Saturday, 28 June 2025
ค้นหา พบ 49077 ที่เกี่ยวข้อง

บทความแปลจาก Reporter Journey นี้ เป็นการคัดบางส่วนจากบทความต้นฉบับของ BBC (ประเทศอังกฤษ) โดยบทความดังกล่าว เล่าถึงกระบวนการตั้งแต่เริ่มต้นการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่วันแรก

บทความแปลจาก Reporter Journey นี้ เป็นการคัดบางส่วนจากบทความต้นฉบับของ BBC (ประเทศอังกฤษ) โดยบทความดังกล่าวที่หยิบยกมาชื่อว่า “Oxford-AstraZeneca vaccine: Bogus reports, accidental finds – the story of the jab.” ที่เล่าถึงกระบวนการตั้งแต่เริ่มต้นการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่วันแรก ผ่านผู้ที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนจริง ๆ การเผชิญหน้ากับปัญหาและความยากลำบากจริง ๆ รวมทั้งการทดสอบวัคซีนกับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเขียนไว้อย่างละเอียด

ซึ่งประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในบทความนี้คือ คำพูดของทาง Sir Mene Pangalos รองประธานบริหารของ AstraZeneca หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 รายใหญ่ของโลก ที่ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง BBC อังกฤษ ถึงข้อตกลงในการผลิตวัคซีนที่คิดค้นและวิจัยโดย Oxford มหาวิทยาลัยชื่อดังอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในความหวังของการมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรค

สำหรับเส้นทางการทดสอบวัคซีนของ Oxford นั้นจากเดิมที่มีการวิจัยและทดสอบกันในโรงงานของสถาบันฯ ซึ่งมีขนาดที่เล็กมากและกำลังการผลิตน้อย จึงไม่สามารถรองรับความต้องการได้ ทีมวิจัยจึงตัดสินใจที่จะจ้างการผลิตบางส่วนไปยังอิตาลี แต่เมื่อตัวอย่างวัคซีนชุดแรกพร้อมจะผลิตก็เกิดปัญหาขึ้น จากการปิดตายการเดินทางทั่วยุโรป นั่นหมายความว่าไม่มีเที่ยวบินพาณิชย์ใดที่จะขนส่งไปกรุงโรม ประเทศอิตาลีได้

ในที่สุดทีมวิจัยจึงต้องเช่าเหมาเครื่องบินเพื่อนำวัคซีน 500 โดสไปผลิต เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะได้รับวัคซีนนี้ทันเวลา ซึ่งนี่เป็นส่วนที่สำคัญมากของเรื่องราวการเริ่มต้นขยายปริมาณวัคซีนให้มากขึ้นในหลายเดือนให้หลังจากนั้น โดยผู้ผลิตชาวอิตาลีใช้เทคนิคที่แตกต่างกันใน Oxford เพื่อตรวจสอบความเข้มข้นของวัคซีนว่า มีอนุภาคไวรัสจำนวนเท่าใดเจือปนอยู่ในแต่ละครั้ง เมื่อนักวิทยาศาสตร์ของ Oxford ใช้วิธีการของพวกเขาปรากฏว่า วัคซีนของอิตาลีมีความเข้มข้นขึ้น 2 เท่า!!

ทั้งนี้มีการพูดคุยไปยังหน่วยงานกำกับดูแลทางการแพทย์ เป็นที่ตกลงกันว่าอาสาสมัครควรได้รับวัคซีนเพียงครึ่งเดียวโดยพิจารณาว่า นี่เป็นเรื่องของความปลอดภัยต่อผู้ทดสอบ และการให้น้อยลงคงปลอดภัยมากกว่าที่จะให้โดสเข้มข้นมากเกินไป แต่หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์นักวิทยาศาสตร์ก็ตระหนักว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น อาสาสมัครไม่ได้รับผลข้างเคียงตามปกติ เช่น เจ็บแขนหรือมีไข้ อาสาสมัครประมาณ 1,300 คนได้รับวัคซีนเพียงครึ่งเดียวแทนที่จะเต็ม 1 เข็ม หน่วยงานกำกับดูแลอิสระกล่าวว่าการทดลองควรดำเนินต่อไปและกลุ่ม Half-Dose สามารถอยู่ในเคสการศึกษาได้

ในตอนนั้นทีมวิจัยของ Oxford ยอมกัดฟันเมื่อมีข้อเสนอแนะว่าการให้วัคซีนในสูตรของ Oxford อาจจะไม่มีประสิทธิภาพเข้มข้น แต่มันได้รับการพิสูจน์ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าว่า พวกเขาคือกลุ่มดาวเด่นในแง่ของประสิทธิภาพของวัคซีน

ตั้งแต่เริ่มต้นทีมงานของ Oxford มีเป้าหมายในการสร้างวัคซีนที่สามารถช่วยโลกได้ ดังนั้นพวกเขาต้องการปริมาณหลายพันล้านโดสซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทผู้ผลิตในระดับอุตสาหกรรมเท่านั้นที่สามารถทำได้ ทำให้ Sir Mene Pangalos รองประธานบริหารของ AstraZeneca ยักษ์ใหญ่ด้านเวชภัณฑ์ในเคมบริดจ์ แนะนำว่าบริษัทสามารถช่วยให้ความต้องการของ Oxford เป็นจริงได้

แต่ Oxford ก็มีเงื่อนไขอยู่ว่า “วัคซีนควรมีราคาไม่แพง” ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีผลกำไรสำหรับบริษัทยา กล่าวคือ “บริษัทยาที่จะผลิตวัคซีนของ Oxford ห้ามกระทำการค้าที่ก่อให้เกิดผลกำไร”

“เพราะจุดประสงค์หลักของวัคซีนสูตร Oxford ก็เพื่อช่วยคนทั่วโลก ไม่ใช่ช่วยสร้างความมั่งคั่งให้กับนายทุน”

หลังจากการเจรจาอย่างเข้มข้นพวกเขาบรรลุข้อตกลงเมื่อปลายเดือนเมษายนปี 2563 ว่า วัคซีนนี้จะจัดให้โดยไม่หวังผลกำไรทั่วโลก เพราะเอาเข้าจริงแล้วในช่วงเวลาของการระบาดแบบนี้ วัคซีนหรือยามักจะมีราคาแพงสำหรับประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง ดังนั้นเพื่อการกระจายวัคซีนอย่างเท่าเทียมกันจึงต้องไม่มีผลกำไรมาเกี่ยวข้อง

โดยบริษัทที่เข้าเงื่อนไขการผลิตวัคซีนโดยไม่ประสงค์ต่อกำไรคือ “สยามไบโอไซเอนซ์” ของประเทศไทย และถูกกำหนดให้เป็นบริษัทเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนสูตร Oxford กระจายไปทั่วทั้งย่านนี้

ที่สำคัญที่สุด AstraZeneca ตกลงที่จะรับความเสี่ยงทางการเงินแม้ว่าวัคซีนจะไม่ได้ผลก็ตาม

ในเดือนพฤษภาคม 2563 ด้วยความเชื่อมั่นอย่างมาก รัฐบาลสหราชอาณาจักรตกลงที่จะซื้อวัคซีน 100 ล้านโดสและให้การสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนอีกเกือบ 90 ล้านปอนด์

ในช่วงต้นฤดูร้อนที่ผ่านมา ระดับการติดเชื้อโคโรนาไวรัสลดลงในสหราชอาณาจักร แม้ว่านี่จะเป็นข่าวดี แต่ก็ทำให้การใช้ชีวิตยากขึ้นสำหรับการทดลองซึ่งต้องอาศัยอาสาสมัครที่สัมผัสกับไวรัส เพื่อที่จะทราบว่าวัคซีนจะป้องกันพวกเขาได้หรือไม่ ดังนั้นวัคซีนจึงต้องลองส่งไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างในประเทศอื่น ๆ ด้วยเพื่อดูว่ามันทำงานอย่างไรในประเทศที่มีลักษณะประชากรที่แตกต่างกัน

และแล้วการทดสอบก็ได้เริ่มขึ้นในแอฟริกาใต้ และบราซิลซึ่งในไม่ช้ากลายเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา

เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 ผลการวิจัยเบื้องต้นได้รับการเผยแพร่ซึ่งแสดงให้เห็นว่า วัคซีนจะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของอาสาสมัคร 1,000 คนแรกหรือไม่ ตอนนั้นทีมงานรู้สึกกดดัน

Prof Katie Ewer ผู้เป็นหัวหน้าทีมทดสอบกล่าวว่า “ฉันทำงานเกี่ยวกับวัคซีนมานานพอที่จะรู้ว่าวัคซีนส่วนใหญ่ที่ผลิตกันมาจากที่ต่าง ๆ ใช้ไม่ได้ผล และมันเป็นความรู้สึกที่เลวร้ายที่สุดในโลกที่มีความคาดหวังสูงเช่นนี้แล้วก็ไม่เห็นอะไรเลย”

ข่าวดี วัคซีนของ Oxford – AstraZeneca ดูเหมือนจะปลอดภัย และได้กระตุ้นการตอบสนองระบบภูมิคุ้มกันแบบที่พวกเขาหวังไว้ มันผลิตแอนติบอดีที่ต่อต้านไวรัสและเซลล์ T ซึ่งสามารถฆ่าเซลล์ที่ติดเชื้อได้ แต่ข้อมูลยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ เพราะก่อนหน้านี้ทีม Oxford หวังว่าจะผลิตวัคซีนที่สามารถส่งมอบได้ในครั้งเดียวดังนั้นจึงมีวัคซีนเพิ่มขึ้นอีกรอบ

อย่างไรก็ตามผู้เข้าร่วมทดสอบ 10 คนที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดส แสดงให้เห็นว่ามีการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นมาก ดังนั้นอาสาสมัครทุกคนจึงได้รับเชิญให้กลับมารับวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มโอกาสในการป้องกัน ซึ่งแม้ว่าผลลัพธ์ในช่วงแรกเหล่านี้จะมีแนวโน้มที่ดี แต่ในขั้นตอนนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าวัคซีนสามารถป้องกันโควิด -19 ได้จริงหรือไม่

อย่างไรก็ตามในบทความยังกล่าวถึงการทดลองวัคซีนจากบริษัทอื่นว่า ในเดือนพฤศจิกายนมีการเผยแพร่ผลการทดลองวัคซีนอีก 2 รายการ คือ Pfizer-BioNTech เป็นเจ้าแรก จากนั้นหนึ่งสัปดาห์ต่อมา Moderna ได้ประกาศว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพประมาณ 95% ทำให้ทีมงาน Oxford เริ่มมีกำลังใจ

ในที่สุดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน คณะกรรมการอิสระด้านความปลอดภัยของข้อมูลก็พร้อมที่จะเปิดเผยผลการวิจัยของ Oxford-AstraZeneca แต่ผลลัพธ์ที่ได้น่าประหลาดใจและซับซ้อนกว่าที่คาดไว้

ในขณะที่ Pfizer-BioNTech และ Moderna มีตัวเลขประสิทธิภาพที่สูงมาก ส่วน Oxford ได้ตัวเลขผลลัพธ์

ว่าป้องกันได้โดยรวม 70%

โดยมาจากผู้ได้รับ 2 โดสเต็มสามารถป้องกันไวรัสได้ 62%

ในขณะที่ผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดคือในกลุ่มเล็ก ๆ ที่ได้รับยาครึ่งโดสครั้งแรก และเต็มโดสในเข็มที่ 2 จะมีภูมิคุ้มกันสูงสุด 90% แถมยังไม่มีผู้เสียชีวิตจากการรับวัคซีนสูตร Oxford

มันเรื่องที่น่าสนใจคือ เมื่อรับวัคซีนไป ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายค่อย ๆ ถูกสร้างขึ้นเรื่อย ๆ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ นอกจากนี้อาสาสมัครทั้งหมดในกลุ่มนี้อายุต่ำกว่า 55 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความแข็งแรงของร่ายกายสูง

เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2563 ทีมวิจัย Oxford ได้เผยแพร่การวิเคราะห์ข้อมูลการทดลองของพวกเขาในวารสารทางการแพทย์ Lancet ความโปร่งใสนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมั่นใจได้ว่า แม้ประสิทธิภาพของวัคซีนต่อการฉีด 1 เข็มจะน้อยกว่าของ Pfizer-BioNTech เล็กน้อย แต่ความปลอดภัย และอาการแพ้ที่รุนแรงไม่มีปรากฏเหมือนกับวัคซีนของบริษัทอื่น

อีกทั้ง Oxford-AstraZeneca ก็มีข้อได้เปรียบที่สำคัญคือขวดของมันสามารถเก็บและขนส่งได้ที่อุณหภูมิตู้เย็นปกติ ในขณะที่ Pfizer-BioNTech ต้องจัดเก็บในอุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส ซึ่งมีต้นทุนตู้แช่และการขนส่งที่สูง ทำให้วัคซีนจะมีราคาสูงตามไปด้วย


ที่มา: เพจ​ Thailand​ Vision

เพจ​ Reporter​ Journey

หมอธีระวัฒน์ โพสต์เฟซบุ๊ค เห็นใจ หมอนคร ผอ. สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ต้องตอบคำถามเรื่องวัคซีนที่บริษัทสยามไบโอไซเอน ได้สิทธิจากแอสตราเซเนก้า เป็นผู้ผลิต หลัง ‘ธนาธร’ ตั้งคำถามเป็นการผูกขาดหรือไม่ ?

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟชบุ๊ก ‘ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha’ ระบุถึงกรณีนายแพทย์นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ที่ออกมาชี้แจงกรณีที่บริษัทสยามไบโอไซเอน ได้สิทธิผลิตวัคซีนจากบริษัทแอสตราเซเนก้า ข้อความระบุว่า

กายก็เหนื่อย

ใจก็ล้า

ข้อความนำจาก thailand FACT today

ขอบคุณมากครับ ที่ทำให้คนไทยทุกคนได้รับทราบการทำงานของน้อง ๆ กระทรวงสาธารณสุขและคนด่านหน้าทั้งหมด

ถึงสีหน้าจะเรียบเฉย แต่มือนั้นสั่น คืออาการของหมอนคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ที่ทำงานหนักแบบไม่ได้พัก

และวันนี้ยังต้องบึ่งมาที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อตอบสารพัดคำถามเรื่องวัคซีน ที่บางคนวิพากษ์วิจารณ์

เสมือนที่ทำมาทั้งหมดนั้นหาดีมิได้เลย

หมอนคร พยายามอธิบาย ตอบคำถามทุกข้อสงสัยอย่างใจเย็น

"เราไม่ได้เป็นคนกำหนดว่าต้องเป็นบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ แต่บริษัทนี้ มีความพร้อมที่สุด สอดรับกับการทำสัญญาที่แอสตราฯ จะให้เราเป็นฐานการผลิต

ซึ่งแอสตราฯ เป็นคนเลือกเอง ว่าจะใช้ที่นี่ เพราะโรงงานของสยามไบโอไซเอนซ์ มีความทันสมัย และดีกว่าขององค์การเภสัชฯ ด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามรัฐต้องให้งบปรับปรุงอีก 500 ล้านบาท และ SCG 100 ล้าน เพื่อให้มีความสามารถเต็มที่ในการผลิตวัคซีนโควิด-19"

หมอนคร พยายามตอบข้อสงสัยของบางคนบอกที่ว่า บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ได้งาน เพราะล็อกสเป็ก

"ข้อเสนอที่เราตกลงกับทางผู้ผลิตวัคซีนได้คือชัยชนะ เพราะเราต้องแข่งกับอีกหลายประเทศ เพื่อให้ได้เป็นฐานการผลิตในภูมิภาค ทำให้เรามีความคล่องตัวในการจัดการวัคซีน และยังพึ่งพาตัวเองได้ในอนาคต"

จากนั้น หมอนคร กล่าวเพิ่มเติมถึงการที่บางคนมาตั้งคำถามเรื่องผลกำไร ที่ บ.สยามไบโอไซเอนซ์จะได้รับ

"ที่ผ่านมา บริษัทนี้ตั้งขึ้นมาตามพระราชปณิทานของในหลวง ร.9 เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ตามแนวพระราชดำริ ขาดทุน คือกำไร

บ.ขาดทุนตัวเงิน เพื่อแลกกับสุขภาพประชาชนที่ดีขึ้น

บ.จึงไม่คิดหาผลกำไรมาแต่ต้น

ที่ผ่านมาเป็นส่วนสำคัญในการผลิตชุดตรวจโควิด-19 ล่าสุด ยุติการผลิตในหลายสายงาน ก็เพื่อผลิตวัคซีน

การซื้อวัคซีน เราซื้อผ่าน บ.แอสตราเซนนิกา ในราคากลาง บ.สยามไอโอไซเอนซ์ ไม่มีสิทธิ์มากำหนดราคา

การให้ทุนจากรัฐ 500 ล้านบาทข้างต้น ไม่ใช่การให้เปล่า แต่ทาง บ.จะต้องส่งคืนงบ ในรูปแบบของวัคซีน"

หมอนครตอบครบทุกคำถาม

สีหน้าแววตาเรียบเฉย

แต่กายนั้นเหนื่อย ใจนั้นล้า


ที่มา : เพจ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha

กรณ์ สอนเชิง ธนาธร ไม่ใช่ช่วงเวลามาเล่นเกมการเมือง แนะคนไทยควรช่วยกันหาทางออก ชี้โชคดีแค่ไหนที่ในหลวงทรงห่วงใยคนไทยวางรากฐานเทคโนโลยีไว้ เพื่อคนไทยในวันนี้

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความลงเฟสบุ๊ก กรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า วิจารณ์การจัดหาวัคซีนโควิด-19 และพาดพิงถึงบริษัทสยามไบโอไซน์ว่า "ในภาวะวิกฤตของชาติ การช่วยกันหาทางออกที่สร้างสรรค์คือหน้าที่ของนักการเมืองทุกคน

การวิจารณ์กระบวนการบริหารจัดการเรื่อง 'วัคซีน' ต้องสร้างสรรค์ สิ่งที่คุณธนาธรพูดเมื่อคืนนี้มีแต่ทำลายน้ำใจคนอื่น หน้าที่ของนักการเมืองที่ดีต้องชี้ทางออกให้สังคม ไม่ใช่มุ่งโจมตีคนทำงาน

การ 'ลงมือทำ' ของบริษัท และองค์กรที่เกี่ยวข้อง ผมว่าเป็นเรื่องน่าชื่นชม และคุณธนาธรอย่าดึงสถาบันมาเกี่ยวข้องเลยครับ

น่าภูมิใจที่บริษัท SCG ประสานกับ Oxford ผู้วิจัยและพัฒนาวัคซีนแอสตราเซเนก้า ทำให้บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ได้รับสิทธิ์ในผลิตวัคซีนโควิดให้กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คนไทยโชคดีที่มีในหลวง ร.9 วางรากฐานให้บริษัทเหล่านี้ไว้ และมีในหลวง ร.10 มาพัฒนาสานต่ออย่างเข้มแข็ง ทำให้ต่างชาติเชื่อถือ ลำพังเทคโนโลยีของรัฐบาลคงไม่มีสิทธิ์ได้ผลิตวัคซีนแบบนี้ได้

คณะแพทย์ จุฬาฯ, แพทย์ ศิริราช, คณะเภสัชฯ จุฬาฯ, บริษัทใบยา, คณะวิทยาศาสตร์ มหิดล ,สวทช. ,ศูนย์วัคซีน มหิดล และ บริษัท ไบโอเนท-เอเชีย ต่างก็มีศูนย์ทดลองของตนเอง เร่งพัฒนาประดิษฐ์วัคซีน เพื่อถ่ายทอดส่งไปให้บริษัทผลิตยา

วันนี้ต้องช่วยกันคิด ว่าเราจะจัดหาวัคซีนมาให้พอกับความต้องการคนไทยโดยเร็วได้อย่างไร ต้องช่วยกันเร่งรัดระบบราชการให้จัดคิวฉีดวัคซีนให้คนไทยทุกคนอย่างทั่วถึง โปร่งใส และเป็นธรรม

เราตัองเร่งรัดให้รัฐบาลดูแลประชาชน และผู้ประกอบการที่วันนี้เดือดร้อนแสนสาหัสให้อยู่รอดจนกว่าจะถึงวันที่คนไทยทุกคนจะได้รับการคุ้มครองจากวัคซีน

และเราต้องช่วยกันคิดว่า หลังได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว ประเทศไทยต้องปรับตัวอย่างไร อะไรต้องแก้ไข และอะไรคือโอกาสของประเทศไทย และคนไทย

เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเล่นเกมการเมืองสร้างความแตกแยกไปวันๆ ครับ มาช่วยกันหาทางออกดีกว่า

พีค of the week Ep.2 รวมมิตรเรื่อง ‘พีคๆ’ รอบสัปดาห์

สัปดาห์ก่อน เรื่องการข่าว มาทั้งเรื่องดีๆ และเรื่องดราๆ (หมายถึงดราม่า) ทั้งข่าวมาตรการเยียวยา หรือดราม่าพิมรี่พาย ยังมีอีกหลายข่าวที่เราคัดสรรมาแล้วว่า ‘มันพีคจริงๆ แม่!’ ไปดูกันซะก่อนจะหมดวันนี้ เพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้ คุณจะคุยกับเขา ไม่...รู้...เรื่อง!!

 

“เราไม่ได้เป็นคนกำหนดว่าต้องเป็นสยามไบโอไซเอนซ์ แต่บริษัทนี้ มีความพร้อมที่สุด สอดรับกับข้อกำหนดของแอสตราฯ และบริษัทนี้ ก็ตั้งขึ้นมาตามพระราชปณิทานของในหลวง ร.9 เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ตามแนวพระราชดำริ ขาดทุน คือกำไร”

“เราไม่ได้เป็นคนกำหนดว่าต้องเป็นสยามไบโอไซเอนซ์ แต่บริษัทนี้ มีความพร้อมที่สุด สอดรับกับข้อกำหนดของแอสตราฯ และบริษัทนี้ ก็ตั้งขึ้นมาตามพระราชปณิทานของในหลวง ร.9 เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ตามแนวพระราชดำริ ขาดทุน คือกำไร”

นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ

กล่าวเมื่อวันที่ 19 ม.ค. 64 กรณี ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top