการปล่อยสินเชื่อ

ในวันนี้สิ่งสำคัญที่สุดที่ภาครัฐจะต้องเร่งแก้ปัญหาเพื่อเยียวยา คือการหามาตรการรูปแบบเครื่องมือทางการเงินทุกวิถีทาง เช่น การจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ไม่สามารถเข้าเงื่อนไขการขอสินเชื่อจากธนาคาร เพื่อสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เดือดร้อนได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจ SME ที่วันนี้เปรียบเสมือนรากฐานเศรษฐกิจของประเทศที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการกว่า 5 ล้านราย ก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 14 ล้านคน เพื่อที่สุดท้ายแล้วเราทุกคนจะชนะไปด้วยกัน

21 มกราคม วันกอดสากล วันที่ชวนทุกคนมาแสดงความรักต่อกันด้วยการกอด วันนี้มีประวัติมายาวนานกว่า 34 ปีแล้ว

กอดใครครั้งสุดท้ายเมื่อไรครับ? บางคนเมื่อวาน บางท่านบอกแทบจำไมได้ว่าเคยเกิดขึ้นเมื่อไร เอาเป็นว่า กอดได้กอดกันในวันนี้เลยแล้วกัน เพราะวันนี้เป็นวันพิเศษที่เรียกกันว่า ‘วันกอดสากล’ หรือ National Hug Day

วันกอดสากลเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1986 หรือเมื่อ 34 ปีก่อน โดยบาทหลวงนามว่า เควิน ซาบอร์นีย์ ที่อาศัยอยู่ในรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา เขาเห็นว่า ชาวอเมริกันอยู่ในสังคมที่ไม่ค่อยแสดงความรักต่อกันในที่สาธารณะ จึงพยายามรณรงค์ให้มีการกอดกัน 1 วันในทุก ๆ ปี โดยเลือกช่วงเดือนมกราคมที่เป็นฤดูอันหนาวเหน็บ และกำหนดให้ วันที่ 21 มกราคม เป็นวันแห่งการกอด นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1986 เป็นต้นมา

ต่อมาการรณรงค์นี้ ก็ถูกเผยแพร่ออกไป เริ่มจากในเมืองคาโร แห่งรัฐมิชิแกน (ที่บาทหลวงอาศัยอยู่) ได้ขยายออกไปในวงกว้าง จากเมืองสู่รัฐ จากรัฐสู่ประเทศ จนกลายเป็นว่า มีประเทศนอกเหนือจากสหรัฐอเมริกา อาทิ แคนาดา เยอรมนี จอร์เจีย อังกฤษ ออสเตรเลีย บัลแกเรีย ฯลฯ ต่างกำหนดให้วันที่ 21 มกราคม เป็นวันกอดสากลเช่นเดียวกัน

วันกอดสากลนี้ กอดกันได้ทั้งเพื่อน คนรัก สัตว์ และสมาชิกในครอบครัว ที่ผ่านมาเคยมีผลการศึกษามากมาย ส่วนใหญ่ต่างระบุตรงกันว่า การสัมผัสร่างกายกันของมนุษย์ จะช่วยส่งเสริมให้อารมณ์และสุขภาพจิตดีขึ้น โดยเฉพาะ ‘การกอด’ ที่ช่วยพัฒนาทางด้านจิตใจ มากไปกว่านั้น ยังช่วยระบบย่อยอาหาร ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ รู้อย่างนี้แล้ว วันนี้รีบมองหาคนกอดกันดีกว่าครับ!

กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้ายุทธศาสตร์ ตลาดนำการผลิต ส่งทัพการ์ตูนคาแรกเตอร์ - แอนิเมชันไทย เจาะตลาดญี่ปุ่น ปูทางขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ของไทยได้รับความนิยมมากขึ้นในตลาดญี่ปุ่นประกอบด้วยนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ในการเดินหน้ายุทธศาสตร์ "ตลาดนำการผลิต”และแผนงานการพัฒนาศักยภาพทางการตลาดให้กับการบริการและอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ สำนักพัฒนาและส่งเสริมธุรกิจบริการ ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว"

ได้จัดโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการรับรู้คาแรกเตอร์การ์ตูนและแอนิเมชันของไทย (Cartoon Characters & Animation) ในเขตพื้นที่ภายในกรุงโตเกียวและนอกเขตกรุงโตเกียว หรือโครงการ Thai Cartoon Project ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เดือนกันยายน 2564 โดยเปิดรับสมัครผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ 11 - 27 มกราคม 2564 เพื่อส่งเสริม Thai Licensing Character และ Animation ไทย

โดยในปี 2564 มีกิจกรรมจัดขึ้นภายใต้โครงการฯ ดังกล่าว อาทิ การจัดกิจกรรม Pop up Exhibition เพื่อจัดแสดงคอนเทนท์และสินค้าการ์ตูนคาแรคเตอร์ไทย ในโตเกียว 1 แห่ง และเมืองรอง 1 แห่ง การกิจกรรมประชาสัมพันธ์โครงการและคาแรคเตอร์ไทยผ่านสื่อออนไลน์ เช่น สื่อ SNS (Instagram /Twitter @thaicharatokyo) และสื่อสิ่งพิมพ์ เพื่อเผยแพร่คอนเทนท์ การ์ตูนคาแรคเตอร์ไทยเป็นภาษาญี่ปุ่นเพื่อให้เข้าถึงชาวญี่ปุ่นได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้ง กิจกรรมพิเศษต่างๆ เช่น การวาดภาพสด (Live Drawing) ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อเป็นเวทีให้ผู้ประกอบการการ์ตูนคาแรคเตอร์ไทยได้พบปะกับชาวญี่ปุ่นโดยตรง

สำหรับ โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการรับรู้ Cartoon Characters และ Animation ไทย ได้จัดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 5 ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้อุตสาหกรรม Digital Contents ซึ่งรวมถึง Cartoon Characters และ Animation ไทยในประเทศญี่ปุ่น เป็นการ

ปูทางในการบุกเบิกตลาด เนื่องจากมีกลุ่มชาวญี่ปุ่นที่ชื่นชอบการ์ตูนคาแรคเตอร์ไทยติดตามโครงการผ่านสื่อ SNS เพิ่มขึ้นทุกปี และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นหนึ่งในโครงการของกรมฯ ที่เปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการการ์ตูนคาแรคเตอร์ไทยได้เข้าตรงถึงตลาดกลุ่มเป้าหมาย เพื่อขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top