Wednesday, 14 May 2025
WORLD

‘ไบเดน’ ซุ่มเจรจาค้าอาวุธครั้งใหญ่กับ ‘เวียดนาม’ อาจทำข้อตกลงปีหน้า คาด!! ‘จีน-รัสเซีย’ มีเคือง

เมื่อวานนี้ (24 ก.ย. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์ อ้างอิงแหล่งข่าว รายงานเมื่อวันเสาร์ (23 ก.ย.) ว่า รัฐบาลไบเดนกำลังหารือกับรัฐบาลเวียดนามเกี่ยวกับข้อตกลงซื้ออาวุธครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ระหว่างอดีตศัตรูในยุคสงครามเย็น ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจให้จีนและกีดกันซัพพลายอาวุธรัสเซีย

ข้อตกลงดังกล่าวที่อาจมีขึ้นในปีหน้า อาจช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลวอชิงตัน และรัฐบาลฮานอย ด้วยการขายเครื่องบินรบ F-16 ของสหรัฐ เนื่องจากเวียดนามเผชิญความตึงเครียดกับรัฐบาลปักกิ่ง ในข้อพิพาททะเลจีนใต้

แหล่งข่าวรายหนึ่ง เผยว่า ข้อตกลงนี้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น และยังมีเงื่อนไขไม่แน่นอน หรือไม่อาจบรรลุสัญญา แต่ถือเป็นประเด็นสำคัญในการพูดคุยอย่างเป็นทางการระหว่างสหรัฐ-เวียดนาม ในกรุงฮานอย, นิวยอร์ก และกรุงวอชิงตันเมื่อเดือนก่อน

แหล่งข่าวอีกรายบอกว่า รัฐบาลวอชิงตันกำลังพิจารณาเงื่อนไขโครงสร้างทางการเงินแบบพิเศษของอาวุธราคาแพง เพื่อช่วยฮานอยหลีกเลี่ยงการพึ่งพาอาวุธต้นทุนต่ำของรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของทำเนียบขาวและรัฐมนตรีต่างประเทศของเวียดนาม ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นใด ๆ

ผลโพลสหรัฐฯ ชี้ 'ทรัมป์' มีคะแนนนิยมเหนือ 'ไบเดน' 10% ด้านคนอเมริกัน 75% มอง 'ไบเดน' แก่เกินไปที่จะนั่งเก้าอี้สมัย 2

ในผลสำรวจที่เผยแพร่เมื่อวันเสาร์ (23 ก.ย.66) พบว่า 52% ของผู้ตอบแบบสอบถาม จะเลือก ทรัมป์ ส่วนที่บอกว่าจะเลือก ไบเดน มีอยู่ราวๆ 42% ส่วนที่เหลือระบุว่ายังไม่ตัดสินใจหรือไม่ก็จะไม่ไปลงคะแนน ทั้งนี้ในผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยวอชิงตันโพสต์/เอบีซีนิวส์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ในตอนนั้นพบว่า ไบเดน มีคะแนนนิยมนำหน้า ทรัมป์ เพียง 4 จุด ที่ 48% ต่อ 44%

อย่างไรก็ตามผลสำรวจของวอชิงตันโพสต์/เอบีซีนิวส์ ค่อนข้างจะสวนทางกับผลโพลอื่นๆ เมื่อเร็วๆ นี้ ที่เกือบทั้งหมดให้ ทรัมป์ และ ไบเดน มีคะแนนนิยมสูสีกันอย่างมาก ในนั้นรวมถึงผลสำรวจของสำนักข่าวเอ็นบีซีนิวส์ ที่พบว่า ทรัมป์ กับ ไบเดน มีคะแนนนิยมเท่ากันที่ 46% ส่วนผลโพลของ ฟ็อกซ์ นิวส์ ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบ ทรัมป์ มีคะแนนนิยมนำหน้า ไบเดน 48% ต่อ 46% ขณะที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัย Quinnipiac ให้ ไบเดน มีคะแนนนิยมนำหน้า 47% ต่อ 46%

ก่อนเผชิญหน้ากับ ไบเดน เป็นครั้งที่ 2 ทาง ทรัมป์ จำเป็นต้องเอาชนะกลุ่มผู้ท้าทายจากรีพับลิกัน ที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาก ซึ่งต่างหวังก้าวมาเป็นตัวแทนพรรคลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี อย่างไรก็ตามผลสำรวจแทบทุกสำนัก พบว่า ทรัมป์ มีคะแนนนิยมนำหน้าอย่างแข็งแกร่ง และ ไบเดน บอกกับเหล่าผู้บริจาคในวันพุธ (20 ก.ย.) เขาคิดว่าทรัมป์ ถูกกำหนดล่วงหน้าให้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันอีกครั้ง

ผลสำรวจของวอชิงตันโพสต์และเอบีซีนิวส์ พบว่า ทรัมป์ มีคะแนนนิยมนำหน้า รอน เดอซานติส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา คู่แข่งชิงตัวแทนพรรครีพับลิกัน ที่ใกล้เคียงที่สุดของเขา อยู่เกือบ 40 จุด ที่ 54% ต่อ 15% และไม่พบว่ามีผู้ท้าชิงรีพับลิกันรายอื่นๆ รายใดที่มีคะแนนนิยมถึงเลข 2 หลัก ในผลสำรวจเลย

ทั้ง ไบเดน และ ทรัมป์ ต่างเผชิญอุปสรรคสำคัญในแนวโน้มหวนคืนสู่การท้าชิงเก้าอี้ทำเนียบขาว โดย ทรัมป์ จะเข้าสู่ฤดูกาลเลือกตั้งในปีหน้า ด้วยการต้องต่อสู้กับข้อกล่าวหาต่างๆ มากกว่า 90 กระทง ใน 4 คดีแยกกัน ไม่ว่าจะเป็น คดีที่เขาถูกกล่าวหาพยายามล้มผลเลือกตั้งปี 2020 บริหารจัดการเอกสารลับผิดพลาด และจ่ายเงินปิดปากดาราหนังโป๊ สตอร์มมีย์ แดเนียลส์

ทรัมป์ ยืนกรานว่าการฟ้องร้องเอาผิดกับเขานั้น มีแรงจูงใจทางการเมือง และกระทรวงยุติธรรมภายใต้ไบเดน มีส่วนเกี่ยวข้องกับความพยายาม "สลานิตส์" ที่มุ่งหมายเขี่ยเขาพ้นจากศึกชิงชัยเก้าอี้ประธานาธิบดี 2024

สำหรับ ไบเดน บรรดาผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งต่างมีความกังวลว่าเขามีสุขภาพแข็งแรงพอสำหรับดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่ออีกสมัยหรือไม่ โดยในผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุด ไม่พิจารณาแนวโน้มทางการเมือง พบว่ามีถึง 75% ที่มองว่า ไบเดน นั้นแก่เกินไปที่จะนั่งเก้าอี้สมัย 2

‘จีน’ เปิดทดลองเดินรถ บนถนนทางหลวงเอเชียสายใหม่  เชื่อมต่อการคมนาคม 3 ประเทศ ‘จีน-มองโกเลีย-รัสเซีย’

เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, อุรุมชี รายงาน การทดลองเส้นทางขนส่งทางถนนระหว่างประเทศ ซึ่งเชื่อมต่อจีน มองโกเลีย และรัสเซีย บนทางหลวงเอเชีย สาย 4 (AH4) เริ่มต้นที่นครอุรุมชี เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เมื่อช่วงเช้าวันศุกร์ (22 ก.ย.) ที่ผ่านมา

รายงานระบุว่า ขบวนรถบรรทุกของจีน มองโกเลีย และรัสเซีย จำนวน 9 คัน วิ่งออกจากศูนย์ขนส่งหลายรูปแบบในเขตด่านบกระหว่างประเทศอุรุมชี โดยรถบรรทุกจะออกจากจีนผ่านด่านบกถ่าเค่อสือเขิ่น วิ่งผ่านมองโกเลียและรัสเซีย ก่อนถึงเมืองโนโวซีบีรสค์ของรัสเซีย

เส้นทางวิ่งระยะทดลองทั้งหมดยาวราว 2,253 กิโลเมตร แบ่งเป็นในจีนราว 577 กิโลเมตร ในมองโกเลีย 758 กิโลเมตร และในรัสเซีย 918 กิโลเมตร โดยจะมีการจัดพิธีต้อนรับขบวนรถบรรทุกที่เมืองโนโวซีบีรสค์ ซึ่งเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่สุดอันดับสามของรัสเซีย ในวันที่ 28 ก.ย. ด้วย

‘เซวียนเติงเตี้ยน’ เจ้าหน้าที่กระทรวงคมนาคมของจีน กล่าวว่าเส้นทางใหม่นี้เป็นช่องทางขนส่งทางถนนระหว่างประเทศที่เชื่อมต่อจีน มองโกเลีย และรัสเซีย ลำดับที่ 2 ต่อจากเส้นทางบนทางหลวงเอเชีย สาย 3 ซึ่งจะส่งเสริมการหมุนเวียนทรัพยากรอย่างเป็นระเบียบ การจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการบูรณาการตลาดในภูมิภาค รวมถึงมีบทบาทนำร่องในการสร้างระเบียงเศรษฐกิจจีน-มองโกเลีย-รัสเซีย

อนึ่ง ซินเจียงตั้งอยู่ใจกลางทวีปยูเรเซีย ถือเป็นศูนย์กลางการขนส่งในภูมิภาคหลักของแถบเศรษฐกิจเส้นทางสายไหม

ปัจจุบันจีนมีส่วนร่วมการขนส่งทางถนนระหว่างประเทศกับ 21 ประเทศ และมีท่าด่านในจีน 68 แห่ง ที่เปิดบริการขนส่งทางถนนระหว่างประเทศ

‘ทีมแพทย์สหรัฐฯ’ ปลูกถ่ายหัวใจหมูในมนุษย์ สำเร็จรายที่ 2 ของโลก จุดความหวังใหม่ให้มนุษยชาติ แก้ปัญหาการขาดแคลนอวัยวะมนุษย์

(24 ก.ย. 66) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจให้กับ ‘นายลอว์เรนซ์ ฟาเซ็ตต์’ ทหารผ่านศึกของกองทัพเรือสหรัฐฯ วัย 58 ปี โดยใช้หัวใจหมูที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรม ทำให้เขากลายเป็นคนไข้คนที่ 2 ของโลกที่ได้รับการปลูกถ่ายหัวใจหมูในมนุษย์

ก่อนหน้านี้ ผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์เคยผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจหมูให้กับคนไข้รายหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม คนไข้คนดังกล่าวเสียชีวิตหลังการผ่าตัด 2 เดือนต่อมาเนื่องจากหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงสุขภาพของคนไข้ที่ไม่ดีก่อนหน้าการผ่าตัด

ทั้งนี้ การปลูกถ่ายหัวใจหมูในมนุษย์ครั้งล่าสุดได้มีขึ้นเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (20 ก.ย.) ให้แก่นายฟาเซ็ตต์ ผู้ไม่สามารถเข้ารับการบริจาคหัวใจมนุษย์ได้ เนื่องจากป่วยด้วยโรคหลอดเลือดและมีอาการแทรกซ้อนจากการเลือดออกภายใน หากเขาไม่ได้เข้ารับการปลูกถ่ายหัวใจดังกล่าว นายฟาเซ็ตต์อาจมีอาการหัวใจล้มเหลวในอนาคตอันใกล้

ฟาเซ็ตต์กล่าวก่อนหน้าการผ่าตัดว่า “ความหวังสุดท้ายที่ผมมี คือ การใช้หัวใจหมูในการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสปีชีส์ หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า ‘Xenotransplantation’ แต่อย่างน้อยตอนนี้ผมก็มีหวังแล้ว” ภายหลังจากการผ่าตัด มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ระบุว่า นายฟาเซ็ตต์สามารถหายใจได้ด้วยตนเองและหัวใจใหม่ของเขากำลังทำงานได้ดี โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือต่างๆ ช่วยเหลือ รวมถึงสามารถนั่งบนเก้าอี้และหยอกล้อกับคนอื่นๆ ได้แล้ว โดยขณะนี้เขากำลังรับยาต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายของเขาทำลาย หรือต่อต้านอวัยวะใหม่การผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสปีชีส์นั้น อาจสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนอวัยวะมนุษย์อย่างรุนแรง

โดยขณะนี้มีชาวอเมริกันกว่า 1 แสนคน กำลังรอเข้ารับการปลูกถ่ายอวัยวะ อย่างไรก็ดี การปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสปีชีส์นั้นมีความท้าทายมาก เพราะระบบภูมิคุ้มกันของคนไข้จะโจมตีอวัยวะใหม่ที่เพิ่งได้รับการปลูกถ่าย

‘สาวแมนเชสเตอร์’ ดวงดี!! ซื้อภาพวาดจิตรกรดัง ‘เอ็น.ซี.ไวเอธ’ ราคาเพียง 4 ดอลลาร์ จากร้านมือสอง แต่ขายได้เกือบ 7 ล้าน

เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 66 เว็บข่าวต่างประเทศรายงาน ภาพวาดที่ถูกซื้อจากร้านขายของมือสองในเมืองแมนเชสเตอร์ รัฐนิวแฮมป์เชียร์ สหรัฐอเมริกา ในราคา 4 ดอลลาร์ ราว 144 บาท ปรากฎว่าเป็นภาพวาดของ เอ็น.ซี.ไวเอธ จิตรกรเอกชาวรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกาที่ทำราคาประมูลได้สูงถึง 191,000 ดอลลาร์ ราว 6,856,900 บาท

ข่าวระบุภาพวาดดังกล่าวมีชื่อว่า ‘ราโมนา (Ramona)’ เป็นผลงานภาพวาด 1 ใน 4 ภาพที่ไวเอธ วาดสำหรับหนังสือนิยายเรื่องราโมนา ของ เฮเลน ฮันต์ แจ็กสัน ฉบับปี 1939 ขณะที่ฉบับแรกตีพิมพ์ปี 1884 โดยภาพวาดดังกล่าวเป็นภาพของเด็กสาวกำพร้ำกำลังทะเลาะกับแม่บุญธรรมของเธอ

สำนักประมูลบอนแฮมส์ สกินเนอร์ อ้างผู้เชี่ยวชาญผลงานของไวเอธ ให้ความเห็นว่าภาพวาดดังกล่าวคาดว่าเป็นภาพวาดของไวเอธที่หายไปนานมาก แต่ต่อมาตกอยู่ในมือของหญิงชาวเมืองแมนเชสเตอร์ รัฐนิว แฮมป์เชียร์ ที่ซื้อภาพวาดนี้มาจากร้านเซฟเวอร์ (Savers) ร้านขายของมือสองแถวบ้านในราคา 4 ดอลลาร์ (ประมาณ 143 บาท) และแขวนภาพวาดนี้บนฝาผนังที่บ้านสักพัก ก่อนจะนำไปเก็บไว้ตู้เสื้อผ้า

ข่าวระบุภาพวาดดังกล่าวมีชื่อว่า ‘ราโมนา (Ramona)’ เป็นผลงานภาพวาด 1 ใน 4 ภาพที่ไวเอธ วาดสำหรับหนังสือนิยายเรื่องราโมนา ของ เฮเลน ฮันต์ แจ็กสัน ฉบับปี 1939 ขณะที่ฉบับแรกตีพิมพ์ปี 1884 โดยภาพวาดดังกล่าวเป็นภาพของเด็กสาวกำพร้ำกำลังทะเลาะกับแม่บุญธรรมของเธอ

สำนักประมูลบอนแฮมส์ สกินเนอร์ อ้างผู้เชี่ยวชาญผลงานของไวเอธ ให้ความเห็นว่าภาพวาดดังกล่าวคาดว่าเป็นภาพวาดของไวเอธที่หายไปนานมาก แต่ต่อมาตกอยู่ในมือของหญิงชาวเมืองแมนเชสเตอร์ รัฐนิว แฮมป์เชียร์ ที่ซื้อภาพวาดนี้มาจากร้านเซฟเวอร์ (Savers) ร้านขายของมือสองแถวบ้านในราคา 4 ดอลลาร์ (ประมาณ 143 บาท) และแขวนภาพวาดนี้บนฝาผนังที่บ้านสักพัก ก่อนจะนำไปเก็บไว้ตู้เสื้อผ้า

‘สวีเดน’ เจอดินถล่ม ทำมอเตอร์เวย์เชื่อมกรุงทรุดตัวแตกร้าว รถสัญจรถูกดูดลงหลุมของรอยแยก ปชช.บาดเจ็บหลายราย

เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 66 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เกิดเหตุดินถล่มจนสร้างความเสียหายให้กับถนนมอเตอร์เวย์ ซึ่งเชื่อมระหว่างเมืองโกเธนเบิร์ก เมืองใหญ่อันดับ 2 ของสวีเดน กับกรุงออสโล เมืองหลวงของประเทศ ทรุดตัวพังเสียหายเป็นบริเวณกว้าง ตั้งแต่คืนวันศุกร์ (22 ก.ย.) ที่ผ่านมา และยังส่งผลกระทบต่อรถยนต์ประมาณ 10 คันที่กำลังสัญจรไปมา ตลอดจนป่าข้างทาง และพื้นที่ธุรกิจที่ติดกับปั๊มน้ำมันและร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดในบริเวณดังกล่าว ให้ได้รับความเสียหาย โดยมีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 3 ราย ซึ่งถูกส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หน่วยกู้ภัยโกเธนเบิร์กแถลงว่า ส่วนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากเหตุดินถล่มมีขนาดประมาณ 150 x 100 เมตร อย่างไรก็ตาม เหตุดินถล่มส่งผลกระทบกินพื้นที่ถึงประมาณ 700 x 200 เมตร สำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง ได้รับการช่วยเหลือออกมาจากรถของพวกเขาที่ไถลตัวลงไปพร้อมกับถนนที่ทรุดพังลง ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและเฮลิคอปเตอร์

ด้านสื่อท้องถิ่นรายงานว่า มีรถยนต์หลายคันและรถบรรทุกคันหนึ่งที่ตกลงไปในหลุม และรอยแตกร้าวของถนนที่ทรุดตัวจากเหตุดินถล่มครั้งนี้

‘สกอตแลนด์’ พัฒนารถออฟโรด EV สำหรับกู้ภัยบนภูเขา มูลค่า 2.6 ล้านบาท คาด!! เปิดให้สั่งซื้อครั้งแรกปี 2024

(23 ก.ย.66) บริษัทสตาร์ตอัปในประเทศสกอตแลนด์พัฒนารถกู้ภัยขับเคลื่อน 4x4 ออฟโรดพลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด Munro MK_1 รองรับภารกิจกู้ภัยบนภูเขาและหน่วยดับเพลิงในพื้นที่เมืองของสกอตแลนด์ อังกฤษและเวลส์ โดยรถรุ่นนี้เป็นการสานต่อความสำเร็จจากรถรุ่น MK-1 e-4WD ที่เปิดตัวในปี 2022 ที่ผ่านมา

แนวคิดการออกแบบรถกู้ภัย Munro MK_1 เน้นความสามารถในการบรรทุกสัมภาระที่มากขึ้นด้วยการถอดเบาะแถวที่นั่งด้านหลังออก เปลี่ยนพื้นที่เป็นขนเครื่องมือช่วยชีวิตในพื้นที่ห่างไกล โครงสร้างภายนอกของตัวรถมีความแข็งแกร่งรองรับการขับขี่ในเส้นทางที่ยากลำบาก

ระบบขับเคลื่อนใช้มอเตอร์ฟลักซ์ไฟฟ้าแบบแกนเดียวให้กำลังสูงสุด 375 แรงม้า และแรงบิด 516 ปอนด์-ฟุต ผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมกล่องเกียร์ 2 สปีดและเฟืองท้ายกลาง ทำให้ล้อทั้ง 4 ทำงานร่วมกัน และผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนล้อบนแต่ละเพลาให้เป็นขั้นล็อกได้โดยใช้ระบบล็อกเฟืองท้ายด้านหน้าและด้านหลัง 

รถกู้ภัย Munro MK_1 รองรับการขับขี่ได้ทั้งพื้นที่ลาดเอียงมีความลื่นของพื้นถนน พร้อมขับเคลื่อนผ่านพื้นที่ป่าทึบ ลุยน้ำความลึก 80 เซนติเมตร พร้อมอุปกรณ์ค้นหาและกู้ภัยเต็มรูปแบบ พร้อมกับพื้นที่ด้านหลังที่บรรทุกสินค้าอย่างอื่นเพิ่มเติมได้ ความยาวพอดีกับเปลหามผู้บาดเจ็บและอุปกรณ์ช่วยชีวิตเบื้องต้น รองรับผู้โดยสาร 3 คน 

จุดเด่นของตัวรถกู้ภัย Munro MK_1 อยู่ตรงที่การติดตั้งชุดไฟส่องสว่างภายนอกเพื่อเพิ่มมุมมองในการขับขี่ตอนกลางคืน รวมไปถึงไฟส่องสว่างด้านหลังของตัวรถ เพื่อเพิ่มความสามารถในการกู้ภัยในเวลากลางคืนให้สะดวกมากขึ้น เช่น การขนส่งผู้บาดเจ็บเข้าทางด้านประตูหลังของรถ 

รถกู้ภัย Munro MK_1 แบ่งออกเป็น 3 รุ่นย่อยด้วยกันประกอบด้วย

1. รุ่นมอเตอร์กำลัง 295 แรงม้า ชุดแบตเตอรี่ขนาด 82.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง ระยะทางสูงสุด 306 กิโลเมตร และชาร์จเร็วจาก 15-80% ในเวลาประมาณ 36 นาที 
2. รุ่นอรรถประโยชน์ระดับเริ่มต้น มอเตอร์กำลัง 295 แรงม้าเท่ากัน แต่ใช้ชุดแบตเตอรี่ขนาดเล็ก 61.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง  ระยะทางสูงสุด 227 กิโลเมตร 
3. รุ่นสมรรถนะที่เน้นความสนุกสนาน มอเตอร์ทรงพลังกว่า 375 แรงม้า แบตเตอรี่ขนาด 82.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง เพื่อการวิ่ง 4.9 วินาทีที่ 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง เพิ่มความสามารถในการลากจูงได้ 3,500 กิโลกรัม และระยะทางไกลถึง 305 กิโลเมตร

สำหรับราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 74,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.6 ล้านบาท บริษัทเปิดให้สั่งซื้อครั้งแรกในปี 2024

‘นาซา’ ลุ้น!! ‘ยานโอไซริส-เร็กซ์’ เตรียมยิงแคปซูล 24 ก.ย.นี้ พร้อมนำตัวอย่างดาวเคราะห์น้อยเบนนูกลับมาศึกษาต่อที่ดาวโลก

เมื่อวานนี้ (22 ก.ย. 66) สำนักข่าวเอเอฟพีและบีบีซีรายงานว่า แคปซูลของยานสำรวจอวกาศโอไซริส-เร็กซ์ ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ของสหรัฐฯ ซึ่งเก็บตัวอย่างฝุ่นจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู เตรียมที่จะกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลก เพื่อลงจอดที่ทะเลทรายตะวันออก ในรัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันอาทิตย์ที่ 24 กันยายนนี้

นี่ถือเป็นความพยายามครั้งแรกของประเทศสหรัฐฯ ในการเก็บตัวอย่างของดาวเคราะห์น้อย เพื่อนำกลับมาวิเคราะห์บนโลก ยานสำรวจอวกาศโอไซริส-เร็กซ์ ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อปี 2016 และเก็บตัวอย่างฝุ่นบนดาวเคราะห์น้อยเบนนูมาได้เป็นปริมาณราว 250 กรัม เมื่อเดือนตุลาคม 2020 โดยบรรดานักวิทยาศาสตร์หวังว่า ตัวอย่างฝุ่นที่เก็บมาได้จะช่วยให้มนุษยชาติมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับระบบสุริยะของเรา และการที่โลกมีสภาวะที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้ากำหนดการลงจอดในเวลา 09.00 น. ของวันที่ 24 กันยายน ตามเวลาในสหรัฐประมาณ 4 ชั่วโมง ยานสำรวจอวกาศโอไซริส-เร็กซ์จะทำการปล่อยแคปซูลที่บรรจุตัวอย่างฝุ่นของเบนนูที่ระยะทางห่างจากโลกราว 108,000 กิโลเมตร และพุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลกด้วยความเร็ว 43,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากนั้น ร่มชูชีพ 2 ชุดจะกางออก เพื่อนำแคปซูลลงจอดบนพื้นโลกอย่างปลอดภัย

โดยคืนก่อนหน้าการลงจอด เจ้าหน้าที่ควบคุมยานสำรวจอวกาศจะมีโอกาสครั้งสุดท้าย ในการล้มเลิกการลงจอดหากปัจจัยต่างๆ ไม่เอื้อ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ยานสำรวจอวกาศจะต้องไปโคจรรอบดวงอาทิตย์ก่อนที่จะมีการลองลงจอดอีกครั้งในปี 2025 แซนดร้า ฟรอยด์ ผู้จัดการโครงการโอไซริส-เร็กซ์ จากล็อกฮีด มาร์ติน บริษัทด้านอากาศยานของสหรัฐ กล่าวว่า ภารกิจนำตัวอย่างฝุ่นที่เก็บได้กลับสู่โลกนั้นยากมากเพราะมีหลายอย่างที่อาจทำให้เกิดความผิดพลาด แต่ทีมงานก็ได้เตรียมการทุกอย่างด้วยความละเอียดเพื่อการลงจอดในครั้งนี้

หากการลงจอดสำเร็จด้วยดี เจ้าหน้าที่จะนำตัวอย่างของฝุ่นที่เก็บได้ไปทำการวิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการในศูนย์อวกาศจอห์นสัน เมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส และคาดว่าจะมีการแถลงข่าวถึงผลการวิเคราะห์ครั้งแรกในวันที่ 11 ตุลาคมนี้

นาซาจัดให้เบนนูเป็นดาวเคราะห์น้อยที่อันตรายที่สุดในระบบสุริยะ เนื่องจากเบนนู ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 500 เมตร โคจรรอบดวงอาทิตย์และเข้าใกล้โลกทุกๆ 6 ปี และเป็นดาวเคราะห์น้อยที่มีโอกาสพุ่งชนโลกมากที่สุด โดยจะมีโอกาส 1 ใน 2,700 ที่เบนนูจะพุ่งชนโลกในปี 2182 ซึ่งนาซากำลังศึกษาวิธีที่จะเปลี่ยนวิถีการโคจรของเบนนู และการมีความเข้าใจที่มากขึ้นถึงส่วนประกอบของเบนนูจะช่วยในเรื่องนี้ได้อย่างมาก

‘เซเลนสกี’ เยือนวอชิงตันอีกรอบ ขอความช่วยเหลือเพิ่ม แม้ ‘ไบเดน’ หนุน แต่คองเกรสเอือมสงคราม รีพับลิกันเริ่มขวาง

(22 ก.ย. 66) ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ผู้นำแห่งยูเครน เดินทางถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันพฤหัสบดี (21 ก.ย.) ที่ผ่านมา เพื่อการเยือนเป็นครั้งที่ 2 ของเขาในช่วงเวลาทำสงครามกับรัสเซีย อย่างไรก็ดี นอกจากจะไม่ได้รับการต้อนรับดุจดังวีรบุรุษเหมือนหนที่แล้ว คราวนี้ผู้นำเคียฟยังต้องเผชิญบรรยากาศความเหนื่อยล้า จากสงครามของบรรดาสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ และความเสี่ยงที่แพ็กเกจความช่วยเหลือล็อตใหม่มูลค่ากว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อาจถูกขัดขวาง

เซเลนสกีโพสต์ข้อความทางสื่อสังคมในตอนเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดี (21 ก.ย.) ที่ผ่านมา ว่า เขาและภรรยามาถึงวอชิงตัน ดี.ซี.แล้ว และระบบป้องกันภัยทางอากาศ คือหนึ่งในรายการที่มีลำดับความสำคัญสูงสุด ซึ่งเขาต้องการจะได้รับในเมืองหลวงของสหรัฐฯ แห่งนี้

ผู้นำยูเครนวัย 45 ปีผู้นี้ มีกำหนดพบปะเจรจากับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ทำเนียบขาว และจากนั้นจะไปเยือนกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน)

ทว่านัดหมายที่สำคัญอย่างที่สุดของเขา น่าจะเป็นการพบหารือกับพวกผู้นำของพรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครตในรัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่งแพ็กเกจความช่วยเหลือยูเครนฉบับใหม่มูลค่า 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่คณะบริหารของไบเดนได้เสนอเข้าไป มีความเสี่ยงที่จะถูกสกัดขัดขวาง

เซเลนสกีเพิ่งออกมาจากการร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชนในนครนิวยอร์ก ซึ่งเขาปราศรัยเรียกร้องให้โลกยืนหยัดสนับสนุนยูเครน ต่อสู้กับสิ่งที่เขากล่าวหาว่าเป็น ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ของรัสเซีย

เขายังร้องขอชาวอเมริกันคงความสนับสนุนที่ให้แก่เคียฟต่อไป หลังจากที่วอชิงตันได้อัดฉีดเงินมากกว่า 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในรูปความช่วยเหลือทางทหารให้แก่ยูเครน นับตั้งแต่ถูกรัสเซียรุกรานในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 โดยที่เขากล่าวอ้างกับโทรทัศน์ข่าวซีเอ็นเอ็นเมื่อวันอังคาร (19 ก.ย.) ที่ผ่านมา ว่า “เรากำลังอยู่ตรงเส้นชัยแล้ว”

ทว่า ทริปเยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ของเขาหนนี้ จะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากหนแรกเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว โดยครั้งนั้นเซเลนสกีบินไปอเมริกาแบบไม่มีการออกข่าวล่วงหน้า และได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษจากทั้งทำเนียบขาวและที่รัฐสภาสหรัฐฯ

แต่ในครั้งนี้ วอชิงตันอบอวลไปด้วยความสงสัยข้องใจมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับอนาคตการให้ความช่วยเหลือของสหรัฐฯ โดยที่กลุ่มสมาชิกสายแข็งของรีพับลิกันประกาศว่า จะไม่ยกมือเห็นชอบมาตรการทางการเงิน เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลต้องหยุดทำการชั่วคราว เพราะหมดงบประมาณ หรือที่เรียกกันว่า ‘ชัตดาวน์’ ถ้าหากมีการพ่วงความช่วยเหลือสำหรับยูเครนเข้าไปด้วย

แม้ว่าไบเดนยังคงให้สัญญาจะยืนหยัดเคียงข้างเคียฟไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โดยที่การรณรงค์หาเสียงเพื่อให้ได้รับเลือกตั้งอีกสมัยในปีหน้าของเขา มีการวาดภาพเรื่องเขาสนับสนุนยูเครน ว่าเป็นการสาธิตถึงความเป็นผู้นำโลกของเขา

‘จอห์น เคอร์บี้’ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ แถลงว่า ไบเดนรอรับฟังสถานการณ์ในสนามรบจากเซเลนสกี ที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของยูเครนโดยตรง รวมทั้งจะหารือเกี่ยวกับสิ่งที่เซเลนสกีต้องการ และวิธีที่อเมริกาจะตอบสนองความต้องการเหล่านั้นต่อไปในอนาคต

สำหรับข่าวที่ว่า เซเลนสกีจะร้องขอขีปนาวุธทางยุทธวิธี ATACMS ซึ่งมีพิสัยทำการ 300 กิโลเมตร ไกลขึ้นกว่าเดิมเมื่อเทียบกับขีปนาวุธอื่นๆ ที่ยูเครนได้รับอยู่ในปัจจุบัน เคอร์บี้บอกว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกปัดตกไป แต่ก็ยังไม่มีการตัดสินใจในเวลานี้

อย่างไรก็ตาม เห็นกันดีเรื่องน่าหนักใจที่สุดของผู้นำยูเครน คือการโน้มน้าวรัฐสภาสหรัฐฯ ในเมื่อความหวังที่จะได้ความช่วยเหลือเพิ่มก้อนใหญ่อีกก้อนหนึ่งของยูเครน ถูกนำไปผูกโยงกับดรามาการต่อรองกันระหว่างพรรครีพับลิกันกับพรรคเดโมแครต

ไม่เพียงฝ่ายขวาจัดของรีพับลิกันในรัฐสภา แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่า ถ้ารัฐบาลขืนผลักดันให้ผ่านงบช่วยเหลือเคียฟ ก็จะไม่ยอมตกลงเรื่องมาตรการหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์ กระทั่งสมาชิกรีพับลิกันสายกลางก็แสดงความข้องใจมากขึ้น กับการยังคงช่วยเหลือยูเครนต่อไป

เป็นต้นว่า ประธานสภาผู้แทนราษฎร ‘เควิน แมคคาร์ธีย์’ ให้สัมภาษณ์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า เขาคิดว่า คนอเมริกันอยากทราบว่ายูเครนมีแผนอย่างไร ที่จะทำให้ตัวเองรบชนะรัสเซีย

มี ส.ส.บางคนเห็นว่า น่าจะเอาเงินไปใช้ในการรักษาความปลอดภัยพรมแดนสหรัฐฯ มากกว่า ท่ามกลางความกังวลสงสัยที่การปฏิบัติการตอบโต้ของเคียฟมีความคืบหน้าน้อยมาก แถมยังมีข่าวการทุจริตหนักหน่วงในยูเครน จนเกิดคำถามว่า “หรือความช่วยเหลือที่ทุ่มเทให้ไปจะสูญเปล่า?”

อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เป็นตัวเก็งของรีพับลิกันท้าชิงทำเนียบขาวจากไบเดนในปีหน้า บอกว่า ควรเอาเงินที่จะให้ยูเครนมาใช้กับกิจการในประเทศมากกว่า ซ้ำทำนายว่า ที่สุดแล้วชัยชนะจะเป็นของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำแห่งรัสเซีย

‘อินเดีย’ ตึง!! ระงับออกวีซ่าพลเมืองชาวแคนาดา หลังถูกกล่าวหาเอี่ยวสังหารนักเคลื่อนไหวชาวซิกข์

‘อินเดีย’ ระงับการออกวีซ่าให้กับพลเมืองชาวแคนาดา โดยอ้างเหตุผลเรื่องภัยคุกคามด้านความมั่นคงต่อเจ้าหน้าที่ในแคนาดา ในจังหวะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติดิ่งหนัก จากประเด็นการสังหารนักเคลื่อนไหวชาวซิกข์

เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 66 บริษัทผู้ให้บริการออกวีซ่าในแคนาดา บีแอลเอส อินเตอร์เนชันแนล ประกาศระงับการออกวีซ่าในแคนาดา ‘อย่างไม่มีกำหนด’ เนื่องจาก ‘ปัญหาด้านการปฏิบัติการ’ ตามการเปิดเผยของกระทรวงการต่างประเทศอินเดียเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

อินเดียประกาศแผนระงับออกวีซ่าให้แคนาดา ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากสถานทูตแคนาดาในอินเดียประกาศปรับจำนวนเจ้าหน้าที่ในอินเดีย เนื่องจากเจ้าหน้าที่การทูตแคนาดาบางรายได้รับคำข่มขู่คุกคามบนสื่อสังคมออนไลน์

การเคลื่อนไหวของแคนาดาและอินเดีย ยิ่งสะท้อนถึงสัมพันธ์ร้าวลึกระหว่างสองชาติ ซึ่งมีต้นตอมาจากการที่รัฐบาลแคนาดาเดินหน้าสืบสวนข้อกล่าวหาที่ว่าอินเดียมีส่วนเชื่อมโยงกับการลอบสังหาร ‘ฮาร์ดีป ซิงห์ นิจจาร์’ นักเคลื่อนไหวชาวซิกข์วัย 45 ปี ที่มณฑลบริติชโคลัมเบีย เมื่อเดือนมิถุนายน ซึ่งรัฐบาลอินเดียออกมาปฏิเสธ

ประเด็นดังกล่าวได้นำไปสู่ความตึงเครียดด้านการทูตและเศรษฐกิจระหว่างกัน ตั้งแต่การขับทูตของอีกฝ่ายออกนอกประเทศ การแจ้งเตือนพลเมืองให้ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยในการพำนักอาศัยในประเทศคู่กรณี ไปจนถึงการระงับการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างกัน

การค้า ‘ทุเรียน’ จีน-อาเซียน เติบโตฉลุย ยอดส่งออกไทยเกือบ 100% อยู่ที่นี่

(21 ก.ย. 66) สำนักงานซินหัว เผย ประมวลภาพห่วงโซ่อุตสาหกรรมการค้าขายราชาแห่งผลไม้อย่าง ‘ทุเรียน’ ระหว่างจีน, ไทย และเวียดนาม ตั้งแต่เก็บเกี่ยวผลผลิตจากสวน บรรจุหีบห่อและขนส่ง จนถึงผ่านการตรวจสอบทางศุลกากร และวางจำหน่ายแก่ผู้บริโภคชาวจีน

ปัจจุบัน ทุเรียนกลายเป็นสัญลักษณ์โดดเด่นของความร่วมมือจีน-อาเซียน และศักยภาพตลาดขนาดมหึมาของจีน โดยทุเรียนที่จำหน่ายในจีนส่วนใหญ่ นำเข้าจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ของไทย ระบุว่า จีนเป็นตลาดส่งออกทุเรียนไทยขนาดใหญ่ที่สุดในปี 2022 ครองสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 96 ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด

รายงานระบุว่า การหมุนเวียนของสินค้าในตลาดระดับภูมิภาคนี้ ได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่อง จากนโยบายปลอดภาษีศุลกากรและการเข้าถึงตลาด ภายใต้กรอบการทำงานของเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP)

ตัวอย่างเช่น เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน นำเข้าผลไม้จากกลุ่มประเทศอาเซียน ช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคมปีนี้ สูงถึง 3.66 พันล้านหยวน (ราว 1.84 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 194 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยการนำเข้าทุเรียนเพิ่มขึ้นโดดเด่นที่สุดถึงร้อยละ 516 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

‘Nio’ บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า บุกเจาะตลาดสมาร์ตโฟน มั่นใจ!! มีผู้ใช้เกินครึ่ง หลังตัดสินใจท้าชน ‘หัวเว่ย-iPHONE’

(21 ก.ย.66) นายวิลเลียม หลี่ ผู้ก่อตั้งและประธานนีโอ (Nio) บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) สัญชาติจีน ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า นีโอได้เปิดตัวสมาร์ตโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ในวันนี้ และคาดว่าลูกค้าของบริษัทอย่างน้อยครึ่งหนึ่งจะซื้อสมาร์ตโฟนดังกล่าว

นายหลี่ระบุว่า ราคาโทรศัพท์มือถือแอนดรอยด์ของนีโอมีราคาอยู่ที่ประมาณ 900 - 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีราคาถูกกว่าโทรศัพท์มือถือรุ่นใกล้เคียงกันของแบรนด์หัวเว่ยอยู่ 150 ดอลลาร์สหรัฐ

นายหลี่กล่าวเสริมว่า ในบรรดาผู้ใช้รถ EV ของนีโอนั้น มากกว่าครึ่งใช้งาน iPhone ขณะที่เหลือเลือกใช้โทรศัพท์แอนดรอยด์รุ่นเรือธงจากหัวเว่ย และแบรนด์อื่น ๆ

นายหลี่กล่าวว่า “ผมเชื่อว่าผู้ใช้กลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะยอมรับอุปกรณ์ใหม่นี้ เมื่อพวกเขาต้องการเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ” โดยอ้างถึงประสิทธิภาพโดยรวมของโทรศัพท์มือถือและการเชื่อมต่อในรถยนต์

รายงานระบุว่า นีโอเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์แบรนด์แรกของจีนที่เปิดตัวสมาร์ตโฟนของตัวเอง โดยนายหลี่กล่าวว่า บริษัทได้พัฒนาสมาร์ตโฟนขึ้นมาภายในเวลาประมาณหนึ่งปี โดยบริษัทผลิตรถยนต์ EV หลายแห่งในจีนพยายามทำให้ความบันเทิงในรถและการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือเป็นจุดขายสำหรับแบรนด์รถยนต์ของตน

ทั้งนี้ นีโอจะเริ่มจัดส่งสมาร์ตโฟนตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย. โดยสามารถสั่งซื้อได้แล้วตั้งแต่วันนี้

‘โปแลนด์’ ประกาศหยุดส่งอาวุธให้ยูเครน เหตุจากปมพิพาทเรื่องการค้าธัญพืช

(21 ก.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัฐบาลโปแลนด์ตัดสินใจประกาศหยุดจัดส่งอาวุธให้แก่ยูเครนแล้ว สาเหตุเกิดจากปมข้อพิพาทเกี่ยวกับการค้าธัญพืช ทำให้โปแลนด์และยูเครนเริ่มเข้าสู่ความตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ

อีกทั้งรัฐบาลโปแลนด์ไม่พอใจถ้อยแถลงของประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ที่กล่าวระหว่างการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ว่า มีบางประเทศในยุโรปแสร้งทำเป็นสมานฉันท์กับยูเครน

‘ศาลอินโดฯ’ สั่งจำคุก ‘ติ๊กต็อกเกอร์สาวมุสลิม’ 2 ปี ปรับอีก 5 แสนบาท ฐานหมิ่นศาสนา หลังโพสต์คลิปสวดมนต์ก่อนกิน ‘หนังหมูทอดกรอบ’

เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 66 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ศาลอินโดนีเซียได้ตัดสินโทษจำคุก ติ๊กต็อกเกอร์สาวรายหนึ่ง เป็นเวลา 2 ปี ฐานกระทำผิดกฎหมายหมิ่นศาสนา หลังเธอโพสต์คลิปวิดีโอลงติ๊กต็อกที่กลายเป็นไวรัล ขณะเธอกล่าวบทสวดมนต์ ก่อนกินหนังหมูทอดกรอบ

ในเอกสารสำนวนคดีของศาลระบุว่า ‘ลีนา ลุตเฟียวาตี’ หรือรู้จักในชื่อ ‘ลีนา มูเคอร์จี’ อายุ 33 ปี ที่ระบุว่าตนเองเป็นมุสลิม ได้โพสต์วิดีโอลงติ๊กต็อกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเธอกล่าวบทสวด ที่แปลความได้ว่า “ในนามของพระเจ้า” ก่อนที่เธอจะกินหนังหมูทอดกรอบหรือแคบหมู

ศาลเมืองปาเลมบัง บนเกาะสุมาตรา ตัดสินลงโทษการกระทำของเธอ โดยวินิจฉัยว่าเธอตั้งใจเผยแพร่ข้อมูลเพื่อปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังหรือสร้างความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างบุคคล/กลุ่มคนบนหลักศาสนา นอกจากศาลจะสั่งลงโทษจำคุก 2 ปีแล้ว ยังสั่งปรับเงินเธอจำนวน 250 ล้านรูเปียห์ (ราว 5.85 แสนบาท) ด้วย

หลังการไต่สวนคดี ลีนากล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าเธอรู้สึกประหลาดใจกับคำตัดสิน “ฉันรู้ว่าฉันผิด แต่ไม่คิดว่าจะได้รับโทษขนาดนี้”

ทั้งนี้ อินโดนีเซีย เป็นชาติมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเนื้อหมู ถือเป็นสิ่งต้องห้ามในศาสนาอิสลาม ขณะที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า การบังคับใช้กฎหมายหมิ่นศาสนาอันเข้มงวดของอินโดนีเซียนั้น ได้กัดกร่อนชื่อเสียงของการมีความอดทนอดกลั้น และมีความหลากหลายที่มีมานานของปรเทศอินโดนีเซีย

โดยนายอุสมาน ฮามิด ผู้อำนวยการบริหารของกลุ่มแอมเนสตี อินเตอร์เนชันแนล อินโดนีเซีย กล่าวว่า มาตราหมิ่นศาสนาในกฎหมายของอินโดนีเซีย ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด โดยพุ่งเป้าไปที่ชนกลุ่มน้อยและผู้เห็นต่าง สิ่งนี้ขัดแย้งกับพันธกิจระหว่างประเทศของอินโดนีเซียที่เกี่ยวข้องกับการเคารพ และการคุ้มครองเสรีภาพทางความคิด และความเชื่อทางศาสนา ตลอดจนเสรีภาพในการแสดงความเห็นและการแสดงออก

‘โพลสหรัฐ’ เผย 63% ชาวอเมริกันไม่มั่นใจระบบการเมืองประเทศอีกแล้ว พร้อมเห็นพ้อง 2 พรรคใหญ่ ให้ความสำคัญกับการสู้กัน มากกว่าแก้ปัญหา

(21 ก.ย. 66) ศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) สถาบันวิจัยของสหรัฐ ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นทางสังคม และความเห็นสาธารณชน ได้เปิดเผยถึงผลการสำรวจความเห็นล่าสุดว่า ผู้ตอบแบบสำรวจ 63 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกไม่มั่นใจต่ออนาคตของระบบการเมืองของสหรัฐเลย และมีเพียง 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ระบุว่า ระบบการเมืองกำลังดำเนินไปอย่างดีเยี่ยม ทั้งนี้ เมื่อให้มีการอธิบายถึงความรู้สึกตัวเอง เกี่ยวกับระบบการเมืองของประเทศก็พบว่า 79 เปอร์เซ็นต์ ใช้คำวิจารณ์เป็นไปในเชิงลบ ซึ่งคำที่อธิบายที่พบเยอะที่สุดคือคำว่า แตกแยก และทุจริต

นอกจากนี้ การสำรวจยังพบว่า ประชาชนชาวอเมริกันได้รับผลกระทบอย่างยิ่ง ของการแบ่งขั้วพรรคการเมือง โดยชาวอเมริกันมากกว่า 86 เปอร์เซ็นต์เห็นพ้องกันว่า พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตให้ความสำคัญกับการต่อสู้ซึ่งกันและกัน มากกว่าการแก้ปัญหา นี่ถือเป็นส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นของสาธารณชนในสหรัฐ และเป็นส่วนแบ่งสูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ ของการเลือกตั้งสหรัฐ กับการไม่ชอบพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรค โดยเกือบ 28 เปอร์เซ็นต์ แสดงความเห็นในเชิงลบต่อทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยพิวกล่าวว่า การศึกษาวิจัยนี้ อิงจากการสำรวจที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 10-16 กรกฎาคม 2023 ในกลุ่มผู้ใหญ่ 8,480 คน และยังมีข้อมูลเพิ่มเติมจากการสำรวจ ที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 5-11 มิถุนายน 2023 ในกลุ่มผู้ใหญ่ 5,115 คนด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top