Wednesday, 11 June 2025
WORLD

'ซีอีโอ GAC' ลั่น!! ไทยไม่ใช่แค่ฐานประกอบรถยนต์ แต่เป็นฐานสำคัญ 'เพิ่มยอดขาย-ขยายบริการทั่วประเทศ'

(17 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเจิง ชิ่งหง ประธานบริษัท GAC กรุ๊ป เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทตัดสินใจเข้ามาตั้งโรงงานผลิตรถยนต์แห่งแรกในต่างประเทศและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยอง ในเขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC บนพื้นที่ 85,000 ตารางเมตร เพื่อมุ่งมั่นผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

และส่งออกไปยังประเทศที่ใช้รถพวงมาลัยขวาทั่วโลก โดยโรงงานแห่งนี้ จะช่วยดึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาด้านการขาย การจัดจำหน่ายและการส่งเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งของแบรนด์ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่มีคุณภาพและมาตรฐานการผลิตเช่นเดียวกับโรงงานในประเทศจีน ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่เป็นไปตามมาตรฐานระดับโลก สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ โดย AION ได้ปรับปรุงแผนพัฒนาทั้งหมด 6 แนวทาง ซึ่งรวมถึงการเพิ่มความสามารถในการผลิต การขยายสายผลิตภัณฑ์ และการกำหนดแนวทางของตลาดในเรื่องฐานการผลิตและจำหน่ายทั่วประเทศ

โรงงานผลิตรถยนต์ GAC AION ในประเทศไทย ถือเป็นฐานการผลิตรถยนต์แห่งแรกในต่างประเทศของ GAC AION จากปัจจุบันมีโรงงานผลิต 2 แห่งในประเทศจีน มีกำลังการผลิต 500,000 คันต่อปี และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 120% ทั้งยังมียอดการผลิตและจำหน่ายอยู่ใน 3 อันดับแรกของอุตสาหกรรม

“เมื่อเปิดโรงงานแห่งนี้ขึ้นอีก 1 แห่ง จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้กับบริษัท ในการเป็นผู้ผลิตรถยนต์พลังงานทางเลือกที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และยังมีแผนสร้างฐานการผลิตและการจำหน่ายใน 7 พื้นที่ทั่วโลก และไม่เพียงแค่การประกอบรถเท่านั้น แต่เราจะนำเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยที่สุดเข้ามาในประเทศไทย พร้อมวางรากฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อให้การจำหน่ายและการบริการเป็นไปได้อย่างครอบคลุมทั่วประเทศ” 

ด้านนายหม่า ไห่หยาง ผู้จัดการทั่วไป GAC AION ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยถึงแนวคิดหลักว่า ‘คุณภาพต้องมาก่อน’ และมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการผ่านยานยนต์พลังงานใหม่ที่มีคุณภาพและชาญฉลาดแก่ผู้บริโภคทั่วโลก ด้วยจุดเด่นด้านการผลิตที่ก้าวหน้าระดับโลก 4 ประการ ได้แก่ ความอัจฉริยะทางเทคโนโลยีขั้นสูง คุณภาพสูง ประสิทธิภาพสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้บริษัทพร้อมแนะนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด อย่าง AION V เจเนอเรชั่นที่ 2 ที่มาพร้อมกับความสามารถที่รอบด้าน เทคโนโลยีอันเหนือชั้น และมีความปลอดภัยสูง โดยเป็นการเผยโฉมในครั้งนี้ พร้อมกันกับการเผยโฉมรถ AION V เจเนอเรชั่นที่ 2 ในประเทศจีนด้วย

เพื่อตอกย้ำความสำคัญของตลาดในประเทศไทย รวมถึงนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยและทันสมัยที่สุดสู่ตลาดโลก โดยผลิตขึ้นตามหลักการ 8 จุดเด่นหลัก ได้แก่ ดีไซน์ที่โดดเด่น, พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง, เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยว, ระบบขับขี่อัจฉริยะระดับโลก, เทคโนโลยี AI อัจฉริยะ, มีระยะทางวิ่งไกลและทนทานต่อสภาพอากาศ, เทคโนโลยีชาร์จเร็วอัจฉริยะ, แบตเตอรี่มีความปลอดภัยสูง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก

สำหรับโรงงานผลิตรถยนต์เชิงนิเวศอัจฉริยะแห่งนี้ ถือว่ามีข้อได้เปรียบด้านการผลิตอัจฉริยะชั้นนำของโลก 4 ประการ ได้แก่ ความอัจฉริยะทางเทคโนโลยีขั้นสูง คุณภาพสูง ประสิทธิภาพสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการใช้หุ่นยนต์ร่วมกับเทคโนโลยี AI ในการผลิตเพื่อให้แน่ใจว่ารถยนต์ไฟฟ้าของ GAC AION จะไม่มีข้อบกพร่อง และมีการสลับแบบเรียลไทม์ของการกำหนดค่า 10W+ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้หลายพันคน เราใช้ ‘การรวมการจัดเก็บแสง การชาร์จ และการเปลี่ยน’ การใช้พลังงานอย่างครอบคลุมเพื่อมอบ ‘โซลูชั่น AION’ สำหรับการเปลี่ยนแปลงสีเขียวของอุตสาหกรรมการผลิตของไทย

และคาดว่าในอนาคต โรงงานแห่งนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้การพัฒนาขึ้นในประเทศไทย ผลักดันให้เกิดการจ้างงาน สร้างบุคลากรด้านเทคโนโลยีชั้นสูงสำหรับประเทศไทย และช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจของประเทศไทยอีกทางหนึ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ GAC AION ประกาศว่า บริษัทได้ใช้งบประมาณสำหรับการลงทุนโรงงานแห่งนี้ไว้ที่ 2,300 ล้านบาท โดยเฟสแรกจะมีกำลังผลิตที่ 20,000 คันต่อปี และสามารถเพิ่มสูงสุดเป็น 70,000 คันต่อปีในอนาคต

‘อีลอน มัสก์’ เล็งย้าย สนง.ใหญ่ SpaceX และ X ออกจากแคลิฟอร์เนีย หลังฉุน ‘ผู้ว่าฯ’ ผ่านกม. ห้าม รร.แจ้งเปลี่ยนเพศสภาพ นร.ต่อผู้ปกครอง

‘อีลอน มัสก์’ ประกาศจะย้ายสำนักงานใหญ่ของตน ทั้ง SpaceX และ X ออกจากแคลิฟอร์เนียไปปักหลักที่เท็กซัสแทน หลังรู้ข่าวว่า ‘เกวิน นิวซอม’ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เซ็นผ่านร่างกฎหมายใหม่เมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.67) ที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่าห้ามทางโรงเรียนแจ้งผู้ปกครองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเพศสภาพของนักเรียนภายในโรงเรียน หากไม่ได้รับความยินยอมจากตัวนักเรียน

‘อีลอน มัสก์’ โพสต์เดือดผ่านบัญชี X ของเขาว่า "นี่เป็นฟางเส้นสุดท้ายแล้ว" หลังจากที่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียลงนามในร่างกฎหมายดังกล่าว ที่เขามองว่าเป็นการจุด ‘ฉนวนสงครามทางวัฒนธรรม’ ท่ามกลางความวุ่นวายในปีที่มีการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ

เขาเห็นว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ และ ฉบับอื่น ๆ ที่ออกมาก่อนหน้านี้เป็นการบ่อนทำลายสถาบันครอบครัว และ บริษัทต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจย้ายสำนักงานใหญ่ของ SpaceX จากเมืองฮอว์ธอร์น รัฐแคลิฟอร์เนีย ไปยังเมืองสตาร์เบส ในรัฐเท็กซัสแทน

นอกจากนี้ มัสก์ ยังบอกอีกว่าเขากำลังจะย้ายสำนักงานใหญ่ของโซเชียลมีเดีย X จากเมืองซานฟรานซิสโก ไป เมืองออสติน ของเท็กซัส ซึ่งเขาเคยขู่มาก่อนแต่ยังทำไม่สำเร็จ 

แต่ก่อนหน้านี้ เขาได้ย้ายสำนักงานใหญ่ของ Tesla จากเมือง ปาโล อัลโต ใน ซิลิคอน วัลลีย์ ไปยังเมืองออสติน รัฐเท็กซัส เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังคงสำนักงานแผนกวิศวกรรมไว้ในแคลิฟอร์เนีย 

อภิมหาเศรษฐีระดับโลกรายนี้ออกมาต่อต้านการใช้สรรพนามแทนตนตามใจฉัน และมักจะล้อเลียนการกระทำดังกล่าวบนโซเชียลมีเดีย เขามองว่าการเรียกร้องเรื่องการเปลี่ยนสรรพนามเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระแส ‘Woke’ ที่เป็นอันตรายต่อสังคม 

ด้านชีวิตส่วนตัว อีลอน มัสก์ มีลูกสาวข้ามเพศคนหนึ่ง ที่ต่างก็เหินห่างกัน ซึ่งเขากล่าวโทษโรงเรียนเอกชนในแคลิฟอร์เนีย ที่ปลูกฝังแนวคิดการเมืองฝ่ายซ้ายให้กับลูกของเขา และมีส่วนทำให้ลูกมีพฤติกรรมต่อต้านเขา

สำหรับประเด็นเรื่องกฎหมายใหม่ของรัฐแคลิฟอร์เนียกำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างร้อนแรงระหว่างกลุ่มที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของผู้ปกครอง กับนักเคลื่อนไหวกลุ่ม LGBTQ ในเรื่องการคุ้มครองสิทธิเด็กที่มีอัตตาลักษณ์ทางเพศที่หลากหลาย และกำลังเป็นปัญหากับโรงเรียนในเขตอนุรักษ์นิยม ที่เคยให้ครูต้องแจ้งผู้ปกครองหากนักเรียนขอเปลี่ยนสรรพนามนำหน้าชื่อของตน หรือขอใช้สิ่งอำนวยความสะดวก หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่ไม่ตรงกับเพศตามธรรมชาติของตน

ด้าน เกวิน นิวซอม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้รับรองร่างกฎหมายดังกล่าว สังกัดพรรคเดโมแครต ที่ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าจับตาของพรรคในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ต่อจากโจ ไบเดน 

และมักแสดงความเห็นตอบโต้กลุ่มอนุรักษ์นิยมเกี่ยวกับประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศในโรงเรียนรัฐ และเมื่อปีที่แล้ว นิวซอม ได้ลงนามในกฎหมายกำหนดค่าปรับสำหรับโรงเรียนที่ห้ามใช้หนังสือเรียนที่มีบรรยายถึงกลุ่ม LGBTQ หรือกลุ่มคนชายขอบผู้ด้อยโอกาสทางสังคม

ซึ่ง ‘อีลอน มัสก์’ ก็เคยมีเรื่องบาดหมางกับ ‘เกวิน นิวซอม’ มาก่อน เมื่อครั้งที่นิวซอม ยังดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองซานฟรานซิสโก ในประเด็นเรื่องมาตรการการควบคุมการระบาด Covid-19 ในช่วงที่การระบาดกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ 

และเมื่อเห็นท่าจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ‘อีลอน มัสก์’ จึงตัดสินใจย้ายบริษัทหนีเสียเลย นับเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ดินแดนแห่งเสรีภาพที่กว้างใหญ่ ถ้ามีเงินเสียอย่างก็สามารถย้ายบ้านไปอยู่ในรัฐที่ออกกฎหมายที่ถูกจริตเราได้เสมอ

‘Huawei’ เผยโฉมศูนย์ R&D เฉียด 5 หมื่นล้าน ปูฐานสู่ผู้นำโลกนวัตกรรม ปลดล็อกอำนาจกีดกันจากสหรัฐฯ ทั้ง 'ชิป-มือถือ-OS-เน็ตเวิร์ก-อื่นๆ'

(17 ก.ค. 67)  Huawei Technologies ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของโลก เดินหน้าก่อสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) มูลค่า 10,000 ล้านหยวน (ราว 49,776 ล้านบาท) ในเซี่ยงไฮ้ จนแล้วเสร็จ ท่ามกลางการถูกสหรัฐอเมริกากีดกันทางการค้าอย่างหนัก

Lianqiu Lake R&D Center ของ Huawei ศูนย์ R&D ตั้งอยู่ในศูนย์นวัตกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มที่สำคัญของเมืองเซี่ยงไฮ้ เพื่อสร้างตัวเองให้เป็นผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภายในปี 2568 ประกอบด้วย 8 โซน มีอาคาร 104 หลัง เป็นที่ตั้งของห้องปฏิบัติการ สำนักงาน 40,000 แห่ง และพื้นที่พักผ่อนที่เชื่อมต่อกันผ่านระบบรถไฟภายในศูนย์

แม้ว่าการก่อสร้างสะพานและโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบางโครงการยังคงอยู่ในระหว่างดำเนินการ แต่การพัฒนาป้าย ถนน และการบริการรถไฟสำหรับศูนย์วิจัยและพัฒนานี้ก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว

คาดว่าบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาประมาณ 35,000 คน จะย้ายไปยังศูนย์แห่งนี้ เพื่อทำงานเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ เครือข่ายไร้สาย และ Internet of Things (IoT)

Lianqiu Lake R&D Center ของ Huawei ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 2,400 เอเคอร์ (ราว 6,072 ไร่) และพื้นที่ก่อสร้างรวม 2.06 ล้านตารางเมตร (มีขนาดใหญ่กว่า Apple Park และสำนักงานใหญ่ Redmond Campus ของ Microsoft ในซีแอตเทิล รวมกัน) จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาระดับโลก และเริ่มดำเนินการในปีนี้ ตามประกาศก่อนหน้านี้ของรัฐบาลท้องถิ่น

“เรามุ่งมั่นที่จะสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับนักวิทยาศาสตร์ชาวต่างชาติในการทำงานและอยู่อาศัย” Ren Zhengfei ผู้ก่อตั้งบริษัทและผู้บริหารระดับสูงของบริษัท บอกกับพนักงานในการประชุมภายในปี 2021 ซึ่งหัวเว่ยเปิดเผยต่อสาธารณะในเวลาต่อมา ตามรายงานของ South China Morning Post

Ren Zhengfei คาดหวังว่าจะดึงดูดนักวิทยาศาสตร์ต่างชาติด้วยสิทธิพิเศษต่าง ๆ เช่น ร้านกาแฟมากกว่า 100 แห่ง ที่เปิดให้บริการภายในศูนย์ฯ

ศูนย์ R&D นี้ จะรวมความพยายามด้านการวิจัยของ Huawei ในด้านเซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยีไร้สาย การพัฒนาสมาร์ทโฟนเรือธง การขับขี่อัจฉริยะ/ส่วนประกอบยานยนต์ พลังงานดิจิทัล และด้านอื่น ๆ ความเคลื่อนไหวที่น่าจับตานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การสนับสนุนที่เป็นประโยชน์สำหรับธุรกิจที่กำลังขยายตัวของ Huawei เช่น 5G/6G พลังงานดิจิทัล และโซลูชันยานยนต์อัจฉริยะ

การขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและพัฒนาในประเทศจีนของ Huawei ซึ่งถูกขึ้นบัญชีดำในสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นถึงความไม่ย่อท้อของบริษัทที่มีฐานบัญชาการในเซินเจิ้นแห่งนี้กำลังดำเนินการเพื่อเอาชนะมาตรการคว่ำบาตรทางเทคโนโลยีที่ขัดขวางการเติบโตของบริษัท

ท่ามกลางการแข่งขันด้านเซมิคอนดักเตอร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน และการคว่ำบาตรต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา Huawei ยิ่งจะต้องสนับสนุนความพยายามในการวิจัยและพัฒนาของตน การรวมศูนย์การวิจัยหลายแห่งเข้าด้วยกันเช่นนี้ ทำให้ Huawei สามารถปรับปรุงการดำเนินงานและอำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันระหว่างแผนกต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น และแน่นอนว่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านนวัตกรรมของบริษัทได้อย่างมาก

ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา Huawei เผชิญชะตากรรมอันเลวร้าย โดยในปี 2563 TSMC ซึ่งเป็นผู้จัดหาชิปสมาร์ทโฟนของ Huawei มากกว่า 90% ได้หยุดส่งชิ้นส่วนสำคัญนี้ให้กับ Huawei เนื่องจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐอเมริกา ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้ Huawei ต้องออกจากสายธุรกิจทั้งหมดที่อาศัยเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงในที่สุด

ข้อจำกัดดังกล่าวยังส่งผลให้รายได้ของ Huawei ลดลงอย่างมาก โดยลดลง 23% จากปี 2562 ถึง 2564 ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถของบริษัทในการลงทุนในกิจกรรมการวิจัยและพัฒนา

การคว่ำบาตรยังจำกัดความสามารถของ Huawei ในการร่วมมือกับพันธมิตรระหว่างประเทศและมีส่วนร่วมในโครงการริเริ่มการวิจัยระดับโลก ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจชะลอกระบวนการสร้างนวัตกรรมของบริษัท เพื่อตอบโต้ผลกระทบของการคว่ำบาตร Huawei ต้องลงทุนมหาศาลในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศและเทคโนโลยีทางเลือก

โครงการเรือธงนี้ จึงแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลงทุนของ Huawei ในเทคโนโลยีแห่งอนาคต และความไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออุปสรรค

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของสหรัฐอเมริกาที่บังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2565 ทำให้ผู้บริหารชาวอเมริกันของบริษัทชิปจีนที่เป็นเป้าหมายตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย เนื่องจากวอชิงตันสั่งห้าม ‘บุคคลในสหรัฐฯ’ ให้การสนับสนุนธุรกิจเหล่านั้น

แม้ว่ากระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาไม่ได้กล่าวถึงการจ้างงาน แต่กฎเกณฑ์นี้ได้จำกัดความสามารถของบุคคลสหรัฐฯ ในการสนับสนุนการพัฒนาหรือการผลิตชิปที่โรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์บางแห่งในจีนโดยไม่มีใบอนุญาต

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ Huawei เสนอแพ็คเกจเงินเดือนที่แข่งขันได้ และได้จ้างวิศวกรจากประเทศอื่นที่มีประสบการณ์ในการผลิตเครื่องมือผลิตชิปและผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาชิปชั้นนำแล้ว 

"แม้จะถูกไล่บี้อย่างหนัก Huawei สร้างความประหลาดใจอีกครั้งในตลาดสมาร์ทโฟน 5G จากการที่เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เมื่อเปิดตัวโทรศัพท์มือถือที่ขับเคลื่อนโดยโปรเซสเซอร์ 7 นาโนเมตร ซึ่งเป็นความก้าวหน้าที่ได้รับการยกย่องในแผ่นดินใหญ่ และแน่นอนว่านวัตกรรมนี้ได้จุดประกายการตรวจสอบอย่างเข้มงวดอีกครั้งจากวอชิงตันในแง่ของการเข้าถึงเทคโนโลยีที่มีอยู่"

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของสหรัฐอเมริกาที่บังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2565 ทำให้ผู้บริหารชาวอเมริกันของบริษัทชิปจีนที่เป็นเป้าหมายตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย เนื่องจากวอชิงตันสั่งห้าม 'บุคคลในสหรัฐฯ' ให้การสนับสนุนธุรกิจเหล่านั้น

แม้ว่ากระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาไม่ได้กล่าวถึงการจ้างงาน แต่กฎเกณฑ์นี้ได้จำกัดความสามารถของบุคคลสหรัฐฯ ในการสนับสนุนการพัฒนาหรือการผลิตชิปที่โรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์บางแห่งในจีนโดยไม่มีใบอนุญาต

เมื่อปีที่แล้ว Huawei ลงทุน 23% ของรายได้ทั้งหมดหรือ 164,700 ล้านหยวน ในโครงการริเริ่มด้านการวิจัยและพัฒนาต่างๆ ตามรายงานประจำปีของบริษัท พนักงานประมาณ 114,000 คนหรือ 55% ของพนักงาน Huawei ทั้งหมด มีส่วนร่วมในกิจกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา

อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้เพิกถอนใบอนุญาต 8 ฉบับในปีนี้ ทำให้บริษัทสหรัฐอเมริกาบางแห่งสามารถจัดส่งสินค้าให้กับ Huawei ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายอุปกรณ์เครือข่ายโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดในโลก ตามรายงานของรอยเตอร์เมื่อต้นเดือนนี้

ไม่เพียงเท่านี้ Huawei ต้องการจะทำลายการครอบงำระบบปฏิบัติการมือถือแบบตะวันตกในจีนแผ่นดินใหญ่ เมื่อเปิดตัว HarmonyOS Next ซึ่งจะยุติการสนับสนุนแอปฯ Android แม้จะเป็นเรื่องยากมากก็ตาม

อีกหนึ่งความสำเร็จที่น่าชื่นชมคือในไตรมาสแรกของปีนี้ Huawei แซงหน้า Samsung Electronics กลายเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนจอพับได้ที่ขายดีที่สุดในโลก

‘สื่อเกาหลีใต้’ เผย!! ตัวเลขการเข้าสู่ตลาดงานของคนรุ่นใหม่ น่าห่วง เกือบครึ่ง 'ลาออก' เพราะชั่วโมงการทำงานนานไป และรู้สึกค่าจ้างต่ำ

เมื่อวานนี้ (16 ก.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเกาหลีใต้ที่เปิดเผยว่า เด็กจบใหม่ชาวเกาหลีใต้ใช้เวลาหางานแรกนานเกือบหนึ่งปี ซึ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับภาวะตลาดแรงงานที่ถดถอยลงสำหรับคนรุ่นใหม่

สำนักงานฯ ระบุว่าคนรุ่นใหม่อายุ 15-29 ปี ใช้เวลาเฉลี่ย 11.5 เดือนเพื่อให้ได้งานที่ได้รับค่าจ้างก้อนแรกหลังจบการศึกษาในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 1.1 เดือนจากปีก่อนหน้า โดยถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดตั้งแต่เริ่มรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องในปี 2006 ซึ่งบ่งชี้ว่าสถานการณ์การจ้างงานคนรุ่นใหม่ย่ำแย่ลง

ในจำนวนกลุ่มคนรุ่นใหม่ข้างต้น พบว่าร้อยละ 47.7 ใช้เวลาหางานแรกไม่ถึงสามเดือน ขณะร้อยละ 30 ใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี

จำนวนพนักงานรุ่นใหม่ลดลง 173,000 คนจากปีก่อนหน้า เหลือ 3,832,000 คนในเดือนพฤษภาคม ขณะอัตราการจ้างงานลดลง 0.7 จุดเหลือร้อยละ 46.9 ส่วนจำนวนเด็กรุ่นใหม่ว่างงานเพิ่มขึ้น 28,000 คนเป็น 276,000 คน และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 0.9 จุด เป็นร้อยละ 6.7

คนรุ่นใหม่ประมาณร้อยละ 66.8 ออกจากงานที่ได้รับค่าจ้างก้อนแรกหลังจากทำงานในตำแหน่งนั้นเฉลี่ย 1 ปีกับ 2.8 เดือน

ในกลุ่มคนที่ลาออกจากงานแรก ร้อยละ 45.5 เผยว่าพวกเขาลาออกเนื่องจากสภาพการทำงานไม่เป็นที่พอใจ เช่น ชั่วโมงการทำงานยาวนานและค่าจ้างต่ำ รองลงมาร้อยละ 15.6 เผยว่าหมดสัญญาว่าจ้างงานชั่วคราว และร้อยละ 15.3 อ้างเหตุผลส่วนตัว เช่น การแต่งงาน เลี้ยงดูลูก และสุขภาพ

'ซีอีโอพานาโซนิค' เตือนพนักงานแรง ต้องรู้สึกรู้สากับวิกฤต ชี้!! หมดยุคจ้างงานตลอดชีพ ผลงานไม่ดีต้องถูกผู้อื่นแทนที่

(17 ก.ค. 67) นายยูกิ คุซุมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ พานาโซนิค โฮลดิ้งส์ หรือ Panasonic Holdings ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และแบตเตอรี่ในรถอีวี กล่าวว่า ผู้จัดการบริษัทจำเป็นต้องมีความรู้สึกถึงวิกฤติมากขึ้น ขณะนี้ บริษัทกำลังเผชิญกำไรสุทธิในระดับต่ำ พนักงานพานาโซนิคจะถูกประเมินผลงานตามนี้

สำหรับบริษัทพานาโซนิคนั้น ยึดมั่นในแนวคิดของการจ้างงานตลอดชีวิตมาหลายสิบปี แต่คำพูดดังกล่าวของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ พานาโซนิค โฮลดิ้งส์ นั้น ถือเป็นการกระตุ้นที่รุนแรงอย่างผิดปกติ

นายยูกิ คุซุมิ กล่าวต่อไปว่า ธุรกิจที่มีปัญหา คือธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตลดต่ำลง อัตราส่วนผลตอบแทนของเงินลงทุน หรือ ROIC น้อยกว่าต้นทุนเฉลี่ยของกิจการ หรือ WACC ในปีผ่านมานั้น ราคาหุ้นของพานาโซนิคพุ่งทะยาน 26% แต่ขณะนี้ราคาหุ้นของพานาโซนิคตกต่ำลงราว 4% ซึ่งตรงกันข้ามกับภาวะตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่คึกคัก โดยดัชนี Topix เพิ่มขึ้นประมาณ 22% ในปีนี้ และขึ้นมาถึงหลัก 40,000 จุด ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่หลายครั้ง

นายยูกิ คุซุมิ กล่าวอีกว่า สิ่งที่กังวลมากที่สุดในเวลานี้ คือบริษัทไม่สามารถทำกำไรมากพอที่จะได้รับแรงสนับสนุนจากบรรดานักลงทุน แม้ว่าราคาหุ้นบริษัทต่าง ๆ ในญี่ปุ่นกำลังเติบโต แต่หุ้นของพานาโซนิคกลับติดอยู่ที่ราว 1,300 เยน หรือราว 325 บาท สำหรับอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี หรือ Price/Book Value ในปัจจุบันของ พานาโซนิคอยู่ที่ 0.7 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำ เมื่อเทียบกับบริษัทฮิตาชิ ซึ่งเป็นบริษัทกลุ่มเครื่องอิเล็กทรอนิกส์อีกแห่งที่เคยปรับโครงสร้างองค์กร และขายสินทรัพย์ออกไปนั้น มีอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าตามบัญชีสูงกว่า 3 เท่า เมื่อเทียบกับพานาโซนิก

ทั้งนี้ ซีอีโอ พานาโซนิค โฮลดิ้งส์ เคยกล่าวเมื่อ 2 เดือนผ่านมาว่า บริษัทกำลังประสบปัญหาผลกำไรที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้ต้องวางแผนที่จะลดจำนวนธุรกิจที่มีปัญหาให้เหลือศูนย์ภายในเดือนมีนาคม 2027 หรือในอีก 3 ปีข้างหน้า

สำหรับ นายยูกิ คุซุมิ ดำรงตำแหน่งซีอีโอในช่วงกลางปี 2021 ซึ่งพยายามเพิ่มกระแสเงินสดเพื่อลงทุนในด้านต่าง ๆ ด้วยการวางเป้าอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไว้ที่ 10% หรือสูงกว่า ส่วนกำไรจากการดำเนินงานนั้น ตั้งไว้ที่ 1.5 ล้านล้านเยนภายใน 2 ปี ซึ่งจะครบกำหนดในเดือนเมษายนปี 2025 ซีอีโอเผยว่า ภาวะความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อโรงงานแบตเตอรี่บางแห่งของบริษัท ซึ่งนำไปสู่การหยุดสายการผลิตบางส่วนที่โรงงาน Suminoe ในนครโอซากา

‘รีพับลิกัน’ ลั่น!! หากชัยชนะเป็นของ ‘ทรัมป์’ ยุติสงครามยูเครนทันที แล้วหันไปตีจีนแทน

(17 ก.ค.67) โดนัลด์ ทรัมป์ จะนำมาซึ่ง ‘จุดจบอย่างรวดเร็ว’ สำหรับความขัดแย้งในยูเครน หากได้รับเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัยในเดือนพฤศจิกายน จากคำประกาศกร้าวของ ‘เจ.ดี. แวนซ์’ คู่ชิงรองประธานาธิบดีของรีพับลิกัน พร้อมชี้ว่าวอชิงตันควรหันไปมุ่งเน้นจีนมากกว่า โดยให้คำจำกัดความปักกิ่งว่าเป็น ‘ภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุด’ ต่ออเมริกา

ทั้งนี้เรื่องราวมีอยู่ว่า ทรัมป์ เปิดตัว แวนซ์ ในฐานะคู่ชิงรองประธานาธิบดีในวันจันทร์ (15 ก.ค.) ณ ที่ประชุมใหญ่พรรค ในมิลวอกี รัฐวิสคอนซิล ต่อมาการเสนอชื่อวุฒิสมาชิกจากรัฐโอไฮโอรายนี้ก็ได้รับการรับรองในวันเดียวกัน

โดย แวนซ์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ ไม่นานหลังจากได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการว่า "ถ้าทรัมป์คืนสู่เก้าอี้ประธานาธิบดีตามหลังศึกเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน นโยบายของเขาที่มีต่อยูเครน จะเป็นนโยบายที่เรียบง่ายมาก ๆ"

"รัสเซียจะไม่รุกรานยูเครน ถ้า โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ทุกคนล้วนเห็นด้วยกับเรื่องนี้ แม้กระทั่งสหายจากพรรคเดโมแครตของผมจำนวนมากก็เห็นด้วยอย่างลับ ๆ กับเรื่องดังกล่าว" เขาบอก

เป็นอีกครั้งที่ แวนซ์ กล่าวหารัฐบาลของประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ ว่าปราศจากนโยบายที่สมเหตุสมผลในความขัดแย้งนี้ "ตอนนี้เราใช้เงินไปแล้ว 200,000 ล้านดอลลาร์ (ในความช่วยเหลือยูเครน) แล้วเป้าหมายคืออะไร? อะไรคือสิ่งที่เราพยายามประสบความสำเร็จ? มีความเสี่ยงลุกลามบานปลายสู่สงครามนิวเคลียร์ใช่หรือไม่? นั่นเป็นเพราะคุณมีตัวตลกดูแลนโยบายต่างประเทศใช่หรือเปล่า ตอนนี้เรามีคนแบบนั้นมากมายเลยในวอชิงตัน ดี.ซี."

"ผมคิดว่าสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์สัญญาว่าจะทำในเรื่องนี้ก็คือ เจรจากับรัสเซียและยูเครน และนำเรื่องนี้สู่จุดจบอย่างรวดเร็ว เพื่อที่อเมริกาจะได้ไปโฟกัสในประเด็นจริงจัง ซึ่งก็คือจีน ที่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุด" แวนซ์เน้นย้ำ

นับตั้งแต่การสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครนปะทุขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ทรัมป์กล่าวอ้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้นหากว่าเขาได้ดำรงตำแหน่งอีกสมัยในปี 2020 นอกจากนี้ เขายังให้สัญญาว่าจะคลี่คลายวิกฤตนี้ภายใน 24 ชั่วโมง หากได้กลับสู่ทำเนียบขาว

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน บอกก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นเดือนว่า มอสโกค่อนข้างจริงจังกับคำพูดของทรัมป์ "แน่นอน ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร โดยเฉพาะกับข้อเสนอของเขา (ในการยุติความขัดแย้ง) และแนวทางที่แผนของเขาจะบรรลุผล แต่ผมไม่สงสัยเลยเกี่ยวกับความจริงใจของเขา และเรารู้สึกยินดี"

ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน วลาดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เรียกร้องให้ ทรัมป์ เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนสันติภาพของเขา "ผมอยากรู้ว่าอะไรที่หมายถึงการปิดฉากสงครามอย่างรวดเร็ว" เขาบอกกับบลูมเบิร์ก "ถ้าเขารู้วิธียุติสงครามนี้ เขาควรบอกเราตั้งแต่วันนี้ เพราะถ้ามีความเสี่ยงใด ๆ ต่อความเป็นเอกราชของยูเครน และมีความเสี่ยงใด ๆ ที่เราจะสูญเสียความเป็นรัฐของเรา เราต้องการเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งนี้"

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอียูรายหนึ่ง ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวโพลิติโก สื่อมวลชนสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.) ว่าการที่ทรัมป์เลือกแวนซ์ ผู้ซึ่งคัดค้านอย่างแข็งกร้าวต่อการที่วอชิงตันมอบความช่วยเหลือแก่เคียฟ ถือเป็นหายนะสำหรับยูเครน

'เอ็นโซ่' โพสต์ขอโทษผ่านไอจี หลังเหยียดเชื้อชาติฝรั่งเศส ด้านผู้เล่นฝรั่งเศสของเชลซี เลิกติดตามไอจีเจ้าตัวทันที

(17 ก.ค. 67) จากกรณีที่ เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ นักเตะทีมชาติอาร์เจนตินาของเชลซี ถูกวิจารณ์อย่างหนัก หลังได้ร้องเพลงในเชิงเหยียดเชื้อชาติฝรั่งเศส และเหยียดรสนิยมทางเพศ ในระหว่างไลฟ์สดบรรยากาศฉลองแชมป์โคปา อเมริกา 2024 บนรถบัส ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้แฟนบอล และนักเตะฝรั่งเศสโดยเฉพาะในทีมเชลซี เวสลี่ย์ โฟฟาน่า, อักเซล ดิซาซี่, เบอนัวต์ บาเดียชิลด์, มาโล กุสโต้ และ คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู พร้อมกับได้ให้ยุติการถ่ายทอดสดไปก่อน 

ล่าสุดกองกลางวัย 23 ปี ได้โพสต์อินสตาแกรมส่วนตัวขอโทษต่อเหตุการณ์ทั้งหมด และทั้งหมดนั้นไม่ใช่อุปนิสัยของตัวเอง

"ผมอยากขอโทษจากใจสำหรับวิดีโอที่โพสต์ในอินสตาแกรมของผมระหว่างการฉลองกับทีมชาติ"

"เนื้อหาของเพลงมีภาษาที่ก้าวร้าวอย่างแรง และไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ เลยสำหรับถ้อยคำเหล่านั้น"

"ผมมีจุดยืนต่อต้านการเลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบ และขอโทษสำหรับการสนใจเพียงความสนุกตื่นเต้นอย่างเต็มที่ในการฉลองแชมป์โคปา อเมริกา ของพวกเรา"

"ช่วงเวลาวีดีโอนั้น เวลาเหล่านั้น ถ้อยคำต่าง ๆ ไม่ได้สะท้อนความเชื่อหรือคาแรกเตอร์ (ตัวตน) ของผม"

"ผมเสียใจอย่างแท้จริง"

อย่างไรก็ตามเวลานี้ เชลซี กำลังดำเนินการสอบสวนอยู่ และสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส ก็พร้อมจะดำเนินการฟ้องร้องทางกฎหมายกับเฟร์นานเดซ ด้วยเช่นกัน โดยฟิลิปป์ ดิยัลโล่ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส ได้ประณามการเหยียดผิวและเหยียดเชื้อชาติ และร้องเรียน อาร์เจนติน่า โดยตรงต่อฟีฟ่า พร้อมยื่นเรื่องทางกฎหมายสำหรับการดูหมิ่นเชื้อชาติ และการปฏิบัติต่อบุคคลที่ไม่เหมาะสม

ไทยปิดศูนย์ CI ปิดช่องพม่าฟอกขาว-ชุบตัวเป็นแรงงานในไทย ส่วนท่าที NGO ไม่ผิดคาด 'อุ้มต่างด้าว-ด่ารัฐไม่เอื้อความสะดวก'

กรมจัดหางานมีคำสั่งให้ปิดศูนย์บริหารจัดการ การทำงานของแรงงานเมียนมาแบบเบ็ดเสร็จ หรือที่เรียกชื่อเล่นว่า 'ศูนย์ CI' จำนวน 7 แห่ง ประกอบด้วย ปทุมธานี, นครสวรรค์, สมุทรปราการ, ชลบุรี, สุราษฎร์ธานี และสงขลา ให้เปิดทำการแค่ศูนย์เดียวในจังหวัดสมุทรสาคร โดยมีผลตั้งแต่ 7 ก.ค.เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง

จากคำสั่งดังกล่าวทำกลุ่ม NGO กังวลว่า การเปิดศูนย์ CI เพียงจังหวัดเดียว กำลังจะสร้างภาระให้กับแรงงานพม่ามากขึ้น เพราะว่าชาวพม่าที่อยู่จังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย, หนองบัวลำพู, อุดรธานี และอื่น ๆ ต้องเดินทางมาที่ สมุทรสาคร แห่งเดียว โดยอ้างว่า เป็นการสร้างภาระให้แก่แรงงานเหล่านั้น

ในอดีตการเปิดศูนย์ CI ก็เพื่อขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติที่แอบทำงานในไทยอย่างผิดกฎหมายให้เข้ามาในระบบอย่างถูกต้อง แต่ ณ ปัจจุบันพบว่ามีคนอาศัยช่องว่างในการเดินทางเข้ามาแบบผิดกฎหมายในไทย แล้วหาช่องทางทำให้ถูกต้องด้วยการรอขึ้นทะเบียน CI เพื่อจะสามารถเป็นแรงงานในไทยได้ 

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ จะเป็นไปได้ และคงจะไม่เกิดขึ้น หากไม่มีเหตุการณ์ที่ชาวพม่าทะลักเข้าไทยอย่างผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง เพราะนั่นคือ การที่พวกเขาเห็นช่องทางในการฟอกขาวให้พวกเขาเหล่านั้นมีชีวิตใหม่

NGO ในไทย ก็ควรมีสามัญสำนึกถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อประเทศไทยด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาเข้าข้างกล่าวหาว่ารัฐทำให้คนเหล่านั้นลำบาก NGO ควรเข้าใจด้วยว่าคนเหล่านั้นคือผู้กระทำผิดในการเข้าเมืองผิดกฎหมาย 

'นักวิเคราะห์' ชี้!! 'ลาว' กระอักวิกฤตการเงิน 'กีบดิ่ง-หนี้ท่วม-ทุนสำรองวูบ' อาจเห็นการยกหุ้นโรงไฟฟ้าแลกหนี้จีน หยุดกระแสเงินสดไหลออก

(16 ก.ค. 67) เว็บไซต์นิกเคอิเอเชียรายงานว่า การโยกย้าย ‘บุนเหลือ สินไซวอละวง’ ออกจากตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งสปป.ลาว หลังจากดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 ปี นับเป็นสัญญาณล่าสุดที่สะท้อนถึงปัญหาของลาวที่กำลังเต็มไปด้วย ‘หนี้สิน’

ตอนนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการที่สภาแห่งชาติของลาวมีมติเห็นชอบให้นายบุนเหลือ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการแบงก์ชาติลาวนั้น เป็นเพียงการโยกย้ายไปยังตำแหน่งอื่นที่ท้าทายกว่าหรือเป็นการไล่ออก

แต่ในระหว่างการกล่าวอภิปรายในสภาเมื่อช่วงกลางเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา นายสันติภาพ พรมวิหาร รัฐมนตรีคลังมีการกล่าวกระทบเป็นนัยถึงข้อบกพร่องของอดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติรายนี้ จากความล้มเหลวที่ไม่สามารถเพิ่มทุนสำรองระหว่างประเทศของลาวได้มากพอ 

ผู้ที่จะมารับหน้าที่ผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งสปป.ลาวคนใหม่ก็คือ นางวัดทะนา ดาลาลอย รองผู้ว่าการแบงก์ชาติ และรับไม้ต่อความท้าทายในภารกิจเพิ่มทุนสำรองระหว่างประเทศของลาวไปด้วย

ในมุมมองของนายแบงก์ไม่เปิดเผยนามรายหนึ่งในอาเซียนที่มีการทำงานร่วมกับแบงก์ในลาว มองว่า การโยกย้ายเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดในธนาคารกลางของลาว ซึ่งอยู่ภายใต้การนำของพรรคประชาชนปฏิวัติลาว บ่งชี้ให้เห็นถึงความวิตกกังวลในหมู่ผู้นำของประเทศ เนื่องจากวิกฤติหนี้ต่างประเทศที่เลวร้ายลง

"ลาวไม่ต้องการผิดนัดชำระหนี้ต่างประเทศ" เขากล่าว "แต่ลาวก็ไม่ได้อยากเป็นหนี้กู้ยืม IMF เหมือนกัน เพราะจะมีผลกระทบทางการเมืองตามมา"

>> วงจรหนี้ไม่สิ้นสุด เงินกีบอ่อนค่าซ้ำเติม

จากข้อมูลของกระทรวงการคลังลาวนั้นเผยให้เห็น ‘วงจรหนี้ที่ไม่สิ้นสุด’ (debt spiral) ที่ประเทศเพื่อนบ้านของจีนรายนี้กำลังดำดิ่งอยู่ โดยมีรายละเอียดเบื้องต้นของหนี้ในปี 2566 ดังนี้

- มีหนี้สาธารณะที่กู้ยืมมาจากต่างประเทศ (external public debt) พอกพูนขึ้นเกือบเท่าตัวเป็น 950 ล้านดอลลาร์ (ราว 3.44 หมื่นล้านบาท) จาก 507 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.83 หมื่นล้านบาท) ในปี 2565

- มีหนี้สาธารณะ และหนี้ที่ค้ำประกันโดยภาครัฐ (Public and Publicly Guaranteed) ทั้งที่กู้ยืมในประเทศ และนอกประเทศ 1.38 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 5 แสนล้านบาท) หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 108% ของจีดีพีประเทศ

- มีหนี้ต่างประเทศรวมทั้งหมดเป็น 1.05 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 3.80 แสนล้านบาท) ในจำนวนนี้เป็นหนี้ที่กู้ยืมมาจาก "จีน" ถึง 5.09 พันล้านดอลลาร์ (ราว 1.85 แสนล้านบาท) หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 48%

ในทางกลับกัน ‘ทุนสำรองระหว่างประเทศ’ ของลาว ณ สิ้นเดือนมี.ค. ปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 1,850 ล้านดอลลาร์ (ราว 6.7 หมื่นล้านบาท) เท่านั้น และรัฐบาลเวียงจันทน์ก็กำลังดิ้นรนที่จะเพิ่มเงินสำรองสกุลดอลลาร์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้เงินกู้ต่างประเทศ

แหล่งข่าวในรัฐบาลลาวเปิดเผยว่า ประเทศมีภาระหนี้ที่ต้องชำระต่อปีประมาณ 1.3 พันล้านดอลลาร์ (ราว 4.7 หมื่นล้านบาท) ตั้งแต่ปี 2567 ถึงปี 2571 ขณะที่ รมว.คลังของลาว เคยเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า รัฐบาลต้องการเงินอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 3.62 แสนล้านบาท) เพื่อให้ครอบคลุม ‘ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ ที่เกี่ยวข้องกับหนี้’

ขณะเดียวกัน มูลค่าของ ‘เงินกีบ’ ที่ดิ่งลงอย่างหนักยิ่งเพิ่มความบอบช้ำทางเศรษฐกิจให้กับประชาชน เนื่องจากเศรษฐกิจของลาวพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศอย่างหนัก เงินดอลลาร์กลายเป็นที่ต้องการไม่เพียงแต่เพื่อใช้ชำระหนี้ต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังใช้ชำระค่าใช้จ่ายสำหรับการบริโภค และการลงทุนในประเทศด้วย โดยปัจจุบันมีการซื้อขายกันอยู่ที่ประมาณ 21,500 กีบต่อดอลลาร์ หรือลดลงเกือบเท่าตัวจากภาวะเงินกีบอ่อนค่า จากเดิมที่เคยแลกได้ที่ 11,500 กีบต่อดอลลาร์ในปี 2565

ทว่านั่นก็ไม่ได้หยุดยั้งแผนการของรัฐบาลในการเพิ่มทุนสำรองเงินดอลลาร์ 

"ปีที่แล้ว ธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ในลาวได้รับคำสั่งให้อัดฉีดเงินกองทุนสกุลต่างประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงเพิ่มเงินกองทุนในรูปดอลลาร์เป็นสองเท่าในงบ"

"ผู้ส่งออกในลาวอยู่ภายใต้แรงกดดันให้ต้องฝากเงินรายได้ในรูปดอลลาร์ไว้ในธนาคารพาณิชย์ท้องถิ่น" สถิตย์ แถลงสัตย์ นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวกับนิกเคอิเอเชีย 

>>หันพึ่ง 'จีน' เจ้าหนี้เบอร์ 1 - ยกหุ้นโรงไฟฟ้าแลกยกหนี้

อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่งกลับมองทางออกอีกทางหนึ่งว่า ลาวอาจจะกลับไปสู่เส้นทางเดิม ๆ ในการแก้ปัญหาหนี้

เอมมา อัลเลน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ประจำประเทศลาว ของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ระบุว่า ถ้าแหล่งทุนที่ไม่ใช่การก่อหนี้ไม่เพียงพอ ลาวก็อาจกลับไปใช้วิธีเดิมๆ คือ การก่อหนี้ใหม่มาโปะหนี้เก่า พร้อมให้คำแนะนำว่ารัฐบาลลาวจำเป็นต้องจัดการปัญหาด้านเศรษฐกิจมหภาคเพื่อช่วยในการปรับปรุงอันดับเครดิตประเทศ ลาวจึงจะสามารถเข้าถึงตลาดด้วยต้นทุนที่ถูกลงได้  

อีกวิธีหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้เช่นกันก็คือ การยอมเจรจากับ ‘จีน’ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดอันดับ 1 ของลาวในขณะนี้ 

โทชิโระ นิชิซาวะ นักวิชาการจากญี่ปุ่น และผู้เชี่ยวชาญพิเศษเกี่ยวกับลาว กล่าวว่า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าของจีนเลื่อนการชำระหนี้ให้ลาวมาตั้งแต่ปี 2563 และลาวยังมีการทำข้อตกลงสวอปกับธนาคารกลางจีน (PBOC) เพื่อช่วยเพิ่มทุนสำรองต่างประเทศจากที่มีอยู่เดิมประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ก่อนปี 2563 ไปเป็น 1.9 พันล้านดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนมี.ค.2567

ขณะที่รายงานของธนาคารโลก (World Bank) ในเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ประเมินว่า ‘ทุนสำรองต่างประเทศสุทธิของลาวซึ่งไม่รวมข้อตกลงสวอป’ จะเพียงพอรองรับการนำเข้าสินค้า และบริการจากต่างประเทศได้เพียง ‘1 เดือน’ เท่านั้น  

"วิธีแก้ปัญหาที่เป็นไปได้เพียงอย่างเดียวในระยะสั้นก็คือ การรักษาทุนสำรองต่างประเทศเอาไว้ ไม่ให้รั่วไหลออกไปทางเจ้าหนี้จีน โดยการขอเลื่อนการชำระหนี้ และทำข้อตกลงสวอปต่อเนื่องอีก" นิชิซาวะซึ่งเป็นอดีตที่ปรึกษาด้านนโยบายของรัฐบาลลาว กล่าวและระบุด้วยว่า นี่คือวิธีของลาวในการจัดการ และเอาตัวรอดจากหนี้ต่างประเทศให้ได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 นี้ 

จากข้อมูลเชิงสถิติของรัฐบาลลาวพบว่าในปี 2567 นี้ ลาวได้ขอเลื่อนการชำระหนี้ไปแล้ว 670 ล้านดอลลาร์ รวมสะสมเป็น 1,200 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา

ส่วนการดำเนินข้อตกลงสวอปนั้น จากรายงานของสื่อต่างๆ ก่อนหน้านี้พบว่ามีตั้งแต่ข้อตกลงแปลงหนี้เป็นทุน (debt-for-equity swap) หรือการยกหนี้บางส่วนให้โดยแลกกับการเพิ่มสัดส่วนการเป็นเจ้าของในกิจการของรัฐบาลลาว เช่น โรงไฟฟ้า อีกส่วนหนึ่งคือ ข้อตกลงสวอปค่าเงินระหว่างแบงก์ชาติ เช่น ข้อตกลงสวอปค่าเงินหยวน-กีบ เพื่อช่วยเหลือลาวในช่วงการระบาดของโควิดที่ผ่านมา

นิกเคอิเอเชียระบุว่า รัฐบาลลาวเคยเสนอการแปลงหนี้เป็นทุนแลกกับการถือหุ้นเพิ่มในบริษัทโรงไฟฟ้าของลาว รวมถึงแลกกับที่ดินที่จะสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษในกรุงเวียงจันทน์ด้วย 

แหล่งข่าวนักวิเคราะห์การเมืองรายหนึ่งเปิดเผยว่า การแปลงหนี้เป็นทุนกับบริษัทจีน ถือเป็นประเด็นอ่อนไหวทางการเมือง และรัฐบาลลาวก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องคอร์รัปชัน และการบริหารจัดการเศรษฐกิจที่ผิดพลาดอยู่แล้ว เรื่องนี้จึงมีแต่จะยิ่งเพิ่มความโกรธแค้นต่อรัฐบาลมากขึ้น  

หมายเหตุ: ใช้อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยตามเรตของ ธปท. วันที่ 16 ก.ค.67 ที่ 36.226 บาท/ดอลลาร์ 

‘สีจิ้นผิง’ นักปฏิรูปของจีน เดินหน้าส่งเสริมสร้างความทันสมัย แม้รู้ซึ้งภารกิจยากเย็นเพียงใด แต่ยึดมั่นเพื่อการพัฒนาประเทศ

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผู้นำจีน ‘สีจิ้นผิง’ ได้ทยอยเปิดเผยมาตรการปฏิรูปชุดใหม่ ซึ่งจะกำหนดทิศทางการเติบโตของประเทศจีนที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลก ขณะคณะผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) เริ่มต้นการประชุมนโยบาย ระยะ 4 วัน ณ กรุงปักกิ่ง ในวันจันทร์ (15 ก.ค.) ณ พิธีเปิดการประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 20 

สีจิ้นผิงในฐานะเลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคฯ ได้นำเสนอรายงานการปฏิบัติงานในนามกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคฯ และแจกแจงร่างมติเกี่ยวกับการปฏิรูปรอบด้านอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นและการเดินหน้าการสร้างความทันสมัยของจีน

การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญเทียบเท่า ‘การประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3’ ครั้งอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ เช่น การประชุมในปี 1978 ที่เติ้งเสี่ยวผิงเริ่มต้นความพยายามปฏิรูปและเปิดกว้างของจีน

ช่วงก่อนการประชุมเต็มคณะครั้งปัจจุบัน สีจิ้นผิงได้ส่งเสริมการปฏิรูป กระตุ้นความพยายาม ‘ปลดปล่อยความคิดยิ่งขึ้น ปลดแอกและพัฒนาพลังการผลิตทางสังคม ปลดเปลื้องและเพิ่มพูนพลังความมีชีวิตชีวาของสังคม’ เพื่อ ‘มอบแรงกระตุ้นอันแข็งแกร่งและหลักประกันเชิงระบบสำหรับการสร้างความทันสมัยของจีน’

สิ่งนี้สร้างความคาดหวังการปฏิรูปอย่างลึกซึ้งรอบใหม่ พร้อมขจัดข้อวิตกกังวลว่าการปฏิรูปของจีนจะ ‘หยุดนิ่ง’ หรือเศรษฐกิจของจีนจะ ‘สูญสิ้นพละกำลัง’

ตั้งแต่สีจิ้นผิงเข้าดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดเมื่อกว่าทศวรรษก่อน จีนได้ก้าวเข้าสู่ ‘ยุคใหม่’ โดยมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและเกียรติภูมิบนเวทีนานาชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะการปฏิรูปเป็นจุดเด่นของยุคใหม่นี้

อย่างไรก็ดี จีนในวันนี้ได้อยู่ในห้วงยามสำคัญของการเร่งรัดการปฏิรูป ท่ามกลางการเผชิญหน้ากับความท้าทายทั้งเก่าและใหม่นานัปการเดินหน้าปฏิรูป เปิดกว้างต่อเนื่อง

สีจิ้นผิงถือเป็นนักปฏิรูปที่โดดเด่นอีกคนหนึ่งของจีนต่อจากเติ้งเสี่ยวผิง โดยผู้นำทั้งสองมีภารกิจเดียวกันคือการสร้างความทันสมัยของประเทศ แต่อยู่ภายใต้บริบทที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

เมื่อครั้งเติ้งเสี่ยวผิงเริ่มต้นการปฏิรูปและเปิดกว้างช่วงปลายทศวรรษ 1970 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ต่อหัวของจีนน้อยกว่า 200 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7,300 บาท) ทำให้ความพยายามปฏิรูปและเปิดกว้างของเขาเริ่มต้นจากเกือบศูนย์

ทว่าเมื่อครั้งสีจิ้นผิงได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี 2012 จีนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลกด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวสูงกว่า 6,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.19 แสนบาท) แต่การเติบโตได้ปรับเปลี่ยนความเร็วจากเดิม และข้อได้เปรียบหลายประการ เช่น ต้นทุนแรงงานที่ต่ำ ได้เริ่มลดน้อยถอยลง

แทนที่จะหยุดพักอยู่กับความสำเร็จของบรรดาผู้นำรุ่นก่อนหน้า สีจิ้นผิงกลับมุ่งมั่นเดินหน้าการปฏิรูป แม้รับรู้ดีว่าภารกิจนี้ยากเย็นเพียงไร โดยเขากล่าวว่าทำส่วนที่ง่ายของภารกิจนี้เสร็จสิ้นจนเป็นที่พึงพอใจของทุกคนแล้ว ส่วนที่เหลือนั้นเป็นงานยากเหมือนกระดูกแข็งที่ต้องออกแรงเคี้ยว

ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้ออกมาตรการปฏิรูปมากกว่า 2,000 รายการ ซึ่งช่วยให้ประเทศสามารถขจัดความยากจนขั้นรุนแรง ส่งเสริมการพัฒนาเมือง-ชนบทเชิงบูรณาการ ต่อสู้กับการทุจริตคดโกง สนับสนุนการประกอบธุรกิจ กระตุ้นการสร้างสรรค์นวัตกรรม และผลักดัน ‘การปฏิวัติเขียว’

เนื่องด้วยมาตรการปฏิรูปเหล่านี้ เศรษฐกิจจีนเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่านับตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งเสริมสร้างสถานะของจีนในการเป็นผู้มีส่วนส่งเสริมการเติบโตรายสำคัญของโลก

ปัจจุบันจีนต้องเพิ่มความพยายามเป็นพิเศษ ยามเผชิญกับความต้องการมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้นของประชาชนและความท้าทายใหญ่ต่าง ๆ เช่น แรงกดดันจากเศรษฐกิจขาลงหลังจากการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) กอปรกับความเสี่ยงจากภาคอสังหาริมทรัพย์ หนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่น และสถาบันการเงินขนาดเล็ก-ขนาดกลางบางส่วน

เพื่อแสวงหาอนาคตที่ดียิ่งขึ้นของประชาชนและประเทศชาติ สีจิ้นผิงเน้นย้ำว่าการปฏิรูปและเปิดกว้างเป็น ‘วิธีการสำคัญ’ สู่การบรรลุการสร้างความทันสมัยของจีนและสานต่อปาฏิหาริย์ทางการพัฒนาของประเทศ

สีจิ้นผิงเน้นย้ำความสำคัญของการปฏิรูปในการประชุมของกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคฯ เมื่อเดือนมกราคม และสำทับถึงความจำเป็นในการปฏิรูปภาคส่วนต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นในการประชุมประจำปีของสภานิติบัญญัติและหน่วยงานที่ปรึกษาทางการเมืองระดับสูงสุดของชาติในไม่กี่สัปดาห์ถัดมา

‘การปฏิรูปเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนา’ สีจิ้นผิงกล่าวระหว่างตรวจเยี่ยมมณฑลซานตงทางตะวันออกของจีนเมื่อเดือนพฤษภาคม โดยสีจิ้นผิงยังจัดการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้นำทางธุรกิจและนักวิชาการเกี่ยวกับวิธีการปฏิรูปอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

หวงฮั่นเฉวียน ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจมหภาคแห่งชาติจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการประชุมข้างต้น กล่าวว่า สีจิ้นผิงให้ความสำคัญกับการปฏิรูปอย่างมากและมีความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการปฏิรูปทั้งหมดเป็นอย่างดี

ก่อนหน้านี้สีจิ้นผิงกล่าวกับสมาชิกชุมชนธุรกิจ ยุทธศาสตร์ และวิชาการของสหรัฐฯ ที่เยือนกรุงปักกิ่งในฤดูใบไม้ผลินี้ว่าจีนกำลังวางแผนและดำเนินการตาม ‘ขั้นตอนสำคัญของการปฏิรูปรอบด้านอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น’ โดยจีนจะเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มุ่งเน้นตลาด อ้างอิงกฎหมาย และเป็นสากลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่การพัฒนาแก่ธุรกิจของสหรัฐฯ และนานาชาติ

ทั้งนี้ ความมุ่งมั่นปฏิรูปของสีจิ้นผิงยังคงเหมือนเดิมตลอดมา ปี 1969 เมื่อครั้งสีจิ้นผิงอายุ 15 ย่าง 16 ปี เขาถูกส่งตัวไปยังหมู่บ้านเหลียงเจียเหอในมณฑลส่านซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีนเพื่อใช้แรงงานในพื้นที่เกษตรกรรม ที่ซึ่งทำให้เขาได้รู้จักกับความหิวโหย โดยปณิธานของสีจิ้นผิงวัยหนุ่มตอนนั้นคือทำให้สหายร่วมหมู่บ้านมีข้าวปลาอาหารกินอย่างเพียงพอ

การสนับสนุนการปฏิรูปอย่างแรงกล้าของสีจิ้นผิงยังมาจากความปรารถนามีชีวิตที่ดียิ่งขึ้นของประชาชน โดยมาตรการปฏิรูปต่าง ๆ ที่สีจิ้นผิงดำเนินการในหมู่บ้านเหลียงเจียเหอในฐานะเลขาธิการพรรคฯ ประจำหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ทั้งการใช้ก๊าซชีวภาพ ตั้งร้านตีเหล็ก และเปิดร้านขายของชำ ล้วนมุ่งยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน

ความมุ่งมั่นปฏิรูปของสีจิ้นผิงยังได้รับอิทธิพลจากผู้เป็นพ่ออย่างสีจ้งซวิน นักปฏิวัติเก่าและผู้สนับสนุนการปฏิรูปและเปิดกว้าง โดยปี 1978 สีจ้งซวินได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่คนสำคัญของมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน และช่วยสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษชุดแรกของจีน ซึ่งประกอบด้วยเซินเจิ้น จูไห่ และซ่านโถว

ปีเดียวกันนั้นสีจ้งซวินมอบหมายให้สีจิ้นผิง ซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยชิงหัว ดำเนินการวิจัยภาคสนามเกี่ยวกับระบบความรับผิดชอบตามสัญญาครัวเรือนในมณฑลอันฮุยทางตะวันออกของจีน โดยสีจิ้นผิงบันทึกข้อมูลจนเต็มสมุดที่ยังคงถูกเก็บไว้จนถึงทุกวันนี้ชื่อเสียงของสีจิ้นผิงในฐานะนักปฏิรูปเพิ่มพูนตามความก้าวหน้าบนเส้นทางอาชีพทางการเมืองของเขา

ช่วงต้นทศวรรษ 1980 สีจิ้นผิงริเริ่มการทดลองปฏิรูปในอำเภอเจิ้งติ้ง ซึ่งเป็นอำเภอยากจนในมณฑลเหอเป่ยทางตอนเหนือของจีน โดยเขาทดลองจัดทำสัญญาที่ดินในชนบท ทำให้อำเภอเจิ้งติ้งเป็นพื้นที่แรกของเหอเป่ยที่ปรับใช้แนวทางดังกล่าว

บทความที่เผยแพร่ผ่านนิตยสารไชน่า ยูธ (China Youth) ในปี 1985 บรรยายรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงของอำเภอเจิ้งติ้งโดยอ้างอิงคำบอกเล่าของเลขาธิการพรรคฯ ระดับอำเภอจากมณฑลใกล้เคียงที่เยือนอำเภอเจิ้งติ้งที่ว่าการปฏิรูปเกิดขึ้นทุกที่จนประชาชนท้องถิ่นไม่ต้องร้องขอ

"หากมองย้อนกลับไปตอนนั้น สิ่งหนึ่งที่ทำสำเร็จคือการปลดปล่อยความคิด" สีจิ้นผิงกล่าวถึงการปฏิรูปในอำเภอเจิ้งติ้ง

ต่อจากอำเภอเจิ้งติ้ง สีจิ้นผิงได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานที่นครเซี่ยเหมิน ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษในมณฑลฝูเจี้ยนทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ที่ซึ่งเขาเป็นผู้นำการจัดตั้งธนาคารร่วมทุนแห่งแรกของจีนอย่างเซี่ยเหมิน อินเตอร์เนชันแนล แบงก์ (Xiamen International Bank) และหลังจากก้าวสู่ตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยน สีจิ้นผิงเป็นผู้นำการปฏิรูปการครอบครองป่าไม้ร่วมกัน ซึ่งถูกปรับใช้ในพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของประเทศในเวลาต่อมา โดยแผนริเริ่มนี้เป็นที่รู้จักในฐานะอีกหนึ่งขั้นตอนการปฏิวัติพื้นที่ชนบทของจีน ต่อจากระบบความรับผิดชอบตามสัญญาครัวเรือน

ช่วงดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคฯ ประจำมณฑลเจ้อเจียง สีจิ้นผิงนำเสนอแผนริเริ่มเพื่อส่งเสริมการพัฒนาผ่านการยกระดับอุตสาหกรรม โดยเขาสนับสนุนธุรกิจเอกชนอย่างแข็งขันและกระตุ้นนักธุรกิจ ‘ติดต่อโดยตรง’ ที่สำนักงานของเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ รวมถึงขยายการปฏิรูปนอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองไปยังเรื่องสังคม วัฒนธรรม และระบบนิเวศด้วย

การขึ้นชื่อเป็นนักปฏิรูปของสีจิ้นผิงสร้างความประทับใจแก่บุคคลสำคัญระดับนานาชาติ โดยเดือนกันยายน 2006 เฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ในเวลานั้น ได้เดินทางเยือนจีนและเลือกนครหางโจว เมืองเอกของมณฑลเจ้อเจียง เป็นจุดหมายแรก

พอลสันยกให้สีจิ้นผิงเป็น ‘ตัวเลือกอันสมบูรณ์แบบ’ สำหรับการประชุมครั้งแรกของเขาในจีน พร้อมบรรยายว่าสีจิ้นผิงเป็น ‘คนที่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรให้บรรลุเป้าหมาย’ และต่อมาพอลสันที่พบปะหารือกับสีจิ้นผิงอีกครั้งในปี 2014 เล่าว่าผู้นำจีนคนนี้เผยว่าสิ่งที่เขาให้ความสำคัญคือการปฏิรูปและประเด็นที่เกี่ยวข้อง

ปี 2007 ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคฯ ประจำนครเซี่ยงไฮ้ สีจิ้นผิงเล็งเห็นความจำเป็นของการปฏิรูปเพื่อเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจเซี่ยงไฮ้สู่การพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เพิ่มพูนความสามารถทางการแข่งขันในฐานะศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศ และเสริมสร้างบทบาทของเซี่ยงไฮ้ในฐานะผู้นำการปฏิรูปและเปิดกว้าง

หลังจากเข้าดำรงตำแหน่งสูงสุดของพรรคฯ ในปี 2012 สีจิ้นผิงตรวจเยี่ยมนครเซินเจิ้นเป็นแห่งแรกตามรอยผู้เป็นพ่อ ที่ซึ่งเขาได้วางกระเช้าดอกไม้ ณ รูปปั้นสัมฤทธิ์ของเติ้งเสี่ยวผิงในสวนสาธารณะเหลียนฮวาซาน เพื่อแสดงความมุ่งมั่นปฏิรูปอย่างแรงกล้า ‘เดินหน้าปฏิรูป เปิดกว้างต่อเนื่อง!’

การประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 18 ในปี 2013 ภายใต้การนำของสีจิ้นผิง ถือเป็นหมุดหมายสำคัญเหมือนการประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 11 ในปี 1978 ซึ่งเปิดฉากยุคสมัยแห่งการปฏิรูป โดยการประชุมในปี 2013 เปรียบดังรุ่งอรุณของยุคสมัยใหม่แห่งการปฏิรูป

การประชุมเต็มคณะฯ ในปี 2013 สีจิ้นผิงแจกแจงความท้าทายต่าง ๆ ที่จีนเผชิญระหว่างการพัฒนา ทั้งการทุจริตคดโกง การพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน และปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยสีจิ้นผิงตอกย้ำว่า ‘กุญแจสำคัญของการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อยู่ที่การปฏิรูปอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น’

ที่ประชุมข้างต้น ได้ตัดสินใจในประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการปฏิรูปรอบด้านอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งหนังสือพิมพ์ของสเปนแสดงความคิดเห็นว่าสีจิ้นผิงได้ริเริ่มการปฏิรูปเศรษฐกิจ สังคม และการบริหารของจีนอย่างลึกซึ้งมากที่สุดในรอบกว่า 30 ปี

หนึ่งเดือนถัดจากนั้น จีนประกาศจัดตั้งกลุ่มผู้นำส่วนกลางเพื่อการปฏิรูปรอบด้านอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น (Central Leading Group for Comprehensively Deepening Reform) โดยมีสีจิ้นผิงชี้นำด้วยตนเอง ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์พรรคฯ ที่มีการจัดตั้งหน่วยงานผู้นำในส่วนกลางเพื่อการปฏิรูปโดยเฉพาะ โดยกลุ่มผู้นำฯ พัฒนาเป็นคณะกรรมาธิการกลางเพื่อการปฏิรูปรอบด้านอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น (Central Commission for Comprehensively Deepening Reform) ในเวลาต่อมา โดยมีสีจิ้นผิงเป็นผู้อำนวยการ

บุคคลผู้ใกล้ชิดกับกระบวนการตัดสินใจเผยว่า สีจิ้นผิงเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายในการปฏิรูปที่สำคัญและยากลำบาก และสีจิ้นผิงพิจารณาทบทวนร่างแผนการปฏิรูปที่สำคัญแต่ละร่างอย่างละเอียดถี่ถ้วนชนิดแก้ไขคำต่อคำ

'ฮวาง ฮี-ชาน' หัวหอกวูล์ฟ โดนนักเตะ 'เซเรีย อา' เหยียดในเกมอุ่นเครื่อง ด้านเพื่อนร่วมทีมเดือดแทน หวดปากนักเหยียดคู่แข่ง-รับใบแดงเป็นรางวัล

(16 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฮวาง ฮี-ชาน กองหน้าชาวเกาหลีใต้ ของ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส สโมสรจากพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ถูกนักเตะโคโม่ ทีมจากเซเรีย อา อิตาลี ใช้คำพูดเหยียดใส่ ระหว่างเกมอุ่นเครื่องที่ วูล์ฟแฮมป์ตัน เอาชนะ โคโม ทีมน้องใหม่ของเซเรีย อา อิตาลี ไป 1-0 ในการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตร เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามในเกมดังกล่าว ทาง แกรี โอนีล กุนซือของวูล์ฟแฮมป์ตัน ออกมาเปิดเผยว่า ฮวาง ฮี-ชาน กองหน้าชาวเกาหลีใต้ถูกแข้งฝ่ายตรงคำใช้คำพูดที่เป็นการเหยียดเชื้อชาติใส่ และเขาได้ถามกองหน้าวัย 28 ปีรายนี้ว่า ต้องการจะออกจากแมตช์นี้ไหม แต่เขาปฏิเสธและยังเดินหน้าช่วยทีมต่อระหว่างเข้าแคมป์เก็บตัวที่สเปน

แกรี โอนีล เผยถึงเรื่องนี้ ว่า "ชานนี่ได้ยินคำพูดที่เป็นการเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งมันน่าผิดหวังจริงๆ"

"มันน่าผิดหวังมากที่มันเกิดขึ้น เราจำเป็นต้องพูดคุยเกี่ยวกับมัน และมันมีผลต่อเกม มันไม่ใช่ความคิดหรือสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นเลย"

"เขา (ฮวาง ฮี-ชาน) ผิดหวังมาก แน่นอน และมันเข้าใจได้ ซึ่งผมภูมิใจกับความจริงที่เขาต้องการจะเดินหน้าเล่นต่อไป และให้ความสำคัญกับทีมก่อน แม้ต้องเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากก็ตาม"

"ชานนี่จะโอเค เขาจะได้รับการสนับสนุนจากเราอย่างเต็มที่ และเราไปรับเขาเมื่อเช้านี้ และทำให้แน่ใจว่าเขาไม่มีปัญหาอะไร"

อย่างไรก็ตาม อีกด้านของเกมนี้ ทาง 'ดาเนี่ยล โพเดนซ์' ปีกวูล์ฟแฮมป์ตัน เพื่อนร่วมทีมของ ฮวาง ฮี-ชาน ก็เดือดแทน และได้เข้าต่อยกองหลังคนหนึ่งของ โคโม่ ระหว่างเกมที่ทั้ง 2 ทีมนัดซ้อมกันเป็นกรณีพิเศษ หลังจากแข้งของ โคโม่ พูดจาเชิงเหยียดผิวหรือเหยียดชาติพันธุ์ใส่กองหน้าชาวเกาหลีใต้

ทว่า ไม่มีการเปิดเผยว่าแนวรับของ โคโม่ ที่ว่าคือใคร แต่เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ โพเดนซ์ โดนใบแดงไล่ออกจากสนามทันที ก่อนที่สุดท้ายแล้ว วูล์ฟส์ จะชนะทีมน้องใหม่ของ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ไป 1-0 และสุดท้ายเกมนี้ ก็ไม่ได้ถูกระบุให้เป็นเกมอุ่นเครื่องอย่างเป็นทางการของทั้ง 2 ทีมแต่อย่างใด

'จีน' คุมเข้ม 'โลกไซเบอร์' สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้เด็กเยาวชน เล็งช่วงปิดเทอม จัดการคอนเทนต์ไม่สร้างสรรค์ในทุกแพลตฟอร์ม

(16 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักบริหารไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีน (CAC) ออกหนังสือเวียนเปิดตัวโครงการรณรงค์ระดับประเทศระยะ 2 เดือนช่วงปิดเทอมฤดูร้อน เพื่อมุ่งจัดการกับสภาพแวดล้อมบนโลกไซเบอร์แก่บรรดาเยาวชนคนจีน

โดยโครงการรณรงค์ดังกล่าว จะจัดการปัญหาสำคัญในโลกไซเบอร์อย่างแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นและไลฟ์สตรีมมิงซึ่งมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง การทำร้ายร่างกาย การกลั่นแกล้ง หรือการล่วงละเมิดเด็กที่อาจส่งผลเสียต่อผู้เยาว์

สำนักบริหารฯ ระบุว่า โครงการรณรงค์นี้ยังจะมุ่งเป้าไปที่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้อาจเผยแพร่เนื้อหาที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับเว็บไซต์ผิดกฎหมาย ภาษาหยาบคาย และสื่อลามกอนาจาร รวมถึงแพลตฟอร์มอื่น ๆ อาทิ แหล่งรวบรวมแอปพลิเคชัน (Application Stores) อุปกรณ์อัจฉริยะที่ออกแบบสำหรับเด็ก และ 'โหมดสำหรับผู้เยาว์' ในแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน

ทั้งนี้ สำนักบริหารฯ ชี้ว่าหน่วยงานด้านไซเบอร์ในท้องถิ่นควรติดตามฟีเจอร์และปัญหาใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้เยาว์บนโลกไซเบอร์อย่างใกล้ชิด พร้อมจัดการการละเมิดกฎระเบียบใด ๆ ก็ตาม

‘ธนาคารสิงคโปร์’ เล็งใช้ ‘ดิจิทัลโทเคน’ ยืนยันตัวตนแทน ‘รหัส OTP’ ชี้!! ช่วยเสริมความปลอดภัยทำธุรกรรม-ลดปัญหามิจฉาชีพสวมรอย

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค.67) รายงานข่าวแจ้งว่า ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) และสมาคมธนาคารสิงคโปร์ (ABS) ประกาศว่าธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อยในสิงคโปร์ จะเริ่มยุติการใช้รหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว (OTP) สำหรับเข้าสู่ระบบบัญชีธนาคารภายใน 3 เดือนข้างหน้า โดยลูกค้าต้องเปลี่ยนมาใช้ระบบที่เรียกว่า ‘ดิจิทัล โทเคน’ (Digital Token) แทน เพื่้อป้องกันมิจฉาชีพในรูปแบบฟิชชิ่ง (Phising) หลอกลวงลูกค้าเพื่อขอข้อมูลที่สำคัญ เช่น รหัสผ่าน หรือหมายเลขบัตรเครดิตได้ดียิ่งขึ้น

โดยลูกค้าจะต้องเปิดใช้งานโทเคนดิจิทัลบนโทรศัพท์มือถือ และใช้โทเคนดังกล่าวเข้าสู่ระบบธนาคารผ่านเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ (Mobile Banking) โดยโทเคนดิจิทัลจะทำหน้าที่ตรวจสอบการเข้าสู่ระบบของลูกค้าโดยไม่จำเป็นต้องใช้รหัส OTP ที่มิจฉาชีพสามารถขโมยหรือหลอกให้ลูกค้าเปิดเผยได้ โดยแนะนำให้ลูกค้าธนาคารเปิดใช้งานเพื่อลดความเสี่ยงที่ข้อมูลส่วนตัวจะถูกขโมยในรูปแบบฟิชชิ่ง

ที่ผ่านมาการใช้ OTP (One Time Password) ถูกนำมาใช้ในสิงคโปร์เมื่อปี 2543 หรือเมื่อ 24 ปีก่อน เพื่อเป็นตัวเลือกในการตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย (Multi-factor Authentication) เพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์ แต่ด้วยการพัฒนาทางเทคโนโลยีและมิจฉาชีพใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า หลักวิศวกรรมสังคม (Social Engineering) ที่มีความซับซ้อน ทำให้สามารถหลอกลวงลูกค้าในรูปแบบฟิชชิ่ง (Phising) เพื่อหลอกขอ OTP ได้ง่ายขึ้น เช่น การทำเว็บไซต์ธนาคารปลอมที่ใกล้เคียงของจริง

มาตรการล่าสุดจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกระบวนการตรวจสอบตัวตน ทำให้มิจฉาชีพหลอกลวงในการเข้าถึงบัญชีและเงินลงทุนของลูกค้า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากลูกค้าได้ยากขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อใช้อุปกรณ์มือถือของมิจฉาชีพ ซึ่งการหลอกลวงแบบฟิชชิ่งยังคงเป็นข้อกังวลในสิงคโปร์ ธนาคารแต่ละแห่งยังคงทำงานอย่างใกล้ชิดกับธนาคารกลางสิงคโปร์ และกองกำลังตำรวจสิงคโปร์ เพื่อพัฒนาและแนะนำแนวทางแก้ไข รวมทั้งมาตรการเพื่อเสริมสร้างการต่อต้านการหลอกลวงในภาพรวมที่มิจฉาชีพพัฒนาตลอดเวลา

นางออง-อัง ไอ บุน ผู้อำนวยการสมาคมธนาคารสิงคโปร์ กล่าวว่า มาตรการนี้ช่วยให้ลูกค้าป้องกันเพิ่มเติมจากการเข้าถึงบัญชีธนาคารของพวกเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ว่าสิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดความไม่สะดวก แต่มาตรการดังกล่าวมีความจำเป็นเพื่อช่วยป้องกันกลโกงและปกป้องลูกค้า

ส่วนนางลู เซียว ลี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายนโยบาย การชำระเงิน และอาชญากรรมทางการเงิน ธนาคารกลางสิงคโปร์ กล่าวว่า ธนาคารกลางสิงคโปร์ ยังคงทำงานอย่างใกล้ชิดกับธนาคารเพื่อปกป้องลูกค้า โดยเรียนรู้จากการหลอกลวงผ่านระบบดิจิทัลแบงกิ้งอย่างหนัก มาตรการล่าสุดจะเสริมแนวปฏิบัติด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ดี ซึ่งลูกค้ายังคงต้องปฏิบัติต่อไป เช่น การปกป้องข้อมูลด้านการเงินประจำตัว

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า มีธนาคารในประเทศสิงคโปร์เริ่มหันมาใช้โทเคนดิจิทัลแล้ว เช่น ธนาคารดีบีเอส ธนาคารโอซีบีซี ธนาคารยูโอบี และธนาคารซิตี้แบงก์ โดยมีรูปแบบคล้ายกัน คือ การอนุมัติรายการจะมีข้อความแจ้งเตือนแบบพุช (Push Notification) เมื่อลูกค้าทำธุรกรรมทางการเงิน หรือใช้จ่ายออนไลน์ผ่านบัตรเครดิต ให้แตะไปที่ข้อความ แล้วกดอนุมัติการทำรายการ ผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร ภายในระยะเวลาที่กำหนด แทนการกรอกรหัส OTP ที่ได้ยกเลิกไป

สำหรับประเทศไทย พบว่ามีเพียงบัตรทราเวลการ์ดที่ชื่อว่า YouTrip (ยูทริป) ที่ออกบัตรโดยธนาคารกสิกรไทย ใช้ระบบ 3DS 2.0 คือ เมื่อลูกค้ากรอกข้อมูลบัตรเวลาช้อปออนไลน์เรียบร้อยแล้ว ระบบจะแจ้งเตือนให้เข้าไปอนุมัติรายการในแอปพลิเคชัน แทนการใช้ SMS OTP เช่นเดียวกับบัตรพรีเพดการ์ด BigPay (บิ๊กเพย์) ของกลุ่มแอร์เอเชีย ก็ใช้ระบบดังกล่าวอนุมัติรายการใช้จ่ายผ่านออนไลน์เช่นเดียวกัน นอกนั้นธนาคารและผู้ให้บริการบัตรเครดิตส่วนใหญ่ ยังคงใช้วิธีส่ง SMS OTP เช่นเดิม

ตอกย้ำความเหลื่อมล้ำในอินเดีย  มีทั้งเสียงชื่นชมและการสาปแช่ง

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค.67) นับได้ว่าเป็นงานแต่งแห่งศตวรรษ ที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่กว่างานของราชวงศ์ไหน ๆ เมื่อ ‘อนันต์ อัมบานี’ ลูกชายของมหาเศรษฐีชาวอินเดีย ‘มูเกซ อัมบานี’ เข้าพิธีวิวาห์กับแฟนสาว ‘รติกา เมอชานต์’ ลูกสาวของครอบครัวเศรษฐีด้านอุตสาหกรรมยา ที่ทุ่มงบไม่อั้นคาดว่ามีมูลค่าจัดงานสูงกว่า 5 พันล้านบาท และทำการเฉลิมฉลองแบบไม่จบสิ้น

สร้างความฮือฮาตั้งแต่สามารถจ้างริฮานน่าที่เดี๋ยวนี้ผันตัวไปทำธุรกิจไม่ได้ขึ้นแสดงมานานแล้ว ให้กลับมาจับไมค์ขึ้นโชว์ในงานเลี้ยงพรีเวดดิ้งที่มีคนดังจากทั่วโลกบินมาร่วมงาน และเมื่อช่วง 2 เดือนก่อนก็เพิ่งจะพาญาติมิตรเพื่อนสนิทและแขกคนสำคัญไปทริปล่องเรือยอร์ชหรูที่หัวเมืองในยุโรปแบบสุดหรูหราโรแมนติก ก่อนที่ล่าสุดจะปิดท้ายการฉลองงานแต่งกลางกรุงมุมไบแบบ 4 วัน 4 คืน จ้างนักร้องดังอย่าง ‘จัสติน บีเบอร์’ มาแสดงในงาน

โดยได้เชิญแขกคนดังจากทั่วโลกมาร่วมเป็นสักขีพยานในงานแต่งนี้ ลิสต์รายชื่อแขกมีตั้งแต่ คิม และโคลเอ้ คาร์ดาเชียน, นิก โจนาส, โทนี่ แบล์ รวมไปถึงคนดังทุกวงการของอินเดีย ร่วมถึงท่านทูตจากหลายประเทศ เรียกได้ว่ามาอยู่ร่วมกันในงานนี้ทั้งหมด ทุกคนล้วนจัดเต็มแต่งตัวกันแบบอลังเข้ากับพิธีสุดหรูหราตามสไตล์ประเพณีอินเดีย มีการร้องเล่นเต้นรำกัน และก็อวยพรคู่บ่าวสาว พร้อมแชร์ภาพในโซเชียลมีเดียแบบสุดสนุก โชว์ความหรูหราฟู่ฟ่า โดยว่ากันว่าเจ้าภาพให้ของขวัญสุดอลังกับแขกที่มา แต่ไม่ได้การให้รายละเอียดว่ามีอะไรบ้าง มีการเปิดเผยเพียงว่า บรรดาเพื่อนเจ้าบ่าวทั้ง 9 คน ได้รับนาฬิกาแบรนด์หรู Audemars Piguet สั่งทำพิเศษราคาเรือนละ 7 ล้านบาท เป็นของขวัญ

แต่ท่ามกลางเสียงยินดีปรีดาฉลองการเริ่มต้นชีวิตคู่นั่นก็มีเสียงก่นด่าเช่นกัน โดยมาจากบรรดาชาวบ้านในเมืองมุมไบทั้งหลายที่ออกมาแสดงความไม่พอใจกับสุดยอดงานแต่งนี้ เพราะทั้งเมืองวุ่นวายไปด้วยสารพัดแขก VIP สนามบินแออัดด้วยเครื่องบินส่วนตัว รวมไปถึงเจ้าภาพได้จองเครื่องเจ็ต 3 ลำ สำหรับไว้รับรองแขกไว้เดินทางบินไปมา เหล่าตำรวจและบอดี้การ์ดมากมายเพราะต้องระวังรักษาความปลอดภัยให้แขกคนสำคัญ มีรถนำขบวนให้แขกเดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ ทำให้การจราจรที่สาหัสอยู่แล้ว แถมช่วงนี้ก็มีมรสุมซัดกระหน่ำ เติมด้วยความวุ่นวายของงานแต่งนี้อีก ยิ่งทำให้รถติดแบบวินาศสันตะโร แถมยังมีการปิดจองหลายพื้นที่สาธารณะไปทั่วเมือง ถนนบางเส้นถูกปิดหลายชั่วโมงต่อวัน

นอกจากความลำบากที่ชาวบ้านทั่วไปต้องเผชิญแล้ว เหล่าชาวเน็ตของอินเดียยังออกมาประณามงานแต่งนี้ว่าเป็นการอวดรวย สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ โชว์ความเหลือกินเหลือใช้ของบ้านอัมบานี แถมตอกย้ำให้เห็นถึงความต่างของชนชั้นในสังคมให้เห็นได้อย่างเด่นชัดที่สุด ซึ่งนี่เป็นปัญหาใหญ่ของอินเดียมาอย่างเนิ่นนาน

‘ครูเกาหลีใต้’ รับศึกหนัก ‘เด็กก้าวร้าว-ผู้ปกครองกดดันรุนแรง’ ส่งผล ‘ยอมลาออก-ฆ่าตัวตายพุ่ง-คนรุ่นใหม่เมินอาชีพครู’

อาชีพครูในบ้านเรามักถูกเปรียบเทียบดั่ง ‘เรือจ้าง’ ที่ช่วยประสิทธิ์ประสาทวิชาพาลูกศิษย์ไปจนถึงฝั่ง แม้คำเปรียบเทียบจะฟังดูต้อยต่ำไปนิด แต่ก็คือว่า ‘ครู’ เป็นหนึ่งในอาชีพที่ได้รับความเคารพจากผู้คนในสังคมไทยแม้ในปัจจุบัน

แต่ใน ‘เกาหลีใต้’ ค่านิยมที่สังคมมองอาชีพครู กลับเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จนตอนนี้อาจอยู่ในสถานะที่เรียกได้ว่า ‘ต้อยต่ำยิ่งกว่าเรือจ้าง’ เสียอีก 

และล่าสุดเมื่อราวเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ก็ปรากฏคลิปที่กลายเป็นกระแสไวรัลในโลกโซเชียลของเกาหลีใต้ เผยแพร่โดยกลุ่มสหภาพครูชอนบุก เมื่อมีเด็กนักเรียนชายชั้นประถม 3 คนหนึ่ง แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ตะโกนด่าครูชายท่านหนึ่งด้วยคำพูดที่ดูถูกและหยาบคาย ที่ภายหลังทราบว่าครูในคลิปเป็นถึงระดับรองผู้อำนวยการของโรงเรียน

และช็อกยิ่งกว่านั้น คือเด็กชายถึงขั้น ‘ตบหน้าครู’ และใช้กระเป๋าเป้ฟาดใส่ครูหลายครั้ง โดยที่ครูได้แต่ยืนนิ่งเฉย เอาแขนไขว้หลัง และไม่ตอบโต้ใด ๆ เหตุเกิดเพียงเพราะว่าครูชายพยายามห้ามนักเรียนไม่ให้ออกจากโรงเรียนก่อนเวลาโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่สุดท้ายก็ห้ามไม่ได้ เด็กก็เดินผ่านครูออกจากโรงเรียนไปอยู่ดี

หลังเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ก็เกิดกระแสวิพากษ์ วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ซึ่งส่วนใหญ่แสดงความเห็นในเชิงตำหนิครู ว่าทำไมไม่จับตัวเด็กไว้? ทำไมดูแลเด็กให้อยู่ในโรงเรียนไม่ได้? และทำไมถึงจัดการพฤติกรรมก้าวร้าวของนักเรียนไม่ได้?

ด้าน คิม ดง-ซุก ผู้อำนวยการฝ่ายสิทธิครูของสมาพันธ์ครูแห่งเกาหลี แสดงความเห็นว่า การตอบสนองต่อพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กเกาหลีใต้ในลักษณะนี้ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ส่วนผู้ที่ออกมาวิจารณ์ตำหนิครูในคลิป แสดงว่าพวกเขาไม่ได้เข้าใจเลยว่าทุกวันนี้ครูเกาหลีใต้ต้องเจอกับอะไรบ้าง 

นายคิมกล่าวว่า "การที่ครูต้องเอามือไขว้หลัง แล้วปล่อยให้ลูกศิษย์ตบหน้า โดยไม่ตอบโต้ หรือดุด่า ทำโทษเด็ก เพราะถ้าเมื่อใดก็ตามที่เด็กมีรอยแผลบนร่างกาย ครูจะถูกร้องเรียนในความผิดฐานทำร้ายร่างกายเด็ก และหลายกรณีดังกล่าวมักต้องไปจบที่ศาล ซึ่งไม่มีครูคนไหนอยากเสี่ยงถูกดำเนินคดี เพราะบรรทัดฐานสังคม และกฎหมาย มักปกป้องเด็กก่อนเสมอ" 

ด้วยสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ครูเกาหลีใต้จำต้องอดทนต่อพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็ก ๆ ที่นับวันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

คิม ดง-ซุก ยังกล่าวอีกว่า "นักเรียนสมัยนี้จำนวนไม่น้อยแสดงพฤติกรรมไร้ความเคารพยำเกรงครู พวกเขาจะปิดประตูเสียงดังใส่ หรือแสดงท่าทางลามกใส่ครูเมื่อพวกเขาไม่พอใจ ถ้าครูทุกคนต้องรายงานความประพฤติของนักเรียนในเรื่องเหล่านี้ คงส่งเรื่องกันไม่หวาด ไม่ไหว ที่ส่วนมากมักไม่มีใครสนใจ ครูเกาหลีจึงทำได้แต่เพียงอดกลั้น และแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นต่อพฤติกรรมเลวร้ายเหล่านั้น”

ดังนั้น เหตุการณ์ทำร้ายร่างกายครู ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ จึงเกิดขึ้นบ่อยราวเป็นเรื่องปกติในสังคมโรงเรียนเกาหลีใต้ อีกทั้งยังถูกกดดันจากผู้ปกครอง ที่คาดหวังการใส่ใจของครูต่อบุตรหลานของพวกเขาในระดับสูง

และหากย้อนไปเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 เคยมีข่าวใหญ่ในแวดวงการศึกษา เมื่อครูสาววัยเพียง 26 ปี ของโรงเรียนประถม Seoi Elementary School ในย่านกังนัม ของกรุงโซลฆ่าตัวตาย โดยทิ้งสมุดบันทึก และข้อความไว้มากมายเป็นหลักฐานว่าเธอถูกผู้ปกครองนักเรียนทำร้ายจิตใจอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายเดือน เกินกว่าใจจะรับไหว 

จากข้อมูลของรัฐบาลเกาหลีใต้ พบว่าในช่วงปี 2561 - 2566 มีครูโรงเรียนรัฐกว่า 100 คนฆ่าตัวตาย ส่วนใหญ่เป็นครูในระดับประถมศึกษา ซึ่งการฆ่าตัวตายของครูสาววัย 26 ปีคนล่าสุด ก่อให้เกิดการประท้วงจากนักการศึกษาทั่วประเทศต่อเนื่องยาวนานถึง 9 สัปดาห์เพื่อเรียกร้องให้มีมาตรการปกป้องสิทธิของครูในโรงเรียนบ้าง

จนนำไปสู่การแก้กฎหมายที่ครูจะได้รับการคุ้มครองสิทธิ์กรณีถูกร้องเรียนเรื่องการทำร้ายร่างกายเด็กจนกว่าจะมีการสอบหลักฐาน และเข้ากระบวนการสืบสวนอย่างรอบคอบ และให้สิทธิ์ครูนำนักเรียนที่มีพฤติกรรมก่อกวนออกจากชั้นเรียนได้ นอกจากนี้ยังระบุให้มีการบันทึกการสนทนาเมื่อมีการประชุมระหว่างครู และผู้ปกครอง

กรณีที่เกิดการร้องเรียน และเป็นคดีความ ผู้อำนวยการโรงเรียนจะต้องเป็นผู้ดูแล ที่จะมีงบสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ โดยผู้ปกครองจะไม่ได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของครู อาทิ ที่อยู่ หรือเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวอีกต่อไป 

แม้ว่าคำร้องเรียนของผู้ปกครองต่อครูในโรงเรียนจะลดลง หลังรัฐบาลออกกฎหมายใหม่ได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงค่านิยมของครอบครัวเกาหลีที่มีต่อครูในโรงเรียนได้ 

จุง แจ-ฮุน ศาสตราจารย์ด้านสวัสดิการสังคมจากมหาวิทยาลัยสตรีโซล กล่าวว่า สังคมเกาหลีใต้มีทัศนคติที่มีครอบครัวเป็นศูนย์กลางอย่างเข้มข้นมาก ซึ่งจะให้ความสำคัญกับครอบครัวของตนเป็นหลักเท่านั้น อีกทั้งอัตราเด็กเกิดใหม่ในเกาหลีใต้ลดลงอย่างมาก ทำให้พ่อแม่ชาวเกาหลีใต้ยอมลงทุนมหาศาลกับลูก ๆ และจะไม่ยอมทนหากลูกของตนถูกกระทำ จนนำไปสู่การปกป้องลูกมากเกินไป โดยไม่สนใจว่าจะละเมิดสิทธิ์ครูหรือไม่

ทุกวันนี้ จะพบเห็นพ่อแม่ชาวเกาหลีใต้ทะนุถนอมลูกมาก และพร้อมจะบุกถึงโรงเรียน แม้มีปัญหาเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ความเกรี้ยวกราดของพ่อแม่ จึงปลูกฝังความก้าวร้าวให้แก่ลูก ๆ ที่มองครูเป็นเพียงลูกจ้างของพ่อแม่ที่มีหน้าที่ให้บริการด้านการศึกษา ไม่ใช่ผู้ให้การอบรมสั่งสอนวิชาความรู้ดั่งค่านิยมในสมัยอดีต

เมื่อความเคารพสูญหายไป การต่อต้านจึงรุนแรงขึ้น และครูกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำโดยไม่สามารถร้องเรียนกับใครได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่มีครูเกาหลีใต้ถูกกดดันจนลาออก หรือฆ่าตัวตายเป็นจำนวนมาก หนุ่ม-สาว รุ่นใหม่สนใจอาชีพครูน้อยลงเรื่อย ๆ เพราะคงไม่มีใครอยากทำงานที่ถูกมองว่าต้อยต่ำยิ่งกว่าเรือจ้างอีกแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top