Friday, 10 May 2024
WORLD

'ทรัมป์' ลุยหาเสียง-ขึ้นเวทีปราศรัยในรัฐโอไฮโอ กร้าว!! หากตนพ่ายแพ้ 'สหรัฐฯ จะต้องนองเลือด'

(18 มี.ค.67) สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ปราศรัยหาเสียงให้กับเบอร์นี โมเรโน ผู้ลงสมัครวุฒิสภาของพรรครีพับลิกัน ในเมืองแวนดาเลีย รัฐโอไฮโอ และอ้างว่า ตนจะปกป้องความมั่นคงทางสังคม พร้อมเตือนว่า ประเทศจะนองเลือดถ้าเขาพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งเดือน พ.ย. นี้

ทั้งนี้ ในการปราศรัย ทรัมป์ได้กล่าวยกย่องโมเรโนว่าเป็น ‘แชมป์คนแรกของอเมริกา’ และเป็น ‘นักการเมืองคนนอก’ ที่ใช้เวลาทั้งชีวิตพัฒนาชุมชนในโอไฮโอ

“เขาจะเป็นนักรบในวอชิงตัน” ทรัมป์กล่าว

ขณะเดียวกันทรัมป์ก็ใช้เวทีนี้ในการเผยแพร่คำกล่าวปราศรัยที่เต็มไปด้วยคำหยาบคายและดูหมิ่นตามสไตล์ของเขา ซึ่งทรัมป์กล่าวว่า ประเทศจะล่มสลายอีกครั้ง หากปธน.ไบเดนชนะการเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 2

“ถ้าผมไม่ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ประเทศจะต้องนองเลือด" ทรัมป์เตือน ขณะที่พูดถึงผลกระทบภายนอกต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ และได้เผยแผนจ่อเพิ่มภาษีรถยนต์แบรนด์ต่างชาติ

หลังจากนั้น ทรัมป์ก็อ้างว่า “ถ้าผมไม่ชนะเลือกตั้งครั้งนี้ ผมไม่มั่นใจว่าพวกคุณจะมีโอกาสได้เลือกตั้งอีกครั้งในประเทศนี้หรือเปล่า”

ด้านรอยเตอร์ได้ถามเจมส์ ซิงเกอร์ โฆษกหาเสียงของไบเดน ถึงคำปราศรัยดังกล่าวของทรัมป์ ซิงเกอร์จึงประณาม ‘ลัทธิหัวรุนแรง’ ของทรัมป์ และว่านั่นเป็น ‘ความกระหายอยากแก้แค้น’ และเป็น ‘ภัยคุกคามจากความรุนแรงทางการเมือง’

สังคมจีนป่วน!! เทรนด์ 'Spicy milk style' เซ็กซี่ฟันน้ำนม ลุกลาม พ่อแม่จีนบ้าจี้ จับลูกแต่งตัวเซ็กซี่ หวังดัง-ดึงดูดเชิงพาณิชย์

สังคมจีนกำลังถกประเด็นร้อน เมื่อเกิดกระแสแฟชั่นฟันน้ำนมใหม่ล่าสุด ที่เรียกว่า 'Spicy milk style' หรือ เซ็กซี่ฟันน้ำนม ที่พ่อ-แม่ชาวจีน นิยมแต่งตัวลูกสาววัยอนุบาลด้วยเสื้อผ้าที่เน้นโชว์สัดส่วน เรือนร่าง ว่าเป็นแค่ 'แฟชั่น' การแต่งตัวเลียนแบบผู้ใหญ่ หรือ แก่แดดเกินวัยไม่เหมาะสม หรือไม่?

'Spicy Milk Style' มาจากภาษาจีนคำว่า 奶辣风 (หน่ายล่าเฟิน) ที่ไม่ได้หมายถึงหม่าล่าหม้อไฟรสเผ็ดของชาวจีน แต่หมายถึงกระแสแฟชั่นที่พี่พ่อแม่จีนจับลูกเล็ก ๆ ของตนเองมาที่แต่งตัวสไตล์เผ็ด ๆ แซ่บ ๆ ที่ตัดเย็บเลียนแบบเสื้อผ้าผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็น กระโปรงรัดรูป เสื้อเกาะอก สายเดี่ยว ชุดเปลือยหลัง และรองเท้าส้นสูง เป็นต้น 

ไม่เท่านั้น ยังถ่ายรูปลูก ๆ ของตนในชุดเซ็กซี่เผยแพร่ลงใน Weibo เว็บไซต์โซเชียลของจีน จนกลายเป็นไวรัล และสร้างกระแสความนิยมขยายตัวอย่างรวดเร็วในกลุ่มพ่อแม่จีนที่ต้องการให้ลูก ๆ ของตนเป็นจุดสนใจ ส่งผลให้ผู้ผลิตเสื้อผ้าทั้งแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ในจีนลงมาแข่งขันผลิตเสื้อผ้าเด็กเล็กที่ออกแนวเซ็กซี่แบบผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามไปด้วย 

หากเป็นเมื่อ 10 ปีก่อน คงไม่มีใครนึกออกว่า การจับเด็กวัยอนุบาลมาแต่งตัวเป็นสาวฮอตจะเป็นจุดขายได้อย่างไร แต่ในตอนนี้ กระแสการแต่งตัวสไตล์เซ็กซี่ฟันน้ำนมมีให้เห็นอย่างมากมายตามสื่อออนไลน์ของจีน หลายครั้งที่มีการเจาะจงใช้นางแบบเด็กเล็กมาแต่งกายในชุดเซ็กซี่ มาโปรโมตขายเสื้อผ้า และ สินค้า เพื่อกระตุ้นยอดวิวอีกด้วย

แน่นอนว่าในช่วงเริ่มกระแส สังคมจีนยังมองว่าเป็นเพียงการจับเด็กมาแต่งตัวตามแฟชั่น เพื่อสร้างคอนเทนต์ลงในโซเชียล และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการโฆษณา โปรโมตสินค้า เสื้อผ้าแฟชั่น หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเด็กเท่านั้น จนชาวจีนส่วนใหญ่ยังมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา 

แต่ต่อมาเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 สื่อท้องถิ่นจีนรายงานข่าวครูประถมของโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่งพบเด็กนักเรียนหญิงชั้นประถมต้นของตนสวมชุดกระโปรงสั้น เปลือยหลัง มาโรงเรียน เธอจึงเรียกผู้ปกครองมาเพื่อตักเตือนและขอร้องให้เปลี่ยนเป็นชุดสุภาพเมื่อมาโรงเรียน แต่ปรากฏว่าพ่อแม่ของเด็กปฏิเสธที่จะเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวของเด็ก 

ยิ่งไปกว่านั้น สื่อจีนยังพบว่า มียังพ่อแม่ของเด็กคนอื่นอีกหลายคนที่จับลูกสาวของตนแต่งชุดเซ็กซี่เป็นประจำ แถมยังให้โพสต์ท่ายั่วยวนแบบผู้ใหญ่เพื่อแชร์ลงในโซเชียลอีกด้วย โดยให้คำจำกัดความว่าเป็น 'Soft Pornography' - โป๊แบบอ่อน ๆ 

ทั้งนี้ หลังจากที่มีการนำเสนอข่าวครูสาวชาวปักกิ่งตักเตือนผู้ปกครองเรื่องการให้ลูกแต่งตัวแบบ 'Spicy milk style' มาโรงเรียนแต่ถูกพ่อแม่ปฏิเสธก็กลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในโลกโซเชียลจีนทันที โดยมีผู้มาถกเถียงในหัวข้อนี้มากถึง 130 ล้านวิว และร่วมแชร์ประสบการณ์ แสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก

ฝ่ายที่คัดค้านมองว่า เด็กเล็กควรสวมเสื้อผ้าสมวัย เพราะเด็กมีกิจกรรม และการออกกำลังกายที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ การที่ให้เด็กมาสวมชุดรัดรูป กระโปรงสั้น เปิดเผยสัดส่วน หรือสวมรองเท้าส้นสูงเป็นประจำ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อพัฒนาการทางด้านร่างกายและจิตใจ อีกทั้งเครื่องแต่งกายเหล่านั้นมักดึงดูดความสนใจจากคนแปลกหน้า ที่อาจส่งผลเสียทางอารมณ์ของเด็กเล็ก เช่น ความวิตกกังวล หรือ ขาดความมั่นใจในตัวเองได้ในระยะยาว

อีกทั้งยังเป็นการสร้างค่านิยมด้านความงามที่ผิดให้กับเด็ก ที่ให้ความสำคัญแต่เพียงรูปลักษณ์ความงามภายนอกมากจนเกินไป และยังมีผลต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ต่อคนรอบข้าง หรือเพื่อนวัยเดียวกัน เพราะเครื่องแต่งกายที่แตกต่าง อาจสร้างความแปลกแยกทางสังคมให้เด็กได้ 

แต่ในขณะเดียวกัน ชาวจีนบางกลุ่มก็มองว่า คำว่าแฟชั่น มีความหมายกว้างกว่า 'เครื่องแบบ' และมีการเติบโตตามยุคสมัยที่มีเสรีภาพในการแต่งกายมากขึ้น ซึ่งเทรนด์ 'Spicy milk style' ส่วนหนึ่งมาจากพ่อแม่ในยุคมิลเนเนียน หรือพ่อแม่ที่เกิดหลังยุค 1990s ที่นิยมให้ลูกแต่งตัวเหมือนตนเอง หรือแต่งชุด พ่อ-แม่-ลูก แบบเดียวกัน เวลาออกไปเที่ยว แฟชั่นแบบ 'Spicy milk style' จึงเกิดขึ้น และหากพ่อแม่ให้คำแนะนำที่เหมาะสมแก่ลูก ๆ ก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร 

แต่ทั้งนี้ China Daily สื่อของรัฐบาลชี้ว่า ถึงจะเป็นเรื่องแฟชั่นก็ควรมีขอบเขต โดยเฉพาะ เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กเล็ก ที่ไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือในการดึงดูดเชิงพาณิชย์ หรือ ใช้เด็กในเชิงสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายอย่างไม่เหมาะสม 

อย่างที่แบรนด์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Balenciaga เคยพลาดมาแล้ว ด้วยการให้เด็กเล็กในโฆษณาสินค้าอุ้มตุ๊กตาหมีที่สวมเครื่องพันธนาการทางเพศ หรือแบรนด์เนมหรูอย่าง Louis Vuitton และ Billionaire Boys Club ที่เปิดไลน์เสื้อผ้าเด็ก ก็หลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่า 'เซ็กซี่' ในประโยคที่พูดถึงเด็กเช่นกัน 

ดังนั้นขอบเขตของแฟชั่นเด็กควรอยู่ที่ตรงไหน การใช้เพียงวิจารณญาณของพ่อแม่อย่างเดียว อาจไม่เพียงพอ

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

'หม่าล่าทั่ง' ของเด็ดประจำเมือง 'เทียนสุ่ย' นทท.แห่ลิ้มลองไม่ขาดสาย ชูเอกลักษณ์เฉพาะตัว ‘น้ำมันพริกรสชาติเผ็ดชา-เส้นแป้งเหนียวนุ่มทำมือ’

(18 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ยามฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นและสวยงาม บรรดาร้านหม่าล่าทั่งใน ‘เทียนสุ่ย’ เมืองโบราณเก่าแก่พันปี ณ มณฑลกานซู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ได้ต้อนรับเหล่านักท่องเที่ยวจากทั่วโลกด้วยอาหารรสชาติเผ็ดร้อนกลิ่นหอมหวนนี้

โดย หม่าล่าทั่ง ของแต่ละภูมิภาคในจีนจะมีรสชาติแตกต่างกัน แต่ได้รับความนิยมชมชอบจากผู้คนเหมือนกัน โดยหม่าล่าทั่งของเมืองเทียนสุ่ยมีเอกลักษณ์เฉพาะจากน้ำมันพริกรสชาติเผ็ดชาและกลิ่นหอมเตะจมูกบวกกับเส้นแป้งเหนียวนุ่มทำมือ ชวนผู้คนต่อแถวซื้อยาวเหยียด

เมืองเทียนสุ่ยมีย่านการค้าที่รวบรวมร้านหม่าล่าทั่งอันมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักบนโลกอินเทอร์เน็ต ที่ซึ่งบรรดานักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้าลองลิ้มชิมรสกันไม่ขาดสาย ดังเช่นร้านของ ‘ฮาไห่อิง’ ผู้เผยว่าแต่ละวันรับลูกค้ามากกว่า 700 คน

ด้าน ต่งจิ้งเหยียน วัย 29 ปี จากเมืองต้าชิ่ง มณฑลเฮยหลงเจียงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเทียนสุ่ยกว่า 1,000 กิโลเมตร ได้ดั้นด้นลากกระเป๋าสัมภาระมาต่อแถวรอชิมหม่าล่าทั่ง เมนูที่เธอบอกว่าคุ้มค่ากับการเดินทางไกลมารับประทานถึงที่

ทั้งนี้ เมืองเทียนสุ่ยจัดบริการรถโดยสารสายหม่าล่าทั่งเพื่อรับส่งนักท่องเที่ยวฟรี พร้อมทีมอาสาสมัครประจำสถานีขนส่ง จุดชมวิว และร้านหม่าล่าทั่งชื่อดัง คอยแนะนำการ ‘ชอปปิง-กินเที่ยว’ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญขยายเวลาเปิดทำการ

นอกเหนือจากหม่าล่าทั่งแล้ว เมืองเทียนสุ่ยยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติน่าสนใจมากมาย เช่น หมู่ถ้ำหินแกะสลักม่ายจีซาน พิพิธภัณฑ์เมืองเทียนสุ่ย พื้นที่ชมวิววัดฝูซี ฯลฯ

คนแวดวงอุตสาหกรรมมองว่าตลาดวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของเมืองเทียนสุ่ยจะเข้าสู่ช่วงคึกคักมีชีวิตชีวาและปลดปล่อยพลังการบริโภคเพิ่มขึ้นตามการมาถึงของช่วงหยุดสั้นยาวต่างๆ เช่น เทศกาลชิงหมิง วันหยุดแรงงาน และอื่น ๆ

สิ้น!! 'ชิเกอิจิ เนกิชิ' ผู้สร้าง 'Sparko Box' ต้นแบบ 'คาราโอเกะ' เครื่องแรกของโลก

(18 มี.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า 'อัตสึมิ ทาคาโนะ' ลูกสาวของ 'ชิเกอิจิ เนกิชิ' ได้ออกมาแจ้งข่าวร้ายว่า 'ชิเกอิจิ เนกิชิ' ผู้สร้างเครื่องคาราโอเกะเครื่องแรกของโลกได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 100 ปี โดย 'ชิเกอิจิ เนกิชิ' สร้างเครื่องคาราโอเกะมาตั้งแต่ปี 1967 โดยตั้งชื่อให้มันว่า 'Sparko Box' เป็นอุปกรณ์ลักษณะเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมบรรจุเทปคาสเส็ต 8 แทร็ก สามารถบรรเลงเสียงเพลงจากเทปให้ผู้คนได้ร้องตามแบบอัตโนมัติ โดยที่คนร้องต้องอ่านเนื้อเพลงจากสมุดเล่มเล็กที่แถมมาให้

'Sparko Box' จะมีกระแสตอบรับที่ดีมากจากผู้ที่ได้ลองใช้งานตามคลับและบาร์ แต่บรรดาเจ้าของบาร์ต่างพากันตีกลับเครื่องร้องคาราโอเกะดังกล่าวกลับไปยังโรงงานภายในเวลาไม่นาน เพราะเกิดกระแสความหวาดกลัวขึ้นในหมู่นักร้อง-นักดนตรีสมัยนั้น โดยกลัวว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่คน นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาไม่ประสบความสำเร็จ 

ต่อมาปี 1970 'ไดสุเกะ อิโนะอุเอะ' นักดนตรีชาวญี่ปุ่นได้สร้างเครื่องร้องคาราโอเกะชื่อว่า '8 Juke' ขึ้นพร้อมทั้งมีการปรับแต่งคีย์เพลงต่างๆ ให้คนทั่วไปสามารถร้องตามได้ง่ายขึ้น ก่อนจะกลายเป็นต้นแบบของเครื่องร้องคาราโอเกะที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก แต่ 'ชิเกอิจิ เนกิชิ' ก็ยังได้รับการจดจำในฐานะบุคคลผู้ประดิษฐ์เครื่องคาราโอเกะเป็นเครื่องแรกของโลก

‘Loud budgeting’ เทรนด์ใช้ชีวิตมาแรงของคนรุ่นใหม่ ลดการเข้าสังคม หันมาอวดการ ‘ประหยัดเงิน’ อย่างมีสไตล์

(18 มี.ค.67) กลายเป็นอีกเทรนด์ที่น่าจับตาสำหรับ Loud budgeting ซึ่งเกิดจากผู้ใช้ TikTok ที่มีชื่อว่า 'Lukas Battle: ได้ออกมาแชร์เทรนด์ Loud Budgeting ที่เป็นกระแสถึงยอดคนดู 1.4 ล้านครั้ง ซึ่งเขาพูดถึงวิธีการใช้เงินแบบคนรวยที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่ยึดติดแบรนด์

Loud budgeting เทคนิคในการประหยัดเงินที่เราต้องลดการเข้าสังคม เช่น การไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนหรือไปร่วมงานแต่งงาน โดย Lukas Battle ได้บอกว่า Loud budgeting เป็นเทรนด์การอวดความประหยัดให้คนรู้ว่าเราไม่ใช่ไม่มีเงิน แต่เราแค่ ‘ไม่อยากใช้เงิน’

ก่อนหน้านี้จะมีกระแส Quiet luxury หรือการประดับประดาหรือแต่งตัวแพง ๆ แบบเรียบง่ายที่โด่งดังในโลกออนไลน์ Lukas Battle มองว่า Loud budgeting นั้นเท่และเข้าใจได้ดีกว่า เขาเล่าว่า เขาเล่ามันในโลกออนไลน์ขำ ๆ ในตอนแรก แต่เมื่อพอเป็นกระแส เขาจึงเริ่มมั่นใจมากขึ้นในการเปิดเผยเรื่องสถานะการเงินออกมา ซึ่งมันดูดีพอ ๆ กับการอวดของรวย ๆ เช่นกัน

แม้จะมีความรู้ทางการเงินต่ำที่สุดกว่าเจนอื่น ๆ แต่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเมื่อเร็ว ๆ นี้ทำให้เจน Z และเจน Y สรรหาข้อมูลทางการเงินมากที่สุด ประมาณ 52% ของ เจน Z และ 48% ของเจน Y มีแรงจูงใจที่จะเพิ่มความรู้ทางการเงินของตน ตามรายงานจากสถาบัน TIAA

Erica Sandberg ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินของ CardRates บริษัทให้ความรู้เกี่ยวกับบัตรเครดิต กล่าวว่าถ้าเราลองทำตามเทรนด์นี้จะช่วยให้เราลดความเครียดเรื่องเงินมากขึ้นและจะช่วยให้เราใช้เงินได้อย่างคุ้มค่าทุกบาท

'ปูติน' แลนด์สไลด์เลือกตั้งรัสเซีย นั่งเก้าอี้ ปธน.สมัยที่ 5 ขอบคุณผู้ใช้สิทธิที่ให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจ

(18 มี.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียซึ่งเป็นที่จับตาจากทั่วโลกออกมาชัดเจนแล้วว่า ‘วลาดิเมียร์ ปูติน’ ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 5 ด้วยคะแนนเสียงถล่มทลายเหนือคู่แข่ง

หลังจากนับคะแนนไปได้ 3 ใน 4 คณะกรรมการการเลือกตั้งของรัสเซียกล่าวว่า มีประชาชนออกมาใช้สิทธิทั้งสิ้น 74% และปูตินเป็นผู้นำด้วยคะแนนเสียงสูงถึง 87.14% ถือว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2563 มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขยายวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี จาก 4 ปี เป็น 6 ปี โดยไม่นับวาระการดำรงตำแหน่งที่ผ่านมาของปูติน ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำรัสเซีย ระหว่างปี 2543-2551 แล้วเว้นวรรคมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนชนะการเลือกตั้ง และดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยปัจจุบัน ตั้งแต่ปี 2555

ขณะที่ปูตินกล่าวขอบคุณ ‘ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ’ จากชาวรัสเซีย พร้อมทั้งกล่าวว่า ต่อให้บุคคลภายนอกต้องการ ‘ข่มขู่’ และ ‘ปราบปราม’ รัสเซียมากเพียงใด วิธีการดังกล่าวไม่เคยประสบความสำเร็จ และจะไม่มีทางประสบความสำเร็จ

ด้านทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ ว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียครั้งนี้ ‘ไม่มีความเสรีและยุติธรรม’ เนื่องจากมีการตัดสิทธิผู้สมัครทุกคน ที่มีแนวคิดทางการเมืองตรงข้ามกับปูติน และนักเคลื่อนไหวฝ่ายตรงข้ามล้วนถูกคุมขัง หรือกระทั่งเสียชีวิตอย่างปริศนา หนึ่งในนั้นคือ นายอเล็กซี นาวัลนี ซึ่งเสียชีวิตที่เรือนจำในไซบีเรีย เมื่อเดือนก.พ. ที่ผ่านมา

ส่วนประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวว่า ปูติน ‘คือเผด็จการ’ และ ‘ยึดติดกับอำนาจ’ 

อนึ่ง การเลือกตั้งผู้นำรัสเซียครั้งนี้ จัดขึ้นในพื้นที่หลายแห่งของยูเครน ที่อยู่ภายใต้การยึดครองของรัสเซีย นับตั้งแต่สงครามระหว่างสองประเทศปะทุ เมื่อเดือนก.พ. 2565 ด้วย เรียกเสียงประณามจากหลายฝ่ายเช่นกัน รวมถึงสหประชาชาติ (ยูเอ็น)

'โซเชียล' ทำพิษ!! Gen 'Y-Z' สหรัฐฯ อาการหนัก หมกมุ่นเรื่องเงิน-เทียบกับผู้อื่น จนด้อยค่าตนเอง

(17 มี.ค.67) Business Tomorrow เผยรายงานจากบริษัทการเงิน Credit Karma ที่ระบุว่า 1 ใน 3 หรือ 29% ของชาวสหรัฐฯ ตกอยู่ในภาวะคิดหมกมุ่นเรื่องเงิน หรือ Money Dysmorphia ซึ่งคนกลุ่มนี้มักเปรียบเทียบสถานะทางการเงินของตนเองกับบุคคลอื่นและรู้สึกว่าตัวเองยังมีเงินไม่เพียงพอ 

Life Planning Partners บริษัทวางแผนด้านการเงินกล่าวว่า ปัญหานี้มีมานานมาก แต่ระดับได้สูงขึ้นจากการเข้ามาของโซเชียลมีเดีย แม้คนที่ประสบปัญหาคิดหมกมุ่นเรื่องเงินจะมีเงินเก็บมากกว่าค่าเฉลี่ยก็ตาม แต่คนพวกนี้ก็ได้ยอมรับว่าตนนั้นหมกมุ่นกับการอยากเป็นคนที่มั่งคั่งร่ำรวย

ประมาณ 43% ของกลุ่มคนเจน Z และ 41% ของกลุ่มคนเจน Y กำลังต่อสู้อยู่กับการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นทางโซเชียลมีเดีย และรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าในด้านการเงิน โดยมีชาวสหรัฐฯเพียง 14% ที่มองว่าตัวเองมีฐานะมั่งคั่ง 

รายงานอีกฉบับจาก LendingClub ระบุว่า ชาวอเมริกันกว่าครึ่งหนึ่งมีรายได้กว่า 1 แสนดอลลาร์ต่อปี แต่คนเหล่านี้ก็ยังพูดว่าพวกเขาใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน

ปัญหาเงินเฟ้อสูงและความไร้เสถียรภาพที่ยืดเยื้อยาวนานได้บั่นทอนกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคส่วนใหญ่ ขณะที่อินสตาแกรมก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบเช่นกัน

‘คิม จองอึน’ เป็นปลื้ม การฝึกซ้อมของทหารพลร่ม เน้น ปรับปรุงข้อด้อย เพื่อเตรียมพร้อม ในสงครามที่อาจเกิดขึ้น

(16 มี.ค.67) เอเอฟพี รายงานว่า นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ เดินทางไปควบคุมการฝึกซ้อมพลร่มเพื่อแสดงศักยภาพทางทหารของกองทัพเกาหลีเหนือว่าสามารถยึดครอง 'ภูมิภาคที่เป็นศัตรู' ได้อย่างรวดเร็ว

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่วันหลังการซ้อมรบร่วมประจำปีฟรีดอม ชิลด์ ระหว่างกองทัพสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ครั้งล่าสุดสิ้นสุดลงเมื่อ 13 มี.ค. โดยนายคิมเพิ่งเดินทางไปดูการฝึกซ้อมรถถังหลักรุ่นใหม่และการซ้อมยิงปืนใหญ่ด้วยกระสุนจริงในช่วง 10 วันที่ผ่านมา

เกาหลีเหนือมีความอ่อนไหวเป็นพิเศษต่อการซ้อมรบร่วมทางอากาศของสองชาติพันธมิตรซึ่งผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่าเพราะกองทัพอากาศเกาหลีเหนือถือเป็นจุดอ่อนที่สุดในเหล่าทัพทั้งหมด และการบัญชาการการซ้อมพลร่มมีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบความพร้อมของทหารพลร่มในการระดมพลสำหรับปฏิบัติการใด ๆ ในสถานการณ์สงครามที่อาจเกิดขึ้น

นายคิมย้ำถึงความสำคัญของการประยุกต์ใช้การฝึกอบรมที่สมจริงและเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อบรรลุประสิทธิภาพการต่อสู้สูงสุดในสมรภูมิรบจริงตาม

สื่อทางการยังระบุด้วยว่านายคิมพึงพอใจอย่างยิ่งกับการฝึกซ้อมของทหารพลร่มที่มีความสามารถในการรบที่สมบูรณ์แบบจากการยึดเป้าหมายของศัตรูในการจำลองสถานการณ์รบทันทีที่ได้รับคำสั่ง

‘จีน’ กอดแชมป์ตำแหน่งผู้นำ ‘ตลาดต่อเรือโลก’ ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่ง 14 ปีซ้อน

(15 มี.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รายงานของสมาคมอุตสาหกรรมการต่อเรือแห่งชาติของจีน (CANSI) ที่เผยแพร่ไม่นานนี้ระบุว่า อุตสาหกรรมการต่อเรือของจีนยังคงเติบโตอย่างมั่นคง โดยมีตัวชี้วัดด้านการต่อเรือสำคัญ 3 ประการ ที่แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวที่สอดคล้องกัน

มูลค่าการส่งออกสินค้าต่อเรือที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลของสมาคมฯ ระบุว่า ปริมาณการต่อเรือของจีนที่แล้วเสร็จอยู่ที่ 42.32 ล้านตันตัน (DWT) ในปี 2023 เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8 เมื่อเทียบปีต่อปี ส่วนปริมาณการสั่งซื้อใหม่สูงถึง 71.2 ล้านตันตัน เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 56.4 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2023 ปริมาณคำสั่งรอผลิตอยู่ที่ 139.39 ล้านตันตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 32 เมื่อเทียบปีต่อปี

ทั้งนี้ในปี 2023 ปริมาณการต่อเรือที่เสร็จสมบูรณ์ของจีน ปริมาณคำสั่งซื้อใหม่ และปริมาณคำสั่งซื้อถือ ซึ่งวัดน้ำหนักเป็นตัน คิดเป็นร้อยละ 50.2, 66.6 และ 55.0 ของยอดรวมทั่วโลกตามลำดับ และนับเป็นครั้งแรกที่ส่วนแบ่งการตลาดเกินร้อยละ 50 ในทั้งสามตัวชี้วัดการต่อเรือ โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากปี 2022 อยู่ที่ 2.9, 11.4 และ 6 จุดตามลำดับบทบาทนำในตลาดต่างประเทศ

ปี 2023 อุตสาหกรรมการต่อเรือของจีนยังคงรักษาตำแหน่งเป็นผู้นำในตลาดต่างประเทศ โดยประสบความสำเร็จในการก่อสร้างอุปกรณ์ระดับไฮเอนด์ และปรับโครงสร้างคำสั่งซื้อเรือใหม่ให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับตลาดต่างประเทศนั้น ปี 2023 สถานะประเทศผู้ต่อเรือที่สำคัญของจีนแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยมีส่วนแบ่งตลาดครองอันดับหนึ่งทั่วโลกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 14 ปีติดต่อกัน
ความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติของบริษัทต่อเรือรายใหญ่ของจีนยังคงเข้มแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีบริษัท 5 แห่งที่ติดอันดับ 10 อันดับแรกในด้านปริมาณการต่อเรือที่แล้วเสร็จ 7 แห่ง ติดอันดับด้านปริมาณคำสั่งซื้อใหม่ และ 6 แห่งติดอันดับด้านปริมาณคำสั่งรอผลิต หนึ่งในนั้นคือบริษัท ไชน่า สเตต ชิปบิลดิง คอร์เปเรชัน (CSSC) ที่ครองอันดับหนึ่งในทั้งสามตัวชี้วัดในหมู่บริษัทต่อเรือทั่วโลก

ในปี 2023 บริษัทต่อเรือของจีนได้ส่งมอบเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่พิเศษขนาด 24,000 ทีอียู (TEU) ขนาดใหญ่สุดในโลก จำนวน 20 ลำ เรือบรรทุกแก๊สขนาดใหญ่ความจุ 174,000 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 4 ลำ และเรือบรรทุกแก๊สสำหรับร่องน้ำตื้นขนาด 80,000 ลูกบาศก์เมตร ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกหนึ่งลำ

คาดผลการดำเนินงานของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะเติบโต
ปี 2023 บริษัทไชน่า สเตต ชิปบิลดิง คอร์เปเรชัน คาดว่าจะมีกำไรสุทธิจากบริษัทแม่อยู่ที่ 2.7-3.2 พันล้านหยวน (ราว 1.33-1.58 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,470.95-1,761.87 เมื่อเทียบปีต่อปี

สำหรับการเพิ่มขึ้นของผลประกอบการอย่างมีนัยสำคัญนั้น บริษัทฯ ระบุว่า ตลาดการต่อเรือใหม่ทั่วโลกยังคงรักษาแนวโน้มการพัฒนาที่ดีได้ในปี 2023 ขณะที่การจัดการคำสั่งซื้อเรือราคาต่ำก่อนหน้านี้อย่างค่อยเป็นค่อยไปช่วยให้โครงสร้างคำสั่งซื้อของบริษัทฯ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการผลิตประจำปี บริษัทฯ ได้เสริมความแข็งแกร่งด้านการจัดการและการควบคุมการผลิต พัฒนาประสิทธิภาพการผลิต และบรรลุรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2022 ซึ่งเกินเป้าหมายประจำปี

‘พอล มนุษย์ปอดเหล็ก’ 1 ใน 2 คนสุดท้ายของโลก เสียชีวิตแล้ว หลังป่วยโปลิโอเป็นอัมพาต ต้องนอนในถังมานานกว่า 70 ปี

(15 มี.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ‘พอล อเล็กซานเดอร์’ หรือ พอล ปอดเหล็ก ‘มนุษย์ปอดเหล็ก’ 1 ใน 2 คนสุดท้ายของโลก ผู้ป่วยโปลิโอและต้องใช้ชีวิตในเครื่องปอดเหล็ก ซึ่งเป็นกระบอกโลหะขนาดใหญ่ที่เปลี่ยนความกดอากาศเพื่อกระตุ้นการหายใจ โดยเขาอยู่ในเครื่องช่วยหายใจเป็นเวลานานกว่า 70 ปี เสียชีวิตแล้ว หลังจากครบรอบวันเกิดปีที่ 78 ของเขาไปได้ไม่นาน

พอล อเล็กซานเดอร์ เป็นชาวเมืองดัลลัส รัฐเทกซัส ตอนที่เขาอายุได้ 6 ขวบ พอล อเล็กซานเดอร์ ก็ติดเชื้อและป่วยเป็นโรคโปลิโอ แม้ว่าจะรอดชีวิตมาได้ แต่โรคร้ายก็ทำให้เขากลายเป็นอัมพาตเกือบทั้งตัว กล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจทำงานไม่ได้ตามปกติ ส่งผลให้ต้องนำร่างกายของเขาตั้งแต่คอลงไปเข้าอยู่ในเครื่องช่วยหายใจทรงกระบอกขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Iron lung เกือบตลอดเวลา ซึ่งกลายเป็นที่มาของฉายา ‘มนุษย์ปอดเหล็ก’

ต่อมาครอบครัว 'พอล อเล็กซานเดอร์' โพสต์ข้อความเพื่อแจ้งข่าวการเสียชีวิตของเขา โดยก่อนหน้านั้นก็มีข้อความจาก คริสโตเฟอร์ อัลเมอร์ ผู้ก่อตั้งเพจรับบริจาคเพื่อหาค่าใช้จ่ายในการรักษาให้ ‘พอล อเล็กซานเดอร์’ ในเว็บไซต์ของ GoFundMe เนื่องจากเขาโดนฉ้อโกงจนแทบไม่เหลือเงินในการดำรงชีวิต ยืนยันว่า ‘พอล อเล็กซานเดอร์’ เสียชีวิตแล้ว แต่ยังไม่มีการชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เขาเสียชีวิต

โดยพบว่าก่อนการเสียชีวิตนั้น เมื่อ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ‘พอล อเล็กซานเดอร์’ ติดเชื้อโควิด-19 และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เข้าใช้เวลาในการรักษา 2 สัปดาห์ เมื่อแพทย์พบว่าไม่มีเชื้อไวรัสในร่างกายเขา ‘พอล อเล็กซานเดอร์’ ก็ได้กลับบ้าน แต่ยังไม่มีการยืนยันว่า โควิด-19 เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของชายปอดเหล็กคนนี้หรือไม่

‘จีน’ เผชิญวิกฤติ มหาวิทยาลัยหลายแห่ง ‘หอพักไม่เพียงพอ’ หลังเด็กแห่เรียน ป.โท จนต้องไปเช่าอพาร์ตเมนต์ข้างนอกให้อยู่

เมื่อวานนี้ (14 มี.ค.67) ​อัตราการจ้างงานที่น้อยลงในจีนทำให้นักศึกษา​จบใหม่หลายคนเลือกที่จะศึกษา​ต่อปริญญา​โทมากกว่าออกมาหางานหลังจบจากรั้วมหาวิทยาลัย โดยผลการสำรวจของเว็บไซต์การศึกษาจีนออนไลน์ในปี 2024 เผยว่าเมื่อปี 2021 มีจำนวนนักศึกษาที่สมัครเรียนต่อ​ปริญญาโทราว 649,000 คน เพิ่มขึ้นจากจำนวน 197,000 คนในปี​ 2012 และในปี 2022 กระทรวง​การศึกษา​จีนเผยว่ามีนักศึกษาที่สมัครเรียนต่อ​ปริญญาโท​เกือบ 700,000 คน

เมื่อมีนักศึกษา​ที่ต้องการเรียนต่อปริญญาโท​มากเกินไป ก็ส่งผลให้หอพักในมหาวิทยาลัย​หลายแห่งมีจำนวนห้องพักไม่เพียงพอ อีกทั้งมหาวิทยาลัยยังต้องแบ่งห้องพักส่วนหนึ่งไว้ให้นักศึกษาปริญญาตรีตามกฎระเบียบ​ของมหาวิทยาลัยจีนที่ส่วนมากบังคับให้นักศึกษาปริญญาตรีต้องพักในหอใน

อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยจีนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและพยายามหาทางแก้ไขปัญหาหอพักขาดแคลน เช่น มหาวิทยาลัย​ครุศาสตร์​เซี่ยงไฮ้​ (Shanghai Normal University)​ กำหนดให้นักศึกษา​ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้​สามารถเข้าพักในหอพักของมหาวิทยาลั​ย หากมีเตียงว่างถึงจะให้นักศึกษาที่เป็นคนท้องถิ่น โดยใช้ระยะทางการเดินทางจากบ้านมาเรียนเป็นเกณฑ์​ในการคัดเลือก

ด้านมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น (Fudan University) ในเซี่ยงไฮ้เช่าอพาร์ตเมนต์นอกมหาวิทยาลัย​ในระยะยาว​ เพื่อทำเป็นหอพักให้นักศึกษาปริญญาโท​ชาวจีนและนักศึกษา​ชาวต่างชาติ​ บางแห่งที่เจอสถานการณ์​เร่งด่วน​ก็แก้ไขปัญหา​ด้วยการเช่าหอพักที่ยังว่างของวิทยาลัยอาชีวศึกษาที่อยู่​ใกล้เคียง หรือให้นักศึกษา​ปริญญาตรีไปหาหอพักเองโดยมีเงินช่วย​เหลือจากมหาวิทยาลัย​ หรือนำพื้นที่บางส่วนของห้องน้ำในแต่ละชั้นมาปรับปรุง​เป็นห้องพักให้นักศึกษา​

แม้มหาวิทยาลัยหลายแห่ง​จะพยายามช่วยเหลือ แต่นักศึกษา​ที่ต้องอาศัยอยู่นอกมหาวิทยาลัยก็ยังประสบปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะ​เรื่องการเดินทางและค่าใช้จ่าย นักศึกษา​คนหนึ่งของมหาวิทยาลั​ยฟู่ตั้น กล่าวว่า ถึงแม้มหาวิทยาลัย​จะมีบริการรถโดยสาร​รับ-ส่งนักศึกษา​ แต่ตารางเดินรถกับตารางเข้าเรียนของตนไม่สอดคล้อง​กัน นักศึกษา​หลายคนที่เลือกเดินทางไปเรียนเองต้องใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมง ​กว่าจะถึงมหาวิทยาลัย​ 

ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย หากนักศึกษาคนไหนจับฉลากห้องพักไม่ได้ ก็จะต้องไปอยู่หอพักนอกมหาวิทยาลัย​ โดยทางมหาวิทยาลัย​เสนอเงินช่วยเหลือให้นักศึกษา​เดือนละ 800 หยวน (ราว 4,000 บาท)​ เป็นระยะเวลา 10 เดือน ซึ่งเงินจำนวนนี้ก็ยังไม่พอกับค่าเช่าหอพักที่อยู่​รอบมหาวิทยาลัย​ ซึ่งส่วนใหญ่​อยู่ที่ประมาณ​ 3,000 หยวน (ราว 14,900 บาท)

หน่วยงานภาครัฐของจีนเองก็พยายามช่วยแก้ปัญหา​นี้เช่นกัน เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาหน่วยงานรัฐบาลออกนโยบาย​ให้มหาวิทยาลัยสร้างหอพักใหม่หรือปรับปรุง​หอพักเดิม โดยมีตอนหนึ่ง​ระบุว่าให้มหาวิทยาลัย​ซื้อหรือ​เช่าอาคารของภาคเอกชน เช่น อพาร์ตเมนต์​หรือ​อาคาร​ที่มีทั้งห้องพักและศูนย์​การค้าที่อยู่​รอบมหาวิทยาลัย​ 

หลินฝาน เจ้าของธุรกิจ​ให้เช่าอพาร์ตเมนต์​รู้สึกพึงพอใจ​กับนโยบายนี้มาก เพราะมหาวิทยาลัยเสนอราคาเช่าที่ค่อนข้างดีราว 700-1000 หยวนต่อห้อง (ราว 3,500-5,000 บาท)​ ขึ้นอยู่​กับทำเลที่ตั้งของที่พัก

‘กองทัพสหรัฐฯ’ เตรียมย้ายกำลัง ‘นาวิกโยธิน’ กว่า 4,000 นาย หลังตั้งฐานทัพบน ‘เกาะโอกินาวา’ ไปยัง ‘เกาะกวม’ ภายในปี 2024

สำนักข่าว KYODO รายงานว่า จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐฯ ซึ่งกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่าการย้ายกำลังนาวิกโยธินที่ประจำการในฐานทัพบนเกาะโอกินาวากว่า 4,000 นาย ไปยังเกาะกวมสามารถเริ่มได้ในปี 2024 ตามที่วางแผนไว้ โดยระบุถึงความคืบหน้าที่สำคัญในการก่อสร้างฐานทัพดังกล่าวในดินแดนแปซิฟิกของสหรัฐฯ เพื่อรองรับทหารนาวิกโยธินดังกล่าว หลังจากการชะลอตัวของโครงการก่อสร้างฐานทัพบนเกาะกวน อันเนื่องจากข้อจำกัดจากการระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการจ้างแรงงานจากประเทศต่าง ๆ เช่น ฟิลิปปินส์ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา พล.ร.ต. Benjamin Nicholson ผู้บัญชาการร่วมภูมิภาค Marianas กล่าวว่าการก่อสร้างฐาน ‘เต็มรูปแบบอีกครั้ง’

พล.ร.ต. Benjamin Nicholson ผู้บัญชาการกองกำลังร่วมภูมิภาค Marianas ของกองทัพสหรัฐฯ ขณะให้สัมภาษณ์ที่เกาะกวมเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2022

การก่อสร้างค่าย Blaz ได้รับงบประมาณร่วมจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นภายใต้แผนการจัดกำลังพลปี 2006 ซึ่งส่วนหนึ่งพยายามลดกำลังทหารสหรัฐฯ ในฐานทัพบนเกาะโอกินาวา จังหวัดทางตอนใต้ของญี่ปุ่นอันเป็นที่ตั้งของกองกำลังทหารสหรัฐฯ จำนวนมากที่สุดในญี่ปุ่น ในปี 2012 ทั้งสองประเทศกล่าวว่ากำลังนาวิกโยธินประมาณ 9,000 นาย จากทั้งหมดประมาณ 19,000 นาย ฐานทัพบนเกาะโอกินาวาจะถูกย้ายออกจากญี่ปุ่นไปยังเกาะกวมและมลรัฐฮาวาย

พลจัตวา Vicente ‘Ben’ Blaz

ทั้งนี้ พ.อ. Christopher Bopp ผู้บัญชาการฐานนาวิกโยธินบนเกาะกวม กล่าวว่า สิ่งอำนวยความสะดวกแรก ๆ ที่จะแล้วเสร็จ ได้แก่ ฐานทัพ ค่ายทหาร และห้องครัว หลังจากนั้นก็จะเริ่มการโยกย้ายบุคลากรมาจากฐานทัพบนเกาะโอกินาวา เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้พูดคุยในขณะที่สำนักข่าว Kyodo และสำนักข่าวอื่น ๆ มีโอกาสได้เห็นโครงการเหล่านี้โดยตรง ซึ่งดำเนินการไปได้ครึ่งทางแล้ว ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สื่อญี่ปุ่นได้รับอนุญาตให้เข้าไปในฐานทัพบนเกาะกวมนับตั้งแต่กองกำลังนาวิกโยธินเปิดใช้งานฐานทัพบางส่วนในเดือนตุลาคม 2020 โดยเรียกฐานทัพดังกล่าวว่า ‘ค่าย Blaz’ ได้มีพิธีซึ่งตั้งชื่อค่ายอย่างเป็นทางการ มีการเชิญตัวแทนของกระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่น ได้มีขึ้นในเดือนมกราคมที่ผ่านมาตามชื่อของ พลจัตวา Vicente ‘Ben’ Blaz ชาวเกาะกวมผู้ซึ่งเคยเป็นสส.ของดินแดนในสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกาด้วย

พ.อ. Christopher Bopp ผู้บัญชาการค่าย Blaz กำลังแก้ไขป้ายต้อนรับ
หลังจากไต้ฝุ่น Mawar ถล่มเกาะกวมในเดือนพฤษภาคม 2023

ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้จัดสรรงบประมาณ 8.7 พันล้านดอลลาร์สำหรับการก่อสร้าง โดยญี่ปุ่นให้การสนับสนุนมากถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีดับเพลิง และสถานบำบัดภายในฐานทัพดังกล่าว ชาวเกาะกวมบางส่วนได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับกองกำลังนาวิกโยธินขนาดใหญ่ โดยอ้างถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมบนเกาะแห่งนี้ แต่กองทัพสหรัฐฯ ยืนยันว่ามีการสื่อสารอย่างต่อเนื่องกับผู้ว่าการเกาะกวมและตัวแทนชุมชน 

พล.ร.ต. Nicholson กล่าวว่า นาวิกโยธินที่ย้ายเข้ามาใหม่อาจพบว่า วัฒนธรรม ภาษา และสกุลเงินของกวมมีความใกล้เคียงสหรัฐฯ บ้านเกิดมากกว่าในญี่ปุ่น และจะเป็นการง่ายกว่าสำหรับทหารเหล่านั้นในการติดต่อกับผู้คนในท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเดินทางออกจากฐานทัพในช่วงวันหยุด คาดว่า กำลังนาวิกโยธินสหรัฐฯ ชุดแรกจะย้ายจากญี่ปุ่นไปยังฐานทัพนาวิกโยธินที่เพิ่งเปิดใช้งานใหม่บนเกาะกวมในช่วงปลายปี 2024 นี้

‘จีน’ เตือน ‘สหรัฐ’ หลังตั้งกำแพงกดดันทุกทาง ชี้!! ผลลัพธ์ไม่สวย ซ้ำจะย้อนทำร้ายตัวเอง

ไม่นานมานี้ สหรัฐฯ ได้เพิ่มความพยายามในการต่อต้านและกดดันในหลาย ๆ ด้าน ตั้งแต่การของบประมาณเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการ ‘แข่งขันกับจีน’ และเพิ่มการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับไต้หวัน ไปจนถึงการพยายามชักชวนให้ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียให้เข้าสู่ข้อตกลง เพื่อการจำกัดการส่งออกด้านเทคโนโลยีให้กับจีน 

โดยทางจีนได้ออกมาเคลื่อนไหวพร้อมระบุว่า ความเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผลเสียต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กระทั่งลามไปทั่วโลก

Wang Wenbin โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน

ด้วยการแข่งขันที่ดุเดือด ทำให้งบประมาณของสหรัฐฯ สำหรับปีงบประมาณ 2025 ถูกนำไปจัดสรรใช้เป็นทุนเพื่อ ‘เอาชนะจีน’ และติดอาวุธให้กับภูมิภาคไต้หวันของจีน

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (12 มี.ค.) Wang Wenbin โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ย้ำว่า การแข่งขันไม่ใช่ลักษณะที่แท้จริงของจีน ความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ และการแข่งขันระหว่างประเทศสำคัญ ๆ จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่จีนและสหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่ ความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะ ‘เอาชนะจีน’ ไม่ใช่การแข่งขันที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่เป็นการแข่งขันที่เลวร้าย โดยสหรัฐฯ วางกับดักคู่แข่งไว้ทุกดอก Wang 

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวเสริมว่า “มันกลายเป็นการพนันที่ไม่มีข้อจำกัด ซึ่งทำให้ผลประโยชน์พื้นฐานของประชาชนของทั้งสองประเทศและแม้แต่อนาคตของมนุษยชาติกลายเป็นเดิมพัน และมันจะผลักดันเฉพาะจีนและสหรัฐฯ ไปสู่การเผชิญหน้าและความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ”

คำของบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ สำหรับปีงบประมาณ 2025 ประกอบด้วยเงินทุนบังคับจำนวน 4 พันล้านดอลลาร์ในช่วงห้าปี เพื่อ ‘ใช้เครื่องมือทั้งหมดที่เราจัดการเพื่อเอาชนะจีนให้ได้’ คำของบประมาณยังรวมถึง ‘คำขอเงินทุนครั้งแรก’ จำนวน 500 ล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มเติมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จะมอบให้กับไต้หวัน 

รายงานของสื่อแห่งหนึ่งระบุ เมื่อวันอังคาร (12 มี.ค.) ว่า Wang ยังกล่าวถึงการคัดค้านอย่างแข็งขันของจีนต่อความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างสหรัฐฯ และเกาะไต้หวัน และความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะติดอาวุธให้กับเกาะแห่งนี้ 

“เราขอเรียกร้องให้สหรัฐฯ ปฏิบัติตามหลักการจีนเดียว และหยุดแทรกแซงกิจการภายในของจีน จีนจะใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของตนอย่างแน่วแน่และมั่นคง” เขากล่าว

Gina Raimondo รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ

นอกเหนือจากการของบประมาณแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ ยังได้เพิ่มความพยายามที่เห็นได้ชัดว่ามีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการปราบปรามทางเทคโนโลยีต่อจีนให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ในขณะที่นำคณะผู้แทนธุรกิจของสหรัฐฯ ไปยังฟิลิปปินส์ Gina Raimondo รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ ‘จะทำทุกวิถีทาง’ เพื่อปราบปรามความสามารถทางเทคโนโลยีของจีน 

ตามรายงานของ Bloomberg โดย Raimondo ได้ประกาศที่ฟิลิปปินส์ว่า บริษัทสหรัฐฯ เตรียมประกาศการลงทุนมูลค่ารวมมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในฟิลิปปินส์ ตามรายงานของ Reuters รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ กล่าวว่า ความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการขยายการค้าและการลงทุนในฟิลิปปินส์ยังขยายไปถึง ‘ภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่ใหญ่กว่า’ อีกด้วย แม้ว่าเธอจะย้ำว่าสหรัฐฯ ไม่ได้พยายามแตกแยกกับจีนก็ตาม

“ภยันตรายต่อโลก การมีส่วนร่วมของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการแข่งขันประเทศใหญ่ เช่น จีน ซึ่งจะมีผลรวมเป็นศูนย์ นอกจากไม่เพียงที่เป็นการเสี่ยงต่อการเผชิญหน้าระหว่างสองประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ยังดึงดูดประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคและทั่วโลกให้เข้าร่วมการเผชิญหน้าแบบกลุ่มมากขึ้น ในเวลาที่โลกต้องการความร่วมมือมากที่สุด” ผู้เชี่ยวชาญชาวจีนตั้งข้อสังเกต 

นอกจากนี้ เพื่อเน้นย้ำการรณรงค์ที่เข้มข้นขึ้นของวอชิงตันเพื่อควบคุมจีนในการแข่งขันในประเทศใหญ่ ๆ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังผลักดันพันธมิตรของตน รวมถึงเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ให้เข้มงวดข้อจำกัดด้าน Chip คอมพิวเตอร์กับจีน และกำลังพิจารณาเพิ่มผู้ผลิต Chip ของจีนรายอื่น อาทิ ChangXin Memory Technologies Inc เข้าสู่รายการควบคุมตามที่ Bloomberg อ้าง 

ในขณะเดียวกัน สภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกากำลังเร่งร่างกฎหมายที่จะบังคับให้บริษัท ByteDance ของจีนขาย TikTok ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันยอดนิยม หรือเผชิญกับการแบนในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่ผู้เชี่ยวชาญของจีนกล่าวว่า เป็นการเคลื่อนไหวของวอชิงตันที่มีลักษณะเป็นการตีโพยตีพายอีกครั้งในการต่อต้านกดดันบริษัทจีน

Apple store ย่านใจกลางเมืองของนครเซี่ยงไฮ้

การต่อต้านและกดดันอย่างเข้มข้นของนักการเมืองสหรัฐฯ การรณรงค์เพื่อกดดันจีนสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นภายในสหรัฐฯ รวมถึงการครอบงำทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีทั่วโลก ซึ่งประเทศนี้ไม่สามารถจัดการในลักษณะที่มีประสิทธิผลใด ๆ ได้ เนื่องจากการแบ่งพรรคแบ่งพวกและความผิดปกติของรัฐบาล ตามการระบุของนักวิเคราะห์ชาวจีน ที่สำคัญกว่านั้น ความพยายามดังกล่าวจะไม่ขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของจีน เนื่องจากธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงบริษัทของสหรัฐฯ ที่ขับเคลื่อนโดยกลไกตลาด ไม่ใช่การเมือง จะยังคงลงทุนและดำเนินการในตลาดจีนต่อไป 

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ผู้บริหารธุรกิจสหรัฐฯ จำนวนมากเดินทางเยือนจีนและขยายการลงทุนในจีน ข้อจำกัดทางการเมืองต่อธุรกิจของสหรัฐฯ จะส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เท่านั้น ตัวอย่างที่ชัดเจนของบริษัทสหรัฐฯ ที่ขยายการลงทุนในจีน เช่น Apple บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันอังคารถึงแผนที่จะเปิดห้องปฏิบัติการวิจัยแห่งใหม่ในนครเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีน และอัปเกรดห้องปฏิบัติการวิจัยในนครเซี่ยงไฮ้ เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่บริษัทเพิ่งประกาศเปิดร้านใหม่ในย่านใจกลางเมืองของนครเซี่ยงไฮ้
 

สะพัด!! 'นิสสัน' เล็งเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับ 'ฮอนด้า' ผนึกกำลังสู้ EV จีน หลังผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

(14 มี.ค.67) นิสสัน กำลังพิจารณาแสวงหาความเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับฮอนด้า ตามรายงานของสำนักข่าวทีวี โตเกียว เมื่อวานนี้ (13 มี.ค.) ในขณะที่นิกเกอิ เอเชีย คาดว่าทั้ง 2 บริษัทอาจร่วมมือกันในด้านรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อต่อกรกับคู่แข่งสัญชาติจีน ที่ผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ทีวี โตเกียว รายงานว่าบอร์ดบริหารของนิสสัน ตัดสินใจเมื่อวันอังคาร (12 มี.ค.) จะพิจารณาความเป็นไปได้ในการจับมือเป็นพันธมิตรกับ ฮอนด้า คู่แข่งร่วมชาติที่ขนาดใหญ่กว่า ส่วนรายงานข่าวของนิกเกอิ เอเชีย รายงานถึงขั้นว่า นิสสัน และ ฮอนด้า อาจทำงานร่วมกันในด้านรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อยกระดับการแข่งขันกับบรรดาคู่แข่งจากจีน

โฆษกของนิสสัน ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวดังกล่าว และไม่ขอแสดงความคิดเห็นว่าบอร์ดบริหารมีการประชุมกันในวันอังคาร (12 มี.ค.) จริงหรือไม่ ส่วนโฆษกของฮอนด้า บอกเช่นกันว่าทางบริษัทไม่มีความเห็นใดๆ ต่อรายงานข่าวดังกล่าว

ทีวี โตเกียว ระบุว่า นิสสัน ซึ่งเป็นพันธมิตรมาช้านานกับ เรโนลต์ ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศส แสดงความตั้งใจจะลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) แบบไม่มีพันธะ กับฮอนด้า พร้อมบอกว่าแต่ในเรื่องของขอบเขตการหารือนั้นยังไม่มีการตัดสินใจใดๆ

ส่วน นิกเกอิ เอเชีย อ้างแหล่งข่าวในนิสสันหลายคน ระบุว่าในบรรดาก้าวย่างอย่างเฉพาะเจาะจงนั้น อาจรวมไปถึงการเปิดตัวระบบส่งกำลังรถยนต์ร่วม การจัดหาร่วม และพัฒนาแพลตฟอร์มหนึ่งๆร่วมกัน ขณะเดียวกันมีความเป็นไปได้ว่า ความร่วมมืออาจครอบคลุมถึงการจัดหาแบตเตอรีและพัฒนารถไฟฟ้าร่วมกัน

ที่ผ่านมา นิสสัน ได้ร่วมมือกับ เรโนลต์ ในด้านรถอีวี อยู่ก่อนแล้ว ส่วนใหญ่ในยุโรป ขณะที่รถไฟฟ้าล้วนตัวถัดไปของนิสสัน ‘Micra’ จะใช้งานวิศวกรรมพื้นฐานร่วมกับ เรโนลต์ ไฟว์ และจะประกอบในโรงงานเดียวกัน ในทางเหนือของฝรั่งเศส

นอกจากนี้แล้ว นิสสัน ยังประกาศว่าจะลงทุนสูงสุด 600 ล้านเยน (ราว 656.64 ล้านดอลลาร์) ใน Ampere บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ของ เรโนลต์

อย่างไรก็ตาม เมื่อปีที่แล้ว ทั้ง 2 บริษัทลดขอบเขตความเป็นพันธมิตร เปิดทางสำหรับการมีหุ้นส่วนที่มีความคล่องตัวกว่าเดิม และนับตั้งแต่นั้น เรโนลต์ ก็ได้ลงนามในข้อตกลงต่างๆ นานา ในการจับมือเป็นพันธมิตรกับคู่หูใหม่ๆ อย่างเช่น Geely ของจีน

"ภายใต้กรอบข้อตกลงใหม่ในความเป็นพันธมิตร ทั้ง 2 หุ้นส่วนจะมีอิสระในการตัดสินใจทางยุทธศาสตร์ต่างๆ นอกเหนือจากโครงการร่วมต่างๆ ที่จับมือร่วมกัน" โฆษกของเรโนลต์ระบุ

เมื่อปีที่แล้ว นิสสัน และ ฮอนด้า ต่างสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีน ตลาดยานยนต์หมายเลข 1 ของโลก ท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือดจาก บีวายดีและบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอื่นๆ และทางนิกกิอิ รายงานว่า นิสสัน และ ฮอนด้า อาจตัดสินใจลดกำลังผลิตในประเทศแห่งนี้

‘ยูนนาน’ ใช้ ‘AI’ ช่วยตรวจสอบ ‘สถานีไฟฟ้าย่อย’ 621 แห่ง ชี้ ภารกิจเสร็จสิ้นไม่ถึง 5 นาที ต่างจากแรงงานมนุษย์ที่นานถึง 5 ชม.

เมื่อวานนี้ (13 มี.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการตรวจสอบสถานีไฟฟ้าย่อย 621 แห่งแบบเป็นประจำ ซึ่งช่วยทดแทนความจำเป็นในการใช้กำลังคน

ทางด้าน บริษัท ไชน่า เซาธ์เทิร์น พาวเวอร์ กริด สาขาอวิ๋นหนาน ระบุว่า การตรวจสอบด้วยปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้กล้อง โดรน และหุ่นยนต์เดินได้ สามารถทำให้ภารกิจเสร็จสิ้นภายในไม่ถึง 5 นาที ลดลงจากการใช้แรงงานมนุษย์ที่นาน 5 ชั่วโมง

หวังซิน ผู้จัดการอาวุโสของบริษัทฯ สาขาอวิ๋นหนาน กล่าวว่า อวิ๋นหนานเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำและไฟฟ้าพลังงานสะอาดรูปแบบอื่นๆ ที่สำคัญ โดยมีสถานีไฟฟ้าย่อย 35 กิโลโวลต์ขึ้นไป จำนวน 1,937 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ภูเขา และการเข้าถึงสถานีย่อยเกือบครึ่งหนึ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาเดินทางบนถนนมากกว่า 3 ชั่วโมง

หวังซิน เผยว่า การตรวจสอบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ คาดว่าจะทำให้แรงงานมนุษย์ไม่ต้องเดินทางยาวนานบนถนน ซึ่งช่วยลดต้นทุนได้อย่างมาก โดยบริษัทฯ ได้วางแผนส่งเสริมการตรวจสอบด้วยปัญญาประดิษฐ์ให้ครอบคลุมสถานีไฟฟ้าย่อยที่เหลือในอวิ๋นหนานในอีก 2 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ จีนกำลังหันไปใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์เพื่อรับมือกับปัญหาขาดแคลนช่างเทคนิคในพื้นที่ภูเขาห่างไกล โดยเมื่อปีก่อน มณฑลกุ้ยโจวได้เริ่มใช้หุ่นยนต์ตรวจสอบสถานีไฟฟ้าย่อยที่เผชิญสภาพอากาศเลวร้ายจนการทำงานหยุดชะงักด้วยเช่นกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top