Wednesday, 2 April 2025
WORLD

รัฐพิธีพระบรมศพ สมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ ๒ การแสดงออกถึงความนับถือจากปวงชนชาวอังกฤษ

เรื่อง: อนุดี เซียสกุล อดีต Radio Journalist, วิทยุบีบีซีภาคภาษาไทย

รัฐพิธีพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ ๒ ของอังกฤษเริ่มขึ้นในวันพุธที่ ๑๔ กันยายนตามเวลาในกรุงลอนดอนคือ ๑๔.๒๒ น.

ขบวนเริ่มด้วยทหารรักษาพระองค์ที่เรียกว่า The Household Cavalry, The Grenadier และ Scots Guards ในเครื่องแบบเต็มยศงดงามนำขบวน ตามด้วยรถปืนใหญ่ที่มีแต่ล้อและรางสำหรับวางหีบพระบรมศพ หลังรถพระบรมศพ เป็นขบวนที่นำโดยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๓, เจ้าหญิงแอนน์, เจ้าชายแอนดรูว์ และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เสด็จพระราชดำเนินตาม ในแถวถัดไปคือ เจ้าชายวิลเลียม, เจ้าชายแฮรี่ และพระราชวงศ์ใกล้ชิดพระองค์อื่น ๆ

นอกจากพระราชวงศ์แล้ว ในแถวถัดไปเป็นข้าราชบริพารที่สนองพระเดชพระคุณสมเด็จพระราชินีนาถ และข้าราชบริพารของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นเจ้าชายมกุฎราชกุมารร่วมด้วย ขบวนพระบรมศพไม่ยาวนัก เพื่อให้ท่านเห็นภาพชัดเจน บนหีบพระบรมศพคลุมด้วยธงประจำพระองค์ คือ Royal Standard, มีพระมหามงกุฎ ชื่อ The Imperial State Crown และดอกไม้ที่สมเด็จพระราชินีทรงโปรดวางอยู่บนธงเช่นกุหลาบขาว (เมื่อพระบรมศพขึ้นตั้งในเวสต์มินสเตอร์ฮอลล์แล้วจะมีลูกโลกและคทา มาวางเพิ่ม)

ขบวนพระบรมศพเคลื่อนออกจากพระราชวังบัคกิ้งแฮมตรงตามเวลาที่กำหนด สองข้างทางของถนนที่ชื่อว่า The Mall อันเป็นถนนหน้าพระราชวังเนืองแน่นไปด้วยประชาชนหากแต่เงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าของเหล่าทหารรักษาพระองค์

การนำเสด็จพระบรมศพของสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ ๒ ไปตั้งเป็นรัฐพิธีที่ 'เวสต์มินสเตอร์ ฮอลล์' (Westminster Hall) จะผ่านเส้นทางที่เป็นใจกลางกรุงลอนดอนซึ่งนักท่องเที่ยวจะรู้จักกันดี, เช่นผ่าน ตึกขาวสองข้างทางที่เรียกว่า Whitehall, Horse Guards Arch เข้าสู่ Parliament Square

สถานที่ที่เรียกว่า Westminster Hall นี้เป็นห้องโถงที่ใหญ่มากมีเพดานที่สร้างด้วยไม้ขนาดใหญ่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๑ แต่รอดพ้นไฟไหม้มาถึงสองครั้งและที่นี่เคยเป็นพระราชวังมาก่อนคือ Westminster Palace

เมื่อขบวนพระบรมศพมาถึงสถานที่ที่จะตั้งแล้ว ทหารพระจำพระองค์ได้เคลื่อนพระบรมศพไปยังแท่นที่ตั้ง, อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี  ซึ่งเทียบได้กับสมเด็จพระสังฆราชได้ทำพิธีทางศาสนาและพระผู้ใหญ่คนอื่น ๆ

ภายในห้องโถงนี้มีเหล่าขุนนาง นายกรัฐมนตรี ผู้นำฝ่ายค้าน, นักการเมืองระดับสูงจากสกอตแลนด์, เวลส์ และแขกอีกจำนวนมากยืนเรียงรายรอบ ๆ ห้องโถงอย่างเงียบสงบ เมื่อพิธีทางศาสนาและทางทหารเสร็จสิ้นลงแล้ว พิธีสุดท้ายคือ การยืนประจำการเฝ้าพระบรมศพทั้งสี่มุมโดยทหารรักษาพระองค์ซึ่งจะยืนก้มหน้าสงบนิ่งตลอดเวลาจนกว่าจะมีการเคลื่อนพระศพไปประกอบพิธีที่วิหารเวสต์มินสเตอร์ในวันจันทร์หน้า หากแต่จะมีการผลัดเปลี่ยนตัวคนตามเวลาที่กำหนด

เจ้าของร้าน Fish&Chip โดนชาวอังกฤษถล่ม เหตุจัดงานฉลอง 'ควีน เอลิซาเบธ' สิ้นพระชนม์

สำนวนที่ว่า สำเนียงส่อภาษา กริยาส่อสกุล ใช้ได้กับทุกประเทศในโลก แม้แต่ประเทศที่ขึ้นชื่อว่า "เมืองผู้ดี" อย่างอังกฤษ เรื่องมารยาทถือเป็นสิ่งสำคัญมาก มิฉันนั้นอาจเจอเหตุการณ์ดังเช่น กับ แจ็คกี พิคเคทท์ เจ้าของร้าน Jaki Fish&Chip Shops ที่ตั้งอยู่ที่เมือง Muir of Ord ในสกอตแลนด์ ที่เกิดคึกผิดเวลา ออกมาทำคลิปวิดีโอฉลอง การสวรรคตของควีน เอลิซาเบธที่ 2 และโพสต์ลงใน Facebook 

โดยเจ้าของร้านได้ออกมาเป่าปากร้องยินดี ฉีดพ่น สเปรย์ไวน์ พร้อมชูป้ายเมนู เขียนข้อความว่า "Lizard Liz is dead" และตะโกนเสียงดังว่า "สะพานลอนดอนพินาศแล้ว" ซึ่งรหัส "สะพานลอนดอน" หมายถึงการสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 

แต่หลังจากที่โพสต์คลิปพิสดารไปไม่นาน ก็มีชาวบ้านบริเวณนั้นออกมาต่อว่า ปาไข่ และ ซอสมะเขือเทศใส่ที่หน้าร้าน และได้แจ้งตำรวจให้มาควบคุมตัวเจ้าของร้านไป เหตุแสดงกิริยาไม่เหมาะสมในช่วงเวลาที่อังกฤษยังอยู่ในงานไว้อาลัยจากไปของประมุขแห่งอังกฤษ

กระแสล้มเจ้า ‘กร่อยสนิท’ หลัง ‘ควีน’ สวรรคต ด้านโพลชี้ความนิยม 'กษัตริย์ชาร์ลส์ 3' พุ่ง 63%

ความโศกเศร้าอาลัยที่คนอังกฤษมีต่อการจากไปของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทำให้กระแสต่อต้านราชวงศ์อังกฤษซบเซาลงไปถนัดใจ โดยแม้แต่กลุ่ม Republic ที่ต้องการเปลี่ยนอังกฤษไปสู่ระบอบสาธารณรัฐก็ยังออกมาแสดง “ความเสียใจ” และประกาศงดรณรงค์ล้มเจ้าชั่วคราว

ตลอดระยะเวลา 70 ปี ที่ทรงครองสิริราชสมบัติ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเป็นที่รักและเคารพทั้งต่อพสกนิกรในอังกฤษและผู้คนทั่วโลก และการเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันของพระองค์ทำให้อังกฤษทั้งประเทศตกอยู่ในความโศกเศร้า

ผลสำรวจโดย YouGov พบว่า คนอังกฤษ 44% “ร้องไห้” เมื่อได้ยินข่าว breaking news ว่าสมเด็จพระราชินีนาถไม่อยู่กับพวกเขาอีกแล้ว

กลุ่มที่ต้องการล้มล้างราชวงศ์ยังคงเป็นประชากรส่วนน้อยมากในอังกฤษ โดยโพล YouGov เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา พบว่า มีผู้ตอบคำถามแค่ 22% เท่านั้นที่อยากจะได้ประมุขรัฐที่มาจากการเลือกตั้ง เทียบกับ 62% ที่ต้องการให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ต่อไป

ฝ่ายที่กระตือรือร้นอยากให้อังกฤษเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐคาดหวังกันมานานว่า ช่วงเปลี่ยนผ่านรัชสมัยจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ไปสู่สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 น่าจะเป็นโอกาสดีที่สุดที่พวกเขาจะรณรงค์ให้คนอังกฤษส่วนใหญ่เห็นดีเห็นงามกับการล้มราชวงศ์

เมื่อวันจันทร์ (12 ก.ย.) นักเคลื่อนไหวสตรีคนหนึ่งได้ชูป้ายที่เขียนว่า ‘Not My King’ บริเวณอาคารรัฐสภาในกรุงลอนดอน ก่อนจะถูกตำรวจพาตัวออกไป ทว่าเจ้าตัวยังพอมีเวลาบอกกับนักข่าว AFP ว่า “เขาเป็นกษัตริย์โดยไม่ได้รับความเห็นชอบ และนั่นมันไม่ถูกต้อง”

ด้านกลุ่ม Republic หลังจากที่ “แสดงความอาลัย” แบบพอเป็นพิธีแล้ว ก็กลับมาเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์สถาบันต่อ ในระหว่างที่สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ทรงได้รับการประกาศขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่

“การประกาศตั้งกษัตริย์องค์ใหม่สวนทางกับระบอบประชาธิปไตย” พวกเขาระบุ “อังกฤษเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วนับแต่มีการผลัดแผ่นดินครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1952 ในสังคมประชาธิปไตยยุคใหม่ ประมุขรัฐไม่ควรเข้ารับตำแหน่งโดยปราศจากการอภิปราย หรือการตั้งคำถามเรื่องความชอบธรรม”

'ยูเรเนียม' ไอเทมลับพา 'เมียนมา' มั่งคั่งยั่งยืน ใต้การ 'โอบอุ้ม-ต่อยอด' จากพี่เบิ้มอย่าง 'รัสเซีย'

ต้องบอกว่า การที่เหล่าชาติตะวันตกต่างรุมบอยคอตเมียนมาในวันนี้ เหมือนยิ่งเป็นการผลักไสให้เมียนมาเดินเข้าไปหาจีนกับรัสเซียมากขึ้น และ 2 มหาอำนาจก็พร้อมเป็นพันธมิตรกับเมียนมาอย่างออกหน้าออกตาในที่สุดด้วย

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือความสัมพันธ์อีกระดับของเมียนมากับรัสเซีย ซึ่งเดิมทั้งสองประเทศมีความร่วมมือกันเพียงเล็กน้อยในเรื่องของกองทัพและการลงทุนในธุรกิจพลังงาน แต่หลังจากการยึดอำนาจของกองทัพ นำมาซึ่งการขับไล่ไสส่งเมียนมาด้วยการบอยคอตหรือคว่ำบาตรใด ๆ จากชาติตะวันตกนั้น ได้เป็นแรงผลักให้เกิดความร่วมมือระหว่างเมียนมากับรัสเซียมากขึ้น ไม่ใช่เพียงความร่วมมือในแง่ของกองทัพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการร่วมมือในด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสาธารณสุขและการเข้ามาพัฒนาพัฒนาสาธารณูปโภคต่าง ๆ 

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นการเปิดหน้าอย่างชัดเจนด้วยว่า ขุมทรัพย์ของเมียนมาที่แท้จริงนอกจาก อัญมณีและน้ำมันแล้ว ยังมีแร่ปฏิกรณ์นิวเคลียร์อยู่ด้วย

ว่ากันว่าคนงานเหมืองทราบดีอยู่แล้วว่ามีแร่ปฏิกรณ์นิวเคลียร์อยู่ในการทำเหมืองหลาย ๆ ที่โดยเฉพาะเหมืองทองหลายแห่ง ซึ่งเคยมีรายงานถึงการค้นพบแร่ยูเรเนียม (Uranium) จากเหมืองทองกันอยู่แล้วเป็นระยะ ๆ เพียงแต่ก็ไม่เคยมีใครพูดถึงการนำแร่ยูเรเนียมมาใช้ในประเทศแต่อย่างใดก็เท่านั้นเอง

ดังนั้นการที่รัสเซียก้าวเข้ามาลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ให้นั้น จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ของเมียนมา เพราะหากสร้างเสร็จจริง ประเทศเมียนมาจะมีเสถียรภาพด้านสาธารณูปโภคไฟฟ้าเพราะวัตถุดิบหาซื้อง่าย ส่วนรัสเซียก็อาจจะได้ส่วนแบ่งแร่กัมมันตภาพรังสีเหล่านี้มาใช้ในการพัฒนาอาวุธต่อก็เป็นได้

คงต้องยอมรับว่าเป็นการเดินเกมที่ผิดพลาดของชาติตะวันตก ซึ่งแทนที่จะทำให้เมียนมาอ่อนแรง แต่กลับทำให้เมียนมาแข็งแกร่งขึ้นและในวันหนึ่งอาจจะยืนได้บนขาของตนเองโดยไม่ต้องพึ่งใคร และก็ไม่มีประเทศไหนกล้าแหยมกับประเทศเล็ก ๆ นี้ เพราะแร่กัมมันตภาพรังสีในครอบครองมันพร้อมจะนำไปต่อรองกับใครก็ได้ทั้งหมด

เลือกตั้งปี 2020 ช่องโหว่ของประชาธิปไตยในสหรัฐฯ เมื่อ 'ทรัมป์' ปลุกระดมกองเชียร์ ด้วยคำอ้างว่า 'ถูกโกง'

ชาวไทยบางกลุ่มชื่นชมประชาธิปไตยแบบสหรัฐอเมริกามาก ถึงกับเอ่ยปากว่าอยากให้ประเทศไทยมีหลักการปกครองแบบเขา มาลองดูกันว่าประชาธิปไตยแบบสหรัฐฯ นี่ไปถึงไหนกันแล้ว

สหรัฐอเมริกาได้มีการปกครองในระบบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1787 (พ.ศ. 2330) โดยเลือกตั้งประธานาธิบดีเข้ารับตำแหน่งบริหารประเทศสมัยละ 4 ปี และมีสิทธิ์ปกครอง 2 สมัยหรือ 8 ปี ถ้าได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาอีก คะแนนเสียงประชาชนไม่ใช่เป็นปัจจัยที่ตัดสินผลเลือกตั้งโดยตรง เนื่องจากสมัยที่ก่อตั้งระบบการปกครองการคมนาคมและการสื่อสารยังไม่เจริญ จึงมีการแต่งตั้งกลุ่มผู้แทน (Electoral College) มาลงคะแนนเสียงแทนประชาชน จำนวนของผู้แทนคะแนนเสียง (electors) แต่ละรัฐจะขึ้นกับจำนวนประชากร รัฐไหนมีประชากรมาก จำนวนผู้แทนก็จะมากตาม รวมแล้วทั้งประเทศมีผู้แทนเสียง 570 คน พรรคเดโมแครตและพรรคริพับลิกันแบ่งกันคนละครึ่งในแต่ละรัฐ ถ้าจำนวนของผู้แทนเสียงของพรรคไหนถึง 270 ก่อน พรรคนั้นก็มีเสียงส่วนมากที่จะมีสิทธิ์เลือกประธานาธิบดี

ตั้งแต่ 'จอร์จ วอร์ชิงตัน' เข้ามารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกในปีค.ศ. 1787 (พ.ศ. 2330) การเลือกตั้งได้ถูกปฎิบัติมาอย่างราบรื่น เนื่องจากเหล่าผู้แทนเสียงทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และผู้เข้าชิงตำแหน่งยอมรับผลโดยสดุดี การผลัดเปลี่ยนประธานาธิบดีมีแต่ความสงบและเคารพซึ่งกันและกัน แต่แล้วการเลือกตั้งในปี 2020 (พ.ศ. 2563) ก็เผยช่องโหว่ของประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกา

ตั้งแต่ 'โดนัลด์ ทรัมป์' ลงสมัครประธานาธิบดีในปี 2016 (พ.ศ. 2559) เขาได้ประกาศเป็นศัตรูกับเหล่าสื่อใหญ่ของประเทศ โดยกล่าวหาว่าพวกสื่อเสนอข่าวเท็จ (fake news) เกี่ยวกับเขา และโปรโมตสื่อที่สนับสนุนเขาว่าเป็นสื่อที่น่าเชื่อถือ ประชาชนที่ชอบทรัมป์จึงไม่เชื่อสื่อที่เคยเป็นหน่วยข้อมูลของประเทศ แต่ไปเสพสื่อที่เสนอข่าวเอาใจผู้นำของตนโดยไม่ใช้วิจารณญานแยกแยะข้อเท็จจริง จนกระทั่งถึงขั้นป่วยหรือตายเพราะไปดื่มน้ำยาซักผ้าขาวป้องกันโควิด เพราะในขณะที่ทรัมป์แถลงข่าวเกี่ยวกับโรคระบาด เขาเอ่ยว่าน้ำยาซักผ้าขาวมีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อไวรัสได้ 

พระราชพิธีพระบรมศพ สมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร หลังเสด็จสวรรคต

พระราชพิธีพระบรมศพ สมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร หลังเสด็จสวรรคต

เรื่อง: อนุดี เซียสกุล อดีต Radio Journalist, วิทยุบีบีซีภาคภาษาไทย

พระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๒ ของอังกฤษได้มีหมายกำหนดการที่คาดว่าจะดำเนินการตามที่บีบีซีได้รายงาน โดยเริ่มจากวันอาทิตย์ที่ ๑๑ กันยายนไปจนถึงวันที่ ๑๙ กันยายน ซึ่งจะเป็นวันฝังพระบรมศพที่โบสถ์เซนต์จอร์จในพระราชวังวินด์เซอร์

เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ทราบในพระราชพิธีทั้งหมด ผู้เขียนขอเริ่มจากปราสาทบัลมอรัลอันเป็นสถานที่สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๘ กันยายน โดยในวันอาทิตย์ที่ ๑๑ กันยายนเวลา ๑๐ โมงเช้าจะมีการเคลื่อนพระศพโดยรถยนต์จากบัลมอรัลไปตามเส้นทางผ่านเมืองอาเบอดีน, ดันดี และเพิร์ธ เมื่อถึงเมืองปลายทางคือเอดินบะระแล้ว หีบพระบรมศพจะถูกอัญเชิญไปยังท้องพระโรงในพระราชวังฮอลีรูดเฮ้าส์ (The Palace of Holyroodhouse  ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางราว ๖ ชั่วโมง มีประชาชนมายืนไว้อาลัยตามสองข้างทางของเมืองที่ขบวนพระศพผ่านอย่างเป็นระเบียบ เจ้าฟ้าหญิงแอนน์และพระสวามีได้เสด็จมากับขบวนรถพระศพด้วย

พระราชพิธีที่เอดินบะระ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๓, พระราชินีและพระราชวงศ์จะเสด็จพระราชดำเนินตามขบวนพระศพจากพระราชวังฮอลีรูดเฮ้าส์ไปยังมหาวิหาร St. Gile (เซนต์ จิลล์) เพื่อพิธีทางศาสนา หลังจากนั้นจะเปิดให้ประชาชนเข้าถวายความเคารพพระบรมศพเป็นเวลา ๒๔ ชั่วโมง

หมายกำหนดการจากนั้นในวันอังคารที่ ๑๓ เจ้าฟ้าหญิงแอนน์จะเสด็จพร้อมหีบพระศพทางเครื่องบินจากเอดินเบอระกลับสู่พระราชวังบัคกิ้งแฮมในกรุงลอนดอน

พระราชพิธีพระบรมศพอย่างเป็นทางการจะเริ่มขึ้นในวันพุธที่ ๑๔ กันยายนโดยพระราชวงศ์จะเสด็จพระราชดำเนินตามขบวนพระศพจากพระราชวังบัคกิ้งแฮมไปยัง Westminster Hall เพื่อตั้งพระบรมศพเป็นเวลาสี่วันเพื่อเปิดให้ประชาชนเข้าไว้อาลัย

หีบพระบรมศพจะตั้งอยู่บนแท่นคลุมด้วยธงประจำพระมหากษัตริย์ที่เรียกว่า Royal Standard บนหีบพระศพจะมีเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันได้แก่ มงกุฎ ที่เรียกว่า Imperial State Crown, คทา และลูกโลกวางอยู่

'สภาภาคยานุวัติ' ประกาศรับรองพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ 'พระเจ้าชาร์ลสที่ ๓' เป็นกษัตริย์อย่างเป็นทางการ

พระราชพิธีประกาศตั้งพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่

พระราชวังเซนต์เจมส์เวลา ๑๐ นาฬิกาตรงตามเวลาในท้องถิ่นวันนี้ ๑๐ กันยายนจะมีพิธีสำคัญเกิดขึ้น ณ ที่นั่นคือการประกาศแต่งตั้งพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ของประเทศอังกฤษหรือสหราชอาณาจักร

พระราชพิธีนี้มีขั้นตอนอย่างไร ขอเริ่มจากจุดที่อาจจะเล็กแต่ก็น่าสนใจ คือ ก่อนพิธีจะเริ่มขึ้น จะมีการเปลี่ยนการลดธงครึ่งเสาในการไว้อาลัยการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เก่ามาเป็นการชักธงขึ้นเสาเต็มตามปกติและจะทำเช่นนี้ไปจนถึงวันอาทิตย์จึงจะลดลงครึ่งเสาตามเดิมจนกว่าพระราชพิธีพระศพจะผ่านพ้นไป

ก่อนอื่นขออธิบายว่าพระราชพิธีประกาศแต่งตั้ง Accession Council ในวันนี้ แตกต่างจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษก Coronation ซึ่งจะมีขึ้นอีกในเวลาต่อมาเพราะต้องใช้เวลาในการเตรียมการระยะหนึ่งและพิธีการนี้จะจัดขึ้นในวิหารเวสต์มินสเตอร์ ในกรุงลอนดอน

สำหรับพิธีการประกาศตั้งพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ของอังกฤษในวันนี้เป็นเพียงพิธีประกาศพระนามพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่อย่างเป็นทางการเท่านั้น โดยคณะบุคคลที่เรียกว่า Accession Council หรือภาษาไทยเรียกว่า สภาภาคยานุวัติ กำหนดเดิมคือ ต้องทำภายใน ๒๔ ชั่วโมงหลังการสิ้นพระชนม์ แต่ในกรณีนี้เวลาได้ล่วงผ่านมาแล้ว ตามความเป็นจริงเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมาร ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ทันทีหลังการสิ้นพระชนม์ของพระมารดาแล้ว

ขั้นตอนของพิธีที่พระราชวังเซนต์เจมส์ในวันนี้จะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ในส่วนแรก พระเจ้าชาร์ลส์ จะยังไม่เสด็จเข้าร่วม แต่จะเป็นการชุมนุมของสมาชิกสภาองคมนตรีที่มีจำนวนถึง ๗๐๐ คน แต่พิธีวันนี้อาจเชิญมาได้เพียง ๒๐๐ คน ประธานในพิธีหรือ Lord President ประธานสภาองคมนตรีคือนางเพนนี มอร์ด้อน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะอ่านประกาศการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าแผ่นดิน หลังจากนั้นเธอจะให้เจ้าหน้าที่อ่านประกาศการขึ้นครองราชย์ที่ยืนยันพระนามของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่อย่างเป็นทางการที่พระองค์ทรงเลือกก็คือ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๓

หลังจากนั้นจะเป็นการลงพระนามและลงนามในคำประกาศตั้งพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ประกอบด้วยพระราชินี, เจ้าชายมกุฎราชกุมาร, พระสังฆราชแห่งแคนเทอเบอรี่, ประธานสภาขุนนาง, อ้าทบิช็อปแห่งยอร์ก และนายกรัฐมนตรี เป็นต้น

เมื่อเสร็จสิ้นการลงนามแล้ว ประธานเพนนี มอร์ด้อนจะบอกให้ที่ชุมนุมเงียบฟังคำประกาศในสาระรายละเอียดของการแต่งตั้งพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อคำประกาศสิ้นสุดลง ประธานเพนนีจะสั่งให้มีการยิงสลุตปืนใหญ่ที่สวนไฮด์ปาร์ก กลางกรุงลอนดอน และหอคอยลอนดอน พิธีการในช่วงแรกนี้ครบถ้วนแล้ว

อย่างไรก็ดียังมีพิธีการที่ต้องทำอีกอย่างคือ การอ่านคำประกาศตั้งพระเจ้าแผ่นดินที่ระเบียงที่เรียกว่า Friary Court ของพระราชวังเซนต์เจมส์อีกดัวยและจะมีการอ่านคำประกาศนี้ในเมืองเบลฟาส, คาร์ดีฟ, เอดินเบอเรอะ และสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศต่อไป

ในช่วงที่สอง พระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๓ จะเสด็จเข้ามาในห้องซึ่งจะมีเพียงคณะองคมนตรีที่พระองค์ทรงแต่งตั้งเข้าเฝ้าและพระองค์จะประกาศการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระราชินีและกล่าวระลึกถึงพระมารดาเป็นการส่วนพระองค์ ต่อจากนั้นให้คำมั่นสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ พร้อมกับแสดงความหวังว่าพระองค์จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในการทรงงานเพื่อประเทศชาติ 

นอกจากนี้จะตรัสสาบานว่าจะปกปักรักษา Church of Scotland อีกด้วยเพราะการปกครองของสก็อตแลนด์ได้แยกศาสนาและการปกครองออกจากกัน และทรงลงพระปรมาภิไธยในเอกสารสองฉบับ โดยมีพระราชินีและเจ้าชายมกุฎราชกุมารเป็นพยานพร้อมกับบุคคลอื่นที่อยู่ ณ ที่นั้น คณะที่ปรึกษาจะลงนามด้วยในระหว่างที่ทูลลาจากพิธี เป็นการเสร็จสิ้นพิธีการประกาศตั้งพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ของอังกฤษอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ดีตามรายงานข่าวพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๓ ได้ทรงพระกรุณาพระราชอนุญาตให้มีการถ่ายทอดสดพิธีนี้ทางโทรทัศน์ด้วยเป็นครั้งแรก

เลือกบทไหน? 'ผู้สนับสนุน' หรือ 'ผู้ต่อต้านการก่อการร้าย' บทบาทไทยต่อเมียนมาที่ต้องเลือกชั่งน้ำหนักให้ดี

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2547 ในตอนนั้นมีข่าวดังข่าวหนึ่งระบุว่า หน่วยงานความมั่นคงของไทยโชว์หลักฐานเด็ด ซึ่งเป็นวีซีดีการประชุม 'พรรคปาส' จากฝ่ายค้านมาเลย์ โจมตีว่าไทยอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่กรือเซะ-ตากใบ อีกทั้งในแผ่นซีดีดังกล่าว ยังมีหลักฐานชัดเจนว่า พรรคปาสเป็นผู้สนับสนุนโจรใต้ให้ทำการแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยอีกด้วย  

เหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้รัฐบาลมาเลย์ถึงกับต้องรีบออกมาปฏิเสธเป็นพัลวันว่าไม่เคยสนับสนุนกองกำลังแบ่งแยกดินแดนในประเทศไทย

ตัดภาพกลับมาที่ปัจจุบัน ล่าสุดเมื่อวานนี้ (9 ก.ย.) มีข่าวจากสำนักข่าว Chindwin News Agency ของเมียนมาลงว่า กองกำลังต่อต้านทหารเมียนมาได้รับอาวุธสนับสนุนอาวุธมาจากไทย  

โดยอาวุธดังกล่าวทางกองกำลังต่อต้านทหารเมียนมา จะนำมาเพิ่มศักยภาพในการสู้รบกับกองทัพเมียนมา ซึ่งเอย่ามองว่า จากข่าวนี้หากชาวโลกมองไทยว่าเป็นผู้สนับสนุนการก่อการร้าย อย่างที่เคยเกิดเหตุกับไทย-มาเลย์มาก่อนในอดีต ก็คงไม่จะผิดนัก

ดังนั้น จากข่าวนี้ คงต้องขอฝากให้ฝ่ายความมั่นคงของไทยทำงานให้หนักแล้ว เพราะถึงแม้การข่าวจากฝ่ายความมั่นคงที่ไปตรวจสอบเรื่องการรับสมัครทหารของกลุ่ม Burma Ranger Force และพบว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้เป็นเรื่องจริง รวมถึงกรณีการประกาศรับสมัครกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งได้ตรวจสอบจากเพจของกลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมา ก็ไม่พบว่ามีการเผยแพร่เกี่ยวกับประกาศดังกล่าวแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่ชัดเจนว่ากลุ่ม FBR (Free Burma Rangers) เป็นผู้จัดทำด้วยหรือไม่

แต่ขณะเดียวกันทางสำนักข่าว Chiangmai News ก็ลงพื้นที่ไปยังบ้านดังกล่าวแล้วพบว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นอาคารพาณิชย์เป็นที่ทำการของ 'มูลนิธิฟรี เดอะ โอเพรซท' (Free the Oppressed Foundation) หรือ FTO ซึ่งสนับสนุนงานของ FBR และทางมูลนิธิฟรี เดอะ โอเพรซท อ้างว่า FBR เป็นขบวนการเพื่อมนุษยธรรมจากหลายเชื้อชาติ ที่ทำงานเพื่อให้ความช่วยเหลือ ความหวัง และความรักแก่ผู้คนในเขตความขัดแย้งของพม่า อิรัก และซูดาน รวมไปถึงยังทำงานร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ที่สนับสนุนประชาธิปไตยในท้องถิ่น และประสานงานกับทีมบรรเทาทุกข์เอนกประสงค์ที่เคลื่อนที่ การรักษาพยาบาลฉุกเฉินที่สำคัญ ที่พักพิง อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และเอกสารด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ 

>> หากแต่ก็มีภาพที่เป็นกองกำลังของ Free Burma Ranger ซึ่งมีสัญลักษณ์ที่แขนถืออาวุธปรากฏลงในภาพข่าวที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2014 ใน The Daily Beast ด้วย

ดังนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่า Free Burma Ranger คือ กองกำลังติดอาวุธที่ได้รับการช่วยเหลือจากเงินทุนของอเมริกาและเงินจากกลุ่มคริสต์จักรในไทย โดยอ้างว่าเงินดังกล่าวนำมาใช้เพื่อสันติภาพ แต่ความเป็นจริงมีการดำเนินกิจกรรมการฝึกกองทัพต่อต้านรับบาลมานานแล้วนั่นเอง

สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ทรงเสด็จสวรรคตอย่างสงบ

สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๒ แห่งราชวงศ์อังกฤษ เสด็จสวรรคตอย่างสงบที่ปราสาทบัลมอรัลในสก๊อตแลนด์ เมื่อตอนบ่ายของวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๕ พระชนม์พรรษา ๙๖ ปี ทรงครองราชย์สมบัตินานที่สุดของราชวงศ์อังกฤษ

บีบีซีได้ประกาศข่าวการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๒ ตามเวลาในประเทศไทยเมื่อ หนึ่งนาฬิกา ๑๘ นาที ในคำแถลงของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๓ ที่ตรัสว่า...

"การสวรรคตของสมเด็จพระมารดาอันเป็นที่รักยิ่งของข้าพเจ้าเป็นเวลาที่เศร้าโศกที่สุดสำหรับข้าพเจ้าและพระราชวงศ์ทุกพระองค์ เราไว้อาลัยกับการจากไปของพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูนและพระมารดาอันเป็นที่รักยิ่ง ข้าพเจ้ารู้ดีว่าการสวรรคตของพระองค์คงเป็นความรู้สึกของคนทั้งประเทศ ตลอดจนประเทศในเครือจักรภพและคนทั่วโลก"

ในคำแถลงของสำนักพระราชวังบัคกิ้งแฮมกล่าวว่าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๓ และพระราชินีจะประทับที่ปราสาทบัลมอรัลในตอนเย็นวันที่ ๘ กันยายนและจะเสด็จกลับกรุงลอนดอนในวันรุ่งขึ้น

ก่อนที่จะมีการแถลงข่าวการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ ๒ นั้น ได้มีรายงานข่าวของบีบีซีภาคภาษาอังกฤษออกมาตามเวลาในอังกฤษประมาณบ่าย ห้าโมงเย็นของวันที่ ๘ กันยายน โดยคำแถลงของสำนักพระราชวังบัคกิ่งแฮมได้อ้างถึงความกังวลของคณะแพทย์ในพระพลานามัยของสมเด็จพระราชินีหลังจากการประเมินผลการตรวจในตอนเช้า จึงขอพระราชทานให้อยู่ภายใต้การดูแลของคณะแพทย์

อย่างไรก็ดีในคำแถลงของสำนักพระราชวังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า The Queen is “confortable”. หรือสมเด็จพระราชินีทรงสบายดี

แม้ว่าในคำแถลงเพิ่มเติมอาจจะทำให้เห็นว่าสมเด็จพระราชินีไม่ได้ประชวรหนัก แต่ปรากฏการที่พระโอรสและพระราชธิดาทุกพระองค์เสด็จไปเฝ้าที่ปราสาทบัลมอรัลในสก๊อตแลนด์เมื่อเย็นวานนี้ก็ทำให้เกิดความห่วงใยในพระพลานามัยของประมุขของประเทศอังกฤษเช่นกัน

เจ้าชายชาร์ลส์และพระชายาและเจ้าหญิงแอนน์ได้ประทับอยู่ที่บัลมอรัลอยู่แล้ว แต่การเสด็จของเจ้าชายแอนดรูและเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดพระราชโอรสอีกสองพระองค์รวมทั้งพระนัดดาอีกสองพระองค์คือเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮรี่ ทำให้เห็นว่าการที่คณะแพทย์ขอให้สมเด็จพระราชินีอยู่ภายใต้การถวายการรักษานั้นอาจหมายถึงการเฝ้าระวังพระพลานามัยอย่างใกล้ชิด

รายงานข่าวของบีบีซีได้ตั้งข้อสังเกตในคำแถลงของสำนักพระราชวังบัคกิ้งแฮมครั้งนี้ว่า ค่อนข้างจะผิดแผกแตกต่างกับที่ผ่านมาเพราะมักจะเลี่ยงการพูดถึงพระสุขภาพของสมเด็จพระราชินีด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นเรื่องส่วนพระองค์ 

7 ทศวรรษ ฤาสงครามกะเหรี่ยงอันยาวนาน จะจบในยุคของ 'นายพลเนอดา'

ฤาสงครามกองทัพกะเหรี่ยงกับกองทัพเมียนมาที่รบกันมาอย่างยาวนาน จะจบลง!!

จุดเริ่มต้นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลพม่าในอดีต (เมียนมา) กับบรรดาชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่ม เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2491 เมื่อสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า (เมียนมา) ได้รับเอกราชจากอังกฤษหรือสหราชอาณาจักร แต่โครงสร้างของรัฐบาลในพม่าขณะนั้นเองยังคงอ่อนแอ 

กระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 ชาวกะเหรี่ยงจำนวนกว่า 400,000 คน ได้ประท้วงโดยสงบเพื่อแสดงความสามัคคี ในการจัดตั้งรัฐกะเหรี่ยง 

สามเดือนหลังจากได้รับเอกราช พรรคคอมมิวนิสต์พม่า เริ่มก่อการกบฏจับอาวุธขึ้นต่อสู้ และกลุ่มกะเหรี่ยงที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนได้เริ่มการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราช 

การเกิดขึ้นขององค์กรป้องกัน แห่งชาติกะเหรี่ยง เช่น กองทัพสหภาพกะเหรี่ยง (Karen National Union : KNU) ทำให้ความร่วมมือของชาวกะเหรี่ยงต่อรัฐบาลลดลง และความตึงเครียดเก่าๆ ระหว่างชาวกะเหรี่ยงและรัฐบาลเกิดขึ้นอีก 

การสู้รบระหว่างทหารกะเหรี่ยงและพม่าเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2491 รัฐบาลสันนิบาตเสรีภาพฯ พยายามเจรจากับกลุ่มกบฏ คอมมิวนิสต์ และเปิดทางให้กลุ่มคอมมิวนิสต์ เข้าร่วมในการเมืองระดับชาติ 

เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2491 ได้มีการประชุมเพื่อหาทางแก้ไข ปัญหาที่กองทัพกะเหรี่ยงเติบโตขึ้น และหยุดการก่อกบฏของฝ่าย คอมมิวนิสต์ 

ในช่วงเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น ระหว่างกะเหรี่ยงและพม่า เพราะทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ซึ่งถือว่าเป็นปีที่มีความรุนแรงเกิดขึ้นมากในพม่า แต่ละกลุ่มต่างมีกำลังทหารเป็นของตนเอง และพยายามเพิ่มพื้นที่ปกครองโดยใช้ความรุนแรง ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ได้ 2 กลุ่ม คือ...

กลุ่มฝ่ายขวาและนิยมตะวันตก ได้แก่ กองทัพกะเหรี่ยง องค์กรป้องกันแห่งชาติกะเหรี่ยง กองโจรสันติภาพ กะเหรี่ยง ตำรวจ และกองกำลังสหภาพส่วนใหญ่ 

อีกกลุ่มหนึ่งเป็นฝ่ายซ้าย และต่อต้านประเทศอังกฤษ ได้แก่ รัฐบาลสันนิบาตเสรีภาพฯ ทหารพม่า บางส่วนในกองทัพ ซึ่งเป็นตำรวจที่ตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านกองทัพกะเหรี่ยงและ ตำรวจที่นิยมฝ่ายขวา 

กระทั่งในช่วงเดือนกันยายน พ.ศ. 2491 เกิดความ รุนแรงขึ้นทั่วพม่า เจ้าหน้าที่ชาวอังกฤษบางส่วนที่อยู่ในพม่าตะวันออก สนับสนุนการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศพม่า ในขณะที่สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงได้ประกาศสงครามกับรัฐบาลทหารพม่า 

เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2492 ความขัดแย้งได้ดำเนินเรื่อยมา 

>> จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็นับ 74 ปีแล้ว 

จนกระทั่งเมื่อมีการรัฐประหารของนายพลมินอ่องหล่าย พม่าหรือเมียนมา ก็ยังใช้วิถีเช่นเดิม คือ การเจรจาหยุดยิง แม้ว่าทาง KNU จะปฏิเสธที่จะเข้าเจรจาสันติภาพตามคำเชิญของกองทัพเมียนมา และมีการสู้รบอย่างต่อเนื่องของกองทัพกะเหรี่ยงกับกองทัพเมียนมา รวมถึงการเป็นฐานพักพิงและฝึกการต่อสู้ให้กับกลุ่ม PDF ที่เลือกจะจับอาวุธสู้กับกองทัพ

ริชชี่ สุหนาก VS เอลิซาเบธ ทรัสส์ จะทำอะไร? หลังได้นั่งแท่นนายกฯ ผู้ดี

อังกฤษกำลังมีการเลือกหัวหน้าพรรคคอนเซอร์เวทีฟคนใหม่ในขณะนี้ โดยที่ทางพรรคได้ส่งบัตรเลือกตั้งออกไปตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาและจะปิดหีบการออกเสียงของสมาชิกพรรคลงในตอนบ่ายของวันที่ ๒ กันยายนนี้ และจะรู้ผลการเลือกตั้งในวันที่ ๕ กันยายน ซึ่งหมายความว่าอังกฤษจะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ในวันนั้นด้วย 

เพราะพรรคคอนเซอร์เวทีฟ เป็นพรรครัฐบาลอยู่ในขณะนี้ หลังจากที่นายบอริส จอห์นสัน ได้ลาออกเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ขบวนการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่จึงเริ่มขึ้น ด้วยการที่ส.ส.ของพรรคคอนเซอร์เวทีฟได้เลือกผู้แข่งขันที่จะเข้าชิงชัยตำแหน่งหัวหน้าพรรคมาได้สองคน คือ นายริชชี่ สุหนาก ซึ่งได้คะแนนจาก ส.ส. สูงที่สุด (อดีต ร.ม.ต. คลังซึ่งลาออกเพื่อประท้วงความประพฤติของนายบอริส) ตามมา คือ นางเอลิซาเบธ ทรัสส์ รมต.ต่างประเทศ

ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ผู้สมัครสองคนนี้ได้ตระเวนหาเสียงไปทั่วประเทศเพื่อแสดงนโยบายของตนว่าถ้าได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีจะบริหารประเทศอย่างไร ซึ่งถ้าเห็นชอบด้วย ก็ขอเสียงสนับสนุนจากสมาชิกพรรคคอนเซอร์เวทีฟที่มีอยู่ราว ๑๖๐,๐๐๐ คน

การตระเวนหาเสียงหรือเสนอนโยบายของผู้สมัครทั้งสองคนจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๓๑ สิงหาคมนี้ ผู้เขียนเห็นว่าการเสนอนโยบายของผู้สมัครทั้งสองคนน่าสนใจมาก จึงอยากนำมาเล่าให้ฟังโดยอาศัยข้อมูลจากรายงานข่าวของบีบีซีภาคภาษาอังกฤษ

ที่ได้อ่านมารายงานของบีบีซีภาคภาษาอังกฤษทำได้ชัดเจนมากทีเดียว โดยได้สรุปนโยบายของผู้สมัครทั้งสองคนมาให้เห็นในด้านต่าง ๆ เช่น Tax & spending, Cost of living, Climate, Brexit, Health & social care, Education, Housing planning, Profile ก็คือ เรื่องภาษีและการใช้งบประมาณ, ค่าครองชีพ, การออกจากสหภาพยุโรป, การสาธารณะสุข, การศึกษา ตลอดจนเรื่องบ้านที่อยู่อาศัย คนไหนสนใจในเรื่องใดก็คลิกเข้าไปอ่านได้หรืออยากจะรู้ประวัติความเป็นมาของแต่ละคนก็หาอ่านได้เช่นกัน ซึ่งก็ละเอียดดี 

อยากจะบอกว่ารายงานข่าวแบบนี้ทำให้ผู้อ่านได้รู้ว่า ผู้สมัครคนไหนจะทำอะไรเมื่อเข้ามาบริหารบ้านเมืองและรู้ว่าเขาพูดอะไรไว้บ้าง นับว่าเป็นสื่อสารมวลชนที่ส่งสาส์นได้ดีทีเดียว

นโยบายที่บีบีซีรวบรวมมาได้นี้ ก็จากการประกาศของผู้สมัครทั้งสองเอง รวมทั้งการตอบข้อซักถามจากสมาชิกพรรคหรือการสัมภาษณ์ของสื่อมวลชน ผู้เขียนจะยกประเด็นสำคัญ ๆ มาให้ท่านได้ทราบบางส่วน

เรามาดูกันว่านาง เอลิซาเบธ ทรัสส์ หรือจะเรียกเธอสั้น ๆ ว่า ลิธ ทรัสส์ ซึ่งมีข่าวว่าขณะนี้เธอกลับมีเสียงนำนายริชชี่ สุหนากอยู่ เธอมีนโยบายสำคัญอะไรบ้าง

เธอประกาศว่าจะกลับไปใช้อัตราการเรียกเก็บภาษีที่เรียกว่า National Insurance ในอัตราเดิม หลังจากที่รัฐบาลประกาศขึ้นมาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา, สัญญาว่าจะยกเลิกแผนการที่จะขึ้นภาษีนิติบุคคลจาก ๑๙% เป็น ๒๕% ในปีหน้า, สัญญาว่าจะเปลี่ยนระบบภาษีให้ง่ายขึ้นเพื่อที่จะช่วยคนที่ต้องอยู่บ้านเพื่อเลี้ยงลูกและญาติที่ชรา, เธอต้องการที่จะสร้างระบบที่เรียกว่า ภาษีต่ำและเขตควบคุมที่ไม่เข้มงวดทั่วประเทศเพื่อที่จะให้เป็นศูนย์กลางของบริษัทใหม่ ๆ หรือแนวคิดใหม่ ๆ, เธอบอกว่าจะไม่ตัดงบใช้จ่ายสาธารณะ เว้นไว้เสียแต่ว่าถ้าการต้องทำเช่นนั้นจะไม่นำไปสู่ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต, นอกจากนี้เธอจะยับยั้งสิ่งที่เรียกว่า “green levy” คือเงินส่วนหนึ่งที่ประชาชนจ่ายค่าพลังงานและถูกนำไปเป็นค่าสนับสนุนโครงการสีเขียวและสังคม และที่สำคัญคือ เธอจะใช้งบประมาณทางด้านกลาโหมในระดับ ๒.๕% ของ GDP ไปในอีก ๔ ปีข้างหน้า และจะเพิ่มเป็น ๓% ในปี พ.ศ. ๒๕๗๓

จะเห็นได้ว่านโยบายเหล่านี้ล้วนเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ที่ใกล้ตัวประชาชนคนอังกฤษทั้งสิ้น ทีนี่มาฟังทางด้านคู่แข่งของเธอคือนายริชชี่ สุหนาก ที่เคยเป็นรัฐมนตรีคลังมาก่อนว่า นายริชชี่ จะบริหารประเทศอย่างไรบ้าง

นโยบายของนายริชชี่ดูจะตรงกันข้ามกับของนางลิธ ทรัสส์ทีเดียว เพราะหัวใจที่เขายึดมั่นอย่างเหนียวแน่นคือเขาต้องการที่จะควบคุมภาวะเงินเฟ้อของประเทศให้อยู่หมัดก่อน ก่อนที่จะไปลดภาษี นายริชชี่ประกาศว่าในสภาวะเศรษฐกิจของอังกฤษในขณะนี้ต้องลดและควบคุมภาวะเงินเฟ้อให้ได้เสียก่อนอื่นใด เขายืนยันและต้องการที่จะขึ้นภาษีที่เรียกว่า National Insurance เพื่อนำไปใช้จ่ายในด้านสุขภาพ,เขายืนยันและต้องการที่จะขึ้นภาษีนิติบุคคลจาก ๑๙% เป็น ๒๕% ในปีหน้า (ภาษีทั้งสองอย่างนี้มีผลกระทบโดยตรงกับประชาชนคนอังกฤษ)

บ้านเทพนิยาย!! หมู่บ้าน Foroglio กลางหุบเขา Bavonatal แห่งเทือกเขาแอลป์ สถานที่สุดมหัศจรรย์ เหมือนหลุดไปยังโลกเทพนิยาย

เมื่อมีเวลาได้พักร้อน หากวี่ไม่เลือกไปต่างประเทศตั้งแต่แรก วี่ก็ไม่มีแพลนใดๆ เลย สาเหตุก็เพราะในสวิสมีสภาพอากาศค่อนข้างแปรปวนและไม่แน่นอน ถึงแม้พยากรณ์อากาศของสวิสอย่าง MeteoSwiss จะทำนายได้แม่นยำ แต่ก็แม่นยำเพียง 1-2 อาทิตย์เท่านั้น ดังนั้นหากวี่จะไปพักร้อนในประเทศวี่ก็จะจองเอาในตอนนาทีสุดท้ายเสมอ

ครั้งนี้ก็เช่นกันค่ะ วี่เห็นสภาพอากาศแล้วก็เกิดความไม่แน่ใจ เลยตัดสินใจจองห้องในวันที่ออกเดินทางซะเลย สถานีปลายทางของวี่คือ เมือง Locarno รัฐ Tessin หรือ Ticino เพราะทางตอนใต้ของเมืองนี้ติดกับชายแดนอิตาลี อีกทั้งที่นี่มีอากาศค่อนข้างร้อน ถึงแม้ว่าจะมีเมฆหรือฝนตก อากาศที่สัมผัสได้ก็จะไม่หนาวเท่าฝั่งบ้านของวี่นั่นเองค่ะ

แรกเริ่มเดิมทีวี่มีแพลนว่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อไปล่องเรืองที่ทะเลสาป Lago Maggiore แต่ฝนเจ้ากรรมดันตกลงมาตั้งแต่เช้า จึงต้องจำใจเปลี่ยนแผนกะทันหัน (แอบเสียดายเหมือนกันนะเนี่ย) ครั้งที่แล้วที่วีมีโอกาสได้มาที่รัฐ Tessin วี่ได้เขียนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหุบเขา Verzascatal หรือ Verzasca Valley เอาไว้ (ตามอ่านได้ที่ : https://thestatestimes.com/post/2021061308) สำหรับทริปนี้วี่ก็มาที่หุบเขาอีกเช่นเดิม แต่ครั้งนี้หุบเขาที่วี่จะพาไปเป็นหุบเขา Bavonatal หรือ Bavona Valley ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่มหัศจรรย์อย่างมาก ไม่แพ้ที่ Verzascatal กันเลยทีเดียว

การเดินทางมาที่ Bavonatal หรือ Bavona Valley ถ้าขับรถยนต์จาก Locarno ก็จะใช้เวลา 45 นาทีโดยประมาณ แต่หากอยากเปลี่ยนบรรยากาศโดยการขึ้นรถโดยสารประจำทางก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยนั่งรถบัสสีน้ำเงินสาย 315 จากหน้าสถานีรถไฟ Locarno ไปลงที่ป้าย Bignasco จากตรงนี้เราจะต่อรถบัสสีเหลือง (Postauto) สาย 333 เพื่อไปลงที่หมู่บ้าน Foroglio แต่ขอเตือนกันไว้สักนิดว่ารถสายนี้จะวิ่งไม่กี่เที่ยวต่อวัน ต้องดูเวลากันให้เป๊ะๆ เลยนะทุกคน

พอมาถึงหมู่บ้าน Foroglio ก็ทำเอาวี่เซอร์ไพรส์หนักมาก เพราะที่นี่เป็นหมู่บ้านที่เหมือนพาเราเข้าไปสู่โลกแห่งเทพนิยาย เป็นหมู่บ้านที่เสมือนหยุดกาลเวลาเอาไว้ เพราะบ้านของที่นี่สร้างด้วยหิน แถมยังมีฉากหลังเป็นน้ำตกที่ชื่อเดียวกับหมู่บ้านแห่งนี้ นั่นก็คือ น้ำตก Foroglio โดยน้ำตกนี้มีความสูงถึง 110 เมตร ใครที่มาเที่ยวที่นี่ก็ต่างต้องการเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกกันทั้งนั้น (สวยมากจริงๆ)

แอบส่อง!! คัดแข่งหัวหน้าพรรคทอรี่ สไตล์ผู้ดีอังกฤษ

 อังกฤษได้ชื่อว่าเป็นแม่แบบของประชาธิปไตยที่มีการปกครองด้วยระบบที่มีหลายพรรคการเมือง พรรคใหญ่และเก่าแก่ที่เป็นที่รู้จักกันดีก็คือพรรคทอรี่หรือเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่าพรรคคอนเซอเวทีฟ อีกพรรคหนึ่งคือพรรคเลเบอร์หรือพรรคแรงงาน นอกจากสองพรรคนี้แล้ว อังกฤษก็ยังมีพรรคขนาดกลางอีกพรรคหนึ่งคือพรรคลิบเบอรัลเดโมแครต

แต่พรรคที่มีเสียงข้างมากและได้จัดตั้งรัฐบาลบ่อยครั้งกว่าก็คือพรรคคอนเซอเวทีฟที่บางครั้งก็เรียกกันว่าพรรคอนุรักษ์นิยมและขณะนี้พรรคนี้ก็เป็นรัฐบาลปกครองประเทศ 

ในระยะ ๕-๖ ปีที่ผ่านมาพรรคอนุรักษ์นิยมมีการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคมาแล้วสามคนหลังจากการลงประชามติว่าอังกฤษจะอยู่หรือออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในปีค.ศ. ๒๐๑๖

เริ่มจากนายเดวิด แคมเมอรอนก่อนนายเดวิดประกาศลาออกในปี ค.ศ.๒๐๑๖ สาเหตุก็คือในการหาเสียงเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ. ๒๐๑๕นายเดวิดประกาศว่าถ้าเขาชนะการเลือกตั้งเขาจะจัดให้อังกฤษมีการลงประชามติในการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ปรากฏว่านายเดวิด ชนะการเลือกตั้งเขาจึงจัดให้มีการลงประชามติตามสัญญา นายเดวิด สนับสนุนให้อังกฤษยังคงเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปต่อไป แต่ชาวอังกฤษส่วนใหญ่โหวตให้อังกฤษออก ดังนั้นเมื่อความเห็นของเขาไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากคนอังกฤษ นายเดวิดจึงอยู่ต่อไปไม่ได้

ขอแทรกข้อมูลตรงนี้สักหน่อยว่าเรื่องการออกจากสมาชิกสหภาพยุโรปนี่ในพรรคคอนเซอเวทีฟพูดกันมานาน แต่ไม่มีใครกล้าทำเรื่องประชามตินี้ เพราะมันมีผลมากมายและถ้าทำก็ต้องเสี่ยงว่าจะอยู่หรือไป ก็มีความเห็นของชาวอังกฤษที่ขัดแย้งกันและเช่นเดียวกันกับนักการเมือง บ้างก็ว่าอยู่ก็ดี บ้างก็ว่าออกจะดีกว่า

ต่อมานางเทเรซ่า เมย์ ได้รับเสียงสนับสนุนจากส.ส. ภายในพรรคอย่างท่วมท้นให้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคและได้เป็นนายกรัฐมนตรีโดยตำแหน่ง แต่ระหว่างเป็นนายกฯไม่ถึงสามปีเธอก็ต้องลาออกเพราะรัฐบาลของเธอไม่สามารถที่จะดำเนินการต่อรองเจรจากับสหภาพยุโรปตามเงื่อนไขที่อังกฤษต้องการในการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปได้ มีข้อขัดแย้งหลายประการ อังกฤษถูกโดนรุมจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป เช่นเดียวกับตัวนางเทเรซ่าเอง เธอดูจะเสียเครดิทไปมากและจากการขัดแย้งกันเองภายในพรรควุ่นวายกันไปหมด จนเทเรซ่า เมย์แทบจะหมดสภาพ เธอยอมลาออกในปีค.ศ. ๒๐๑๙

การเมืองก็คือการเมืองไม่ว่าที่ไหนๆ ต้องมีพรรคมีพวก ส.ส.ในพรรคคอนเซอเวทีฟสนับสนุนให้นายบอริส จอนห์สันซึ่งตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีร่วมคณะรัฐบาลของนางเทเรซ่าอยู่ ว่าน่าจะมาแทนที่นางเทเรซ่า และสามารถแก้ไขปัญหาการออกจากสมาชิกสหภาพยุโรปได้เร็วขึ้น เพราะนายบอริส คือตัวหลักคนหนึ่งในการที่สนับสนุนให้อังกฤษ ดีดตัวออกจากสหภาพยุโรปสำเร็จ เพราะฉะนั้นนายบอริส น่าจะเป็นคนที่ทำได้ตามที่อังกฤษต้องการ

และก็เป็นไปตามที่คิดกันในปี ค.ศ. ๒๐๑๙ ส.ส.พรรคคอนเซอเวทีฟก็เลือกนายบอริสขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค นายบอริสขึ้นชื่อว่าเป็นปลาไหลใส่เสก็ตเก่งคนหนึ่งเขาจึงต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างง่ายๆต่อจากนางเทเรซ่า  ดังนั้นหลังจากที่เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่นานนักนายบอริสก็ประกาศยุบสภาให้มีการเลือกตั้งทั่วไปใหม่ เกิดปรากฏการณ์ที่ฉงนๆกันอยู่คือว่าพรรคคอนเซอเวทีฟได้คะแนนเสียงข้างมากกว่าเดิมได้จัดตั้งรัฐบาลอีก

เมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งเสียงดีเช่นนี้ ด้วยความมั่นใจนายบอริสก็ดำเนินการเจรจาให้อังกฤษออกจากสหภาพยุโรปได้เร็วขึ้น แต่เมื่อปีที่แล้วนายบอริสก็มาตกม้าตายจากการบริหารประเทศในการระบาดของโรคโควิด ๑๙ ที่สับสนวุ่นวายทำให้คนอังกฤษเสียชีวิตเพราะโรคระบาดไปนับแสนคน แผนการที่รัฐบาลออกมารับมือถูกวิพากย์วิจารณ์ว่าไม่มีประสิทธิภาพและสร้างความโกลาหลให้กับประชาชนเพราะรัฐบาลนายบอริสเชื่องช้าและเพิกเฉยต่อการรับมือกับโรคระบาด

สงครามแย่งชิงมวลชน ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ คือภารกิจสำคัญของผู้มีอำนาจทุกยุคทุกสมัย หากต้องการให้มวลชนอยู่ภายใต้การปกครอง และตัวเองสามารถครองอำนาจไปได้ตลอด แม้กระทั่งผู้นำอย่าง ฮิตเลอร์ ก็ยังให้ความสำคัญกับการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อแย่งชิงมวลชนมาเป็นฝ่ายตัวเอง 

สมัยฮิตเลอร์ครองอำนาจ เขาได้มือขวาคู่ใจคนหนึ่ง ซึ่งต่อมาคือรัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาการ นายโยเซฟ เกิบเบิลส์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการปลุกระดม การโฆษณาชวนเชื่อ และสร้างข่าวเท็จจำนวนมาก หรือที่เรียกว่า Fake News โดยนปัจจุบัน เขามีลักษณะเด่นคล้ายฮิตเลอร์ คือ เป็นนักพูดตัวยง เป็นนักแสดงบนเวที และเป็นนักเล่าเรื่องผู้ยอดเยี่ยม

ฮิตเลอร์ และมือขวาของเขาได้ร่วมกันสร้างหลักการง่ายๆ จนเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำโฆษณาชวนเชื่อแพร่หลายทั่วไปจนถึงปัจจุบัน ภายใต้หลักการง่ายๆ 7 วิธี ซึ่ง 7 วิธีนี้ ทุกวันนี้ก็ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน

'การใช้สื่อเป็นเครื่องมือ' ภายหลังพรรคนาซีได้รุ่งเรืองอำนาจในปี ค.ศ. 1933 ฮิตเลอร์และเกิบเบิลส์ ได้เข้าควบคุมหนังสือพิมพ์ทั้งหมดในเยอรมนี เพื่อกำหนดข่าวให้อยู่ทิศทางเดียวกัน ไม่รวมถึงวิทยุกระจายเสียงที่อยู่ภายใต้รัฐบาลอยู่แล้ว และพวกเขาได้สร้างนักพูด นักปลุกระดมมวลชนหลายพันคนที่มีฝีปากจัดจ้าน ออกตระเวนไปพูดทั่วประเทศ ส่งเนื้อหาเพื่อทำให้ประชาชนชื่นชอบฮิตเลอร์ พรรคนาซี และความชอบธรรมในการรุกรานประเทศอื่นๆ

...'โกหกจนเป็นเรื่องจริง' !!

โยเซฟ เกิบเบิลส์ เคยกล่าวว่า “ยิ่งโกหกคำโตมากเท่าไร โกหกบ่อยๆ คนจะยิ่งเชื่อมากขึ้น” และ “การหลอกประชาชนจำนวนมากด้วยการพูดโกหกเรื่องใหญ่ๆ ง่ายยิ่งกว่าการโกหกเรื่องเล็กๆ”

“การตั้งฉายา” ตั้งฉายาฝ่ายตรงกันข้ามให้ชั่วร้ายเลวทรามหรือดูแย่ เพื่อให้คนหมู่มากรู้สึกรังเกียจและสร้างความเกลียดชังให้มากขึ้น

“พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก” เป็นการย้ำข้อความเดิมๆ ไปเรื่อยๆ ซ้ำๆจนคนฟังหรือผู้รับสารค่อยๆ ซึมและเชื่อไปเองในที่สุด ไม่ต่างจากการที่ค่ายเพลง เปิดเพลงที่ตั้งใจจะให้ฮิทติดอันดับทางสถานีวิทยุ เปิดไปเรื่อยๆ จนคนฟังชินหู แล้วเริ่มรู้สึกว่าเพลงเพราะ

“ฝ่ายธรรมะ ฝ่ายอธรรม” ฮิตเลอร์พยายามสร้างภาพว่า ตัวเองเป็นสัตบุรุษ เป็นเสมือนพระเยซู ผู้ทรงคุณธรรม มีศีลธรรมอันดีงาม มาช่วยเหลือ ปกป้องชาวเยอรมันและป้ายสีว่าผู้ร้ายคนชั่วคือพวกยิว ที่เป็นพ่อค้าขูดรีด เอาเปรียบชาวอารยันมานาน และพวกคอมมิวนิสต์ที่มีความคิดชั่วร้ายในการปกครองประเทศ แม้กระทั่งก่อนการบุกประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศเชคโกสโลวาเกียหรือโปแลนด์ ก็มีการปลุกระดมให้คนเยอรมันเข้าใจผิดว่า ชนชาติเหล่านั้นเป็นคนชั่ว ข่มเหงรังแกคนเยอรมันและชนกลุ่มน้อยในประเทศนั้นๆ ทางรัฐบาลนาซีเลยต้องประกาศสงคราม

“แบ่งแยกผู้คนเป็นฝ่ายต่างๆ ชัดเจน” เมื่อทำทั้ง 6 วิธีด้านบนไปแล้วก็ถึงเวลาในการที่จะบีบให้คนต้องเลือกข้างและด้วยเหตุผลทางจิตวิทยาคงไม่มีใครที่อยากจะเลือกข้างเป็นผู้ร้ายและนั่นคือความสำเร็จของโมเดลโฆษณาชวนเชื่อของฮิตเลอร์

ฤา.....เมียนมาจะล่มสลายเหมือนศรีลังกา

ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา เอยาได้ยินเสียงแว่วออกมาจากฝั่งสามนิ้วชาวเมียนมาก็ดี ชาวไทยก็ดีว่า อีกไม่นานเมียนมาจะล่มสลายแบบเดียวกับศรีลังกา เรื่องแบบนี้มันสามารถปลุกกระแสได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารของเมียนมา เอาเป็นว่าก่อนที่จะที่ทุกคนจะเชื่อหรือไม่ วันนี้เอยามาหาคำตอบให้ทุกคนได้รู้กัน

ก่อนจะพูดถึงว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลราชปักษาที่ทุกคนทราบกันดีว่าเหตุของการล่มสลายของศรีลังกาเราควรมาทราบก่อนว่าตระกูลราชปักษานั้นขึ้นมามีอำนาจได้อย่างไร ก่อนอื่นๆ ต้องเข้าใจก่อนว่าในอดีตศรีลังกามีคนอาศัยอยู่ 2 ชาติพันธุ์นั่นคือ ชาวสิงหลที่เป็นชาวพื้นเมือง อีกชาติพันธุ์คือชาวทมิฬที่ย้ายถิ่นฐานมาจากอินเดียใต้ และมีปัญหาการกระทบกระทั่งระหว่างชนชาติมาตลอดตั้งแต่สมัยก่อนยุคล่าอาณานิคม จนถึงยุคล่าอาณานิคม แม้จะมีการเปลี่ยนมือกันปกครองจากโปรตุเกสเป็นฮอลันดาและอังกฤษในเวลาต่อมา โดยเฉพาะในยามที่อังกฤษปกครองเป็นช่วงเวลาที่สร้างรอยร้าวระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างชาวสิงหลและชาวทมิฬมากที่สุด จนถึงวันที่ปลดปล่อยเอกราชออกจากอังกฤษ ปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ระหว่างชาวสิงหลและชาวทมิฬมาเป็นเวลานับศตวรรษ โดยชาวทมิฬต้องการที่จะแยกดินแดนทางภาคเหนือและตะวันออกของประเทศตั้งเป็น มาตุภูมิทมิฬ จึงได้ก่อตั้งกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลม หรือ LTTE เพื่อเป็นกองกำลังในการต่อสู้กับรัฐบาล โดยใช้วิธีการก่อการร้าย ระเบิดพลีชีพ และการลอบสังหาร โดยพุ่งเป้าไปที่หน่วยทหาร ผู้นำทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ทางการท้องถิ่นชาวสิงหล จนกระทั่งนอร์เวย์เข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยนำไปสู่การลงนามความตกลงหยุดยิงในปี 2545 ซึ่งตามมาด้วยการเจรจาสันติภาพที่มีการประชุมมาทั้งหมด 8 ครั้ง โดยการเจรจาฯ จัดขึ้นที่ไทย 3 ครั้ง (กันยายน/ตุลาคม 2545 และมกราคม 2546) การเจรจาฯ ครั้งสุดท้ายจัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 - 29 ตุลาคม 2549 ที่นครเจนีวา ก็ไม่ปรากฏผลที่สำคัญใดๆ อาจกล่าวได้ว่า การเจรจาฯ ที่ผ่านไม่สามารถบรรลุผลใด ๆ ที่เป็นรูปธรรมได้ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ตลอดจนความจริงใจที่จะยุติปัญหาทาการเมืองอย่างถาวร แม้จะได้รับแรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากประเทศตะวันตกก็ตาม

จนกระทั่งการเลือกตั้งประธานาธิบดี นาย Mahinda Rajapaksa ที่ปัจจุบันได้เป็นนายกรัฐมนตรีก่อนจะถูกเปลี่ยนออกในการปรับ ครม. ก่อนจะเกิดการล่มสลายของศรีลังกา โดยนาย Mahinda ได้ชูนโยบายในการกวาดล้างกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลมจนถูกทำลายสิ้นซากในเดือนพฤษภาคม 2009 ภายใต้การนำของ Nandasena Gotabaya Rajapaksa ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เขาได้ใจชาวสิงหลในศรีลังกาและเป็นผลให้ โคฐาภยะ ราชปักษา ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ตั้งแต่ปี 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2019 - 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2022

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าวันนี้ศรีลังกาได้ประกาศเป็นประเทศล้มละลายแล้วโดยชนวนเหตุมาจากการกู้หนี้ยืมสินต่างประเทศมาใช้อย่างอู้ฟู่โดยรายได้ของศรีลังกา จนเมื่อประเทศต้องผจญกับวิกฤตทับซ้อนโดยเริ่มจาก วิกฤตการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้รายได้หลักของศรีลังกาขาดไป เมื่อต้องมาพบกับวิกฤตการณ์ที่ราคาอาหารและน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงเมื่อ โคฐาภยะ ราชปักษา ได้ดำเนินนโยบายการลดการเก็บภาษีในกลุ่มธุรกิจบางกลุ่ม ทำให้รายได้ประเทศลดลงในขณะที่รายจ่ายพุ่งสูงขึ้นจนนำมาถึงจุดที่ล้มละลายในที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top