Friday, 27 June 2025
ค้นหา พบ 49052 ที่เกี่ยวข้อง

ตรวจการบ้าน ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ จาก 22 เดือนในตำแหน่ง รมว.พลังงาน

หลังจากที่ 'พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2566 ก็ได้ทำการสังคายนาโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ อันเป็นการพลิกโฉมพลังงานไทยในภาพรวมทั้งระบบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับพี่น้องประชาชนคนไทย โดยมีการช่วยเหลือประชาชนโดยการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน ค่าก๊าซหุงต้ม รวมทั้งการกำกับการบริหารจัดการแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยให้สามารถดำเนินการได้ตามแผนการผลิต นอกจากนั้นแล้ว มีการบริหารให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติใช้ก๊าซในราคา Pool Gas (ราคาเฉลี่ยจากทุกแหล่งที่มา) ซึ่งได้ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าสามารถลดลงได้ มีการออกแบบนโยบายและนำไปสู่การปฏิบัติด้วยแนวทาง 'รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง' เพื่อเปลี่ยนผ่านพลังงานสู่ความยั่งยืน อันเป็นการสร้างระบบราคาเชื้อเพลิงพลังงานที่เป็นธรรมให้พี่น้องประชาชนคนไทย โดยแนวทางดังกล่าวมีนิยามพอสังเขปดังนี้ :

- รื้อ : รื้อ...ระบบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้ง 'ต้นทุน' ให้กับหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแล
- ลด : ลด...ภาระค่าน้ำมันเชื้อเพลิงรายวัน โดยกำหนดราคาขายปลีกให้สอดคล้องและสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง 
- ปลด : ปลด...พันธนาการ 'น้ำมันแพง' ที่ประชาชนต้องแบกรับจากภาวะขึ้นลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก
- สร้าง : สร้าง...ระบบราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นธรรมและยั่งยืน ส่วนหนึ่งคือการสร้างกลไกที่เรียกว่า SPR (Strategic Petroleum Reserve หมายถึง ระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานและสร้าง เสถียรภาพราคาเชื้อเพลิง)

แนวทาง 'รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง' ขับเคลื่อนด้วยกระบวนการบันได 5 ขั้น ซึ่งเริ่มขึ้นแล้ว อันได้แก่ :

ขั้นที่ 1 ดำเนินการสำเร็จแล้ว ‘ตรึงราคาพลังงาน’ : ใน 6 เดือนแรกของการกำกับดูแลรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน “พีระพันธุ์” ได้สั่งการให้เร่งรัดเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ด้วยการตรึงราคาพลังงานเชื้อเพลิง ทั้งค่าไฟฟ้า น้ำมัน และก๊าซหุงต้ม พร้อมทั้งหาช่องทางในการปรับรื้อระบบเพื่อแก้ไขปัญหาที่หมักหมมมานานไม่ต่ำกว่า 40 ปี โดยเฉพาะปัญหาเรื่องราคาน้ำมัน โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนแรก ในการศึกษาปัญหาและค้นหาวิธีการที่จะรู้ต้นทุนราคาน้ำมันที่กระทรวงพลังงานไม่เคยรู้ และทุกฝ่ายบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำได้! เพราะไม่มีอํานาจ และจะมีอํานาจได้ก็ต้องแก้ไขกฎหมายหลายฉบับเพื่อให้รู้ต้นทุนราคาน้ำมันที่แท้จริงของผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิง 

ขั้นที่ 2 ดำเนินการสำเร็จแล้ว “แก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง” : หลังจากได้ศึกษากฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งหมด เพื่อให้รู้ต้นทุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จนพบช่องทางที่แฝงอยู่ในกฎหมายว่าด้วยการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีอยู่ในปัจจุบัน นำมาสู่การดำเนินงาน 'บันไดขั้นที่ 2' โดย 'พีระพันธุ์' ได้ลงนามประกาศกระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2567 'รื้อ' ระบบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งต้นทุนให้กับหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลทุกวันที่ 15 ของเดือน ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 51 ปี มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2567 จึงทำให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 15 เมษายน พ.ศ. 2567 เป็นต้นมา

ขั้นที่ 3 อยู่ในระหว่างการดำเนินการ 'รื้อระบบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง' โดย 'พีระพันธุ์' ได้สั่งให้มีการ “รื้อระบบการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง” โดยผู้ค้าต้องแจ้งให้กระทรวงพลังงานทราบก่อน และให้ผู้ค้าปรับราคาขายปลีกน้ำมันได้เพียงเดือนละหนึ่งครั้ง ไม่ใช่ปรับราคากันทุกวันเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  โดยจะนำระบบ Cost Plus ซึ่งเป็นระบบที่คิดราคาตามต้นทุนที่แท้จริง เข้ามาใช้แทนการอ้างอิงราคาน้ำมันต่างประเทศ และมีอีกหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประชาชน รวมไปถึงเรื่องของการจำหน่ายก๊าซหุงต้มด้วย ให้ปรับราคาได้ตามความเป็นจริงตามที่ราคาตลาดโลกสูงกว่าราคาต้นทุนเฉลี่ยของผู้ค้าน้ำมันในงวดเดือนนั้น ๆ  ณ วันที่มีการปรับราคานั้น เพื่อ 'ลด' ภาระค่าน้ำมันเชื้อเพลิงรายวันที่ไม่มีความเสถียรแน่นอนเป็นการกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดคล้องและสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้บริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ให้บริการสาธารณะกุศล รวมไปถึงสหกรณ์การเกษตร การประมง สามารถจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงมาใช้ได้เอง

ขั้นที่ 4 อยู่ระหว่างการเตรียมดำเนินการ 'ปรับระบบสำรองน้ำมัน' โดย 'พีระพันธุ์' ได้สั่งให้มีการศึกษาข้อมูลของประเทศต่าง ๆ เพื่อเตรียมจัดทำระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ หรือ SPR อย่างเร่งด่วน โดยจะนำระบบนี้มารักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับที่รัฐบาลสามารถควบคุมราคาได้เอง เพราะ SPR จะช่วยให้ไทยมีความมั่นคงทางพลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในระยะสั้นจากปัจจุบันผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นผู้จัดเก็บน้ำมันสำรองเพื่อการพานิชย์ซึ่งปริมาณที่จัดเก็บสามารถรองรับการใช้งานในประเทศเพียงไม่เกิน 30 วันเท่านั้น กรณีฉุกเฉินหรือเกิดวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิง เช่นกรณีหากเกิดสงครามระหว่างอิสราเอล-อิหร่านขึ้นจะไม่ทำให้มีผลกระทบกับพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งราคาและ Supply น้ำมัน และระบบ SPR นี้สามารถใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับที่รัฐบาลกำหนดได้เองโดยไม่กระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลก (ทำให้ปัญหาการขึ้นลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกเป็นเรื่องระหว่างรัฐกับผู้ค้าน้ำมัน โดยประชาชนผู้บริโภคไม่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง) รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานจะเป็นผู้ถือครองน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองให้เพียงพอต่อการใช้งานได้นานขึ้นเป็น 50-90 วันเป็นไปตามมาตรฐานของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ทั้งยังเป็นการ ‘ปลด’ พันธนาการชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทยที่ต้องรับผลกระทบจากภาวะขึ้นลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกได้อย่างสิ้นเชิง เป็นการเปลี่ยนกองทุนน้ำมันฯ ที่ใช้เงินและสร้างหนี้สาธารณะ ให้กลายเป็นน้ำมันสํารองซึ่งเป็นทรัพย์สินของประเทศแทน

ขั้นที่ 5 อยู่ในระหว่างการเตรียมดำเนินการ 'สร้างพลังงานยุคใหม่' โดย 'พีระพันธุ์' ได้สั่งให้มีการศึกษาข้อมูลของประเทศต่าง ๆ เพื่อเตรียม 'สร้าง' ระบบราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นธรรมและยั่งยืนเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทย ด้วยการนำผลสรุปการศึกษารวบรวมมาพิจารณาในการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ทั้งหมด โดยประกอบด้วย กฎหมายสร้างระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ และกฎหมายกำกับกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งเพิ่มกฎหมายอีกหนึ่งฉบับคือกฎหมายส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ เพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ประชาชนอย่างยั่งยืน เพื่อให้สามารถดำเนินการตามขั้นตอนที่ 3 และ 4 ให้สำเร็จลุล่วงอย่างมั่นคงและมีต่อเนื่องความยั่งยืน

ณ วันนี้ แนวทาง รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง ระบบพลังงาน ตามเป้าหมายบันได 5 ขั้นของ 'พีระพันธุ์' ได้ดำเนินการผ่านมาแล้ว 2 ขั้น และกำลังเร่งดำเนินการในขั้นที่ 3 (ซึ่งกำลังใกล้จะสำเร็จแล้ว) และขั้นที่ 4 ได้ดำเนินการไปพร้อมกับการเตรียมการในขั้นที่ 5 เพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านพลังงาน  และเพื่อให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้ใช้พลังงานเชื้อเพลิงในราคาที่เป็นธรรม ไม่ต้องแบกภาระความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก ในขณะที่ผู้ประกอบธุรกิจน้ำมันก็จะได้รับการกำกับดูแลอย่างเหมาะสม สร้างความเป็นธรรมเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย

ดังนั้น สิ่งต่าง ๆ ที่ 'พีระพันธุ์' ทำมาเป็นประโยชน์อย่างมากมายกับ “ประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทย” แต่เป็นเรื่องที่ขัดผลประโยชน์ของ “กลุ่มทุนพลังงาน” จนทำให้ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ต้องแตกเป็นก๊ก แบ่งเป็นฝ่าย ซึ่งพี่น้องประชาชนคนไทยหากได้คิดพิจารณา ใคร่ครวญ อย่างละเอียดและถี่ถ้วนแล้ว น่าจะได้สังเกตเห็นและมองออกว่า 'พีระพันธุ์' ในตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน” นั้นทำเพื่อ “ประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทย” อย่างเต็มที่ และเป็นโอกาสเดียว ด้วยเหตุที่ไม่เคยมี “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน” ได้พยายาม “คิดและทำ” แบบนี้มาก่อนเลย หากภารกิจเพื่อ “ประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทย” ของ 'พีระพันธุ์' ไม่สำเร็จเสร็จสิ้นในรัฐบาลชุดนี้แล้ว “ประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทย” ก็จะตกเป็น “เบี้ยล่าง” ของ “กลุ่มทุนพลังงาน” ตลอดไป

‘ฮุน เซน’ ปูดแผน ‘ทักษิณ’ ป่วยทิพย์หลอกคนไทย ลั่น!! เห็นกับตาไม่มีอาการป่วย แต่เมื่อถ่ายรูปกลับสวมเฝือก

(27 มิ.ย. 68) สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ออกมาเปิดเผยต่อสาธารณะเกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรีไทย นายทักษิณ ชินวัตร โดยระบุว่า ทักษิณแกล้งป่วยหลายโรคเพื่อหลบเลี่ยงโทษทางกฎหมาย 

รายงานจากเฟรชนิวส์และพนมเปญโพสต์ระบุว่า ในการปราศรัยที่จังหวัดพระวิหาร ฮุนเซนกล่าวว่า เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2567 เขาเข้าพบนายทักษิณ ซึ่งขณะนั้นดูปกติดี ไม่มีอาการป่วยใด ๆ แต่เมื่อถ่ายรูปกลับสวมเฝือกคอและชุดผู้ป่วย เพื่อหลอกสายตาประชาชนและเจ้าหน้าที่ฝั่งไทย

ฮุนเซนยังเปิดเผยว่า ความสัมพันธ์ส่วนตัวตลอด 30 ปีกับทักษิณต้องสิ้นสุดลง เพราะรู้สึกถูกดูหมิ่นจากแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ซึ่งเขากล่าวว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาออกมาเปิดเผยความจริงทั้งหมด

นอกจากนี้ ฮุนเซนยังตั้งคำถามต่อรัฐบาลไทยว่า หากเชื่อว่ากัมพูชารุกล้ำดินแดนจริง เหตุใดจึงไม่ดำเนินการอย่างเป็นทางการผ่านศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ พร้อมเรียกร้องให้ไทยแสดงความชัดเจนในเวทีสากล ไม่ใช่กล่าวหาเพียงลอย ๆ

‘ทหารพราน’ รวบชาวไทยลอบข้ามแดนไป-กลับกัมพูชา สองจุดตรวจจับได้ 43 ราย เผยจุดหมายปอยเปตทั้งสิ้น

เมื่อวันที่ (25 มิ.ย.68) เจ้าหน้าที่กองร้อยทหารพราน ฉก.อรัญประเทศ คุมเข้มแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะบริเวณด่านคลองลึก จ.สระแก้ว ตรวจพบกลุ่มบุคคลลักลอบข้ามแดนใกล้บ้านผ่านศึก ต.ผ่านศึก อ.อรัญประเทศ จึงประสานผู้นำท้องถิ่นเข้าตรวจสอบและจับกุมได้ทั้งหมด 33 คน เป็นชาย 20 หญิง 12 และเด็กชาย 1 คน ทั้งหมดเป็นชาวไทยที่เดินทางกลับจากกรุงปอยเปต กัมพูชา

กลุ่มดังกล่าวให้การว่าเคยทำงานอยู่ในฝั่งกัมพูชา แต่ต้องการเดินทางกลับไทยเนื่องจากสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ไม่แน่นอน พยายามเลี่ยงด่านตรวจโดยอ้อมออกจากเส้นทางหลักและข้ามตามช่องทางธรรมชาติ ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่พบผู้ใดเป็นคนนำพากลุ่มเหล่านี้

ในวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่อีกชุดในพื้นที่ อ.ตาพระยา ตรวจพบบุคคลต้องสงสัยเดินเท้าตามแนวสวนปาล์มใกล้เขตแดนไทย-กัมพูชา เมื่อเข้าตรวจสอบพบว่าเป็นชาวไทย 13 คน (ชาย 6 หญิง 7) พยายามลักลอบออกนอกประเทศเพื่อกลับไปเก็บของที่พักฝั่งกัมพูชา โดยมีนายหน้าคนไทยประสานให้ชาวกัมพูชามารับ ก่อนทั้งหมดถูกจับกุมระหว่างทาง

เจ้าหน้าที่ทหารได้ส่งตัวผู้กระทำผิดทั้งหมดให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมย้ำว่า จากเหตุการณ์จับกุมทั้งสองกรณี รวมถึงกรณีอื่นที่ผ่านมา พบว่าชาวไทยที่ลักลอบผ่านแดนผิดกฎหมายล้วนมีจุดหมายอยู่ที่กรุงปอยเปต ทั้งขาเข้าและขาออก เจ้าหน้าที่จึงยังคงวางกำลังเข้มแนวชายแดนเพื่อสกัดการลักลอบอย่างต่อเนื่อง

‘ดร.อานนท์’ แนะหากต้องรบกับเขมรจริง ควรตีประจันตคีรีเขตกลับคืนมาเป็นของไทย ชี้ คนพื้นที่พูดภาษาไทย ทรัพยากรทางทะเลเพียบ ส่วนด้านพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณปล่อยไป เหตุคนคุณภาพต่ำคุยกันไม่รู้เรื่อง

(27 มิ.ย.68) รศ. ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล (Citizen data sciences) คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) โพสต์เฟซบุ๊กว่า ถ้ารบกันจริง ๆ อยากให้ไทยตีเอาประจันตคีรีเขตกลับคืนมาเป็นของไทย เพราะเป็นพื้นที่ที่ประชากรพูดภาษาไทย มีทรัพยากรทางทะเลมากมหาศาล ทำให้ขยายน่านน้ำของไทยออกไป ปกครองง่ายกว่าเพราะพูดภาษาไทยเป็นส่วนใหญ่ แก้ปัญหาข้อพิพาทเกาะกูดไปได้หมดสิ้น น้ำมันปิโตรเลียมในอ่าวไทยก็เป็นของเราทั้งหมด ทางออกทะเลของเขมรก็จะแคบลง

ส่วนมณฑลบูรพา คือ พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ นั้น แม้พื้นที่กว้างกว่า แต่ไม่มีทรัพยากรอะไร ประชากรพูดภาษาเขมร สื่อสารกันยาก ประชากรการศึกษาต่ำ คุณภาพประชากรไม่ค่อยดี เอามาเป็นของไทยก็เป็นภาระประเทศไทย ไม่สมควรรบเพื่อเอากลับคืนมาครับ ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่

อาเซอร์ไบจานย้ำสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับอิหร่าน ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาว่าร่วมมือกับอิสราเอล

(27 มิ.ย. 68) รัฐบาลอิหร่านเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจาน อิลฮาม อาลีเยฟ ได้ปฏิเสธข่าวลือที่ระบุว่าอิสราเอลใช้พื้นที่ทางอากาศของอาเซอร์ไบจาน เพื่อโจมตีอิหร่านในช่วงสงคราม 12 วันระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อ 13 มิ.ย. และสิ้นสุดด้วยการหยุดยิงเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

คำปฏิเสธดังกล่าวมีขึ้นระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียน (Masoud Pezeshkian) ของอิหร่าน กับประธานาธิบดีอิลฮัม อาลีเยฟ (Ilham Aliyev) ของอาเซอร์ไบจาน โดยเปเซชเคียนได้ขอให้อาเซอร์ไบจานตรวจสอบกรณีที่มีรายงานว่าอิสราเอลใช้โดรนและเครื่องบินเบาโจมตีเป้าหมายในอิหร่านผ่านน่านฟ้าของอาเซอร์ไบจาน

ในบทสรุปการสนทนาจากฝ่ายอิหร่าน ระบุว่า อาลีเยฟปฏิเสธข้อมูลดังกล่าว และยืนยันว่า รัฐบาลอาเซอร์ไบจานจะไม่ยินยอมให้ประเทศใดใช้พื้นที่หรือทรัพยากรของตนเพื่อโจมตีประเทศที่เป็นมิตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิหร่านที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น

ทั้งนี้ อาเซอร์ไบจานเคยแถลงอย่างเป็นทางการตั้งแต่ต้นสงครามว่า จะไม่อนุญาตให้มีการใช้ดินแดนหรืออากาศยานจากประเทศตนในการโจมตีอิหร่าน ท่ามกลางความกังวลที่สะสมมานานของเตหะรานต่อบทบาทของอิสราเอล ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านอาวุธรายสำคัญของบากู


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top