Tuesday, 10 June 2025
WORLD

‘เอกวาดอร์’ ไฟฟ้าดับ ‘ทั่วประเทศ’ หลังระบบขาดการซ่อมบำรุง กระทบ!! ปชช.กว่า 18 ล้าน ต้องรับมือความมืดนาน 3 ชั่วโมง

เมื่อวานนี้ (20 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวเอกวาดอร์กว่า 18 ล้านคน ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความมืด ซึ่งเมื่อวานนี้ หลังเกิดเหตุไฟฟ้าดับทั่วประเทศนาน 3 ชั่วโมง โดยทางการเอกวาดอร์กล่าวว่า สาเหตุของไฟฟ้าดับ เกิดจากระบบไฟฟ้าที่ขาดการซ่อมบำรุง ร่วมกับปัญหาจากระบบส่งกำลังของระบบไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งไฟฟ้าดับครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน ที่นอกจากต้องรับมือกับความมืดแล้ว ยังต้องเอาชีวิตรอดท่ามกลางอากาศร้อนจัดโดยไม่มีไฟฟ้าใช้ อีกทั้งยังทำให้น้ำประปาไม่ไหลในบางพื้นที่ตามไปด้วย

นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลา อาทิ โรงพยาบาล ที่ต้องดึงกระแสไฟจากเครื่องปั่นไฟมาใช้ในยามฉุกเฉิน ขณะเดียวกัน ไฟฟ้าดับยังทำให้ระบบรถไฟใต้ดินหยุดเดินรถกะทันหัน และต้องอพยพผู้โดยสารหลายร้อยออกจากสถานีต่าง ๆ ซึ่งผู้โดยสารบางคนรู้สึกไม่พอใจ เพราะพวกเขาต้องเดินระยะไกลจากสถานีเพื่อไปถึงทางออกโดยไม่มีแสงไฟใด ๆ และมีการเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่คืนเงินค่าโดยสาร

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาระบบไฟฟ้าทั้งหมดสามารถกลับมาใช้งานได้เกือบ 95 เปอร์เซ็นต์ ในหลายพื้นที่ ขณะที่ทางการเอกวาดอร์ออกมาเปิดเผยว่า เหตุไฟดับดังกล่าว ‘ไม่เกี่ยวข้อง’ กับวิกฤตด้านพลังงานที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่

'มาเลเซีย' ยุติหนุนดีเซล ประคองการเงินประเทศ ทำราคาน้ำมันจ่อพุ่ง 50% ด้าน 'นายกฯ อันวาร์' ยัน!! ช่วยประหยัดเงินรัฐได้ถึงปีละ 4 พันล้านริงกิต

(21 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มาเลเซีย ได้เปลี่ยนทิศทาง ยุติการอุดหนุนดีเซลแบบถ้วนหน้า เพื่อหวังพลิกวิกฤตการเงินของประเทศ หลังจากเมื่อวันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2567 นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ประกาศมาตรการสุดกล้าในการปรับเปลี่ยนนโยบายการอุดหนุนดีเซล จากแบบครอบคลุมไปสู่การอุดหนุนแบบมุ่งเป้า เพื่อช่วยประเทศฝ่าวิกฤตทางการเงินที่กำลังเผชิญอยู่ 

สำหรับตัวเลขค่าใช้จ่ายในการอุดหนุนดีเซลของมาเลเซียพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ จาก 1.4 พันล้านริงกิตในปี 2019 เป็น 1.43 หมื่นล้านริงกิตในปี 2023 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสถานะการเงินของรัฐบาล

แม้จะเป็นมาตรการที่ไม่เป็นที่นิยม แต่นายกฯ อันวาร์ยืนยันว่าจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อความอยู่รอดของประเทศ โดยคาดว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้จะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋ารัฐบาลได้ถึงปีละ 4 พันล้านริงกิต 

ผลกระทบที่จะเห็นได้ชัดตามมาคือ ราคาดีเซลในมาเลเซียตะวันตกจะพุ่งขึ้นกว่า 50% เป็น 3.35 ริงกิตต่อลิตรในขณะที่ซาบาห์และซาราวักจะยังคงราคาเดิมที่ 2.15 ริงกิตต่อลิตร อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงให้การอุดหนุนแก่กลุ่มรายได้ต่ำ เช่น ชาวประมง เกษตรกร รวมถึงการใช้ในรถโรงเรียนและรถพยาบาล

ด้านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง อามีร์ ฮัมซะห์ อาซิซาน ชี้แจงว่านโยบายใหม่นี้จะช่วยป้องกันการลักลอบนำดีเซลราคาถูกข้ามพรมแดน และยืนยันว่าจะไม่ส่งผลให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น 

ขณะที่นักวิเคราะห์ โอ้ อี้ ซุน จากศูนย์วิจัยแปซิฟิกแห่งมาเลเซียให้ความเห็นว่า การที่รัฐบาลกล้าใช้มาตรการที่ไม่เป็นที่นิยมเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์ทางการเงินของประเทศ 

ทั้งนี้ มาเลเซียคาดว่าจะใช้จ่ายเงิน 5.28 หมื่นล้านริงกิตในการอุดหนุนและการช่วยเหลือทางสังคมในปีนี้ ซึ่งลดลงจาก 6.42 หมื่นล้านริงกิตในปี 2023 ตามงบประมาณปี 2024

‘เลขาฯ สหประชาชาติ’ เรียกร้องทุกฝ่ายร่วมยุติ ‘การทำร้ายโลก’ หลังผืนดินทั่วโลกเสื่อมโทรมลง 40% หวั่น!! กลายเป็น ‘ทะเลทราย’

เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ เรียกร้องให้หลายฝ่ายดำเนินงานเพื่อยุติการทำร้ายโลก หลังจากผืนดินทั่วโลกเสื่อมโทรมลงเกือบร้อยละ 40 และยังคงเสื่อมโทรมทุกๆ วินาที

“ผืนดินอุดมสมบูรณ์ขนาดเท่าสนามฟุตบอลราว 4 สนามจะเสื่อมโทรมลงทุกๆ วินาที” กูเตอร์เรสกล่าวข้อความผ่านวิดีโอ เนื่องในโอกาสวันต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทรายและความแห้งแล้งโลก (World Day to Combat Desertification and Drought) ซึ่งตรงกับวันที่ 17 มิ.ย. ของทุกปี

ทั้งนี้ กูเตอร์เรสยังกล่าวว่า ความมั่นคง ความเจริญรุ่งเรือง และสุขภาพของผู้คนหลายพันล้านคนต้องพึ่งพาผืนดินอันเจริญงอกงามเพื่อเอื้อต่อการดำรงชีวิต การทำมาหากิน และระบบนิเวศ แต่ผู้คนกลับกำลังทำร้ายโลกที่ช่วยค้ำจุนเรา พร้อมเสริมว่าวันดังกล่าวเตือนว่าเราจะต้องร่วมมือกันเพื่อผืนดิน ทั้งภาครัฐบาล กลุ่มธุรกิจ คณะนักวิชาการ ชุมชน และกลุ่มคนอีกมากมาย

ผืนดินสุขภาพดีเป็นแหล่งอาหารสำหรับผู้คนเกือบร้อยละ 95 ทั่วโลก เป็นเสื้อผ้าและที่พักพิงให้แก่ผู้คน สร้างงานและการทำมาหากิน ตลอดจนปกป้องชุมชนจากภัยแล้ง น้ำท่วม และไฟป่าที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

กูเตอร์เรสกยังกล่าวอีกว่า พันธกิจต่างๆ ได้ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนในอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย (UNCCD) ที่มีอายุครบรอบ 30 ปีแล้วในปีนี้ ซึ่งนับเป็นสัญญาณว่าทั่วโลกจะต้องเร่งลงมือทำตามเป้าหมายข้างต้นอย่างรวดเร็ว

เพื่อบรรลุผลลัพธ์เหล่านี้ กูเตอร์เรสกล่าวว่าควรสร้างแรงผลักดันในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย ครั้งที่ 16 (COP 16) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้น ณ กรุงริยาดของซาอุดีอาระเบีย ในเดือนธันวาคม 2024 และรับประกันว่าหลายฝ่ายจะรับฟังเสียงของคนรุ่นใหม่ในกระบวนการเจรจาหารือ พร้อมทิ้งท้ายเชิญชวนให้ผู้คนร่วมกันหว่านเมล็ดพันธุ์เพื่ออนาคตอันรุ่งเรืองของธรรมชาติและมนุษยชาติ

'รอยเตอร์' แฉ!! สหรัฐฯ ฮั้วชาติพันธมิตร ส่งชื่อ รง.ผลิตชิปจีนลง ‘บัญชีดำ’ พร้อมเพิ่มแรงกดดันคู่ค้าจีน หยุดส่งออกเครื่องมือผลิตชิปก้าวหน้าให้ด้วย

เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย.67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สหรัฐฯ ส่งเจ้าหน้าที่รายหนึ่งเดินทางไปญี่ปุ่น หลังจากที่เข้าพบกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ในความพยายามโน้มน้าวชาติพันธมิตรทั้งสองให้ช่วยกัน ‘เตะสกัด’ จีนไม่ให้เข้าถึงศักยภาพในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง 

อลัน เอสเตเวซ (Alan Estevez) หัวหน้าฝ่ายนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ พยายามสานต่อข้อตกลงในปี 2023 ระหว่างทั้ง 3 ชาติเพื่อจำกัดการส่งออกเครื่องมือผลิตชิปไปยังจีน ซึ่งสหรัฐฯ อ้างว่าอาจถูกนำไปใช้เพื่อยกระดับศักยภาพกองทัพแดนมังกร

สหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการจำกัดการส่งออกชิปและเครื่องมือผลิตชิปขั้นสูงของผู้ผลิตสัญชาติอเมริกันอย่าง Nvidia และ Lam Research ไปยังจีนมาตั้งแต่ปี 2022

เมื่อเดือน ก.ค.ปีที่แล้ว ญี่ปุ่นซึ่งมีผู้ผลิตชิปรายสำคัญอย่าง Nikon Corp และ Tokyo Electron เริ่มปรับตัวขานรับนโยบายของสหรัฐฯ ด้วยการจำกัดส่งออกเครื่องมือ 23 ประเภท ตั้งแต่เครื่องจักรที่ใช้สำหรับติดฟิล์มลงบนซิลิคอนเวเฟอร์ เรื่อยไปจนถึงอุปกรณ์ที่ใช้กัดลายแผงวงจรไฟฟ้าขนาดจิ๋ว

หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ก็เริ่มควบคุมการส่งออกเครื่องมือผลิตชิปแบบ Deep Ultraviolet Lithography (DUV) ของบริษัท ASML ไปยังจีน ในขณะที่สหรัฐฯ ก็จำกัดการขายเครื่องมือ DUV ให้โรงงานของจีนบางแห่งด้วย โดยอ้างว่าเป็นเพราะระบบของ ASML นั้นใช้ชิ้นส่วนและองค์ประกอบบางอย่างจากสหรัฐฯ

ปัจจุบัน ASML ถือเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ทำชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก

นอกจากนี้ แหล่งข่าวของรอยเตอร์ยังเปิดเผยว่า วอชิงตันกำลังเจรจากับชาติพันธมิตรเพื่อเพิ่มรายชื่อโรงงานผลิตชิปจีนอีก 11 แห่งลงใน ‘บัญชีจำกัดการค้า’ จากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 5 แห่ง ซึ่งก็รวมถึงบริษัท SMIC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีนด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น สหรัฐฯ ยังต้องการที่จะควบคุมอุปกรณ์ผลิตชิปเพิ่มเติมอีก ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว

ล่าสุด โฆษกกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานนี้

สหรัฐฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเยือนเนเธอร์แลนด์เมื่อเดือน เม.ย. ในความพยายามกดดันให้ ASML หยุดให้บริการเครื่องไม้เครื่องมือบางอย่างแก่จีน และสหรัฐฯ เองก็มีกฎห้ามไม่ให้บริษัทอเมริกันมอบบริการด้านเครื่องไม้เครื่องมือแก่โรงงานระดับก้าวหน้าของจีนด้วย

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวชี้ว่า ASML ยังคงมีสัญญามอบบริการแก่จีนอยู่ และรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ก็ไม่สามารถใช้อำนาจนอกอาณาเขต (extraterritorial scope) ที่จะไปสั่งยุติสัญญาด้วย

สถานทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ยังไม่ออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้เช่นกัน

ปีที่แล้วบริษัท หัวเว่ย (Huawei) ยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมจีนที่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธง Huawei Mate 60 Pro ที่ใช้ชิป 7 นาโนเมตรุ่นก้าวหน้าที่สุดของ SMIC จนกลายเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของจีนที่จะเติบโตก้าวหน้าในทางเทคโนโลยีให้ได้ แม้จะถูกสหรัฐฯ กีดกันทุกทางก็ตาม

‘อีลอน มัสก์’ ทำนายอนาคต การพูดคุยผ่าน ‘มือถือ’ จะล้าสมัย มนุษย์จะสื่อสารกันผ่านความคิด ด้วยการฝังชิปในสมองแทน

(19 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โทรศัพท์มือถือจะกลายเป็นสิ่งล้าสมัยในอนาคต และจะถูกแทนที่ด้วยชิปที่จะถูกฝังลงในสมองของมนุษย์โดยตรงแทน จากคำทำนายเมื่อเร็ว ๆ นี้ของ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยี

บริษัทด้านเทคโนโลยีประสาท Neuralink ของ มัสก์ ทำการฝังชิปสมองเป็นครั้งแรกในตัวของนายโนแลนด์ อาร์โบห์ ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก วัย 30 ปี ย้อนกลับไปในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ขั้นตอนการผ่าตัดดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการใส่ชิปคอมพิวเตอร์ขนาดพอ ๆ กับเหรียญดอลลาร์ เข้าไปในพื้นที่ของสมองซึ่งควบคุมความเคลื่อนไหว จากนั้นชิปถูกใช้บันทึกและถ่ายทอดสัญญาณสมองแบบไร้สายไปยังแอปพลิเคชันหนึ่งที่ถอดรหัสความเคลื่อนไหวตามเจตนาของผู้ป่วย

คำทำนายล่าสุดของ มัสก์ เป็นการตอบโต้ข้อความหนึ่งที่โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ โดยบัญชีล้อเลียนชื่อว่า ‘ไม่ใช่ อีลอน มัสก์’ ในวันอาทิตย์ (16 มิ.ย. 67) ซึ่งข้อความดั้งเดิมเขียนว่า "คุณจะติดตั้ง Neuralink interface (เทคโนโลยีที่เชื่อมต่อสมองมนุษย์กับคอมพิวเตอร์) ในสมองของคุณ เพื่อเปิดทางให้คุณควบคุม X phone ใหม่ ผ่านทางความคิดหรือไม่?"

อีลอน มัสก์ ตอบกลับคำถามดังกล่าว โดยบอกว่า "ในอนาคตจะไม่มีโทรศัพท์มือถือ มีเพียงแค่ Neuralink"

ในเอกสารประชาสัมพันธ์ที่เผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว Neuralink ระบุว่าโครงการ PRIME (Precise Robotically Implanted Brain-Computer Interface) เป็นการทดลองระดับคลินิก เพื่อศึกษาความปลอดภัยของกระบวนการฝังชิปลงในสมองของมนุษย์ด้วยหุ่นยนต์ และความปลอดภัยของตัวชิปเอง

เป้าหมายของการพัฒนาการฝังส่วนต่อประสานสมองเข้ากับคอมพิวเตอร์ไร้สายอย่างสมบูรณ์ จะเป็นครั้งแรกที่ช่วยให้มนุษย์มีขีดความสามารถในการควบคุมเคอร์เซอร์คอมพิวเตอร์ หรือคีย์บอร์ดผ่านทางความคิด จากนั้นมันจะเปิดทางสำหรับการบำบัดเชิงปฏิวัติสำหรับคนที่ป่วยพิการทางกายต่าง ๆ อย่างเช่นอัมพาตและตาบอด เช่นเดียวกับโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ อย่างเช่นโรคอ้วน ออทิสติก ซึมเศร้า และโรคจิตเภท

ระหว่างให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2018 มัสก์ เคยบ่งชี้ว่าด้วยเทคโนโลยี Neuralink มันอาจทำให้วันใดวันหนึ่งมนุษย์จะสามารถสื่อสารกันโดยไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดใด ๆ และมีความเป็นไปได้ของการบรรลุเป้าหมายสถานะของการอยู่ร่วมกันกับปัญญาประดิษฐ์

สำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ อนุมัติการทดลองฝังชิปเป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว หลายสัปดาห์หลังการผ่าตัดเมื่อเดือนมกราคม มัสก์เปิดเผยว่าบุคคลรายดังกล่าว ‘ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์โดยปราศจากผลข้างเคียงใดๆ’ และมีศักยภาพในการเคลื่อนเมาส์คอมพิวเตอร์ไปรอบๆ จอผ่านความคิด

อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคม Neuralink ยอมรับว่าพวกเขาประสบกับปัญหาทางเทคนิคบางประการ หลังสายไฟขนาดเล็กจิ๋วที่ฝังลงไปในสมองเคลื่อนที่หลุดจากตำแหน่ง

กระนั้นก็ตามทางสำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ ได้ไฟเขียวให้ทดลองกับมนุษย์เป็นครั้งที่ 2 ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล เมื่อเดือนที่แล้ว โดยที่การทดลองครั้งถัดไป ซึ่งกำหนดไว้ในเดือนมิถุนายน จะมีการแก้ไขปรับปรุงในกระบวนการต่างๆ โดยที่ชิปจะถูกฝังลึกเข้าไปในสมองมากกว่าเดิม เพื่อป้องกันไม่ให้มันหลุดออกมา

‘เกาะอังกฤษ’ เสน่ห์หาย มหาเศรษฐีแห่หอบเงินหนี ผลจากภาวะเศรษฐกิจ - แนวโน้มเปลี่ยนขั้วรัฐบาล

‘สหราชอาณาจักร’ กลายเป็นประเทศในโซนยุโรป ที่มีมหาเศรษฐีย้ายออกมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ (2024) ที่มีการย้ายออกสุทธิมากถึง 9,500 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 2 เท่า และมีแนวโน้มที่จะย้ายออกเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง หลังรู้ผลการเลือกตั้งใหญ่ของอังกฤษในปีนี้ 

จากรายงานการสำรวจการโยกย้ายถิ่นฐานของ The Henley Private Wealth Migration ประจำปี 2024 พบว่าอังกฤษกลายเป็นประเทศที่มหาเศรษฐีอยากจะย้ายออกมาเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศจีนในปีนี้ แถมมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจเรียกได้ว่าเป็นวิกฤติการย้ายถิ่นแบบ Exodus หรือการทิ้งถิ่นฐานของมหาเศรษฐีจำนวนมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ซึ่งในปีนี้ มีเศรษฐีในอังกฤษ ย้ายออกไปประเทศอื่นแล้วถึง 9,500 เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ที่มีเศรษฐีย้ายออก 4,200 ราย นับว่าเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว

ถึงแม้ว่าจีนจะยังคงเป็นประเทศที่มีคนระดับเศรษฐีย้ายออกมากที่สุดในโลก ซึ่งมีตัวเลขการย้ายออกสุทธิอยู่ที่ 15,200 รายในปีนี้ แต่หากเทียบกับตัวเลขในอดีตที่อังกฤษเคยติดอันดับกลุ่มประเทศที่มีมหาเศรษฐีอยากย้ายเข้ามากที่สุด เป็นจุดหมายปลายทางระดับพรีเมียมที่ใครต่อใครสนใจที่จะย้ายถิ่นเข้ามาอยู่ นับว่าเป็นปัญหาที่ไม่ธรรมดาเลยสำหรับอังกฤษ

‘Henley’ บริษัทที่ปรึกษาด้านการย้ายถิ่นฐานระบุว่า ช่วงระหว่างปี 1950 - 2000 ถือเป็นยุคทองของสหราชอาณาจักร ที่ครอบครัวชนชั้นสูง ตระกูลเศรษฐีทั่วทั้งยุโรป, แอฟริกา, เอเชีย และ ตะวันออกกลาง นิยมย้ายถิ่นมาลงหลักปักฐานในอังกฤษเป็นจำนวนมาก 

แต่ในวันนี้กลับไม่ใช่แล้ว กลุ่มคนที่มีทรัพย์สินมั่งคั่งในอังกฤษเริ่มมองหาประเทศทางเลือกอื่น ๆ ในการย้ายถิ่นที่อยู่ใหม่ เห็นได้ชัดเจนจากตัวเลขประชากรระดับเศรษฐีของอังกฤษลดลงถึง 8% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สวนทางกับจำนวนประชากรเศรษฐีในประเทศเศรษฐกิจหลักของกลุ่มชาติตะวันตกในช่วงเวลาเดียวกัน อาทิ เยอรมัน ที่มีจำนวนเศรษฐีเพิ่มขึ้นถึง 15% ในขณะที่สหรัฐอเมริกา มีจำนวนเศรษฐีเพิ่มมากถึง 62% 

แต่อะไรเป็นสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เสน่ห์ของประเทศอังกฤษหายไป ไม่ชวนดึงดูดกลุ่มเศรษฐี นักลงทุนให้มาอยู่ได้อย่างที่แล้วมา?

แรกที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ผลพวงจากผลประชามติ Brexit ซึ่งในช่วงปี 2017 - 2023 หลังจากที่อังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกภาพของสหภาพยุโรปแล้ว มีตัวเลขประชากรเศรษฐีในอังกฤษย้ายถิ่นไปแล้วถึง 16,500 ราย และตัวเลขการย้ายถิ่นของคนกลุ่มนี้ยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดทุกปี 

แต่นั่นไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำเศรษฐีอังกฤษหอบเงินหนี ‘ฮานนาห์ ไวท์’ CEO ของสถาบันวิเคราะห์ยุทธศาสตร์รัฐบาล เผยว่าการย้ายถิ่นครั้งใหญ่ของเศรษฐีจะยิ่งเร่งสปีดเร็วขึ้นกว่าเดิมหลังรู้ผลการเลือกตั้งใหญ่ของอังกฤษในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้

จากผลโพลหลายสำนักในอังกฤษชี้ตรงกันว่าพรรคแรงงาน ฝ่ายซ้าย ที่เป็นฝ่ายค้านในปัจจุบันมีคะแนนนำเหนือพรรคอนุรักษ์ฝ่ายรัฐบาล ถึง 46% ต่อ 21% มีโอกาสคว้าชัยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใหม่สูงมาก 

โดยพรรคแรงงานมีนโยบายการจัดเก็บภาษีที่เข้มงวด โดยเน้นการเก็บภาษีเพิ่มในกลุ่มคนต่างด้าว ลดช่องทางการหลีกเลี่ยงภาษี ยกเลิกการลดหย่อนภาษีสำหรับโรงเรียนเอกชน และเพิ่มภาษีสำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยบุคคลที่ไม่ได้ถือวีซ่าผู้อาศัยในอังกฤษ อีกทั้งขึ้นภาษีที่ดินเป็น 40% สำหรับที่ดินที่มีราคาสูงกว่า 325,000 ปอนด์ เพื่อนำภาษีเหล่านั้นมาลงให้กับกองทุนสวัสดิการสังคมต่าง ๆ ของชาวอังกฤษ 

ด้วยปัจจัยด้านนโยบายในการจัดเก็บภาษีคนรวย บวกกับสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ ภาวะเงินเฟ้อในประเทศ และ การถูกยกเลิกสิทธิพิเศษจากการเป็นสมาชิก EU ทำให้เศรษฐีในอังกฤษตัดสินใจย้ายออกอย่างมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

นับเป็นความท้าทายที่สาหัสทีเดียวสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ของอังกฤษ ในการฟื้นฟูประเทศ เรียกบรรยากาศที่เคยดึงดูดกลุ่มเศรษฐีมีเงินทั่วโลก ที่เคยหอบทรัพย์สินหลั่งไหลมาตั้งถิ่นฐานใน ‘ดินแดนแห่งผู้ดี’ เช่นในอดีต

‘Nvidia’ ขึ้นแท่นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก ล้ม Microsoft เพียงไม่กี่วันหลังจากที่เพิ่งแซง Apple

(19 มิ.ย. 67) Nvidia ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ โค่นบัลลังก์ยักษ์ใหญ่ ‘ไมโครซอฟท์’ กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย.) หลังโปรเซสเซอร์ระดับไฮเอนด์ที่บริษัทผลิตได้กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วงชิงความเป็นหนึ่งด้านเทคโนโลยีเอไอ

โดยราคาหุ้น Nvidia ไต่ขึ้นอีก 3.5% ไปอยู่ที่ 135.58 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น ส่งผลให้มูลค่าตลาดพุ่งสูงแตะระดับ 3.335 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ Nvidia เพิ่งจะสามารถก้าวแซง ‘แอปเปิล’ ขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ของโลกได้

สำหรับมูลค่าตลาดของไมโครซอฟท์อยู่ที่ 3.317 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยราคาหุ้นปรับลดลง 0.45% ขณะที่หุ้นแอปเปิลร่วงลงกว่า 1% ทำให้บริษัทมีมูลค่าทางการตลาดอยู่ที่ 3.286 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

แม้อานิสงส์ความแรงของหุ้น Nvidia จะทำให้ดัชนีหุ้นหลักอย่าง S&P 500 และ Nasdaq พุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่นักลงทุนบางคนเริ่มกังวลว่ากระแสความบูมของเอไออาจอันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว หากปรากฏสัญญาณการลงทุนที่ลดลง

Nvidia กลายเป็นบริษัทที่มีการซื้อขายมากที่สุดในวอลล์สตรีท ด้วยอัตราการหมุนเวียนซื้อขายต่อวัน (daily turnover) เฉลี่ยอยู่ที่ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับราว ๆ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในกรณีของแอปเปิล ไมโครซอฟท์ และเทสลา ตามข้อมูลจาก LSEG

ราคาหุ้น Nvidia พุ่งขึ้นเกือบ 3 เท่าตัวในปีนี้ เมื่อเทียบกับหุ้นไมโครซอฟท์ที่ขยับขึ้นเพียง 19% โดยมีปัจจัยสำคัญจากกำลังการผลิตโปรเซสเซอร์ระดับคุณภาพเยี่ยมที่ยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ท่ามกลางความพยายามของยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ เมตา และอัลฟาเบ็ทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google ที่แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เอไอออกสู่ท้องตลาด

การที่ชิปเอไอของ Nvidia ถูกมองว่ามีคุณภาพสูงกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ และเป็นที่ต้องการอย่างมากนั้น ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่า Nvidia คือ ‘ผู้ชนะรายใหญ่ที่สุด’ ในสงครามการแข่งขันด้านเอไอ ณ เวลานี้

“Nvidia กำลังได้รับความสนใจในเชิงบวกอย่างมาก และบริษัทก็เดินเกมหลายอย่างได้ถูกต้อง แต่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจกระทบต่อมูลค่าหุ้น ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องระวังเช่นกัน” โอลิเวอร์ เพิร์ช รองประธานอาวุโสของ Wealthspire Advisors ในนครนิวยอร์ก ให้ความเห็น

มูลค่าตลาดของ Nvidia ขยายตัวจาก 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็น 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในระยะเวลาเพียง 9 เดือนเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ก่อนใช้เวลาอีกเพียง 3 เดือนในการไต่ระดับสู่หลัก 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเดือน มิ.ย.

ทั้งนี้ ผู้บริหาร Nvidia เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อเดือน พ.ค.ว่า อุปสงค์ชิปเอไอ Blackwell ของทางบริษัทน่าจะสูงเกินกำลังผลิต ‘ไปจนถึงปีหน้า’

อย่างไรก็ตาม สัปดาห์ที่แล้ว Nvidia ได้แตกหุ้นในอัตรา 10 ต่อ 1 โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. ในความเคลื่อนไหวที่คาดว่าจะทำให้หุ้นของบริษัทชิปเอไอแห่งนี้เป็นที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนมากขึ้นไปอีก

‘เกาหลีใต้’ ชี้!! 4 เดือนแรก ยอดนักท่องเที่ยวไทยมาเยือน ลดฮวบ 21% หลังปัญหา 'ตม.เลือกปฏิบัติ' พ่นพิษ และไร้เงาไทยติดลิสต์ K-ETA

(19 มิ.ย.67) องค์การการท่องเที่ยวเกาหลีใต้ ออกมาเผยกับสื่อต่างประเทศ ถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางมาถึงเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นในปี 2024

แต่กลับกันตัวเลขนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยที่เคยเป็นแชมป์อันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียกลับลดลง ไปอยู่ที่ อันดับ 3 ตามหลังนักท่องเที่ยวจากเวียดนาม และฟิลิปปินส์

โดยจำนวนนักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวเกาหลีใต้ ตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายน มีจำนวน 119,000 คน ลดลง 21.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ขณะที่ นักท่องเที่ยวจากจีน เพิ่มขึ้น 470% และญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 86% และจากข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่า นักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เพิ่มขึ้นด้วย เช่น ฟิลิปปินส์ (76%) อินโดนีเซีย (51%) มาเลเซีย (35%) เวียดนาม (29%) และสิงคโปร์ (11%)

และแม้จะเทียบกับช่วงก่อนที่จะมีการระบาดของโควิด-19 แต่อัตราการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวไทยก็ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายนของปีนี้ พบว่านักท่องเที่ยวไทยมีจำนวนเพียง 59% ของจำนวนนักท่องเที่ยวไทยในช่วงเวลาเดียวกันของปี 62 ซึ่งต่ำกว่าอัตราการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยรวมที่ 88%

โดยในปี 62 ประเทศไทยอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนเกาหลีใต้มากที่สุด กว่า 572,000 คน ตามด้วย เวียดนาม 554,000 คน และฟิลิปปินส์ 504,000 บาท

อย่างไรก็ตามในปีนี้ ผู้เชี่ยวชาญในวงการอุตสาหกรรมเกาหลี เชื่อว่าเหตุที่ทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยมีจำนวนลดลง เนื่องจากมีความรู้สึกเชิงลบกับการถูกปฏิเสธการเข้าประเทศ ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)

โดยเฉพาะภายหลังจากที่มีการเปิดใช้ระบบ K-ETA (Korea Electronic Travel Authorisation) ซึ่งกำหนดให้นักเดินทางจากประเทศที่ได้รับการยกเว้นวีซ่า 112 จะต้องลงทะเบียน และขออนุมัติการเข้าประเทศทางออนไลน์ ก่อนออกเดินทางไปเกาหลีใต้เป็นปัจจัยสำคัญ ด้วยแม้ว่าจะมีการยกเว้น K-ETA ชั่วคราวสำหรับประเทศต้นทาง 22 แห่ง เช่น ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, ฮ่องกง และสิงคโปร์ แต่ประเทศไทยกลับไม่รวมอยู่ด้วย

วิเคราะห์ 'เมียนมา' ปิดด่านพญาโตงซู กระทบส่งออกไทยนับร้อยล้าน อาจเพราะ 'โทนี่' ออกหน้าแทนฝ่ายต่อต้านฯ-อาวุธหลุดข้ามชายแดนถี่

มีรายงานข่าวจากสำนักข่าวในเมียนมา ว่ามีการปิดด่านพญาโตงซู ในฝั่งเมียนมา ทำให้สินค้าจากไทยไม่สามารถขนผ่านด่านนี้ได้ และเกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก 

อนึ่งจากเหตุการณ์ที่ KTLA บุกยึดเมียวดี และทางกองทัพเมียนมาเลือกใช้วิธีปิดด่านชายแดน ส่งผลให้นักธุรกิจชายแดน ต้องมุ่งเป้าหาเส้นทางใหม่ ๆ ในการขนส่งสินค้าจากไทยเข้าสู่เมียนมาและเส้นทางที่นิยมกันรองจากเมียวดีคือ เส้นทางด่านเจดีย์สามองค์ จังหวัดกาญจนบุรี

หลังจากการปิดด่านเมียวดี เส้นทางด่านเจดีย์สามองค์ก็เป็นเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้าด้วยเหตุที่ว่า หากเทียบในการขนสินค้าจากเมียวดีไปเมืองเมาละแหม่ง ใช้เวลา ประมาณ 3 ชั่วโมง ระยะทาง 75 ไมล์ ในขณะที่เส้นด่านเจดีย์ 3 องค์ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น กินระยะทาง 111 ไมล์จากด่านพญาโตงซูในฝั่งเมียนมา

การปิดด่านพญาโตงซู ในฝั่งเมียนมา โดยไม่อนุญาตให้รถขนส่งจากไทยข้ามไปฝั่งเมียนมา มีหลายฝ่ายตั้งคำถามถึงเหตุการณ์นี้ว่า ทำไมฝ่ายเมียนมาจึงตัดสินใจแบบนี้?

ข่าวลือแรก ในพื้นที่ออกมา ว่าเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ด่านนี้มีการรับส่วย จึงถูกจับเปลี่ยนยกชุด เพราะเรื่องรู้ไปถึงส่วนกลางที่เนปิดอว์ ... ซึ่งข่าวนี้ไม่นับว่ามีน้ำหนักสักเท่าไร เพราะหากมีการเปลี่ยนเจ้าหน้าที่เพราะทุจริตจริง ทางการเมียนมาต้องส่งเจ้าหน้าที่ชุดใหม่มาปฏิบัติงานแทนแล้ว

ข่าวต่อมา ระบุว่า ปิดเพราะมีการจับการขนส่งอาวุธได้เป็นประจำที่จุดนี้ ... เรื่องนี้พอมีเค้ามูลอยู่บ้างโดยเฉพาะช่วงหลังการปะทะกันระหว่างกองทัพเมียนมาและกองกำลังกะเหรี่ยงกับ PDF พุ่งเป้ามาบริเวณนี้มากขึ้น

สุดท้าย คือ เรื่องที่มีข่าวว่ากลุ่มต่อต้านเข้าหารือกับทางการไทย โดยเฉพาะที่เป็นข่าวออกมาว่านายทักษิณ ชินวัตร จะออกหน้าแทนฝ่ายต่อต้านมาเจรจากับกองทัพเมียนมา ซึ่งนั่นน่าจะสร้างความไม่พอใจกับทางการเมียนมาอยู่มิใช่น้อย รวมถึงการที่ฝั่งกองทัพเมียนมารู้สึกไม่พอใจกับท่าทีของไทยในการจัดการปัญหาชายแดนระหว่างกันให้เด็ดขาด รวมถึงปล่อยปละละเลยให้ทางเมียนมาตรวจจับอาวุธที่ส่งมาจากไทยได้บ่อยครั้ง ทั้งหมดน่าจะเป็นส่วนผสมที่ทำให้เกิดการปิดด่านครั้งนี้

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาตอนนี้ ด่านเมียวดียังปกติ มีการส่งออกจากไทยอยู่ประมาณ 7 พันล้านบาทต่อเดือน พอเข้าเดือนเมษายนที่มีเหตุการณ์ยึดเมียวดี ยอดส่งออกตกลงมาเหลือ 4.5 พันล้านบาท 

แน่นอนว่าด่านเจดีย์ 3 องค์ เป็นด่านหนึ่งที่ได้รับอานิสงส์จากการปิดด่านเมียวดีในครั้งนั้นจนถึงวันนี้ ดังนั้นการแก้ปัญหาคงไม่ใช่แค่ให้ฝ่ายพาณิชย์แก้ไขเพียงฝ่ายเดียว ต้องดูถึงปัจจัยแวดล้อมว่าอะไรคือต้นเหตุที่นำพามาให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

ไม่ว่าเหตุผลของการปิดด่านคืออะไร ก็หวังว่าทางการไทยจะรับรู้และช่วยกันผลักดันให้ด่านเปิดเป็นปกติอีกครั้ง

‘มิน ออง หล่าย’ ให้คำมั่น ‘จัดการเลือกตั้งทั่วไป’ ปี 2025 ยัน!! มอบอำนาจให้ ‘พรรคที่ชนะ’ ท่ามกลางกระแสเลื่อนถี่

(18 มิ.ย.67) สำนักข่าวอิรวดีรายงานว่า เมื่อไม่นานมานี้ ระหว่างการเยี่ยมเจ้าหน้าที่และตัวแทนชุมชนในเมืองเมะทีลา (Meiktila) เขตมัณฑะเลย์ ‘มิน ออง หล่าย’ ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ได้กล่าวให้คำมั่นว่าจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเมียนมาในปีหน้า

ก่อนหน้านี้เขากล่าวว่าการเลือกตั้งจะจัดขึ้นหลังจากการสำรวจสำมะโนประชากรในเดือน ต.ค. ปีนี้เสร็จสิ้น โดยยืนยันว่าจะจัดการเลือกตั้งเพื่อมอบอำนาจให้กับพรรคที่ชนะ แต่ที่ผ่านมา มิน ออง หล่าย ได้เลื่อนการเลือกตั้งออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยอ้างเรื่องความไม่มั่นคงในเมียนมา

ขณะที่ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือน ก.ค. ปีที่แล้ว มิน อ่อง หล่าย ได้รับคำแนะนำให้มีการลงคะแนนเสียงในดินแดนที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาล แต่เขาปฏิเสธแนวคิดนี้ และกล่าวว่า การเลือกตั้งทั่วไปจะมีขึ้นหลังจากสันติภาพและเสถียรภาพกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้วเท่านั้น

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้นำรัฐบาลทหารยอมรับว่า กองกำลังของเขาสูญเสียพื้นที่ในความควบคุม หลังจากเมืองหลายแห่งทางตอนเหนือของรัฐฉานถูกยึดไปในปฏิบัติการ 1027 ของกลุ่มภราดรภาพ และเสีย 10 เมืองในรัฐยะไข่และรัฐชินให้กับกองทัพอาระกัน

รัฐบาลเมียนมาได้สูญเสียรัฐยะไข่ไปแล้วครึ่งหนึ่ง และความตึงเครียดก็กลับมาสูงอีกครั้งทางตอนเหนือของรัฐฉาน แม้ว่าจะมีข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวหลังจีนเป็นคนกลางเจรจาก็ตาม
ความพ่ายแพ้ของฝ่ายรัฐบาลที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้เกิดคำถามว่า เมียนมาจะดำเนินการสำรวจสำมะโนประชากรแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค. เพื่อรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือจัดให้มีการเลือกตั้ง ได้จริงหรือ?

นอกจากนี้ หลังจากยุบพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของ องงซาน ซูจี และปฏิเสธที่จะยอมรับผลการเลือกตั้งปี 2020 รัฐบาลทหารยังได้แก้ไขกฎหมายการจดทะเบียนพรรคการเมือง เพื่อสนับสนุนพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (USDP) ที่เป็นตัวแทนของกองทัพด้วย

‘ผู้แสวงบุญ’ ประกอบพิธีฮัจญ์ เฮ!! ได้ ‘ฝนตก’ ช่วยคลายร้อน หลังซาอุฯ เผชิญอุณหภูมิพุ่งสูง จนคนดับเพราะโรคลมแดด

(18 มิ.ย.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หลังจากที่ผู้แสวงบุญมากกว่า 1,800,000 คน กำลังประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมอย่างพิธีฮัจญ์ ที่ซาอุดีอาระเบีย และเป็นพิธีที่มีชาวมุสลิมรวมตัวกันครั้งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งก่อนหน้านี้มีรายงานออกมาว่า พบมีผู้เสียชีวิตแล้ว 19 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจอร์แดน โดยรัฐบาลจอร์แดนได้ออกแถลงการณ์แล้วว่า สาเหตุของผู้เสียชีวิตนั้นมาจาก 'โรคลมแดด' ซึ่งอุณหภูมิพุ่งถึง 47 องศาเซลเซียส

ซึ่งล่าสุดมีฝนตกลงมาและมีลมแรงช่วยให้สภาพอากาศที่ร้อนระอุตลอดหลายวันที่ผ่านมาคลายความร้อนลงไปได้มาก เป็นผลดีต่อผู้แสวงบุญนับล้านคนที่เผชิญกับอากาศร้อนจัดติดต่อกันหลายวัน โดยทางการซาอุดีอาระเบียได้ติดตั้งเครื่องพ่นละอองน้ำเพื่อบรรเทาความร้อน และจัดหาน้ำดื่มเอาไว้บริการ แต่ส่วนมากผู้แสวงบุญก็ต้องหาวิธีคลายร้อนให้ตนเอง ทางการได้เตือนว่าให้ผู้แสวงบุญจิบน้ำเพื่อป้องกันสภาวะร่ายกายขาดน้ำ 

‘ดร.อักษรศรี’ เผย 'จีน' สั่งตรวจสอบเนื้อหมูยุโรปทุ่มตลาดจีนหรือไม่?

(18 มิ.ย.67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เนื้อหากรณี 'จีนสั่งสอบเนื้อหมูยุโรปทุ่มตลาดในจีน'  จีนใช้พลังซื้อเป็นอาวุธ และโอกาสจะเกิดสงครามการค้าระหว่างจีน-สหภาพยุโรปหรือไม่ โดยระบุว่า...

เรื่องหมู ๆ แต่ไม่หมูสำหรับยุโรปแล้ว จีนสั่งสอบเนื้อหมูยุโรปทุ่มตลาดในจีน โดยใช้พลังซื้อจีนเป็นอาวุธ  ปีที่แล้ว 2023 จีนนำเข้าเนื้อหมูกว่า 2.2 แสนล้านบาท!! จีนเป็นประเทศที่กินหมูมากที่สุดในโลก และนำเข้าจำนวนมาก

(https://www.reuters.com/markets/commodities/china-opens-anti-dumping-probe-into-imported-pork-by-products-eu-2024-06-17/)

ที่ผ่านมา สหภาพยุโรปประกาศเก็บภาษี จะเล่นงานรถยนต์ EV จีน ก็เลยต้องโดนเอาคืนบ้างนะ โอกาสจะเกิดสงครามการค้าหรือไม่

ทั้งสหรัฐและสหภาพยุโรปเก็บภาษีรถยนต์ EV จีน แต่สหภาพยุโรปจะโดนจีนเอาคืนก่อน เพราะสหภาพยุโรปจะเก็บภาษี EV จีนในเดือนกรกฎาคมนี้ (ส่วนสหรัฐฯ แม้ประกาศก่อน แต่ยังไม่ขึ้นภาษีกับรถยนต์ EV ของจีนในทันที) 

เดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ สหภาพยุโรปจะเรียกเก็บภาษีรถยนต์ EV จีนเพิ่มเติมจากอัตราเดิมสูงถึงร้อยละ 38.1

คณะกรรมาธิการยุโรปได้ประกาศเมื่อวันพุธที่ 12 มิถุนายน 2024 ว่าอัตราภาษีชั่วคราวใหม่จะถูกนำมาใช้เพิ่มเติมจากภาษีปัจจุบันที่ร้อยละ 10

คณะกรรมาธิการกล่าวว่า รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีนได้รับประโยชน์จากการอุดหนุนที่ไม่เป็นธรรม "ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจ" ของผู้ผลิตในสหภาพยุโรป

นอกจากนั้นยังระบุว่า มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม เว้นแต่การหารือกับจีนจะนำไปสู่ ‘แนวทางแก้ไขที่มีประสิทธิผล’

ภาษีเพิ่มเติมยังครอบคลุมถึงผู้ผลิตจากชาติตะวันตกในจีนด้วย

‘ซาอุฯ’ ร้อนจัด!! อุณหภูมิพุ่งสูงเกิน 46 องศา คร่าชีวิต ‘19 ผู้แสวงบุญ’ ขณะเข้าร่วม ‘พิธีฮัจญ์’

(17 มิ.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผู้แสวงบุญจากหลายประเทศทั่วโลกรวมกว่า 1,800,000 คน กำลังประกอบพิธีฮัจญ์ ที่ซาอุดิอาระเบีย ทั้งนี้พิธีฮัจญ์ ถือเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม และเป็นพิธีที่มีการรวมตัวกันครั้งใหญ่ที่สุดในโลก มีรายงานออกมาว่าพบมีผู้เสียชีวิตแล้ว 19 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจอร์แดน โดยรัฐบาลจอร์แดนได้ออกแถลงการณ์แล้วว่า สาเหตุของผู้เสียชีวิตนั้นมาจาก ‘โรคลมแดด’ ส่วนอิหร่านมีรายงานว่า พลเมืองเสียชีวิต 5 คน ระหว่างทำพิธีแต่ไม่ได้ระบุสาเหตุการเสียชีวิต

ศูนย์อุตุนิยมแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย ประกาศแจ้งว่า อุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงประกอบพิธีฮัจญ์ปีนี้ที่เมืองเมกกะและเมดินา สูงกว่าปกติ 1.5-2 องศาเซลเซียส และตั้งแต่เริ่มทำพิธีมามีผู้ล้มป่วยจากอากาศร้อนจำนวนมาก แม้ว่ามีการจัดตั้งพื้นที่ควบคุมอุณหภูมิ แจกจ่ายน้ำดื่มและตั้งศูนย์พยาบาลเพิ่มขึ้นแล้วก็ตาม โดยในช่วงหลายปีมานี้มักเกิดจากอากาศร้อนจัด สัปดาห์นี้ที่ซาอุดีอาระเบียมีอุณหภูมิสูงสุดเกิน 46 องศาเซลเซียส เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการทำพิธีกลางแจ้ง

‘บิล เกตส์’ ทุ่ม ‘หลายพันล้านเหรียญ’ หนุนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์  รับมือ AI ดูดไฟสูง-รถอีวีพุ่ง คาดปฏิกรณ์ใหม่เสร็จปี 2573

(17 มิ.ย.67) สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างคำกล่าวของ ‘บิล เกตส์’ ว่า มหาเศรษฐีรายนี้พร้อมที่จะทุ่มเงิน ‘หลายพันล้านดอลลาร์’ ลงในโครงการ ‘โรงไฟฟ้านิวเคลียร์รุ่นใหม่’ ของสตาร์ตอัป TerraPower ซึ่งก่อตั้งโดย บิล เกตส์ เองในรัฐไวโอมิงของสหรัฐฯ เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น

เหตุผลที่ตั้งใจลงทุนเงินสูงระดับหลายพันล้านเช่นนี้ เกตส์เล่าว่า ผู้คนต้องการนวัตกรรมที่ทำให้ได้ไฟฟ้าที่ถูกกว่า และสะอาดกว่าในเวลาเดียวกัน ‘พลังงานนิวเคลียร์’ จึงเข้ามาตอบโจทย์ โดยที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย ซึ่งดาตาเซนเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ที่ Microsoft จะสร้างขึ้น คาดว่าจะเพิ่มภาระการใช้ไฟฟ้ามากถึง 10% ในสหรัฐฯ

อีกทั้งยังมีการเพิ่มขึ้นของสิ่งต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ และรถบัสไฟฟ้า ไปจนถึงปั๊มความร้อนไฟฟ้าเพื่อทำความร้อนในบ้าน ความต้องการไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก และตอนนี้ ดาตาเซนเตอร์เหล่านี้ก็ยิ่งทำให้ความต้องการเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ จึงกำลังมองหาแนวทางที่จะช่วยให้ศูนย์ข้อมูลรองรับความต้องการ AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้ บิล เกตส์จึงต้องขยายแหล่งพลังงานไฟฟ้า เพื่อรองรับการขยายตัวของ AI ที่ Microsoft เข้าลงทุนและเพื่อตอบโจทย์ปัญหาโลกร้อน

บิล เกตส์ ชี้ให้เห็นว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของเขาที่เป็นประโยชน์นี้ ได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองพรรคของสหรัฐฯ (เดโมแครตและรีพับลิกัน) ในขณะที่พรรคเดโมแครตเห็นคุณค่าในแหล่งพลังงานสะอาด ส่วนพรรครีพับลิกันให้ความสนใจในเรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน

สำหรับ TerraPower ได้สำรวจวิธีการสร้างเครื่องปฏิกรณ์ที่ง่ายขึ้น และราคาถูกลงตั้งแต่ปี 2551 และคาดว่าจะสร้างเครื่องปฏิกรณ์ใหม่เสร็จในปี 2573

“ผมลงทุนไปแล้วกว่าพันล้านดอลลาร์ และผมก็พร้อมที่จะทุ่มเงินอีกหลายพันล้าน” บิล เกตส์ กล่าว

บิล เกตส์ กล่าวว่า อันที่จริงโรงไฟฟ้าของ TerraPower ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ถูกคาดว่าจะดำเนินการได้ในปี 2571 แต่เนื่องจากต้องอาศัยเชื้อเพลิงจากรัสเซีย ซึ่งถูกฝั่งตะวันตกคว่ำบาตรในขณะนี้ กำหนดการที่จะเปิดใช้งานได้จึงล่าช้าออกไป

สำหรับโรงไฟฟ้าของ TerraPower ใช้โซเดียมเหลวแทนน้ำเป็นสารระบายความร้อน และมีเกลือหลอมเหลวที่สามารถกักเก็บความร้อนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต บิล เกตส์ กล่าวว่า บริษัทวางแผนที่จะจัดหาเชื้อเพลิงจากสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรสำหรับโรงไฟฟ้านี้

ในปัจจุบัน ‘พลังงานนิวเคลียร์’ ที่ปลอดคาร์บอน กำลังถูกมองว่าเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และมีบริษัทจำนวนมากขึ้นที่ส่งเสริมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก โดยเมื่อปีที่แล้ว ตามข้อมูลของ BloombergNEF ระบุว่า 25 ประเทศในการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 28 หรือ COP28 ที่นครดูไบของสหรัฐฯ อาหรับ เอมิเรตส์ ได้ประกาศความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มกำลังการผลิตนิวเคลียร์เป็น 3 เท่า

‘รบ.สหรัฐฯ’ ยกคำนักวิชาการไทย ไม่เห็นด้วยหากไทยเข้าร่วม ‘BRICS’ เชื่อ!! เกิดจากการถูกชี้นำผิดๆ ใต้ความกระหายโชว์ผลงานของรัฐบาล

‘ไทย’ กำลังเดินหน้าสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิก ‘BRICS’ กลุ่มชาติกำลังพัฒนา ที่ประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย จีน อินเดีย และแอฟริกาใต้ ตามรายงานของวอยซ์ออฟอเมริกา (วีโอเอ) เครือข่ายเว็บไซต์และสถานีวิทยุด้านข่าวสารที่มีรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเจ้าของ พร้อมอ้างว่าพวกผู้เชี่ยวชาญต่างแสดงความเคลือบแคลงใจว่าการตัดสินใจดังกล่าวเป็นความเคลื่อนไหวที่ถูกต้องหรือไม่

สมาชิกกลุ่ม BRICS ต้องการสร้างทางเลือกอื่นขึ้นมาแทนดอลลาร์สหรัฐ และระบบการเงินโลกที่เกี่ยวข้องกับทางเลือกดังกล่าว หลังจากที่ผ่านมา พวกเขาเคยริเริ่มโครงการด้านการเงินต่าง ๆ อย่างเช่นธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (New Development Bank) ที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งของธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ

ตั้งแต่คณะรัฐมนตรีของไทยเห็นชอบร่างใบสมัครในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม นับตั้งแต่นั้นความพยายามเข้าร่วมกลุ่ม BRICS ก็เดินหน้าอย่างรวดเร็ว และล่าสุด นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ได้ยื่นหนังสืออย่างป็นทางการกับ เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ประธาน BRICS ในปัจจุบัน ในการแสดงความประสงค์เข้าร่วมเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบของกลุ่ม BRICS

ในถ้อยแถลง นายมาริษ บอกว่ามันเป็นประโยชน์ของไทยในการเข้าร่วมกลุ่ม BRICS "ไทยมองว่า BRICS มีบทบาทสำคัญในระบบพหุภาคีและความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศต่าง ๆ ในซีกโลกใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศของเรา"

"เพื่อผลประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง การเข้าร่วมกลุ่ม BRICS จะช่วยเสริมบทบาทของไทยในเวทีโลก และกระชับความร่วมมือระหว่างประเทศกับบรรดาชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่ทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการค้า การลงทุน ความมั่นคงทางอาหารและทางพลังงาน" ถ้อยแถลงระบุ

บรรดาสมาชิกกลุ่ม BRICS มีสัดส่วนเศรษฐกิจคิดเป็นสัดส่วน 28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทั้งหมดของโลก 100 ล้านล้านดอลลาร์ ทางกลุ่มบอกว่าต้องการให้บรรดาเศรษฐกิจเกิดใหม่มีตัวแทนที่ใหญ่โตขึ้นในระดับโลก โดยอ้างว่าพวกชาติตะวันตกในอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก ครอบงำองค์กรการเงินโลกอย่างเช่น เวิลด์แบงก์ และกองทุนการเงินระหว่างประเทศมาช้านาน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พันธมิตรกลุ่ม BRICS ถูกมองในฐานะฝ่ายต่อต้านตะวันตกมากขึ้นเรื่อยๆ ในนั้นรวมถึงกรณีที่จีนและรัสเซียกำลังหาทางลดพึ่งพิงดอลลาร์สหรัฐ เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ที่เสื่อมทรามลงระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่งและมอสโก ต่อประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ต่าง ๆ ในนั้นรวมถึงปราบปรามผู้ประท้วงในฮ่องกงของจีน และประเด็นอธิปไตยของไต้หวัน รวมถึงสงครามของรัสเซียในยูเครน

วอยซ์ออฟอเมริกา อ้างคำสัมภาษณ์ของนายฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ นักวิชาการ สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า BRICS เริ่มกลายเป็นความพยายามทางการเมืองต่อต้านตะวันตกมากจนเกินไป "แรกเริ่มของ BRICS เริ่มต้นในฐานะรูปแบบหนึ่ง เป็นกลุ่มภูมิเศรษฐศาสตร์ แต่ตอนนี้ผมคิดว่าทางกลุ่มกลายมาเป็นกลุ่มก้อนหมู่คณะทางภูมิรัฐศาสตร์มากกว่าเดิม รูปแบบของ BRICS กำลังเปลี่ยนไป กลายมาเป็นแนวร่วมภูมิรัฐศาสตร์ต่อต้านตะวันตก"

นายมาริษ ยืนยันว่าแต่ละประเทศล้วนแต่ตัดสินใจเป็นผลประโยชน์ของชาติตนเอง และไทยต้องการทำงานร่วมกับพันธมิตรทุกราย แม้มีความเห็นต่างกันก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ทาง นายฐิตินันท์ เชื่อว่าความพยายามเข้าร่วมกลุ่มของไทยนั้นเกิดจากการถูกชี้นำผิด ๆ และหลงไปตามวาระของรัฐสมาชิกสำคัญอย่างจีนและรัสเซีย "รัฐบาลตะเกียกตะกายที่จะสร้างผลงาน ตามมุมมองของผม BRICS คือเส้นทางที่ถูกชี้นำผิด ๆ ที่จะโชว์ผลงาน มันกลับนำพาไทยตกอยู่ในวาระของประเทศอื่น ๆ ไทยต้องการวางตัวเป็นกลางมากกว่าที่เป็นอยู่"

จีนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไทย และเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งกลุ่ม BRICS และผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเชื่อว่า ปักกิ่ง คือปัจจัยหลักสำหรับเหตุผลว่าทำไมไทยถึงอยากเข้าร่วมกลุ่ม BRICS

ทั้งนี้ จีนคือคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย ด้วยมูลค่ากว่า 135,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อปีที่แล้ว และนักท่องเที่ยวชาวจีนยังมีความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจที่พึ่งพิงการท่องเที่ยวของไทยด้วย

เอียน ชอง นักรัฐศาสตร์จากสิงคโปร์ บอกกับวอยซ์ออฟอเมริกาว่า ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจคือสิ่งล่อใจสำคัญที่ทำให้ไทยตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่ม BRICS


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top