Saturday, 28 June 2025
ค้นหา พบ 49086 ที่เกี่ยวข้อง

‘กฟผ. – ภูฏาน’ ต่อยอดความร่วมมือด้านพลังงานสะอาด เดินหน้าพัฒนา!! สู่ความมั่นคง และยั่งยืน ระดับภูมิภาค

(28 มิ.ย. 68) นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านพลังงานระหว่าง กฟผ. และภูฏาน ซึ่งนำโดย ฯพณฯ เก็ม เชอริ่ง (H.E. Lyonpo Gem Tshering) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติราชอาณาจักรภูฏาน พร้อมด้วยดาโช ชว๊อง รินจิน (Dasho Chhewang Rinzin) กรรมการผู้จัดการ Druk Green Power Corporation Limited (DGPC) และนายโซนัม ท็อปเจ (Mr. Sonam Tobjey) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Bhutan Power Corporation Limited (BPC) เพื่อกระชับความร่วมมือในการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 18 – 20 มิถุนายน ที่ผ่านมา ณ กรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. เผยว่า กฟผ. และภูฏาน มุ่งมั่นยกระดับความร่วมมือด้านพลังงานของทั้งสองประเทศให้มีความมั่นคงและยั่งยืนซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมานานกว่า 20 ปี โดยคณะทำงานร่วมระหว่าง กฟผ. และ BPC ซึ่งเป็นการดำเนินงานภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (Joint Working Committee–JWC) ร่วมประชุมกำหนดแผนงานในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านพลังงาน อาทิ การก่อสร้างระบบส่งและสถานีไฟฟ้าแรงสูง การบำรุงรักษาระบบส่งและสถานีไฟฟ้าแรงสูง ตลอดจนการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดยครอบคลุมทั้งโครงสร้างพื้นฐานของสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาระบบพลังงานอย่างยั่งยืนในระดับภูมิภาค รวมถึงการแสวงหาโอกาสธุรกิจใหม่ ๆ ร่วมกับบริษัทในกลุ่ม กฟผ. อาทิ การลงทุนสถานีชาร์จ EV และพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำใหม่ ๆ เพิ่มเติม

นอกจากนี้ กฟผ. และ DGPC ได้ร่วมลงนามต่ออายุบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านเทคนิควิชาการพลังน้ำ ซึ่งเป็นการต่ออายุครั้งที่ 5 เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านพลังน้ำซึ่งเป็นทรัพยากรหลักของภูฏาน ทั้งการฝึกอบรมเพิ่มศักยภาพและแลกเปลี่ยนบุคลากรเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานของทั้งสองประเทศและเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว 

‘เอกนัฏ’ นำขุด!! ‘กากพิษ’ ซุกดินเกือบ 5 หมื่นตัน ลั่น!! โรงงานเถื่อน ทุนสีเทา อยู่ร่วมกันไม่ได้

(28 มิ.ย. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหัวหน้าชุดตรวจการณ์สุดซอย หรือ “ทีมสุดซอย” กระทรวงอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ ต.หัวสำโรง อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา หลังได้รับร้องเรียนจากชาวบ้านในพื้นที่ หลังชาวบ้านร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาลขุดสำรวจน้ำใต้ดิน แล้วพบของเหลวสีดำ ถุงบิ๊กแบ็คที่ใส่ขยะกากอุตสาหกรรม ส่งกลิ่นเหม็นรุนแรง สร้างผลกระทบกับสุขภาพและสภาพแวดล้อม

นายเอกนัฏ กล่าวว่า จากรายงานทราบว่าทางกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ได้ดำเนินโครงการติดตามคุณภาพน้ำในพื้นที่ลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม และจ.ฉะเชิงเทราเป็นพื้นที่เฝ้าระวัง จึงใช้วิธีการเจาะติดตั้งบ่อสังเกตการณ์ เผื่อว่าในอนาคตพื้นที่เฝ้าระวังมีปัญหาสารเคมีรั่วไหลออกมา ก็จะสามารถติดตามตรวจสอบได้ทันสถานการณ์ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ทราบว่าพื้นที่แห่งนี้เคยมีการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม จึงเลือกที่จะมาขุดสำรวจตรวจสอบว่าในปัจจุบันมีลักษณะเป็นอย่างไร

โดยในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม เดิมที่ดินแห่งนี้ ทางอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทราและกรมโรงงานอุตสาหกรรมเคยดำเนินคดีกับเจ้าของที่ดินเกี่ยวกับการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมไปแล้วเมื่อปี 2565 หลังจากเกิดเหตุไฟไหม้ ทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมจึงเข้ามาตรวจสอบ และพบกากอุตสาหกรรมหลายประเภท ทั้งมีการลักลอบฝัง และกองกากอุตสาหกรรมอันตรายปริมาณมากเอาไว้อย่างผิดกฎหมายจำนวนมาก จึงให้ดำเนินการกำจัดและ ขนย้ายออกนอกพื้นที่ 

“วันนี้ได้มาตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่าภายในที่ดิน 11 ไร่แห่งนี้ ยังมีกากอุตสาหกรรมซ่อนอยู่จำนวนมาก ซึ่งกรมโรงงานฯ ได้ทำการคำนวณคร่าวๆ ว่าหากขุดลงไปไม่ต่ำกว่าสามเมตร อาจจะเจอกากอุตสาหกรรมซ่อนอยู่กว่า 47,399 ตัน ซึ่งจะทำการสอบสวนต่อไปว่าเหตุใดการกำจัดกากอุตสาหกรรมในที่ดินแห่งนี้จึงไม่เป็นไปตามคำสั่ง และจะทำการสอบสวนไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วยว่ามีส่วนรู้เห็นหรือละเว้นหรือไม่” นายเอกนัฏกล่าว

นายเอกนัฏ กล่าวเพิ่มเติมว่า เบื้องหลังของการขนย้ายลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมนี้ คาดว่าเป็นการทำเป็นกระบวนการ ซึ่งต้องใช้ความร่วมมือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษเนื่องจากมีความเชื่อมโยงและซับซ้อน ส่วนเจ้าของที่ดินก็ต้องถูกดำเนินคดี ตอนนี้ทางกระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ในช่วงของการที่จะผลักดันกฎหมายฉบับใหม่คือ พรบ.จัดการกากอุตสาหกรรม เพื่อจัดระบบใหม่ จัดการช่องโหว่ทางกฎหมาย และการดำเนินคดีจะมีบทลงโทษที่รุนแรงขึ้น 

เพื่อจัดการกับธุรกิจสีเทาสีดําให้หมดไป และหลังจากนี้จะต้องขยายผลการเชื่อมโยงเส้นทางว่ามีการลักลอบขนย้าย นํากากอุตสาหกรรมจากพื้นที่อื่น มากองทิ้งไว้ที่นี่ด้วยหรือไม่ และมอบนโยบายกรมโรงงานอุตสาหกรรมออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องตั้งและขยายโรงงานรีไซเคิลทั่วประเทศ และสั่งชุดสุดซอยตรวจเข้มโรงงานรีไซเคิลทั้งหมดโดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจอีอีซีที่มีการตั้งโรงงานหนาแน่น

‘บีโอไอ’ เคาะ!! มาตรการหนุน Local Content ประเดิม!! กลุ่มอุตสาหกรรม EV และเครื่องใช้ไฟฟ้า

(28 มิ.ย. 68) บอร์ดบีโอไอ หนุนผู้ประกอบการไทย เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content) จับมือ ส.อ.ท. สนับสนุนสินค้า Made in Thailand กำหนดสัดส่วนร้อยละ 40 สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าและ BEV ร้อยละ 45 สำหรับ PHEV และชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ร้อยละ 15 ได้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม เสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ Supply Chain โลก พร้อมเดินหน้าตั้ง 'ทีมตรวจสอบพิเศษ' เร่งตรวจกลุ่มอุตสาหกรรมเสี่ยง พร้อมอนุมัติส่งเสริมลงทุน 2 โครงการ มูลค่ากว่า 28,000 ล้านบาท

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2568 การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบ “มาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content)” เพื่อกระตุ้นให้นักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าซื้อวัตถุดิบในประเทศมากขึ้น เป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและผลักดันผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ Supply Chain ระดับโลก โดยมาตรการนี้ ถือเป็นหนึ่งในชุดมาตรการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยเพื่อรองรับโลกยุคใหม่ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ควบคู่กับการปกป้องอุตสาหกรรมที่มีความเปราะบาง รักษาระดับการแข่งขันให้เหมาะสม พร้อมลดความเสี่ยงจากมาตรการการค้าของสหรัฐฯ โดยในการประชุมบอร์ดบีโอไอครั้งก่อน ได้ออกมาตรการต่างๆ แล้ว ดังนี้

1. มาตรการส่งเสริมให้ SMEs ไทย ปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

2. การงดส่งเสริมกิจการที่มีภาวะสินค้าล้นตลาด (Oversupply) เช่น เหล็กทรงยาว เหล็กแผ่นรีดร้อน ท่อเหล็ก และกิจการที่มีความเสี่ยงต่อมาตรการการค้าของสหรัฐฯ เช่น การผลิตแผงโซลาร์

3. การเพิ่มความเข้มข้นในการพิจารณากระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่จะขอรับการส่งเสริม เพื่อป้องกันการสวมสิทธิและให้มีมูลค่าเพิ่มจากการผลิตในประเทศไทยมากขึ้น

4. การกำหนดสัดส่วนการจ้างงานบุคลากรไทยมากกว่าร้อยละ 70 ในกิจการผลิต และกำหนดเงื่อนไขเงินเดือนขั้นต่ำ 50,000-150,000 บาท สำหรับบุคลากรต่างชาติ เพื่อคัดกรองเฉพาะต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญสูง  

หนุนใช้วัตถุดิบในประเทศ MiT สำหรับ “มาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศไทย” (Local Content) ที่บอร์ดบีโอไอ ได้เห็นชอบเพิ่มเติมในครั้งนี้ จะใช้สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า BEV, PHEV, ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยกำหนดสัดส่วน ดังนี้ หากโครงการยานยนต์ไฟฟ้า BEV และเครื่องใช้ไฟฟ้า มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากกว่าร้อยละ 40, PHEV ที่มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากกว่าร้อยละ 45 และชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าที่มีการใช้วัตถุดิบในประเทศมากกว่าร้อยละ 15 ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด และได้รับการรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand: MiT) จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จะได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 50 เพิ่มเติมอีก 2 ปี 

“ที่ผ่านมา บีโอไอได้สนับสนุนให้บริษัทที่เข้ามาลงทุนใช้ชิ้นส่วนจากผู้ประกอบการในประเทศผ่านการจัดกิจกรรม Subcon Thailand และ Sourcing Day อย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปัจจุบันผู้ผลิตจากต่างประเทศเริ่มมีการใช้วัตถุดิบในประเทศมากขึ้น แต่เพื่อเร่งรัดให้เกิดการใช้ Local Content สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อย่างยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า บีโอไอจึงได้หารือร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯ สถาบันยานยนต์ และสถาบันไฟฟ้าฯ เพื่อเสนอมาตรการส่งเสริมการใช้ Local Content ที่จะช่วยกระตุ้นให้เพิ่มสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศตามที่บอร์ดบีโอไอกำหนด จึงจะสามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมได้ ซึ่งมาตรการนี้จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ กระตุ้นให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี และเสริมสร้าง Supply Chain ในประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น” นายนฤตม์ กล่าว

สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า ถือเป็นอุตสาหกรรมสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ทั้งด้านเม็ดเงินลงทุน การจ้างงาน การส่งออก การพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี และการเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนในประเทศ โดยที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2565 ถึงเดือนพฤษภาคม 2568 มีโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน รวมทั้งสิ้น 65 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 96,000 ล้านบาท และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า มีจำนวน 68 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 96,800 ล้านบาท

คุมเข้มกิจการเสี่ยง - ตรวจสอบเข้มข้น ที่ประชุมฯ ยังได้พิจารณาปรับปรุงประเภทกิจการเพิ่มเติม เพื่อปรับสมดุลการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการต่างชาติและไทย และลดความเสี่ยงจากมาตรการการค้าของสหรัฐฯ โดยกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมสำหรับกิจการผลิตเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน การผลิตกระเป๋า และการผลิตสิ่งพิมพ์ ต้องมีบุคคลธรรมดาสัญชาติไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ยกเว้นโครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน

ทั้งนี้ กิจการที่อาจมีความเสี่ยงด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือชุมชน เช่น กิจการรีด ดึง หล่อ หรือทุบโลหะ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วน กิจการผลิตผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการอุตสาหกรรม กิจการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกสำหรับอุตสาหกรรมและชิ้นส่วน มีการปรับปรุงเงื่อนไข โดยจะงดให้สิทธิถือครองที่ดินเพื่อประกอบการ เพื่อให้กิจการเหล่านี้ต้องตั้งในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและได้รับการกำกับดูแลที่รัดกุมมากขึ้น โดยให้มีผลสำหรับโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ บีโอไอได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบโครงการที่ได้รับการส่งเสริม โดยจัดตั้ง 'ทีมตรวจสอบพิเศษ' เพื่อติดตามและตรวจสอบการดำเนินกิจการของผู้ได้รับการส่งเสริมที่มีความเสี่ยงต่อการปฏิบัติผิดเงื่อนไขของบัตรส่งเสริม หรือมีการใช้สิทธิประโยชน์ที่ไม่ถูกต้องตามข้อกำหนด โดยอุตสาหกรรมที่เข้าข่ายเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ การผลิตยางล้อ เซลล์แสงอาทิตย์ ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วน กระเป๋า และเฟอร์นิเจอร์ 

“บีโอไอจะนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ เพื่อสนับสนุนการติดตามและตรวจสอบโครงการที่ได้รับการส่งเสริม ทั้งระบบรับเรื่องร้องเรียนออนไลน์ Traffy Fondue และระบบ Social Listening รวมถึงการนำระบบ AI มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำงาน และการประเมินความเสี่ยงในการทำผิดเงื่อนไข เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินงาน และเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการตรวจสอบข้อสงสัยและข้อร้องเรียนต่าง ๆ อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และสามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงที” นายนฤตม์ กล่าว

อนุมัติโครงการลงทุนกว่า 2.8 หมื่นล้าน

ที่ประชุมฯ ได้อนุมัติส่งเสริมลงทุน 2 โครงการใหญ่ รวมมูลค่า 28,644 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ Data Center ของบริษัท สตราตัส เทคโนโลยี จำกัด มูลค่าลงทุน 23,688 ล้านบาท ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมซีพีจีซี จังหวัดระยอง ให้บริการ Data Center ระดับ Tier 3 รองรับกำลังผลิตไฟฟ้า 203 เมกะวัตต์ 

อีกโครงการเป็นกิจการขนส่งทางอากาศ ของบริษัท ไทย เวียตเจ็ท แอร์ จอยท์ สต๊อค จำกัด มูลค่าลงทุน 4,956 ล้านบาท ให้บริการขนส่งทางอากาศสำหรับเส้นทางทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้เครื่องบินโดยสารใหม่ จำนวน 6 ลำ ขนาดบริการรวม 1,134 ที่นั่ง ทั้งนี้ เพื่อยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางการบินในภูมิภาค และยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับธุรกิจท่องเที่ยว ขนส่ง และบริการต่าง ๆ ที่จะขยายตัวมากขึ้นในอนาคต

นักวิชาการไทย ในอิหร่าน โพสต์เฟซ!! เผยข้อมูลสำคัญ ชี้!! ‘อิหร่าน’ สนใจจะซื้อระบบป้องกันภัย HQ-16 จากจีน

(28 มิ.ย. 68) ดร.เลอพงษ์ ซาร์ยีด นักวิชาการชาวไทย ที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอิหร่าน ได้โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับ HQ-16 ระบบขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ (SAM) พิสัยกลางของจีน โดยมีใจความว่า ...

HQ-16 เป็นระบบขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ (SAM) พิสัยกลางของจีน พัฒนาโดย Shanghai Academy of Spaceflight Technology (SAST) สังกัด China Aerospace Science and Technology Corporation (CASC)

ระบบนี้มีพื้นฐานมาจากระบบขีปนาวุธ Buk ของรัสเซีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันภัยทางอากาศสำหรับกองทัพเรือและกองทัพบกของจีน 
คุณสมบัติและข้อมูลจำเพาะของ HQ-16:

ประเภท: ขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ (SAM) พิสัยกลาง ผู้พัฒนา: Shanghai Academy of Spaceflight Technology (SAST)

ผู้ใช้งาน:กองทัพเรือและกองทัพบกของจีน

พื้นฐาน: ระบบขีปนาวุธ Buk ของรัสเซีย

รุ่น:HQ-16A: รุ่นพื้นฐานสำหรับกองทัพบก

HHQ-16: รุ่นสำหรับเรือรบของกองทัพเรือ

HQ-16B: รุ่นที่มีพิสัยการยิงไกลขึ้น

HQ-16C: รุ่นที่อยู่ในช่วงการพัฒนา 

พิสัย: สูงสุด 40 กม. สำหรับ HQ-16A และ 70 กม. สำหรับ HQ-16B ความเร็ว: มากกว่า Mach 3 ระบบนำวิถี: ผสมผสานระหว่างการนำวิถีแบบเฉื่อย การส่องสว่าง และการนำวิถีแบบกึ่งเรดาร์

การใช้งาน:ป้องกันภัยทางอากาศสำหรับเรือรบและฐานทัพของจีน 
ป้องกันภัยทางอากาศสำหรับพื้นที่ทางทหารและอุตสาหกรรม 
สามารถทำงานร่วมกับระบบอื่น ๆ เช่น HQ-9B เพื่อสร้างเครือข่ายป้องกันภัยทางอากาศ

HQ-16 มีความสำคัญอย่างไร?
ปกป้องน่านฟ้า:ช่วยปกป้องจีนจากภัยคุกคามทางอากาศ

ความทันสมัย:เป็นระบบ SAM พิสัยกลางที่ทันสมัยของจีน ความหลากหลาย: มีหลายรุ่นที่ปรับให้เหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกัน

ความน่าเชื่อถือ:มีประสิทธิภาพในการต่อต้านเป้าหมายทางอากาศหลายประเภท

‘สม รังสี’ เผย!! ‘ฮุน เซน’ โกรธไทย ไม่ใช่เพราะรักชาติ ชี้!! กลัวการปกครองล่มสลาย เพราะไทยปราบ ‘มาเฟียจีน’

(28 มิ.ย. 68) ‘สม รังสี’ อดีตผู้นำฝ่ายค้านของปร้ะทศกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า ...

ฮุน เซน โกรธ ประเทศไทย ที่ทําให้ ตั๋ว ต๋องสับสน ไม่ใช่เพราะรักชาติ แต่เพราะกลัวการปกครองล่มสลาย ซึ่งอาศัยเงินนับพันล้านดอลลาร์จากกลุ่มอาชญากรรมระหว่างประเทศ นําโดยโจรมาเฟียจีนที่ดําเนินการตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย

ทางการไทยตัดสินใจที่จะปราบโจรมาเฟียที่ป้อนระบอบฮุนเซน นี่คือเรื่องราวที่ทําให้ฮุนเซนเป็นห่วงและโกรธจนสับสนกับไทย

คนทรยศฮุนเซนไม่เคยคิดถึงชาติ เขาทําได้ทุกอย่างถ้าเขายังมีพลัง เขาตัดดินแดนเขมรตะวันออกของเราไปยังต่างประเทศ ซึ่งทําให้เขาเป็นผู้นํา ถ้าคุณรักชาติของคุณจริง คุณต้องรักทั้งตะวันตกและตะวันออก อย่าลืมตาข้างเดียว มองไปทางตะวันตกเท่านั้น ต้องเปิดตาข้างหนึ่ง มองไปทิศตะวันออก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top