Saturday, 28 June 2025
ค้นหา พบ 49086 ที่เกี่ยวข้อง

รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ ร้องนายกฯ ประชาชนจำเป็นต้องใช้เงิน จี้เปลี่ยนการเยียวยาเป็นเงินสด ชี้ เหตุผลของรัฐบาลเหมือนอยู่คนละโลกกับความจริง แนะปรับวงเงินแบงก์ชาติ 9 แสนล้าน ช่วย SMEs ให้รอด

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ได้ออกมาตรการเยียวยา เราชนะ ผ่าน ครม. ให้เยียวยาประชาชน เดือนละ 3,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน แล้วนั้น

นอกจากจำนวนเงินจะน้อยไป เพราะแค่วันละ 117 บาท เท่านั้น และระยะเวลาสั้นไปเพราะไม่น่าจะควบคุมสถานการณ์และกลับมาเป็นปกติได้ใน 2 เดือนแน่ แล้วรัฐบาลยังกำหนดว่า จะไม่จ่ายเป็นเงินสดแต่จะจ่ายเข้าบัญชีและเบิกเงินสดไม่ได้ นำไปใช้จ่ายได้แบบโครงการคนละครึ่งเท่านั้น ซึ่งสร้างความไม่พอใจกับประชาชนเป็นจำนวนมาก

เพราะในภาวะที่ลำบากกันอย่างมากนี้ ประชาชนมีความจำเป็นต้องใช้เงินสดในหลายกรณี ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้เร่งปรับเปลี่ยนการจ่ายเยียวยาให้กับประชาชนให้เป็นเงินสดเพื่อบรรเทาความลำบากของประชาชน

นายพิชัย กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ข้ออ้างของรัฐบาลฟังแล้วเหมือนอยู่คนละโลกกับความเป็นจริงที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนกันอย่างมาก การที่ไม่ให้เบิกเงินสดโดยอ้างว่า กลัวประชาชนจะไปซื้อ ลอตเตอรี่ เหล้า บุหรี่ บ้าง กลัวไวรัสโควิด จะติดมากับเงินสดบ้าง กลัวจะไปใช้จ่ายเอื้อประโยชน์กิจการของเจ้าสัวบ้าง (ซึ่งเรื่องที่เอื้อประโยชน์จำนวนมากกลับไม่พูดถึง) อีกทั้งยังจะจ่ายสัปดาห์ละ 1,000 บาท ติดต่อกัน 7 สัปดาห์ กลัวว่า ประชาชนจะใช้เงินหมดเร็ว ซึ่งคิดเหมือนประชาชนไม่มีปัญญาจะบริหารจัดการตัวเองได้

นอกจากนี้ แทนที่จะแจกประชาชนที่กำลังลำบากอย่างทั่วถึง กลับต้องให้ลงทะเบียนผ่านมือถืออีก โดยประชาชนจำนวนมาก ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ พอถูกถามเรื่องนี้ รัฐบาลกลับบอกว่า จะมีการติดต่อบริษัทให้มาจำหน่ายโทรศัพท์มือถือให้ในราคาพิเศษ ให้กับคนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือสามารถซื้อเพื่อลงทะเบียนเข้าโครงการได้ ซึ่งต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้อมือถือที่หลายคนโดยเฉพาะผู้สูงอายุอาจจะไม่มีความจำเป็นต้องใช้ และยังต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นแบบไม่สมเหตุสมผล

รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า โดยทั้งหมดนี้ ดูเหมือนรัฐบาลกำลังสับสน ทั้งที่คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยได้เตือนรัฐบาลแล้วว่าให้คิดให้ดี คิดให้ครบกรอบ ก่อนที่จะออกมาตรการ อย่าทำแบบ “ทราบแล้วเปลี่ยน” ที่ต้องเปลี่ยนแปลงแนวทางหลายหนเพราะถูกตำหนิมาโดยตลอด

แต่อย่างไรก็ดี เรื่องนี้อยากให้รัฐบาลเร่งเปลี่ยนแปลงเป็นการจ่ายเป็นเงินสด เพื่อให้ช่วยประชาชนได้ตรงตามความจำเป็นของประชาชนมากกว่า โดยที่รัฐบาลก็ต้องจ่ายเงินจำนวนนี้อยู่แล้ว ไม่เข้าใจใจว่าจะไปกำหนดให้ประชาชนยุ่งยากเพิ่มขึ้นทำไม กลายเป็นรัฐบาลที่แจกเงินประชาชนแต่กลับโดนประชาชนด่ามาตลอด

นายพิชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ การที่รัฐบาลและ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการปล่อยกู้ช่วยเหลือ ธุรกิจ SMEs ให้สะดวกขึ้นง่ายขึ้น ในวงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่ปล่อยไปได้เพียง แสนกว่าล้านบาทเท่านั้น แต่ยังมีธุรกิจ SMEs อีกเป็นจำนวนมากยังต้องการความช่วยเหลือ นับเป็นเรื่องที่ดี และอยากให้เร่งดำเนินการ และอยากให้มีการเพิ่มวงเงินช่วยเหลือธุรกิจ SMEs เพิ่มเติมหากจำเป็น

โดยอยากให้รัฐบาลได้ปรึกษากับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการเปลี่ยนวงเงิน 4 แสนล้านเดิม ที่วางแผนจะซื้อพันธบัตรของเอกชน แต่ตอนนี้เชื่อว่าคงยกเลิกแผนการซื้อพันธบัตรของเอกชนนี้ไปแล้วเพราะถูกคนคัดค้านกันมาก ได้ปรับเปลี่ยนวงเงิน 4 แสนล้านบาทดังกล่าวมาเป็นการช่วยเหลือธุรกิจ SMEs แทน ซึ่งเชื่อว่าธุรกิจ SMEs จำนวนมากยังต้องการความช่วยเหลือ ที่จะประคองตัวให้ผ่านภาวะวิกฤตินี้ไปได้ และจะสามารถฟื้นกลับมาได้อีกครั้งหลังจากเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นกลับมาได้

ทั้งนี้ต้องเลือกด้วยว่าธุรกิจไหนสามารถจะฟื้นได้ โดยรัฐอาจจะต้องเข้าไปรับผิดชอบในหนี้เสียที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่เชื่อว่าคงไม่มากนักหากเศรษฐกิจฟื้นกลับมา และ สามารถเลือกSMEs ที่จะไปรอดให้ดี นอกจากนี้รัฐบาลน่าจะต้องมีโครงการการรักษาการจ้างงานควบคู่กับการช่วยเหลือด้วย เพื่อป้องกันคนจะตกงานเป็นจำนวนมาก ในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่เช่นนี้ โดยรัฐบาลอาจจะสนับสนุนการจ้างงานบางส่วน

"ในภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ทรุดหนักเช่นนี้ และยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นได้ รัฐบาลจะต้องเปิดใจรับฟังความเห็นทุกทางเพื่อนำมาพิจารณาปรับปรุงแก้ไขการบริหารประเทศของรัฐบาล อย่ามีอคติคิดว่าจะเป็นการตำหนิ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลต้องยอมรับก่อนว่าการบริหารของรัฐบาลล้มเหลวมาโดยตลอด กรอบคิดของรัฐบาลมีปัญหา หากมองย้อนหลังด้วยใจเป็นธรรม จะพบว่าทุกเรื่องที่ผมได้เตือนมาเป็นความจริงมาโดยตลอดและเป็นไปตามหลักการทางเศรษฐศาสตร์ หากรัฐบาลจะเปิดใจรับฟังและนำไปปรับปรุงน่าจะช่วยได้มาก ซึ่งตอนนี้ก็ควรจะนึกได้แล้วเละควรฟังคำแนะนำของทุกฝ่ายมากขึ้น ก่อนประเทศจะย่ำแย่ไปกว่านี้" นายพิชัย กล่าว

‘แจ็ค หม่า’ ปรากฏตัวผ่านวิดิโอลิงก์ครั้งแรกหลังโดนข่าวลือหนัก พร้อมทิ้งปริศนา จะกลับมาอีกครั้งหลังโควิด-19 จบลง

ทันทีที่มีการนำเสนอคลิปวิดิโอของอภิมหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของจีน แจ็ค หม่า ที่คนทั้งโลกกำลังตามหาว่าเขาหายไปไหน ก็กลายเป็นข่าวด่วนไปทั่วโลกว่า แจ็ค หม่า กลับมาแล้ว หลังจากที่เขาหายไปนานเกือบ 3 เดือน ตั้งแต่เกิดเรื่องระงับ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ จนอาจนำไปสู่การตรวจสอบบริษัท Alibaba ทั้งเครือข่าย

ล่าสุด มีการนำเสนอคลิปวิดิโอสั้น ผ่านทางสำนักข่าว Tianmu News ที่เป็นสำนักข่าวท้องถิ่นของรัฐบาลมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเป็นมณฑลบ้านเกิดของ แจ็ค หม่า และที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ Alibaba ได้ออกมาแสดงความยินดีกับครูชนบทดีเด่น 100 คนที่ได้รับรางวัล Jack Ma Rural Teachers Award ในปีนี้ ซึ่งเป็นรางวัลที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิ แจ็ค หม่า และจัดต่อเนื่องมาทุกปี จนถึงปี 2021 นี้เป็นปีที่ 6 แล้ว

อย่างที่ทราบกันดีว่า แจ็ค หม่า เคยเป็นครูสอนภาษาอังกฤษมาก่อนที่จะผันตัวเองเข้ามาอยู่ในธุรกิจ e-Commerce และกลายเป็นอาณาจักรธุรกิจ Alibaba ที่ยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน แต่แจ็ค หม่า ยังคงรัก และสนับสนุนอาชีพครู เท่าที่เขาทำได้ และ รางวัล Jack Ma Rural Teachers Award ก็เป็นหนึ่งในโครงการของเขา ซึ่งจัดมอบรางวัลที่เมืองซานย่า ในเกาะไหหลำทางตอนใต้ของจีนตั้งแต่ปี 2015

ในคลิปวิดีโอ แจ็ค หม่า ได้กล่าวแสดงความยินดีกับครูผู้ได้รับรางวัล และบอกว่า เขาจะกลับมาพบทุกคนแน่นอนหลังจากที่โรคระบาด Covid-19 สิ้นสุดลง และยังมีภาพแจ็ค หม่า ไปเยี่ยมโรงเรียนประถมในเมืองหังโจว บ้านเกิดตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม เพื่อบอกให้รู้ว่าเขาสบายดี ไม่ได้หายไปไหน

แต่ก็ยังมีข้อสงสัยว่า นี่อาจเป็นคลิปเก่าที่อัดไว้นานแล้ว ตัวแจ็ค หม่า จะยังอยู่ที่เมืองหังโจว อยู่หรือไม่ ก็ไม่มีใครยืนยันแน่ชัด และยังคงต้องรอจนกว่าแจ็ค หม่า จะพร้อมออกสื่อให้ได้เห็นตัวเป็น ๆ ซึ่งก็อาจจะต้องรอจนกว่า Covid-19 จะหมดอย่างที่เขาพูดไว้ก็เป็นได้


แหล่งข่าว

https://edition.cnn.com/.../jack-ma-appearance.../index.html

https://www.globaltimes.cn/page/202101/1213348.shtml

กสทช. จับมือกับ อย. กวาดล้างโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมถั่งเช่า ซึ่งใช้บุคคลในแวดวงบันเทิงเป็นพรีเซนเตอร์ จัดฉากลวงโลกว่าผลิตภัณฑ์ถั่งเช่าดังกล่าวสามารถรักษาได้หลายโรค โดยกสทช. ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง

พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า กสทช. ได้จับมือกับคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อร่วมกันกวาดล้างการโฆษณาให้สิ้นซาก โดยเฉพาะการโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมถั่งเช่าซึ่งใช้บุคคลในแวดวงบันเทิงเป็นพรีเซนเตอร์

จัดฉากลวงโลกว่าผลิตภัณฑ์ถั่งเช่าดังกล่าวสามารถรักษาได้หลายโรค เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตและโรคเรื้อรังต่างๆ มีนักแสดง แสดงเป็นผู้ป่วยอาการหนักแต่เมื่อรับประทานผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว กลับมาหายป่วยได้อย่างมหัศจรรย์ ทาง กสทช.ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องนี้

เภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการ อย.กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ถั่งเช่าที่ อย.อนุญาตมี 2 กลุ่ม คือ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือ ยาแผนโบราณ และผลิตภัณฑ์อาหารที่มีถั่งเช่าเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นการโฆษณาว่า ผลิตภัณฑ์ถั่งเช่าสามารถรักษาได้สารพัดโรค จึงเป็นการโฆษณาที่โอ้อวดเกินจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท โดยในปี 2563 อย.ได้ดำเนินคดีโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารทางสื่อต่างๆไปแล้ว 1,388 คดี ดังนั้น อย.จึงขอเตือนไปยังผู้ป่วย ผู้สูงอายุ อย่าหลงเชื่อโฆษณาเหล่านี้เด็ดขาด

ทั้งนี้นอกจากการโฆษณาถั่งเช่าแล้ว ยังพบว่า มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเกี่ยวกับดวงตาที่อ้างว่ารักษาโรคตาได้หลายชนิดทั้งโรคต้อ กระจกตาเสื่อม สายตาสั้น-ยาว ตาแห้ง เคืองตา แสบตา เพียงแค่รับประทานอาหารเสริมเหล่านี้

ทาง กสทช.ได้สอบถามไปยังราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แล้ว ชี้ชัดว่า ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นไม่สามารถรักษาโรคตาได้

‘หมอวรงค์’ ประกาศตั้งพรรค "ไทยภักดี" รวบรวมเครือข่ายผู้จงรักภักดี มีภารกิจสำคัญปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ให้ถูกรังแกจากผู้ไม่หวังดี ประกาศสู้กับพรรคก้าวไกล กลุ่มก้าวหน้า และม็อบสามนิ้ว

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แถลงข่าวการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ ชื่อพรรคไทยภักดี ผ่านเพจ ไทยภักดี ประเทศไทย และเพจ Warong Dechgitvigrom มีเป้าหมายเพื่อพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องด้วยที่ผ่านมา มีกลุ่มคนไม่หวังดีต้องการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่องพร้อมส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งต่อไปทุกพื้นที่ทุกเขตทั่วประเทศ

นพ.วรงค์ เปิดเผยว่า การเปิดตัวพรรคการเมืองใหม่ ชื่อพรรคไทยภักดี วันนี้ เกิดขึ้น 5 เดือนหลังจากที่เปิดตัว "กลุ่มไทยภักดี" เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2563 ซึ่งจุดประสงค์กลุ่มขณะนั้น เพื่อเป็นองค์กรกลางในการรวบรวมประชาชนผู้ภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

"การรวมเป็นกลุ่มไม่เพียงพอ จุดยืนเราชัดเจน เราจะสู้กับ 3 กลุ่มนี้ เราจะสู้กับพรรคก้าวไกล กลุ่มก้าวหน้า ม็อบสามนิ้ว นี่คือจุดยืนที่ชัดเจนของการประกาศจัดตั้งพรรคไทยภักดี" นพ.วรงค์กล่าว

ทั้งนี้ การจัดตั้งพรรคอยู่บนพื้นที่ฐานความเชื่อว่า สังคมไทยจะดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ร่วมกับนักการเมืองที่มีคุณธรรม แม้เราจะมีสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่นักการเมืองไม่มีคุณธรรม ประเทศชาติก็วุ่นวาย

นพ.วรงค์ กล่าวว่าพรรคไทยภักดีมีเป้าหมายไม่ต่างจากกลุ่มไทยภักดี คือ การใช้กฎหมายรวมทั้งกฎหมายอาญามาตรา 112 ดำเนินคดีกับผู้จาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ และนำความจริงบอกกับประชาชน ซึ่งเจตนาของการตั้งพรรคการเมืองเพื่อต้องการมีเครือข่ายให้ครอบคลุมไปทั่วประเทศ เนื่องจากหากต่อสู้ในนามกลุ่มแม้จะคล่องตัวแต่มีข้อจำกัด

พรรคไทยภักดีตั้งใจจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในทุกเขตทั่วประเทศในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนดำเนินการจัดตั้งพรรคการเมืองกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งยังต้องใช้ระยะเวลาหลายเดือน

สำหรับโครงสร้างของพรรคไทยภักดี นพ.วรงค์ จะยังเป็นรักษาการหัวหน้าพรรค จนกว่าจะมีการประชุมใหญ่อย่างเป็นทางการ และขอไม่เปิดเผยรายชื่อว่าที่กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) พรรค ในตอนนี้ แต่ยืนยันว่าประกอบไปด้วยบุคคลมากหน้าหลายตา

สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ควบคุมสินค้า หน้ากากอนามัย ถุงมือสำหรับใช้ทางการแพทย์ น้ำเย็น เครื่องเล่นสนามสาธารณะ ยกระดับจากมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ภาคทั่วไป เป็นภาคบังคับ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) ได้มีมติเห็นชอบให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ควบคุมสินค้า 7 รายการ คือ หน้ากากอนามัย ถุงมือสำหรับใช้ทางการแพทย์ น้ำเย็น เครื่องเล่นสนามสาธารณะ ทั้งชิงช้า กระดานลื่น ม้าหมุน และอุปกรณ์โยก ยกระดับจากมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือมอก. ภาคทั่วไป ไปเป็นมอก. ภาคบังคับ เพื่อให้ผู้ผลิต และผู้นำเข้าทุกราย จะต้องจำหน่าย หรือนำเข้าสินค้าที่มีตราสัญลักษณ์มอก.ภาคบังคับเท่านั้น

ทั้งนี้ในการออกมาควบคุมมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมครั้งนี้ เป็นเพราะในปัจจุบันที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ผู้ประกอบการได้นำหน้ากากอนามัย และถุงมือสำหรับใช้ทางการแพทย์ออกมาขายเป็นจำนวนมาก และพบว่า มีสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานปะปนอยู่ในท้องตลาดเป็นจำนวนมาก ส่งผลต่อความปลอดภัยของประชาชนที่ซื้อไปใช้

ขณะเดียวกันได้เห็นชอบมาตรฐานอื่นๆ อีกรวม 76 มาตรฐาน เช่น มาตรฐานอุปกรณ์ป้องกันดวงตาและใบหน้าสำหรับป้องกันหยดและละอองของเหลว หรือเฟสชิลด์ ผ้าป้องกันแบคทีเรีย ยางล้อรถยนต์และยางล้อจักรยานยนต์ เสื้อชูชีพ อาหารกระป๋อง หัวฝักบัวอาบน้ำ สายฝักบัวอาบน้ำ และเครื่องสำอางด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top