Friday, 27 June 2025
ค้นหา พบ 49068 ที่เกี่ยวข้อง

‘อิน-เอม’ 2 พี่น้องนักเรียนไทย คว้ารางวัลเหรียญทอง จากผลงานวิชาการระดับนานาชาติ ASIACHEM2025

สมาคมเคมีแห่งประเทศไทยฯ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ The 20th Asian Chemical Congress (20 ACC )หรือ ASIACHEM2025 จาก Federation of Asian chemical societes (FACS) เพื่อสื่อสารเกี่ยวกับความรับผิดชอบทางด้านวิทยาศาสตร์เคมีในสังคม โดยมีเป้าหมายนำไปสู่ความยั่งยืนของโลก ภายใต้ชื่องาน 

สำหรับงานดังกล่าวทาง สมาคมเคมีแห่งประเทศไทยฯ ได้รับสิทธิ์ให้เป็นเจ้าภาพจาก The Federation of Asian Chemical Societies (FACS) และเจ้าภาพร่วมคือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดย ศาสตราจารย์ ดร.สุภา หารหนองบัว เป็นประธานคณะกรรมการจัดการประชุม ระหว่างวันที่ 23-27 มิถุนายน 2568 ภายใต้หัวข้อการประชุมหลักคือ “Responsible Chemical Sciences for World Sustainability” ณ Berkeley Hotel Pratunam กรุงเทพฯ วัตถุประสงค์ของงานประชุมเพื่อมุ่งเน้นสื่อสารถึงความรับผิดชอบด้านวิทยาศาสตร์เคมีของสังคม เพื่อความยั่งยืนของโลก การประชุมจะครอบคลุมสาขาวิชาเคมีและมีเนื้อหาพิเศษที่สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญของเครือข่ายเคมีทั่วโลก เป็นการประชุมที่รวบรวมผู้เข้าร่วมจากทั่วทุกภูมิภาคและทั่วโลก 

ภายในงานนี้ นาย อริณชย์ ทองแตง (อิน) และ นางสาว อริสา ทองแตง (เอม) นักเรียน year 12 และ 11 จากโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพเข้าร่วมการประกวด 20th Asian Chemical Congress (20ACC), ASIACHEM2025 ในหัวข้อ Living Carbonomics: Tracking Footprint and Storage Dynamics Above and Below Ground ซึ่งปรากฏว่า ผลงานดังกล่าวได้รับรางวัลระดับเหรียญทอง พร้อมกับสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้อีกครั้ง

‘เจ้าคุณโซลาร์เซลล์’ แจงปมฟ้องธนาคารเรียก 1,354 ล้าน ชี้เป็นเงินของ 2 มูลนิธิฯ สะสมมากว่า 50 ปี ก่อนถูกยักยอก

(27 มิ.ย.68) จากกรณีที่พระปัญญาวชิรโมลี (เจ้าคุณโซลาร์เซลล์) เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ในฐานะเลขามูลนิธิหลวงปู่ศรี มหาวีโร ให้ทีมกฎหมายเอาผิดกับธนาคารชื่อดัง ฐานไม่ยอมคืนเงินของมูลนิธิพระอาจารย์ศรี มหาวีโร กรณีที่มีเจ้าหน้าที่ธนาคารอนุมัติเบิกจ่ายเงินโดยมิชอบ  คือนำไปจ่ายค่าประกันชีวิตกว่า 270 กรมธรรม์ และนำไปซื้อกองทุนธนาคารของเครือข่ายธนาคาร(ที่ถูกฟ้อง) สร้างความเสียหายให้กับ 2 มูลนิธิกว่า 1,354,000,000 บาท

ทั้งนี้ มี 2 โจทก์ที่ยื่นฟ้องธนาคารชื่อดัง คือ
1. มูลนิธิพระอาจารย์ศรี มหาวีโร
2. มูลนิธิอนุสรณ์พระกฐินต้น

โดยมูลนิธิพระอาจารย์ศรี มหาวีโร โจทก์ที่ 1 ได้ฟ้องขอเงินต้นคืน เป็นเงิน 752,045,117.24 บาท และฟ้องขอดอกเบี้ยผิดนัดตามกฎหมายเป็นจำนวนเงิน 348,730,312.20 บาท (คิดตั้งแต่วันที่เงินจำนวนนั้น ๆ ถูกถอนออกไปจนถึงวันฟ้อง) และฟ้องค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ (ดอกเบี้ยพันธบัตร คือเงินที่เราคาดว่าจะได้รับถ้าไม่มีการถอนเงินออกไปโดยมิชอบ) จำนวน 144,300,000 บาท รวมทั้งสิ้น 1,245,075,429.44 บาท

ส่วนโจทก์ที่ 2 คือ มูลนิธิอนุสรณ์พระกฐินต้น ฟ้องเรียกเงินต้นคืนจำนวน 68,989,449.32 บาท และฟ้องเรียกเก็บดอกเบี้ยผิดนัดตามกฎหมาย จำนวน 30,483,312.20 บาท (คิดตั้งแต่วันที่เงินจำนวนนั้น ๆ ถูกถอนออกไป คิดจนถึงวันฟ้อง) และฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ (ดอกเบี้ยพันธบัตร คือเงินที่เราคาดว่าจะได้รับถ้าไม่มีการถอนเงินออกไปโดยมิชอบ) จำนวน 9,750,000 บาท รวมทั้งสิ้น 109,222,635.46 บาท

รวมเงินของทั้ง 2 มูลนิธิ ฟ้องเรียกเงินคืนจากธนาคารชื่อดัง เป็นเงิน 1,354,298,064.91 บาท

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากมีข่าวออกไป หลายคนมีข้อสงสัยว่าเหตุใดทางวัดจึงมีเงินมากมายขนาดนั้น โดยไม่ได้ดูถึงรายละเอียดที่มาของเงินจำนวนดังกล่าว

ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 68 พระปัญญาวชิรโมลี ได้โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงอีกครั้ง โดยมีข้อความว่า ผู้กำกับไม่ได้มาจับ แต่มาดูแล

ผู้กำกับสภ.โขงเจียม รีบมาดูแต่เช้า เพราะพาดหัวข่าวเมื่อวานคนเข้าใจว่าอาตมามีเงินฝาก แต่ถ้าหากอ่านเกินสามบรรทัดก็จะทราบว่าเป็นเงินของมูลนิธิหลวงปู่ที่ตั้งมากว่า 50 ปี มีผู้มีจิตศรัทธามากมายจนเป็นที่รู้จักว่า “หลวงปู่ศรีผู้มากล้นบารมี”

ท่านมีดำริจัดตั้งมูลนิธิเอาดอกผลไว้ดูแลวัดสาขากว่า 150 วัด และสร้างสาธารณูปการ สาธารณสงเคราะห์ และงานเผยแผ่พระศาสนาตามแนวปฏิปทาหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มีลูกศิษย์ทั้งพระทังโยมอย่างกว้างไกล

อาตมาเป็นลูกศิษย์ที่มาดูแลวัดป่าศรีแสงธรรม ซึ่งเป็นสาขาได้รับความไว้วางใจจากพระราชพัชรญาณมุนี หรือหลวงปู่ทองอินทร์ที่ดูแลวัดสาขาแทนหลวงปู่ศรี มหาวีโร ให้มาดำเนินการในหลาย ๆ อย่างรวมทั้งเป็นเลขานุการของมูลนิธิทุกแห่งของวัดป่ากุง การดำเนินการสืบเสาะหาข้อมูลมาแล้ว 10 เดือน จึงได้มอบหมายให้ทีมกฎหมายดำเนินการ

เงิน 1,354 ล้านจึงไม่ใช่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นสมบัติของสงฆ์ที่ลูกหลานดูแลให้พ่อแม่ครูอาจารย์ และสะสมมานานแล้ว หากไม่พูดเกินจริงไปเวลาที่หลวงปู่ไปงานนิมนต์ที่ไหนมีแต่คนอยากร่วมทำบุญกับท่านจนเต็มท้ายรถ นั่นเพราะบุญบารมีท่านที่ปฏิบัติจนถึงความหลุดพ้นแล้ว 

ท่านสร้างพระเจดีย์ชัยมงคล ที่อ.หนองพอก, สร้างตึกให้โรงพยาบาล, สร้างวัดสาขาให้ธรรมะภาคปฏิบัติกระจายไปทั่วทุกภาค นั่นคือสร้างความร่มเย็นในใจของสาธุชนไปด้วยความเมตตา พวกมาด่าว่าพระนั้นให้สร้างโรงพยาบาลดีกว่า ท่านก็สร้างไปแล้ว และทำต่อเนื่อง ตัวเองมีใครบริจาคสร้างตึกสักหลังมีไหมที่ด่า ๆ พระอยู่นั่น ลองเอาสลิปหรือหลักฐานมาแสดงบ้าง อย่าแสดงเพียงปัญญาแค่หางอึ่งเท่านั้น

อย่าได้พากันปรามาสหรือหิวแสงจะอาศัยจังหวะเล่นงานวัด เล่นงานพระเล่นงานศาสนา หาช่องทางเอาเรทติ้งก็เพลา ๆ ลงบ้าง

ขณะที่ ก่อนหน้านี้ พระปัญญาวชิรโมลี ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับมูลนิธิทั้ง 2 แห่ง ว่า มูลนิธิพระอาจารย์ศรี มหาวีโร และมูลนิธิอนุสรณ์พระกฐินต้น ทั้ง 2 มูลนิธินี้เป็นเครือข่ายเดียวกัน ก่อตั้งโดยอาจารย์ศรี มหาวีโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ก่อตั้งมา 50 ปี จึงทำให้มีลูกศิษย์ลูกหามากมายทั่วโลก ทางมูลนิธิได้ตั้งพระ 16 รูป และ ฆราวาสอีก 4 ท่าน เข้ามาเป็นกรรมการ ดูแลเรื่องการใช้จ่ายเงินต่าง ๆ ของมูลนิธิ 

ต่อมาอาจารย์ศรี มหาวีโร มรณภาพลงเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554  ทางคณะกรรมการจึงประชุมลงความเห็นกันว่า ให้พระอาวุโส 3 รูป เป็นผู้อนุมัติเซ็นอนุมัติเบิกจ่ายเงินในบัญชีได้ (การถอนแต่ละครั้งต้องมีลายเซ็นพระสามรูปนี้พร้อมกัน) โดยทุกครั้งที่จะนำเงินของมูลนิธิออกไปทำอะไร จะมีการเรียกประชุมคณะกรรมการทั้งหมด จะเปิดประชุมได้ก็ต่อเมื่อมีพระเข้าร่วมครึ่งหนึ่งของคณะกรรมการ แต่ตั้งแต่ปี 2556 มาจนถึงทุกวันนี้ (14 ปี) ไม่มีการเรียกประชุมแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้ตนผิดสังเกต จึงขอตรวจสอบเงินฝากของมูลนิธิ พบว่าเหลือเพียง 48,000 กว่าบาท ทั้งที่ปี 2557 มีเงินอยู่ประมาณ 803,000,000 บาท

ตนจึงทำการสืบสวนกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้ข้อมูลว่า ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน มีการเอาเงินจากมูลนิธิทั้ง 2 มูลนิธิไปทำประกันชีวิตให้พระและญาติโยมหลายร้อยท่าน โดยมีผู้รับผลประโยชน์เป็นชื่อของมูลนิธิ และมีการนำเงินมูลนิธิไปลงทุนกับธนาคาร และมีการนำธนบัตรของมูลนิธิไปขายขาดทุนอีก ทั้งนี้มีการปลอมลายเซ็นผู้มีอำนาจเบิกงาน และปลอมลายเซ็นผู้ซื้อประกัน 

หลังได้ข้อมูลละเอียด ตนก็มีการทวงเงินคืนจากธนาคารเรื่อยมา แต่ทางธนาคารก็ปฏิเสธการคืนเงิน ดังนั้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ตนกับฝ่ายกฎหมายจึงฟ้องศาลจังหวัดร้อยเอ็ดเรียกเงินคืน โดยศาลได้เห็นว่าคดีมีมูล และรับฟ้องเป็นคดีคุ้มครองผู้บริโภคเรียบร้อยแล้ว

‘ปฏิบัติการกรงเล็บอินทรี’ สหรัฐฯ บุกอิหร่านครั้งแรก เป้าช่วยตัวประกันแต่ผลลัพธ์พังพาบสังเวยทหาร 8 นาย

ปฏิบัติการครั้งนี้ประสบกับความล้มเหลว ทำให้ต้องสูญเสียทหารอเมริกันไป 8 นาย และต้องล้มเลิกแผนการในการใช้กองกำลังติดอาวุธเพื่อช่วยเหลือนักการทูตอเมริกันที่ถูกจับเป็นตัวประกันในอิหร่าน

ห้วงเวลานี้สงครามในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเข้ามายุ่งเกี่ยวพัวพันด้วยกำลังเป็นประเด็นที่โลกต้องจับตามอง จึงขอนำเอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติอิหร่าน 1979 ซึ่งเป็นการโค่นราชวงศ์ปาห์ลาวีภายใต้ “ชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี (Shah Pahlavi)” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และการแทนที่ด้วยสาธารณรัฐอิสลามภายใต้ “อยาโตลาโคมัยนี” ผู้นำการปฏิวัติ ผู้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์การฝ่ายซ้าย และองค์การอิสลามหลายแห่ง รวมทั้งขบวนการนักศึกษาอิหร่าน

ต่อมา วันที่ 4 พฤศจิกายน 1979 กลุ่มนักศึกษาปฏิวัติมุสลิมเคร่งศาสนา โกรธแค้นที่รัฐบาลสหรัฐฯ รับอดีตกษัตริย์ชาห์ ปาห์เลวี (Shah Pahlavi) แห่งอิหร่านให้ลี้ภัยในนสหรัฐอเมริกาได้ จึงได้บุกเข้ายึดและจับตัวผู้ที่ทำงานในสถานทูตสหรัฐในกรุงเตหะราน (Tehran) โดยนักการทูตอเมริกัน 52 คน ถูกกักตัวไว้นานถึง 444 วัน และที่สุดตัวประกันซึ่งเป็นนักการทูตของสหรัฐฯ ก็ได้รับการปล่อยตัว แต่การกักตัวทูตและนักการทูตในครั้งนั้น ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศในเรื่องความละเมิดที่มิได้เกี่ยวกับสถานที่ของคณะผู้แทนทางการทูต ตามข้อ22 แห่งอนุสัญญากรุงเวียนนา ว่าด้วยกฎหมายทางการทูต ปี 1961

โดยช่วงเวลาที่มีการกักตัวประกันไว้ในสถานทูตนั้น รัฐบาลสหรัฐฯ ได้มีความพยายามช่วยตัวประกัน โดยมี “ปฏิบัติการกรงเล็บอินทรีย์” (Operation Eagle Claw) ในวันที่ 24 เมษายน 1980 อันเป็นปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ต่ออิหร่านเป็นครั้งแรก ซึ่งปฏิบัติการนี้น่าจะเป็น “ปฏิบัติการกรงเล็บอินทรีหัก” (Operation Eagle Claw Broken) เสียมากกว่า เพราะว่าปฏิบัติการครั้งนี้ประสบกับความล้มเหลว ทำให้ต้องสูญเสียทหารอเมริกันไป 8 นาย และต้องล้มเลิกแผนการในการใช้กองกำลังติดอาวุธเพื่อช่วยเหลือนักการทูตอเมริกันที่ถูกจับเป็นตัวประกันในอิหร่าน

ปฏิบัติการกรงเล็บอินทรีย์ (Operation Eagle Claw) เป็นปฏิบัติการของกองทัพสหรัฐฯ ตามคำสั่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้นคือ Jimmy Carter ซึ่งพยายามยุติวิกฤติการณ์ตัวประกันในอิหร่านด้วยการส่งกำลังเข้าไปช่วยเหลือนักการทูต 52 คนที่ถูกควบคุมตัวภายในสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ณ กรุงเตหะราน เมื่อวันที่ 24 เมษายน 1980 ความล้มเหลวนำไปสู่การขายหน้าที่เกิดขึ้นเป็นการทำลายชื่อเสียงของสหรัฐฯ ไปทั่วโลก ทำให้ประธานาธิบดี Jimmy Carter ถูกตำหนิ จนเป็นผลให้พ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ในปี 1980 อันเนื่องมาจากความล้มเหลวในการช่วยเหลือตัวประกันสหรัฐฯ ให้เป็นอิสระ

“ปฏิบัติการกรงเล็บอินทรีย์” ถูกวางแผนไว้เป็นภารกิจ 2 คืน ในคืนแรกเครื่องบินทหารของสหรัฐฯ จะบินเข้าอิหร่านทางพื้นที่ชายฝั่งห่างไกล 60 ไมล์ (100 กม.) ทางตะวันตกของเมือง Chabahar และบินไปยังจุดรวมพล Desert One (พิกัด 33 ° 04′23″ N 55 ° 53′33″ E) ผ่านทางทะเลทราย Dasht-e Lut โดยจุดรวมพล Desert One จะได้รับการจัดตั้งและคุ้มกันโดยมีกองกำลังป้องกัน และมีน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 6,000 แกลลอนสหรัฐ (22,700 ลิตร) เตรียมไว้สำหรับอากาศยาน ซึ่งถูกนำเข้าพื้นที่โดยบรรจุในถังเชื้อเพลิงที่สามารถยุบตัวได้ ซึ่งโดยกองทัพอากาศสหรัฐฯ โดยเครื่องบินลำเลียงแบบ C-130 มีเครื่องบินสงครามอิเล็กทรอนิกส์แบบ EC-130Es 3 ลำ (นามเรียกขาน : Republic 4, 5, และ 6) ทำหน้าที่ส่งยุทโธปกรณ์และเสบียง และ MC-130E Combat Talons (นามเรียกขาน : Dragon 1 ถึง 3) นำหน่วย Delta Force พร้อมกับอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เข้าไปยังพื้นที่ปฏิบัติการ

ระหว่างการวางแผนมีการเตรียมเฮลิคอปเตอร์ชองกองทัพเรือสหรัฐฯแบบ RH-53D Sea Stallion ไว้ที่เรือบรรทุกเครื่องบิน USS Nimitz โดยลูกเรือของ Nimitz ไม่ทราบสาเหตุของการปรากฏตัวของเฮลิคอปเตอร์ 8 ลำบนเรือของพวกเขาเป็นเวลาหลายเดือน พวกเขาได้รับเพียงการบอกเล่าว่า เฮลิคอปเตอร์ใช้ในภารกิจปฏิบัติการกวาดทุ่นระเบิด แผนดังกล่าวกำหนดให้เฮลิคอปเตอร์รับการเติมเชื้อเพลิงและบินนำทหารหน่วย Delta Force เป็นระยะทาง 260 ไมล์ (420 กม.) ไปยังจุดนัดพบ Desert Two (พิกัด 35 ° 14′00″ N 52 ° 09′00″ E) อยู่ห่างจากกรุงเตหะรานราว 52 ไมล์ (84 กม.) ด้วยเวลาที่ใกล้เช้ารุ่งเช้า เฮลิคอปเตอร์และกองกำลังภาคพื้นดินจะถูกซ่อนพรางตัวในระหว่างกลางวัน ณ จุด Desert Two โดยการปฏิบัติการกู้ภัยจะเกิดขึ้นในคืนที่สอง เริ่มจากสายของ CIA ในอิหร่านจะนำรถบรรทุกไปยังจุด Desert Two ร่วมกับกองกำลังภาคพื้นดิน (หน่วย Delta Force) จากนั้นจะขับรถจากจุด Desert Two ไปยังกรุงเตหะราน ในขณะที่กองกำลังจู่โจมหลักกำลังเคลื่อนไปยังกรุงเตหะราน กองกำลังสหรัฐหน่วยอื่น ๆ จะตัดกระแสไฟฟ้าในพื้นที่เพื่อชะลอการตอบโต้ใด ๆ จากกองกำลังของอิหร่าน ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องบิน Gunship แบบ AC-130 จะบินไปยังกรุงเตหะรานเพื่อทำการยิงสนับสนุนในกรณีที่จำเป็น

ท้ายสุดแล้ว กองกำลัง Ranger จะทำการยึดฐานทัพอากาศ Manzariyeh ที่อยู่ใกล้เคียง (พิกัด 34 ° 58′58″ N 50 ° 48′20″ E) เพื่อให้เครื่องบิน C-141 Starlifter ลงจอด กองกำลังภาคพื้นดินจะทำการโจมตีสถานทูต และกำจัดผู้คุม หลังจากนั้นจะพาตัวประกันและกองกำลังไปยังจุดนัดพบกับเฮลิคอปเตอร์ในฝั่งตรงข้ามบริเวณสนามกีฬา Amjadieh แล้วเฮลิคอปเตอร์จะพาทุกคนไปยังฐานทัพอากาศ Manzariyeh ขึ้น C-141s เพื่อบินพาทุกคนกลับไปยังดินแดนที่เป็นมิตร การป้องกันทางอากาศจะให้ กองบินนาวีที่ 8 (CVW-8) ปฏิบัติการจาก USS Nimitz และ กองบินนาวีที่ 14 (CVW-14) ปฏิบัติการจาก USS Coral Sea ในปฏิบัติการนี้เครื่องบินรบจะติดแถบพิเศษเพื่อระบุตัวตนที่ปีกขวา ประกอบด้วย กองบินนาวีที่ 14 (CVW-14) เครื่องบินรบแบบ F-4Ns ติดแถบสีแดงสำหรับกองบินขับไล่โจมตีนาวิกโยธินที่ 323 (VMFA-323) หรือสีเหลืองสำหรับกองบินขับไล่โจมตีนาวิกโยธินที่ 323 (VMFA-531) แถบสีดำ 2 แถบของกองบินนาวีที่ 14 (CVW-14) เครื่องบินจู่โจมแบบ A-7s และ A-6s มีแถบสีส้มล้อมรอบด้วยแถบสีดำ 2 แถบ เพราะมีเครื่องบินซึ่งคล้ายกัน (เพื่อช่วยแยกแยะเครื่องบินสหรัฐจากเครื่องบินอิหร่านที่ซื้อจากสหรัฐอเมริกา) คือ เครื่องบินขับไล่แบบ F-14 Tomcats และ F-4 Phantoms

แต่เมื่อมีการปฏิบัติจริง มีเพียงการส่งหน่วยระวังป้องกัน/ทีมกู้ภัย อุปกรณ์ และเชื้อเพลิงโดยเครื่องบิน C-130 เท่านั้นที่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ หน่วยปฏิบัติการพิเศษออกจากฐานบินบนเกาะ Masirah ประเทศโอมาน และบินไปยังจุด Desert One โดย Dragon 1 บินถึงเวลา 22:45 ตามเวลาท้องถิ่น หลังจากมีการเปิดไฟที่ซ่อนอยู่ การลงจอดภายใต้สภาพที่มืดมิดโดยใช้ระบบแสงอินฟราเรดบนลานบิน ซึ่งสามารถเห็นได้ด้วยแว่นมองกลางคืนเท่านั้น ด้วย Dragon 1 บรรทุกน้ำหนักมหาศาล ในการลงจอด แม้จะมีตรวจสอบว่าไม่มีสิ่งกีดขวางบนทางวิ่ง แต่ก็เกิดความเสียหายต่อปีกเครื่องบินจากการปะทะสิ่งกีดขวาง และต้องทำการซ่อมบนภาคพื้นดินในภายหลัง แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ และเครื่องบินยังคงบินได้

กองกำลังภาคพื้นดินประกอบด้วยหน่วย Delta Force 93 นายเตรียมบุกโจมตีสถานทูต โดยหน่วยจู่โจมพิเศษ 13 คนจากหน่วย "A" กองพล Berlin จะเข้าจู่โจมกระทรวงการต่างประเทศ Ranger อีก 12 นาย จะจัดตั้งแนวกีดขวาง และกำลังผสมอิหร่านและอเมริกันซึ่งพูดฟาร์ซีได้ 15 นาย ซึ่งส่วนใหญ่จะทำหน้าที่เป็นคนขับรถบรรทุก ทีมควบคุมการปฏิบัติการรบ (Combat Control Team : CCT) จัดตั้งเขตลงจอดขนานทางตอนเหนือของถนนลูกรัง และติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณ TACAN เพื่อเป็นแนวลงจอดของเฮลิคอปเตอร์ เครื่องบิน MC-130s ลำที่ 2 และ 3 ลงจอดโดยใช้ทั้งรันเวย์ และปล่อยส่วนที่เหลือของหน่วย Delta Force หลังจากที่ Dragon 1 และ 2 บินออกในเวลา 23:15 เพื่อให้มีพื้นที่ว่างสำหรับ EC-130 และ ฮ. RH-53D 8 ลำ และกลับไปที่ ฐานบิน ซึ่งจะอนุญาตให้ลูกเรือเตรียมพร้อมสำหรับการปฏิบัติการในคืนที่สอง

ไม่นานหลังจากที่ลูกเรือคนแรกลงพื้น และเริ่มเฝ้าระวัง จุด Desert One มีรถบรรทุกซึ่งขนน้ำมันเถื่อนวิ่งผ่านจึงถูกยิงจนระเบิดด้วยจรวดประทับไหล่โดยทีมกั้นถนนของหน่วย Ranger ขณะพยายามหลบหนีออกจากพื้นที่ คนในรถบรรทุกเสียชีวิต แต่คนขับพยายามหลบหนีด้วยรถกระบะที่มาด้วยกัน ในขณะที่รถบรรทุกน้ำมันที่ถูกประเมินว่า มีส่วนร่วมในการลักลอบขนน้ำมันโดยตัวคนขับรถก็ไม่ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของภารกิจ แต่เปลวไฟที่เกิดขึ้นสว่างมากในยามค่ำคืนเห็นได้ในระยะหลายไมล์ จึงเป็นการชี้ทางไปยังจุด Desert One สำหรับเฮลิคอปเตอร์ที่ยังไม่ลงจอด รถบัสพร้อมคนขับและผู้โดยสารพลเรือนชาวอิหร่าน 43 คน ซึ่งเดินทางบนถนนสายเดียวกัน ซึ่งตอนนั้นเป็นรันเวย์สำหรับเครื่องบินถูกบังคับให้จอด และทั้งหมดถูกควบคุมตัวในเครื่องบิน Republic 3

ระหว่างทาง เฮลิคอปเตอร์ Bluebeard 6 ต้องลงจอดฉุกเฉินกลางทะเลทราย เมื่อนักบินอ่านค่าของเซ็นเซอร์ซึ่งระบุว่า ใบพัดร้าว โดย ฮ. Bluebeard 8 ได้รับเอาลูกเรือของฮ. Bluebeard 6 ออกจากพื้นที่ เฮลิคอปเตอร์ที่เหลือบินเข้าไปในสภาพอากาศที่ไม่คาดคิดที่รู้จักกันในชื่อ Haboob (เมฆฝุ่นขนาดมหึมาที่เกือบจะทึบแสงซึ่งเกิดตามพายุฝนฟ้าคะนอง) Bluebeard 5 บินเข้า haboob ต้องละภารกิจ และบินกลับไปยัง USS Nimitz เมื่ออุปกรณ์เครื่องวัดประกอบการบินทำงานผิดปกติ ทำให้ต้องบินโดยปราศจากอุปกรณ์ฯ แต่การบินด้วยสายตาก็เป็นไปไม่ได้ การก่อตัวกระจัดกระจายมาถึงจุด Desert One นาน 50 ถึง 90 นาที ตามกำหนดการ Bluebeard 2 มาถึง Desert One เมื่อเวลา 01:00 น. ด้วยระบบไฮดรอลิกชุดหนึ่งเกิดขัดข้อง แต่ระบบดังกล่าวมี 2 ชุด จึงทำให้มีระบบไฮดรอลิกเพียงชุดเดียวในการควบคุมเฮลิคอปเตอร์ให้บินได้

ดังนั้นจึงเหลือเฮลิคอปเตอร์เพียง 5 ลำเท่านั้นที่จะบินส่งทหารและอุปกรณ์ไปยัง Desert Two ซึ่งผบ.ภาคสนามคิดว่า ภารกิจคงต้องยกเลิก และแล้วภารกิจก็มาถึงจุดจบ เมื่อนักบินปฏิเสธที่จะใช้เฮลิคอปเตอร์ Bluebeard 2 ในภารกิจ ขณะที่ผบ.ภาคสนามเองก็ปฏิเสธที่จะลดขนาดทีมกู้ภัย ซึ่งคาดว่า อาจจะสูญเสียเฮลิคอปเตอร์เพิ่มในเวลาต่อมา จึงมีการแจ้งขอยกเลิกภารกิจผ่านวิทยุสื่อสารดาวเทียมถึงประธานาธิบดี หลังจากนั้นสองชั่วโมงครึ่งก็ได้รับคำสั่งให้ยกเลิกภารกิจ

ขณะถอนกำลังเกิดอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งชนเข้ากับเครื่องบินลำเลียงโดยใบพัดหลักฟันกับแพนหางของเครื่องบินและลำตัวชนเข้ากับโคนปีกจนเกิดเพลิงไหม้ เป็นเหตุให้ลูกเรือเฮลิคอปเตอร์ซึ่งสังกัดกองกำลังนาวิกโยธิน 3 ใน 5 นายเสียชีวิต ลูกเรือเครื่องบินลำเลียงของกองทัพอากาศเสียชีวิต 5 จาก 14 นาย ระหว่างการอพยพไปยังเครื่องบินลำเลียงแบบ EC-130s ลูกเรือเฮลิคอปเตอร์พยายามในการค้นเอกสารภารกิจลับ และทำลายเฮลิคอปเตอร์ ลูกเรือเฮลิคอปเตอร์ทั้งหมดขึ้นเครื่อง EC-130s โดยทิ้งเฮลิคอปเตอร์ RH-53 ทั้ง 5 ลำไว้ข้างหลัง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสภาพไม่บุบสลาย และบางส่วนได้รับความเสียหายจากกระสุน ต่อมาเฮลิคอปเตอร์ Bluebeards 2 และ 8 ถูกกองทัพเรือแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านนำไปใช้งาน เครื่องบิน EC-130E (Republic 5) ซึ่งกลับมาอย่างปลอดภัย และถูกปลดจากกองทัพอากาศสหรัฐในเดือนมิถุนายน 2013 ปัจจุบันตั้งแสดง ณ พิพิธภัณฑ์การบิน Carolinas

เครื่องบิน EC-130s ได้นำกำลังที่เหลือกลับไปยังสนามบินที่เกาะ Masirah โอมาน โดยมีเครื่องบินลำเลียงทางการแพทย์แบบ C-141 2 ลำจากฐานทัพอากาศ Wadi Abu Shihat, อียิปต์ เพื่อรอรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ลูกเรือเฮลิคอปเตอร์ สมาชิกหน่วย Rangers และ หน่วย Delta Force ถูกพากลับไปฐานทัพอากาศ Wadi Kena ส่วนผู้บาดเจ็บถูกส่งไปยังฐานทัพอากาศ Ramstein ในเยอรมันตะวันตก (ขณะนั้น) ทีม CIA ประจำกรุงเตหะรานถอนตัวออกจากอิหร่านโดยไม่ทิ้งร่องรอย

ทำเนียบขาวประกาศว่า ปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกันล้มเหลวเมื่อเวลา 01:00 น. ของวันถัดไป ตัวประกันในสถานทูตได้ถูกกระจายไปทั่วประเทศอิหร่านในภายหลังเพื่อให้การช่วยเหลือครั้งที่ 2 เป็นไปไม่ได้ เจ้าหน้าที่ของกองทัพอิหร่านพบศพ 9 ศพ เป็นชาวอเมริกัน 8 ศพ และพลเรือนอิหร่านอีก 1 ศพ ส่วนพลเรือนชาวอิหร่าน 44 คนบนรถบัสที่ถูกกักตัวก็ได้เล่าเรื่องราวของปฏิบัติการนี้ให้เจ้าหน้าที่ของกองทัพอิหร่าน มีการจัดทำแผ่นป้ายรำลึกถึงทหารรสหรัฐ 8 นาย ซึ่งเสียชีวิตระหว่างการปฏิบัติภารกิจ ในสุสานแห่งชาติ Arlington วันที่ 25 เมษายน 1980 พลตรี Robert M. Bond ได้อ่านคำสดุดีของประธานาธิบดี Jimmy Carter ที่พิธีศพเพื่อแสดงความระลึกถึงพวกเขาเหล่านั้น พลเรือเอก James L. Holloway III (เกษียณ) อดีตผู้บัญชาการฝ่ายปฏิบัติการกองทหารเรือ ได้ทำการสอบสวนอย่างเป็นทางการในปี 1980 อ้างถึงข้อบกพร่องในการวางแผนของภารกิจ คำสั่ง และการควบคุม และความสามารถในการปฏิบัติการร่วม และกลายเป็นตัวเร่งให้มีการจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม และรัฐบัญญัติ Goldwater-Nichols ในปี 1986

ความล้มเหลวของการปฏิบัติการร่วม ซึ่งขาดความพร้อมเพรียงทำให้เกิดการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ ๆ ในอีกหลายปีต่อมา ได้แก่ หน่วยปฏิบัติการพิเศษของสหรัฐอเมริกา (USSOCOM) เริ่มปฏิบัติงานเมื่อวันที่ 16 เมษายน 1987 โดยแต่ละเหล่าทัพมีหน่วยปฏิบัติการพิเศษของตนเองภายใต้การควบคุมปฏิบัติการร่วมโดย USSOCOM การขาดนักบินเฮลิคอปเตอร์ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี มีความสามารถในการบินกลางคืนระดับต่ำ ซึ่งจำเป็นสำหรับภารกิจในปฏิบัติการของหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ทันสมัย ทำให้เกิดหน่วยบินปฏิบัติการพิเศษที่ 160 (SOAR) (Night Stalkers) นอกจากหน่วยบินปฏิบัติการพิเศษที่ 160 (SOAR) แล้ว กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยังได้ฝึกนักบินเฮลิคอปเตอร์จำนวนมากให้สามารถบินเจาะทะลุในระดับต่ำ สามารถเติมน้ำมันกลางอากาศ และใช้แว่นมองกลางคืน ทำการบินเฮลิคอปเตอร์แบบ MH-47, CH-53E, MH-60 และ MV-22 รวมถึงเพิ่มความสามารถในการบินเพื่อปฏิบัติการพิเศษ ความล้มเหลวนำมาสู่การพัฒนาเทคนิควิธีในการปฏิบัติการพิเศษมากมาย ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจประจำของ USSOCOM่

ประธานาธิบดี Carter ยังคงพยายามให้ตัวประกันถูกปล่อยตัว ก่อนการสิ้นสุดของสมัยของประธานาธิบดี Carter วันที่ 20 มกราคม 1981 ไม่กี่นาทีหลังจากสิ้นสุดวาระของ Carter ตัวประกัน 52 คนที่ถูกกักขังในอิหร่านได้รับการปล่อยตัว สิ้นสุด 444 วันวิกฤติตัวประกันอเมริกันในอิหร่าน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ Cyrus R. Vance เชื่อว่า ปฏิบัติการนี้จะไม่ประสบผล และอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตของตัวประกัน จึงเลือกที่จะลาออก โดยไม่คำนึงว่าภารกิจสำเร็จหรือไม่ Ruhollah Khomeini ประณามประธานาธิบดี Carter และในคำพูดหลังจากเหตุการณ์โดยอ้างพระเจ้าโยนทรายเพื่อปกป้องอิหร่าน เขากล่าวว่า "ใครเป็นคนทำลายเฮลิคอปเตอร์ของ Carter? เราทำ? ทรายทำ! ตัวแทนของพระเจ้า ลมเป็นตัวแทนของพระเจ้า ... ทรายเหล่านี้เป็นตัวแทนของพระเจ้า พวกเขา (อเมริกัน) สามารถลองของได้อีก!

เหตุวิกฤติจบลงในที่สุด เมื่อมีการลงนามในสัญญา Algiers Accords ในประเทศอัลจีเรียในวันที่ 19 มกราคม 1981 และมีการปล่อยตัวประกันเมื่อวันที่ 21 มกราคม 1981 ในข้อตกลง มีการปล่อยตัวคนอเมริกันที่ถูกกักตัวในอิหร่าน และอีกด้านหนึ่ง มีการปล่อยตัวคนสัญชาติอิหร่านที่ต้องโทษในสหรัฐอเมริกา แต่สนธิสัญญานี้ครอบคลุมเพียงด้านกฎหมาย แต่ในวันที่ 7 เมษายน 1980 สหรัฐอเมริกาได้ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านในวันที่ 24 เมษายน 198เรื่อง: ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล 

ปตท. แข็งแกร่งครองบริษัทชั้นนำอันดับ 1 ในไทย พร้อมอันดับ 2 ในอาเซียนจาก Fortune 2 ปีซ้อน

(27 มิ.ย.68) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ในไทยและอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จาก Fortune Southeast Asia 500 ซึ่งสะท้อนการดำเนินงานของ ปตท. บนหลัก “ยั่งยืนอย่างสมดุล” ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” หรือ “TOGETHER FOR SUSTAINABLE THAILAND, SUSTAINABLE WORLD” โดยมีพันธกิจในการ “สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย สร้างการเติบโตควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก”

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) กล่าวว่า แม้ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์พลังงานที่มีความผันผวน และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในปีที่ผ่านมา ทำให้มั่นใจว่า ปตท. เดินกลยุทธ์ถูกทิศทาง สามารถรับมือกับปัจจัยภายนอกและความท้าทายได้เป็นอย่างดี รวมถึงได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่ 1 ในประเทศ และเป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จาก Fortune Southeast Asia 500

ดร.คงกระพัน ย้ำว่า ปตท. มีกลยุทธ์มุ่งเน้นธุรกิจหลัก Hydrocarbon สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ สร้างการเติบโตควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาทิ การแสวงหาแหล่งพลังงานในกับประเทศผ่านธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่งมีการเติบโตที่ดีในต่างประเทศด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจ LNG ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย LNG ในภูมิภาค การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ปรับพอร์ตธุรกิจ Non-Hydrocarbon โดยธุรกิจต้องมีความน่าสนใจ (Attractiveness) และ ปตท. มี Right to Play หรือมีจุดแข็ง และมี Partner ที่แข็งแรง หลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง อีกทั้งกลุ่ม ปตท. ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 โดยดำเนินการอย่างบูรณาการร่วมกันทั้งกลุ่ม ปตท. ศึกษาความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS) รวมถึงพัฒนา CCS Hub Model เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ปตท. และอุตสาหกรรมในประเทศ 

รวมถึงโอกาสขยายผลสู่ระดับภูมิภาคในอนาคตต่อไป พร้อมแสวงหาโอกาสในธุรกิจไฮโดรเจนสำหรับภาคอุตสาหกรรม จัดหาไฮโดรเจนและแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ และการประยุกต์ใช้ในภาคการผลิตไฟฟ้าเพื่อเป็นต้นแบบในการขยายผลเชิงธุรกิจ นอกจากนี้กลุ่ม ปตท. พร้อมเร่งสร้างความแข็งแรงภายใน สร้างมูลค่าเพิ่มจากความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. ผ่านโครงการสำคัญต่าง ๆ ยกระดับ Operational Excellence เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน มีแผนงานและเป้าหมายเป็นรูปธรรม 

ขณะเดียวกัน ยังได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ซึ่งสามารถยกระดับผลกำไรได้ รวมทั้งเสริมความแข็งแกร่งด้วยการรักษาวินัยทางการเงินและการลงทุนอย่างเคร่งครัด ตลอดจนบริหารสภาพคล่องกระแสเงินสดภายในกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพ ยึดหลักการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล (Good Governance) ดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล สร้างผลตอบแทนที่เหมาะสม พัฒนาคุณภาพชีวิตของสังคมไทย เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคมและผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ นิตยสาร Fortune เป็นนิตยสารธุรกิจ เศรษฐกิจ และการเงิน ที่ได้รับความน่าเชื่อถือ และวางจำหน่ายทั่วโลก โดยได้เริ่มจัดอันดับบริษัทชั้นนำของโลก 500 อันดับ (Fortune Global 500) ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2498 สำหรับ Fortune Southeast Asia 500 เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2567 เพื่อเป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จ แสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินงาน การเติบโต แนวโน้ม และทิศทางของธุรกิจ พร้อมสร้างโอกาสในการขยายตลาดให้แก่ธุรกิจในภูมิภาคนั้น ๆ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจโลกเติบโตอย่างแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย

ญี่ปุ่นประหารชีวิต ‘ฆาตกรทวิตเตอร์’ ก่อเหตุสังหารเหยื่อ 9 คน ภายใน 2 เดือน

(27 มิ.ย. 68) ญี่ปุ่นกลับมาใช้โทษประหารอีกครั้งในรอบ 3 ปี เมื่อล่าสุดทางการญี่ปุ่นสั่งแขวนคอนายทาคาฮิโระ ชิราอิชิ วัย 34 ปี ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญหญิงสาว 8 ราย และชาย 1 ราย ภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือน 

โดยญี่ปุ่นได้ดำเนินการประหารชีวิต ชิราอิชิ ด้วยการแขวนคอเมื่อวันศุกร์ที่เรือนจำโตเกียว ซึ่งการประหารชีวิตในญี่ปุ่นเป็นไปอย่างลับๆ โดยปกติแล้ววันที่ประหารชีวิตจะไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ จนกว่าจะมีการดำเนินการแล้วเสร็จ

สำหรับคดีของชิราอิชิ ได้ใช้แพลตฟอร์มทวิตเตอร์ (ปัจจุบันคือ X) ล่อลวงเหยื่อที่โพสต์ว่ามีความคิดอยากปลิดชีพตัวเอง เขาหลอกว่าจะช่วยพวกเธอจบชีวิต หรือพร้อมจบชีวิตไปด้วยกัน แต่สุดท้ายกลับสังหารเหยื่อและหั่นศพ บางส่วนถูกซ่อนในกล่องและถังในห้องพัก พร้อมใช้ทรายแมวกำจัดกลิ่น

รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม เคย์สุเกะ ซูซูกิ ระบุว่าอาชญากรรมของชิไรชิในปี 2017 มีทั้งการล่อลวง ข่มขืน ปล้น ฆาตกรรม และอำพรางศพ เหยื่อทั้งหมดถูกตีหรือรัดคอจนเสียชีวิตก่อนนำศพไปซ่อน บางส่วนถูกทิ้งในถังขยะ พฤติกรรมของเขาถูกอธิบายว่า “เห็นแก่ตัวและสุดโต่งเกินไป” เพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศและเงิน

แม้ทีมทนายความพยายามให้เหตุผลว่าผู้เสียชีวิตมีแนวโน้มปลิดชีพตัวเองอยู่แล้ว บางรายอาจยินยอม อย่างไรก็ตามศาลญี่ปุ่นปฏิเสธ โดยชี้ว่าชิราอิชิฉวยโอกาสจากผู้เปราะบาง และการกระทำของเขา “โหดเหี้ยมเกินมนุษย์”

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นยังคงมีโทษประหารชีวิตสำหรับคดีรุนแรง เช่น ฆาตกรรมต่อเนื่องหรือฆ่าอย่างโหดเหี้ยม เป็นประเทศพัฒนาแล้วเพียงไม่กี่แห่งที่ยังใช้โทษนี้ การสำรวจชี้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังสนับสนุน โดยเฉพาะในคดีสะเทือนขวัญที่สังคมเห็นว่าผู้กระทำ “ไม่ควรมีโอกาสแก้ตัว”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top