Tuesday, 10 June 2025
WORLD

อีกมุม!! 'นูนเญซ' เข้าปะทะแฟนบอล 'โคลอมเบีย' เหตุแฟนบอลคู่แข่งเมา เข้าคุกคามครอบครัวของตน

(11 ก.ค.67) ควันหลง โกปา อเมริกา 2024 ในเกมที่ 'จอมโหด' อุรุกวัย พ่ายแพ้ 'โคลอมเบีย' ที่เหลือผู้เล่น 10 คน ไปด้วยสกอร์ 0-1 ตกรอบ 4 ทีมสุดท้าย โดยเกมดังกล่าว โคลอมเบีย ขึ้นนำ 1-0 จาก เจฟเฟอร์สัน เลอร์มา น.39 ก่อนที่ ดาเนียล มูญอซ แข้งของทีม 'โคเคน' จะมาโดนเหลืองที่ 2 กลายเป็นใบแดงไล่ออกจากสนามก่อนจบครึ่งแรก

แม้ครึ่งหลัง อุรุกวัย จะลงผู้เล่นเกมรุกลงมาหลายคน และขึงเกมบุกใส่คู่แข่ง แต่เจาะแนวรับอันแข็งแกร่งของ โคลอมเบีย ไม่ได้ และตลอดทั้งเกมพวกเขายิงตรงกรอบแค่ 3 ครั้งเท่านั้น

ทั้งนี้ หลังจบเกม ดาร์วิน นูนเญซ หัวหอกทีมชาติอุรุกวัย จากทีม 'หงส์แดง' ลิเวอร์พูล ได้เข้าปะทะคารมกับกองเชียร์โคลอมเบียอย่างดุเดือดถึงขั้นลงไม้ลงมือชนิดที่เพื่อนร่วมทีมเข้ามาห้ามก็หยุดไม่อยู่

หลังสิ้นเสียงนกหวีดจบเกม ดาร์วิน นูนเญซ ซึ่งเกมนี้พลาดโอกาสทองหลายครั้ง นำเหล่าผู้เล่น อุรุกวัย จำนวนหนึ่งเข้าไปในกลุ่มแฟนบอลโคลอมเบีย ก่อนจะเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง ซึ่งทางหัวหอกของ ลิเวอร์พูล โดนแฟนบอลต่อยเข้าที่หน้า

จากรายงานของ 'เอล ปาอีส' สื่ออุรุกวัย ระบุว่า ผู้เล่นทีม 'จอมโหด' เข้าไปในกลุ่มแฟนบอลเพื่อช่วยครอบครัว และเพื่อนที่นั่งอยู่หลังม้านั่งสำรองของทีม ส่วน ฮอร์เก จอร์ดาโน ผู้อำนวยการทีมชาติอุรุกวัย และสื่อมวลชนของอุรุกวัย อย่าง เฟลิเป โกเตโล ก็มีการวิวาทกับกลุ่มแฟนบอลคู่แข่งด้วยเช่นกัน

มีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า มานูเอล อูการ์เต เดินเข้าไปดูแลญาติของตัวเองในสนามที่สุ่มเสี่ยงต่อการโดนลูกหลงการทะเลาะวิวาทในครั้งนี้ ในขณะที่มีแฟนบอล อุรุกวัย บางคนได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุการณ์ดังกล่าวเนื่องจากแฟนบอลของ โคลอมเบีย มีมากกว่า

ด้าน โฆเซ ฆิเมเนซ เซ็นเตอร์แบ็กทีมชาติอุรุกวัย ออกมาเปิดเผยว่า แฟนโคลอมเบียเมาจนควบคุมตัวเองไม่ได้ คุกคามครอบครัวของนักเตะอุรุกวัย ตรงนั้นไม่มีตำรวจแม้แต่คนเดียว ครอบครัวของเรา พวกเขาตกอยู่ในอันตราย จึงต้องรีบขึ้นไปบนอัฒจันทร์เพื่อช่วยพวกเขาออกมา

ล่าสุดปรากฏภาพ ดาร์วิน นูนเญซ กำลังกอดปลอบขวัญลูกชายของตนอยู่ในสนาม หลังจากเพิ่งบุกขึ้นบนอัฒจันทร์ชกต่อยกับแฟนโคลอมเบีย เพราะสนามไม่มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา

‘กองทัพยิว’ ถล่มโรงเรียนในกาซาแห่งที่ 4 คร่าชีวิตเฉียด!! 30 ราย ด้านกลุ่มผู้เชี่ยวชาญแห่ประณาม จงใจก่อความรุนแรงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

(11 ก.ค.67) กองทัพอิสราเอลระดมโจมตีทั้งตอนเหนือและตอนกลางของกาซาในวันพุธ (10 ก.ค.) ไม่กี่ชั่วโมง หลังจากโจมตีทางอากาศต่อโรงเรียนแห่งหนึ่งใกล้เมืองข่านยูนิสทางใต้ของกาซา ที่มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 29 คน นับเป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 4 วัน ที่อาคารโรงเรียนที่ใช้เป็นที่หลบภัยถูกโจมตี ขณะที่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนอิสระของยูเอ็นกล่าวหายิว ‘ดำเนินการเพื่อให้เกิดความอดอยากแบบกำหนดเป้าหมาย’ และ ‘ก่อความรุนแรงที่เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’

รายงานระบุว่า กองทัพอิสราเอลโปรยใบปลิวแจ้งให้พลเรือนทั้งหมดอพยพออกจากกาซาซิตี้ พร้อมแผนที่เส้นทางปลอดภัยบนถนน 2 สายมุ่งลงใต้สู่ตอนกลางของฉนวนกาซา

ด้านฮามาสระบุว่า ปฏิบัติการของอิสราเอลในวันอังคาร (9 ก.ค.) ทำให้ชาวปาเลสไตน์กว่า 60 คนเสียชีวิต และบ่อนทำลายความพยายามในการผลักดันข้อตกลงหยุดยิงที่มีการฟื้นการเจรจาอีกครั้งในวันพุธที่โดฮา

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า ฮามาสส่งสัญญาณว่า พร้อมยกเลิกการเรียกร้องให้หยุดยิงโดยสมบูรณ์ในเงื่อนไขสำหรับการเริ่มต้นการเจรจาที่มีกาตาร์และอียิปต์เป็นตัวกลาง และสหรัฐฯ ให้การสนับสนุน

ทว่า ทางด้านสำนักนายกรัฐมนตรีอิสราเอลกลับกำหนดเงื่อนไขที่รวมถึงการเปิดทางให้อิสราเอลสู้รบต่อหลังการหยุดยิงจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายของสงคราม

เจ้าหน้าที่แพทย์ปาเลสไตน์ระบุว่า การโจมตีทางอากาศต่อค่ายผู้หลบภัยในโรงเรียนแห่งหนึ่งในย่านอาบาสซาน ทางตะวันออกของเมืองข่านยูนิส ในกาซาตอนใต้เมื่อวันอังคาร ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 29 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 4 วันที่อาคารโรงเรียนที่ใช้เป็นที่หลบภัยถูกโจมตี

ทางด้านกองทัพอิสราเอลแถลงว่า กำลังตรวจสอบรายงานที่ว่า มีพลเรือนได้รับอันตราย พร้อมระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการใช้กระสุนที่แม่นยำ โจมตีนักรบฮามาสคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการบุกอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ซึ่งเป็นชนวนเหตุของสงครามกาซาในขณะนี้

ขณะเดียวกัน สมาคมเสี้ยววงเดือนแดงปาเลสไตน์เผยว่า ได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือจากประชาชนที่ติดอยู่ในกาซาซิตี้ แต่ไม่สามารถเข้าไปช่วยได้เนื่องจากมีการระดมทิ้งระเบิดอย่างหนักหน่วง และกองทัพอิสราเอลยังคงโจมตีเขตที่อยู่อาศัย ทำให้พลเรือนต้องหนีจากบ้านและที่หลบภัย

ที่ค่ายนูเซรัต ตอนกลางกาซา หน่วยแพทย์เผยว่า ชาวปาเลสไตน์ 6 คนที่รวมถึงเด็กเสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศต่อบ้านหลังหนึ่งเมื่อรุ่งเช้าวันพุธ และการโจมตีทางอากาศอีกระลอกมีผู้เสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บอีกหลายคนในข่านยูนิส

สหประชาชาติระบุว่า พลเรือนหลายแสนคนได้รับผลกระทบจากการระดมโจมตีนับจากอิสราเอลออกคำสั่งอพยพออกจากกาซาซิตี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 เดือนที่แล้ว

ฟิลิปเป ลาซซารินี ข้าหลวงใหญ่หน่วยงานผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ของยูเอ็น หรือ UNRWA แถลงว่า ขณะนี้มีพลเรือนราว 35,000 คนต้องออกเดินทางอีกครั้ง โดยที่ไม่มีที่ใดในกาซาที่ปลอดภัยอีกต่อไป

สำนักงานสิทธิมนุษยชนของยูเอ็นสำทับว่า ‘ตกใจ’ กับการที่พลเรือนที่ต้องอพยพโยกย้ายกันมาหลายครั้ง ได้รับคำสั่งให้มุ่งหน้าไปยังบริเวณที่ยังมีปฏิบัติการทางทหารต่อเนื่องและมีพลเรือนล้มตายตลอดเวลา

ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนอิสระของยูเอ็นจำนวน 10 คน กล่าวหาอิสราเอล ‘ดำเนินการเพื่อให้เกิดความอดอยากแบบกำหนดเป้าหมาย’ ที่ส่งผลให้เด็กในกาซาเสียชีวิตและ ‘ก่อความรุนแรงที่เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’

กลุ่มผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวแจงว่า นับจากวันที่ 7 ต.ค.มีชาวปาเลสไตน์ 34 คน ส่วนใหญ่เป็นเด็ก เสียชีวิตจากความอดอยาก

ทว่า คณะทูตของอิสราเอลในยูเอ็นที่เจนีวา กล่าวหาผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นเผยแพร่ข้อมูลเท็จและสนับสนุนการโฆษณาชวนเชื่อของฮามาส

นอกจากนั้น สงครามที่ดำเนินมากว่า 9 เดือนส่งผลให้โรงพยาบาลมากมายในกาซาต้องปิดตัวลง โดยในวันอังคาร สมาคมเสี้ยววงเดือนแดงปาเลสไตน์แถลงว่า โรงพยาบาลทั้งหมดในกาซาซิตี้ยุติการให้บริการโดยสิ้นเชิง

‘ดร.อักษรศรี’ มอง ‘เวียดนาม’ อยู่เป็น มีปัญหากับจีน แต่เลือกคบจีน แปลงจีนให้เป็นโอกาสอย่างชาญฉลาด แซงทุกชาติในอาเซียนขึ้นอันดับ 1 คู่ค้าจีน

(11 ก.ค.67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เวียดนาม 'อยู่เป็น' ในความสัมพันธ์กับจีน เวียดนามเลือกที่จะคบจีน #ไม่ต่อต้านจีนตามกระแส ทำให้เวียดนามกลายเป็นคู่ค้าหลักของจีนที่ขยายตัวเร็วมาก ก้าวขึ้นเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของจีน แซงเพื่อนบ้านอาเซียนทุกประเทศ

เวียดนามเลือกที่จะก้าวข้ามประเด็นความขัดแย้งกับจีน (พักปัญหาเอาไว้ก่อน) หันมาเน้นทำมาหากิน สร้างบ้านสร้างเมือง ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต้องมาก่อน เวียดนามเลือกที่จะ #ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งให้ได้ก่อน เวียดนามฉลาดในการ #แปลงจีนให้เป็นโอกาส

เวียดนาม #ก้าวข้ามอดีตเพื่ออนาคต !! ทั้ง ๆ ที่เวียดนามมีประวัติศาสตร์ที่น่าขมขื่นกับจีน และยังคงมีปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ แต่เวียดนามก็เลือกที่จะคบจีนอย่างชาญฉลาด ทั้งด้านการค้า การลงทุน และการเชื่อมโยงรถไฟจากฮานอยไปจีน จนสามารถใช้จีนเป็นทางผ่านรถไฟจากเวียดนามไปยุโรป 

เวียดนามมีทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจน Well Planned + Long Term Strategy ชัดเจนว่า #ประเทศจะไปทางไหน จนตอนนี้ เวียดนามกลายเป็นฐานผลิต Smart Phone อันดับต้นของโลก 

เวียดนามมียุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งทำ Digitalization เพื่อให้เศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วน 20% ของจีดีพีเวียดนาม ภายในปี 2025

‘นักการเมืองเกาหลีใต้’ โดนทัวร์ลง!! หลังโทษ ‘ผู้หญิง’ มีบทบาทมากขึ้น เหตุเป็นต้นตอทำ ‘ผู้ชาย’ ฆ่าตัวตายสูง มอง!! เป็นความคิดอันตราย-ไม่ฉลาด

(11 ก.ค. 67) นักการเมืองรายหนึ่งในเกาหลีใต้กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักต่อความเห็นที่อันตรายและไร้ข้อพิสูจน์ หลังเขาเชื่อมโยงเหตุผู้ชายฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นกับกรณีที่ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญเพิ่มมากขึ้นในสังคม

โดย คิม คิ-ดุค สมาชิกสภาเมืองโซล อ้างว่า การมีส่วนร่วมมากขึ้นเรื่อย ๆ ของพวกผู้หญิงในที่ทำงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้พวกผู้ชายหางานยากขึ้น และเจอความยากลำบากกว่าเดิมในการหาผู้หญิงที่ต้องการแต่งงานกับพวกเขา

เขากล่าวว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ "ประเทศของเราเริ่มเปลี่ยนเข้าสู่สังคมที่ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญและอาจอยู่เบื้องหลังบางส่วนของเหตุความพยายามฆ่าตัวตายที่เพิ่มมากขึ้นในผู้ชาย"

เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในชาติที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในบรรดาชาติร่ำรวยของโลก และอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็เป็นหนึ่งในชาติที่มีประวัติเลวร้ายด้านความเท่าเทียมทางเพศเช่นกัน

ความเห็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักของคิม เป็นอีกคำพูดที่เกิดขึ้นจากการขาดความรู้ความเข้าใจโดยบรรดานักการเมืองผู้ชายเกาหลีใต้

คิม จากพรรคประชาธิปไตย มีคำประเมินเช่นนี้จากการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนความพยายามฆ่าตัวตายบนสะพานต่าง ๆ ตามแม่น้ำฮันของกรุงโซล

รายงานที่เผยแพร่บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสภาเมือง พบว่า จำนวนความพยายามฆ่าตัวตายตามแม่น้ำฮัน เพิ่มขึ้นจากระดับ 430 รายในปี 2018 เป็น 1,035 รายในปี 2023 ซึ่งในบรรดาผู้พยายามปลิดชีพตนเองนั้นมีสัดส่วนที่เป็นผู้ชายเพิ่มขึ้นจาก 67% เป็น 77%

บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันการฆ่าตัวตาย ต่างพากันแสดงความกังวลต่อความเห็นของคิม ในนั้นรวมถึงซอง อิน ฮาน ศาสตราจารย์ด้านสุขภาพจิตแห่งมหาวิทยาลัยยอนเซของกรุงโซล ที่ให้สัมภาษณ์กับบีบีซี ว่า "มันเป็นเรื่องอันตรายและไม่ฉลาดเลยที่กล่าวอ้างเช่นนี้โดยปราศจากหลักฐานที่พอเพียง"

เขาชี้ว่าทั่วโลกก็พบเห็นผู้ชายฆ่าตัวตายมากกว่าผู้หญิง และในหลายประเทศ ในนั้นรวมถึงสหราชอาณาจักร ผู้ที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่คือกลุ่มผู้ชายอายุต่ำกว่า 50 ปี

กระนั้นก็ตาม ศาสตราจารย์ซอง ชี้ว่าสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังการเพิ่มขึ้นอย่างมากของผู้ชายที่พยายามฆ่าตัวตายในกรุงโซล จำเป็นต้องได้รับการศึกษาทำความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ พร้อมระบุว่า มันน่าเสียใจอย่างยิ่งที่ทางสมาชิกสภาเมืองแสดงความคิดเห็นที่ก่อความขัดแย้งทางเพศ

ในเกาหลีใต้มีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ในจำนวนลูกจ้างที่ได้รับการจ้างงานแบบเต็มเวลา ขณะที่จำนวนผู้หญิงที่ทำงานแบบชั่วคราวหรือพาร์ทไทม์ก็ไม่สมส่วนกับผู้ชาย ทั้งนี้ แม้ช่องว่างทางเพศเกี่ยวกับค่าจ้างกำลังลดน้อยลงเรื่อย ๆ แต่ปัจจุบันพวกผู้หญิงก็ยังคงได้รับค่าจ้างน้อยกว่าผู้ชายเฉลี่ยแล้วราว 29%

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านสตรีหนึ่งได้โผล่ขึ้นมาในเกาหลีใต้ นำโดยพวกชายหนุ่มที่หลงเชื่อผิด ๆ ที่อ้างว่าพวกเขาถูกเอาเปรียบจากความพยายามส่งเสริมวิถีชีวิตผู้หญิง

มุมมองดังกล่าวสะท้อนแนวคิดไปในทิศทางเดียวกับ คิม และในรายงานของคิม ได้สรุปว่าหนทางที่จะเอาชนะ ‘ปรากฏการณ์ผู้หญิงเป็นใหญ่’ คือส่งเสริมความตระหนักรู้ของประชาชนเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศ เพื่อที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายสามารถมีความพึงพอใจต่อโอกาสที่เท่าเทียม

อย่างไรก็ตาม ชาวเกาหลีใต้พากันไหลบ่าสู่สื่อสังคมออนไลน์แพลตฟอร์มเอ็กซ์ ประณามความเห็นของสมาชิกสภาเมืองโซลรายนี้ ว่าไม่อยู่บนหลักความเป็นจริงและเกลียดชังผู้หญิง หนึ่งในนั้นถึงขั้นตั้งคำถามว่านักการเมืองรายนี้กับพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกคู่ขนานกันหรือเปล่า

ด้านพรรคยุติธรรม กล่าวหาสมาชิกสภาเมืองรายดังกล่าวว่า "หาทางออกง่าย ๆ ด้วยการกล่าวโทษพวกผู้หญิงในสังคมเกาหลี ที่ต้องดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นจากการเลือกปฏิบัติทางเพศ" พร้อมเรียกร้องให้เขาถอนคำพูดและวิเคราะห์ต้นตอปัญหาอย่างเหมาะสมแทน

เมื่อได้รับการติดต่อขอคำชี้แจงจากบีบีซี ทาง คิม อ้างว่าเขาไม่ได้มีเจตนาวิพากษ์วิจารณ์สังคมที่ถูกครอบงำโดยผู้หญิง และเพียงแค่ให้มุมมองส่วนตัวเกี่ยวกับผลกระทบบางอย่างจากสิ่งนี้

อย่างไรก็ตาม ความเห็นของเขามีขึ้นตามหลังข้อเสนอทางการเมืองต่าง ๆ จำนวนหนึ่ง ที่ปราศจากหลักการทางวิทยาศาสตร์และบางครั้งออกแนวแปลกประหลาด อ้างว่ามีเป้าหมายเพื่อจัดการกับประเด็นที่ก่อแรงกดดันทางสังคมอย่างยิ่งในเกาหลีใต้ ในนั้นรวมถึงอาการป่วยทางจิต ความรุนแรงทางเพศและอัตราการเกิดที่ต่ำที่สุดในโลก

เมื่อเดือนที่แล้ว สมาชิกสภากรุงโซลอีกคนในวัย 60 ปีเศษ ๆ เผยแพร่บนความบนเว็บไซต์ของทางการ ยุให้สาวเล่นยิมนาสติกและออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพื่อเพิ่มอัตราการเกิด ขณะเดียวกันสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งของรัฐบาลแนะนำอนุญาตให้เด็กผู้หญิงเริ่มเข้าโรงเรียนเร็วกว่าเด็กผู้ชาย โดยเชื่อว่าการสร้างช่องว่างของอายุระหว่างชายและหญิงในโรงเรียนจะสร้างความดึงดูดใจมากขึ้น เมื่อพวกเขาเข้าสู่วัยที่แต่งงานได้

โดนใจชาวจีน!! ‘ร้านชาถุงกระดาษสไตล์ไทย’ ร้อนแรงในแดนมังกร ความนิยมพุ่งในหลายเมือง ขายดีเป็นพิเศษยามเข้าสู่ฤดูร้อน

(10 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ท่ามกลางการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างจีนกับไทย ‘วัฒนธรรมชา’ ถือเป็นหนึ่งส่วนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมมิตรภาพระหว่างประชาชนสองประเทศ โดยปัจจุบันวัฒนธรรมชาของจีนและไทยมีชีวิตชีวาผ่านการบูรณาการและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่

จางกุ้ยเหวิน ได้เปิดร้านชาถุงกระดาษสไตล์ไทยในนครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน โดยชาถุงกระดาษสไตล์ไทยนี้กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหลายเมืองของจีน และขายดีเป็นพิเศษยามเข้าสู่ฤดูร้อนที่ผู้คนอยากได้เครื่องดื่มดับกระหาย

ชาไทย ชามะนาว รวมถึงกาแฟเย็นและเมนูอื่น ๆ ในบรรจุภัณฑ์ธรรมดาเรียบง่ายอย่างถุงพลาสติกใส่น้ำแข็งที่ถูกมัดยางจนพองกลมและสวมด้วยถุงกระดาษสี่เหลี่ยมที่มีลวดลายต่าง ๆ กลายเป็น ‘จุดขาย’ ดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างดีทีเดียว

อนึ่ง ร้านชาสไตล์ไทยหลายแห่งในกว่างซีใช้วัตถุดิบหลักที่นำเข้าจากไทย ซึ่งมีรสชาติเข้มข้นถูกใจผู้บริโภคเฉกเช่นเฉินย่วนย่วน ชาวเมืองหนานหนิง ที่เผยว่ามักซื้อใบชาไทยเพื่อทำชามะนาว ชานม และเครื่องดื่มอื่นๆ ด้วยตัวเอง

เมื่อไม่นานนี้ ชาตรามือ แบรนด์ชาชื่อดังของไทย ได้เปิดร้านสาขาในนครหนานหนิง ซึ่งมีผู้คนต่อแถวยาวเพื่อซื้อเครื่องดื่มหลากหลายเมนูและถ่ายรูปเช็กอิน โดยเฉินย่วนย่วนเล่าว่าชาตรามือเป็นร้านที่มักแวะซื้อเครื่องดื่มเมื่อไปเที่ยวกรุงเทพฯ รวมถึงซื้อชาซองของที่นี่กลับมาฝากครอบครัวและเพื่อนฝูง

‘สิงคโปร์’ ไฟเขียว!! นำเข้าแมลง 16 ชนิด เพิ่มความมั่นคงทางอาหาร ด้าน 'ไทย' ตีปีก มีความได้เปรียบเหนือกว่าประเทศคู่แข่งเพียบ

(10 ก.ค. 67) สำนักงานอาหารของสิงคโปร์ออกประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (8 ก.ค.) เกี่ยวกับข้อกำหนดใหม่ในการนำเข้าแมลง 16 ชนิดที่ได้รับการอนุมัติเป็นอาหาร โดยประกาศดังกล่าวระบุว่า แมลงและผลิตภัณฑ์จากแมลงเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถนำมาบริโภคหรือเป็นอาหารปศุสัตว์ โดยแมลงและผลิตภัณฑ์จากแมลงที่นำเข้าเพื่อการบริโภคโดยตรงของมนุษย์จะต้องได้รับการฆ่าเชื้อโรคอย่างเพียงพอ

ทั้งนี้ การนำเข้าแมลงแต่ละชนิดจะได้รับการอนุมัติให้นำเข้าในช่วงอายุที่กำหนดเท่านั้น เช่น จิ้งหรีดและตั๊กแตนได้รับอนุญาตให้นำเข้าในระยะโตเต็มวัยเท่านั้น ในขณะที่หนอนนกและด้วงจะต้องนำเข้าขณะที่ยังเป็นตัวอ่อน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร 

ขณะที่ไทยเป็นประเทศที่มีความได้เปรียบกว่าประเทศคู่แข่ง ด้วยสภาพอากาศร้อนชื้นที่เหมาะสมสำหรับทำฟาร์มเพาะเลี้ยงแมลงเพื่อส่งออก และยังมีวัตถุดิบเพียงพอในการทำโรงงานผลิตแมลงแปรรูปได้อีก โดยแมลงยอดนิยม อาทิ จิ้งหรีด, ตั๊กแตน, แมงป่อง, ดักแด้, หนอนรถด่วน และด้วง จึงเป็นโอกาสสำคัญทางเศรษฐกิจไทยในการส่งออกแมลงที่เป็นสินค้าส่งออกที่มีอนาคตสดใส ในการสร้างรายได้ให้ประเทศ

ประมวลเหตุการณ์ ส่งผลปลายทางสงคราม ‘รัสเซีย-ยูเครน’ ปิดฉากด้วย ‘ยูเครน’ ยอมแพ้ ไม่ใช่การเจรจาข้อตกลงร่วมกัน

“Ukraine war will end in surrender”
By STEPHEN BRYEN
02/07/2024

นี่ความคิดเห็นจาก ‘สตีเฟน ไบรเอน’ ผู้สื่อข่าวอาวุโสแห่งเอเชียไทมส์ ผู้ซึ่งเคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเจ้าหน้าที่ของคณะอนุกรรมการตะวันออกใกล้ แห่งคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมทั้งเคยเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหมด้านนโยบายของสหรัฐฯ

โดย ‘สตีเฟน ไบรเอน’ ยังระบุเพิ่มอีกว่า “แล้วมันก็จะไม่มีการเจรจาใด ๆ กับเซเลนสกี เมื่อกองทัพยูเครนพังครืนลงมา และมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เข้าแทนที่”

นอกจากนี้ ‘สตีเฟน ไบรเอน’ ยังได้วิเคราะห์จุดจบแห่งสงครามในครั้งนี้ด้วยว่า สงครามยูเครนจะยุติลงด้วยการยอมจำนน ไม่ใช่ด้วยการทำข้อตกลงภายหลังการเจรจาต่อรองกัน นี่เป็นความรู้สึกของผมในเรื่องที่ว่าสงครามคราวนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางไหน และเป็นเหตุผลที่อธิบายว่าทำไมฝ่ายต่าง ๆ จึงไม่สามารถที่จะเจรจาเพื่อทำความตกลงกัน

การตั้งแง่เล่นเล่ห์เหลี่ยมเพื่อมุ่งชิงความได้เปรียบกันในช่วงหลัง ๆ มานี้ ที่ทำให้การเจรจากันยังเกิดขึ้นไม่ได้จนแล้วจนรอด ปรากฏตัวอย่างให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม ในคำประกาศซึ่งอยู่ในคำสัมภาษณ์ที่ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน บอกกับสื่อฟิลาเดลเฟีย อินไควเรอร์ (Philadelphia Inquirer) [1] ในสหรัฐฯ

ในคำสัมภาษณ์นี้ เซเลนสกีกล่าวว่า มันไม่สามารถที่จะมีการเจรจาโดยตรง [2] ระหว่างยูเครนกับรัสเซีย แต่อาจจะมีการเจรจากันทางอ้อมโดยผ่านฝ่ายที่สาม ในฉากทัศน์ซึ่งเสนอขึ้นมาโดยเซเลนสกีนี้ ฝ่ายที่สามจะทำหน้าที่เป็นคนกลาง และการทำความตกลงใด ๆ จะต้องเป็นการตกลงกับคนกลางนี้เท่านั้น ไม่ใช่การตกลงระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทั้งนี้เซเลนสกีเสนอแนะด้วยว่ายูเอ็นสามารถแสดงบทบาทเช่นนี้ได้

อย่างไรก็ดี ข้อเสนอนี้ของเซเลนสกีไม่สามารถที่จะเป็นจุดเริ่มต้นอะไรขึ้นมาได้หรอกด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการ แต่ข้อใหญ่ที่สุดก็คือความเป็นจริงที่ว่าประดารัฐซึ่งกำลังทำสงครามกันอยู่ จำเป็นที่จะต้องตกลงกันโดยตรงในเรื่องการยุติการสู้รบขัดแย้ง

การอาศัยฝ่ายที่สามเป็นผู้นำเอาข้อตกลงใด ๆ มาปฏิบัติให้เป็นจริงขึ้นมานั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีหวังจะประสบความสำเร็จเอาเลย อย่างที่ข้อตกลงมินสก์ (Minsk agreement) ซึ่งล้มเหลวไม่เป็นท่า (ไม่ว่าฉบับปี 2014 หรือปี 2015) ได้แสดงให้เห็นกันอยู่แล้ว ข้อตกลงมินสก์ทั้งสองฉบับ ถือเป็นกรณีลูกผสมซึ่งมีการลงนามรับรองโดยรัสเซีย, ยูเครน, และองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (Organization for Security and Cooperation in Europe หรือ OSCE)

แต่แล้วยูเครนปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงเหล่านี้ และ OSCE ก็ถูกพิสูจน์ให้เห็นว่าไร้ทั้งเขี้ยวเล็บและไร้ทั้งเจตนารมณ์ ที่จะพยายามและบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง การตกลงกันในคราวนั้นยังได้รับการหนุนหลังจากเยอรมนีและฝรั่งเศส ถึงแม้ทั้งคู่ต่างก็ไม่ได้ร่วมลงนามหรือมีพันธะผูกพันทางกฎหมายไม่ว่าในลักษณะใดก็ตามทีที่จะต้องสนับสนุนข้อตกลงซึ่งออกมา

‘ข้อเสนอ’ เช่นนี้ของเซเลนสกี แท้ที่จริงแล้วจึงเป็นเพียงม่านควันอีกอันหนึ่งซึ่งเขาปล่อยออกมาเพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้ยูเครนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ต้องการทำความตกลงกับรัสเซีย ทั้งนี้มีพลังที่เข้มแข็ง 3 พลังด้วยกันที่ยังคงคอยดึงรั้งเซเลนสกีเอาไว้ไม่ให้เข้าสู่โต๊ะเจรจา

พลังหรือเหตุผลข้อสำคัญที่สุดก็คือ การที่เพลเยอร์ชาวแองโกล-แซกซอนตัวหลักในนาโต้ ซึ่งก็คือ ‘สหรัฐฯ’ และ ‘สหราชอาณาจักร’ มีท่าทีคัดค้านอย่างแข็งขันไม่ต้องการให้มีการเจรจาใด ๆ กับรัสเซีย สหรัฐฯ นั้นกำลังกระทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้ โดยรวมไปถึงการใช้การแซงก์ชั่นและมาตรการทางการทูตต่าง ๆ เพื่อขัดขวางไม่ให้เกิดการสนทนาใด ๆ กับรัสเซียไม่ว่าในหัวข้อใด ๆ (นอกเหนือจากเรื่องการแลกเปลี่ยนเชลยศึก)

เหตุผลประการที่สองคือกฎหมายของยูเครน ที่อุปถัมภ์โดยเซเลนสกี ซึ่งมีเนื้อหาระบุห้ามไม่ให้มีการเจรจาใด ๆ กับรัสเซีย รัฐสภาของยูเครนที่มีชื่อว่า เวอร์คอฟนา ราดา (Verkhovna Rada) สามารถที่จะยกเลิกกฎหมายดังกล่าวได้ภายเวลา 1 นาโนวินาที ถ้าเซเลนสกีร้องขอให้พวกเขากระทำเช่นนั้น ทว่าเขาไม่น่าจะอยากให้ทำหรอก

เซเลนสกีคือผู้ที่ควบคุมรัฐสภายูเครนเอาไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ รวมทั้งได้จับกุมหรือเนรเทศพวกนักการเมืองฝ่ายค้านให้ออกไปอยู่นอกประเทศ ตลอดจนควบคุมหนังสือพิมพ์และสื่ออื่น ๆ การใช้กำปั้นเหล็กของเซเลนสกีเช่นนี้หมายความว่า ตัวเขาเองจะไม่ยอมเป็นผู้เปิดทางให้มีการเจรจาโดยตรงอย่างแน่นอน

นอกจากนั้นแล้ว เซเลนสกียังได้ลงนามประกาศใช้กฤษฎีกาประธานาธิบดีฉบับหนึ่ง ที่ห้ามไม่ให้มีการเจรจาใด ๆ [3] กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย

สำหรับเหตุผลประการที่สาม เกี่ยวข้องกับแรงกดดันต่อเซเลนสกีจากพวกนักชาตินิยมฝ่ายขวาสายแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็รวมไปถึงกองกำลังอาวุธอาซอฟ (Azov brigade) ที่เป็นพวกนาซีใหม่ (neo-Nazi) ซึ่งเวลานี้ถูกนำมารวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพยูเครนแล้ว หลักฐานโดยตรงที่แสดงให้เห็นถึงแรงบีบคั้นนี้ก็คือการปลด พลโท ยูริ โซดอล (Lieutenant General Yuri Sodol) ผู้บังคับบัญชาระดับท็อปของกองกำลังฝ่ายเคียฟที่อยู่พื้นที่แคว้นคาร์คอฟ (Kharkov)

**(คาร์คอฟ Kharkov ในภาษารัสเซีย หรือ คาร์คิฟ Kharkiv ในภาษายูเครน เป็นชื่อแคว้นและเมืองเอกของแคว้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครน และประชิดติดกับชายแดนรัสเซีย โดยที่เมืองคาร์คอฟยังเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของยูเครนอีกด้วย ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Kharkiv_Oblast และ https://en.wikipedia.org/wiki/Kharkiv)

โซดอล โดนข้อกล่าวหาจากพวกผู้นำกองกำลังอาซอฟ [4] ว่ากำลังสังหารชาวยูเครนมากยิ่งกว่าชาวรัสเซียอีกในการสู้รบทำศึกที่คาร์คอฟ อาซอฟส่งข้อความนี้ของตนไปยังรัฐสภา และเซเลนสกีก็กระทำตามด้วยการปลดโซดอล

ตั้งแต่ที่โซดอลถูกปลด สถานการณ์ของยูเครนตามแนวเส้นปะทะระหว่างยูเครนกับรัสเซียตลอดทั้งแนวรบทีเดียวก็อยู่ในสภาพเลวร้ายลงไปอีก ความสูญเสียจากการสู้รบของฝ่ายยูเครนอยู่ในระดับที่สูงมาก โดยในบางวันมีผู้ถูกสังหารและได้รับบาดเจ็บมากถึง 2,000 คนทีเดียว

ฝ่ายรัสเซียได้ยกระดับการโจมตีของพวกเขาด้วยการใช้ลูกระเบิดนำวิถี FAB (FAB glide bombs) ขนาดต่าง ๆ รวมทั้งเจ้าอสุรกาย FAB-3000 [5] ที่อัดวัตถุระเบิดแรงสูงเข้าไป 3,000 กิโลกรัม ซึ่งลูกหนึ่งเพิ่งถูกทิ้งลงใส่ศูนย์บัญชาการกองทัพบกยูเครนแห่งหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ของภูมิภาคดอนบาส (Donbas) ที่ถูกขนานนามว่า นิวยอร์ก (New York) [6] และมีรายงานว่าสังหารบุคลากรทางทหารของยูเครนไปไม่น้อยกว่า 60 คน

**(ดอนบาส Donbas เป็นภูมิภาคในยูเครนตะวันออกที่ประกอบด้วยแคว้นโดเนตสก์ Donetsk กับแคว้นลูฮันสก์ Luhansk หรือ ลูกันสก์ Lugansk ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Donbas)**

ทางรัสเซียยังบอกด้วยว่า เซเลนสกีนั้นไม่สามารถที่จะเป็นคู่เจรจาของฝ่ายตนได้ เนื่องจากวาระการดำรงตำแหน่งของเขาหมดไปตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคม อันที่จริงก็มีความสับสนอยู่เหมือนกันเกี่ยวกับฐานะตามกฎหมายของเซเลนสกีในเรื่องนี้ แต่พวกผู้เชี่ยวชาญทั้งในและนอกยูเครนต่างคิดว่า ตำแหน่งผู้นำของประเทศนี้ควรที่จะถูกส่งต่อให้แก่ประธานรัฐสภายูเครน [7] นับแต่ที่วาระของเซเลนสกีหมดสิ้นลง

ประธานรัฐสภายูเครนคนปัจจุบันคือ ‘รัสลัน สเตฟานชุค’ (Ruslan Stefanchuk) เวลานี้เขามีการเคลื่อนไหวทางการเมืองคึกคักยิ่งขึ้นกว่าเมื่อก่อน ถึงแม้เขายังไม่เคยแสดงการคัดค้านที่เซเลนสกียังคงปกครองประเทศต่อไปก็ตามที

ขณะเดียวกันนั้น เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ในสมรภูมิแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฝ่ายรัสเซียกำลังเล็งดูแล้วว่า เวลากำลังใกล้จะสุกงอมเต็มทีแล้วที่กองทัพยูเครนถ้าหากไม่พังครืนลงไปก็จะต้องขอยอมแพ้ หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง

แต่ไม่ว่าจะเป็นในกรณีไหน ก็จำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลยูเครนในบางลักษณะ บางทีอาจจะกระทำโดยคณะผู้นำทางทหารชั่วคราวที่คัดเลือกขึ้นมาโดยรัสเซีย นี่จะเปิดทางให้ฝ่ายรัสเซียสามารถกำหนดข้อตกลงในการยอมจำนน เอากับรัฐบาลชุดที่จะขึ้นมาแทนที่

การยอมแพ้ของกองทัพยูเครน และข้อตกลงที่ทำกับรัฐบาลซึ่งรัสเซียแต่งตั้งขึ้นมา ย่อมจะทำให้นาโต้เข้าเกี่ยวข้องพัวพันอยู่ในยูเครนต่อไปไม่ได้แล้ว

นี่อาจเป็นการเปิดประตูไปสู่การสนทนาด้านความมั่นคงระหว่างนาโต้กับรัสเซียขึ้นมาในท้ายที่สุด ในทันทีที่นาโต้บดย่อยและกลืนกินสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเหตุผลที่ทำไมมันจึงเกิดขึ้นมา ทั้งนี้ ต้องถือเป็นเรื่องโชคร้าย การนำเอาพวกผู้นำทางการเมืองอย่าง มาร์ค รึตเตอ (Marc Rutte) เข้าสู่นาโต้ ย่อมไม่ใช่ลางดีสำหรับอนาคตของกลุ่มพันธมิตรด้านความมั่นคงกลุ่มนี้

**(รึตเตอร์ อำลาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2024 เพื่อเข้าเป็นเลขาธิการองค์การนาโต้คนถัดไปต่อจาก เยนส์ สโตลเตนเบิร์ก Jens Stoltenberg โดยมีกำหนดเริ่มดำรงตำแหน่งใหม่นี้ในวันที่ 1 ตุลาคม ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Mark_Rutte)**

ถ้าหากฝ่ายรัสเซียเป็นผู้ชนะในยูเครน ซึ่งดูน่าจะเป็นเช่นนั้นมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ สารสำคัญที่สุดจากเรื่องนี้สำหรับนาโต้ ก็คือว่า กลุ่มพันธมิตรด้านความมั่นคงกลุ่มนี้ต้องยุติการขยายตัวของตนเองเสียที และมองหาหนทางในการทำความตกลงเพื่อดำเนินการกับรัสเซียในยุโรป ซึ่งมีเสถียรภาพยิ่งกว่าที่เป็นมา

สตีเฟน ไบรเอน เป็นผู้สื่อข่าวอาวุโสอยู่ที่เอเชียไทมส์ เขาเคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเจ้าหน้าที่ของคณะอนุกรรมการตะวันออกใกล้ แห่งคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมทั้งเคยเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหมด้านนโยบายของสหรัฐฯ

ข้อเขียนนี้หนแรกสุดเผยแพร่อยู่ใน Weapons and Strategy ที่เป็นบล็อกบนแพลตฟอร์ม Substack ของผู้เขียน

เชิงอรรถ
[1] https://www.inquirer.com/opinion/zelensky-ukraine-war-interview-trudy-rubin-20240630.html
[2] https://www.rt.com/russia/600232-zelensky-model-talks-russia/
[3] https://www.livemint.com/news/world/ukraine-zelensky-signs-decree-rule-out-negotiation-russia-vladimir-putin-impossible-11664876727245.html
[4] https://unn.ua/en/news/details-of-the-complaint-that-krotevych-wrote-against-general-sodol-became-known
[5] https://x.com/NewRulesGeo/status/1807719236216746085
[6] https://sputnikglobe.com/20240701/watch-russian-forces-pound-new-york-in-donbass-with-fab-3000-guided-bomb-1119203142.html
[7] https://carnegieendowment.org/russia-eurasia/politika/2024/03/is-zelenskys-legitimacy-really-at-risk?lang=en

‘เวียดนาม’ ครองแชมป์!! ‘ค่าครองชีพถูกที่สุด’ สำหรับต่างชาติ ขึ้นแท่นอันดับ 1 ติดต่อกัน 4 ปีซ้อน จาก 53 ประเทศ

(9 ก.ค. 67) สำนักข่าวซีเอ็นบีซี รายงานว่า ตามการศึกษาของ InterNations คอมมูนิตี้สำหรับคนที่ไปทำงานต่างประเทศ ในปี 2024 ‘เวียดนาม’ ครองแชมป์ประเทศที่มีค่าครองชีพสำหรับชาวต่างชาติที่ย้ายไปอยู่ ‘น้อยที่สุด’ ในโลก เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยเวียดนามได้อันดับ 1 จาก 53 ประเทศ 

อย่างไรก็ตาม ในด้านอื่น ๆ เวียดนาม อยู่อันดับที่ 40 จาก 53 ประเทศในด้านคุณภาพชีวิต อันดับที่ 29 สำหรับสิ่งจำเป็นสำหรับชาวต่างชาติ เช่น อินเทอร์เน็ต ที่อยู่อาศัย และภาษา และอยู่อันดับที่ 14 สำหรับการทำงานในต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงโอกาสทางอาชีพ เงินเดือน และความมั่นคงของงาน

จากการสำรวจ ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเวียดนาม 86% เห็นพ้องกันว่าค่าครองชีพในประเทศนี้ดี ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 40% ถึงสองเท่า และ 65% ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศเวียดนาม พอใจกับสถานการณ์ทางการเงินของตนเอง เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 54%

ความพึงพอใจในการทำงานโดยทั่วไปก็สูงมากในหมู่ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ เวียดนามได้ก้าวกระโดดจากอันดับที่ 24 ในปีที่แล้ว มาเป็นอันดับที่ 3 ในปี 2024

โดยทั่วไปแล้ว ความสมดุลระหว่างชีวิต และการทำงานมีความสำคัญมากกว่าความก้าวหน้าในอาชีพ ซึ่งในเวียดนาม มีเพียงไม่ถึงครึ่ง (46%) ของชาวต่างชาติในประเทศนี้ที่ทำงานเต็มเวลา เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 57% โดยประมาณหนึ่งในห้าของชาวต่างชาติ (21%) ทำงานพาร์ทไทม์ และประมาณ 18% ของชาวต่างชาติได้เกษียณอายุแล้ว

“ชีวิตที่นี่ไม่มีความเครียดสำหรับฉัน เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยอดเยี่ยมจากชีวิตการทำงานที่เคยเหนื่อยล้า และวุ่นวายมาก” ชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่ในเวียดนามกล่าว

สำหรับดัชนีการเงินส่วนบุคคล (Personal Finance Index) ทาง InterNations ได้สอบถามผู้เข้าร่วมสำรวจเกี่ยวกับระดับความพึงพอใจส่วนบุคคลใน 3 ด้าน ได้แก่ ค่าครองชีพโดยทั่วไป ความพึงพอใจในสถานการณ์ทางการเงิน และรายได้สุทธิของครัวเรือนว่า มีเพียงพอที่จะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายหรือไม่

ผลการสำรวจพบว่า ‘10 อันดับแรก’ ของจุดหมายปลายทางที่ชาวต่างชาติบอกว่า ‘ดีที่สุดสำหรับการเงินส่วนบุคคล’ ของพวกเขา ได้แก่

- อันดับ 1 เวียดนาม 

- อันดับ 2 กัมพูชา 

- อันดับ 3 อินโดนีเซีย

- อันดับ 4 ปานามา 

- อันดับ 5 ฟิลิปปินส์ 

- อันดับ 6 อินเดีย 

- อันดับ 7 เม็กซิโก 

- อันดับ 8 ไทย 

- อันดับ 9 บราซิล

- อันดับ 10 จีน 

เห็นได้ว่า ประเทศใน ‘แถบเอเชีย’ ครองอันดับสูงสุดในปีนี้ โดยกวาดไปถึง 6 ใน 10 อันดับแรกของรายการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทยที่ติดอันดับท็อป 10 ทั้งหมด

“ที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากสำหรับค่าครองชีพ โดยไทยอยู่อันดับ 1 ที่ชาวต่างชาติเข้าถึงที่อยู่ได้ง่ายที่สุด เวียดนามอันดับ 2 ฟิลิปปินส์ อันดับ 5 และอินโดนีเซียอันดับ 8 ซึ่งชาวต่างชาติจำนวนมากเห็นพ้องว่า 4 ประเทศนี้ หาที่อยู่อาศัยได้ง่าย และพวกเขาพอใจกับความสามารถในการจ่ายได้” แคทริน ชูโดบา หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ InterNations กล่าว

ทั้งนี้ จาก 53 จุดหมายปลายทางทั่วโลก มีสี่ประเทศในเอเชียที่ติดอันดับท็อป 10 ในปีนี้ ได้แก่ อินโดนีเซีย (อันดับ 3 โดยรวม), ไทย (อันดับ 6 โดยรวม), เวียดนาม (อันดับ 8 โดยรวม) และฟิลิปปินส์ (อันดับ 9 โดยรวม)

‘NASA’ ลุยปล่อย ‘ภารกิจคูรี’ ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ หวังสำรวจ-ศึกษาต้นกำเนิด ‘คลื่นวิทยุ’ จากดวงอาทิตย์

(9 ก.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นาซามีกำหนดปล่อยภารกิจคูรี (CURIE) สู่ห้วงอวกาศในวันนี้ เพื่อสำรวจต้นกำเนิดของคลื่นวิทยุจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนสภาพอากาศในอวกาศที่สำคัญ

ทั้งนี้ อุปกรณ์ในภารกิจดังกล่าวจะถูกขนส่งโดยจรวดแอเรียน 6 (Ariane 6) ขององค์การอวกาศยุโรป จากศูนย์อวกาศเกียนาในเมืองกูรู จังหวัดเฟรนช์เกียนาของฝรั่งเศส และประจำการที่ระดับความสูง 360 ไมล์ (ราว 580 กิโลเมตร) เหนือระดับพื้นผิวโลก

ภารกิจนี้จะใช้เทคนิคการรวมสัญญาณกล้องโทรทรรศน์วิทยุเพื่อศึกษาการปล่อยคลื่นวิทยุจากการปะทุของดวงอาทิตย์ อาทิ เปลวสุริยะ และการปลดปล่อยก้อนมวลสารจากโคโรนา (coronal mass ejection) ในเฮลิโอสเฟียร์ชั้นใน (inner heliosphere) ซึ่งปรากฏการณ์ข้างต้นเหล่านี้กระตุ้นสภาพอากาศในอวกาศให้เพิ่มการเกิดแสงเหนือและผลกระทบต่อสนามแม่เหล็กโลก

องค์การฯ ระบุว่า ทีมงานจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์เป็นผู้ออกแบบภารกิจคูรี ซึ่งจะเป็นภารกิจแรกที่วัดคลื่นวิทยุในช่วงความถี่ 0.1-19 เมกะเฮิร์ตซ์จากอวกาศ เนื่องจากชั้นบรรยากาศชั้นบนของโลกปิดกั้นความยาวคลื่นเหล่านี้ จึงสามารถดำเนินการวิจัยได้จากอวกาศเท่านั้น

นาซา เผยว่า คูรีจะใช้เทคนิคที่เรียกว่าการรวมสัญญาณกล้องโทรทรรศน์วิทยุย่านความถี่ต่ำในระหว่างการวิจัยคลื่นวิทยุจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ยังไม่เคยใช้ในอวกาศมาก่อน โดยเทคนิคนี้ต้องอาศัยยานอวกาศอิสระสองลำ เมื่อรวมกันแล้วมีขนาดเล็กกว่ากล่องรองเท้า และจะโคจรรอบโลกห่างกันราว 2 ไมล์ (ราว 3.2 กิโลเมตร)

อย่างไรก็ตาม การแยกตัวกันนี้เอื้อให้เครื่องมือของคูรีตรวจวัดความแตกต่างแม้เพียงเล็กน้อยเมื่อเกิดการแผ่คลื่นวิทยุได้ ซึ่งช่วยให้ระบุแหล่งที่มาของคลื่นวิทยุได้อย่างชัดเจน

ลือสะพัด!! 'ไบเดน' เป็นพาร์กินสัน ต้องเรียกหมอเฉพาะมาตรวจถี่ ด้านทำเนียบขาวยัน แค่ตรวจร่างกายตามปกติ ผู้นำวัย 81 ยังฟิตปั๋ง

กระแสความหวั่นวิตกเกี่ยวกับสภาพร่างกายของ โจ ไบเดน วัย 81 ปี ประธานาธิบดีในตำแหน่งที่มีอายุมากที่สุดในสหรัฐฯ และยังประกาศว่าพร้อมรับตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่ 2 ยังคงมีออกมาอย่างต่อเนื่อง 

ล่าสุด สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า โจ ไบเดน อาจมีอาการป่วยบางอย่างที่ไม่อาจเปิดเผยได้ และพบข้อมูลว่า ทำเนียบขาวได้เชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพาร์กินสันเข้าทำเนียบ อย่างน้อย 8 ครั้ง ตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว จนถึงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา 

ข้อมูลนี้เปิดเผยโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่ได้ตรวจสอบบันทึกผู้มาเยือนทำเนียบขาว และพบชื่อของ ดร.เควิน แคนนาร์ด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและความผิดปกติของการเคลื่อนไหวจากศูนย์การแพทย์ทหารแห่งชาติวอลเตอร์ รีด ที่เข้าทำเนียบขาวถึง 8 ครั้ง ในช่วงเดือนสิงหาคม 2023 - มีนาคม 2024 ซึ่ง ดร.เควิน ทำงานวิจัยเกี่ยวกับการรักษาโรคพาร์กินสันระยะเริ่มต้นที่ศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์ 

นอกจากนี้ แหล่งข่าวยังยืนยันด้วยว่า มีการนัดหารือกันระหว่าง ดร.เควิน แคนนาร์ด และ ดร.เควิน โอ'คอร์เนอร์ แพทย์ประจำตัวของโจ ไบเดน ในช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมาในทำเนียบขาวด้วย โดยไม่มีการอธิบายสาเหตุที่ทำให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพาร์กินสันต้องมาเยือนทำเนียบขาวถึง 8 รอบในช่วงเวลาไม่ถึง 1 ปี ส่งผลให้ข่าวลือเรื่องสภาพร่างกายที่ถดถอยของไบเดนโหมกระพือรุนแรงยิ่งขึ้น

คารีน ฌอง-ปิแอร์ โฆษกทำเนียบขาวได้ออกมากล่าวยืนยันในห้องประชุมสื่อมวลชนเมื่อวันจันทร์ (8 กรกฎาคม 2024) ที่ผ่านมาว่า ประธานาธิบดีไม่ได้เข้ารับการตรวจหาอาการพาร์กินสัน หรือกำลังได้รับยารักษาอาการดังกล่าวทั้งสิ้น 

แต่เมื่อนักข่าวได้จี้ถามถึงประวัติการตรวจสุขภาพร่างกายประจำปีของ โจ ไบเดน ซึ่งนอกเหนือจากการตรวจสุขภาพทั่วไป ยังพบว่าไบเดน ได้นัดพบกับผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยามาแล้วถึง 3 ครั้ง โดยด้านโฆษกทำเนียบขาวยอมรับว่า เป็นเรื่องจริง ว่าทุกครั้งที่มีโปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปี ต้องเข้าพบแพทย์ด้านประสาทวิทยาด้วย แต่ไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ประวัติด้านสุขภาพของไบเดน ถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคล และมีเหตุผลด้านความมั่นคงด้วย จึงไม่สามารถเปิดเผยได้ และขอร้องสื่อมวลชน อย่าโยงการมาเยือนทำเนียบขาวของ ดร.เควิน แคนนาร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพาร์กินสัน กับประวัติการตรวจร่างกายของประธานาธิบดี เนื่องจากในแต่ละปีก็มีบุคลากรจากศูนย์การแพทย์ทหารเข้า-ออก ทำเนียบขาวนับพันคนในแต่ละปี ที่ไม่ได้เกี่ยวกับภารกิจด้านการแพทย์ 

ด้าน ดร.เควิน โอ'คอร์เนอร์ แพทย์ประจำตัวผู้นำสหรัฐฯ ออกจดหมายยืนยันว่า โจ ไบเดน ไม่ได้พบนักประสาทวิทยาเป็นกรณีพิเศษที่นอกเหนือจากโปรแกรมตรวจร่างกายประจำปี และจากรายงานสุขภาพล่าสุดของไบเดน ของ ดร.โอ'คอนเนอร์ ระบุว่าประธานาธิบดีได้รับการตรวจคัดกรองอาการทางระบบประสาทหลายอย่าง รวมถึงโรคพาร์กินสันด้วย ซึ่งมีผลออกมาเป็นลบ ที่ยืนยันได้ว่า โจ ไบเดน มีสุขภาพร่างกายที่พร้อมสำหรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการปิดข่าวจากเจ้ากรมข่าวลือ โจ ไบเดน ก็ได้ไปออกรายการ 'Morning Joe' ของสถานี MSNBC เมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา เพื่อยืนยันว่าเขาจะไม่ไปไหนทั้งนั้น และมั่นใจว่า ตัวเขานั้นเป็นผู้เข้าแข่งขันที่ดีที่สุดของพรรคในการต่อสู้กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้ง 2024 ที่จะถึงนี้ 

แม้เจ้าตัวจะยอมรับว่า ผลงานบนเวทีดีเบตล่าสุดที่ผ่านมา อาจไม่เข้าตาผู้บริหารระดับสูงภายในพรรค หรือ นายทุนผู้บริจาครายใหญ่ แต่ โจ ไบเดน ก็ยังประกาศกร้าวว่า "ผมไม่สนใจสิ่งที่พวกเศรษฐีคิดหรอกนะครับ ถึงเงินสนับสนุนจะสำคัญ แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่ผมตัดสินใจลงแข่งขันในครั้งนี้"

ก็ถือเป็นคำยืนยันจากปู่ไบเดนว่า จะสู้ต่อ เพื่ออยู่ต่อ แม้จะมีแรงกดดันภายในพรรคให้ปู่ถอนตัวเพราะกลัวสังขารไปต่อไม่ไหวก็ตาม 

‘ชาวบาร์เซโลนา’ เดือด!! ฉีดน้ำใส่ นทท. ประท้วงต่อต้านการท่องเที่ยวมวลชน หลังสร้างผลกระทบ ‘ค่าครองชีพพุ่ง-คุณภาพชีวิตคนท้องถิ่นถดถอย'

(9 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อไม่นานมานี้ ได้เกิดเหตุประท้วงครั้งใหญ่ที่เมืองบาร์เซโลนาของสเปน หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

โดยชาวเมืองจำนวนมากได้ออกมาเดินขบวนผ่านพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวชอบมา และฉีดปืนฉีดน้ำใส่พวกเขา พร้อมตะโกนว่า “นักท่องเที่ยวกลับไป” ขณะที่ผู้ประท้วงบางส่วนถือป้ายที่มีข้อความเขียนว่า ‘บาร์เซโลนาไม่ได้มีไว้ขาย’ หรือ ‘การท่องเที่ยวมวลชนกำลังฆ่าเมืองของเรา’

การประท้วงครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อต่อต้านการท่องเที่ยวมวลชน (Mass Tourism) ในสเปน ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพและคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น

การประท้วงครั้งนี้เกิดจากกลุ่มองค์กรท้องถิ่นมากกว่า 100 องค์กร นำโดย Assemblea de Barris pel Decreixement Turístic (การชุมนุมของท้องถิ่นเพื่อความเสื่อมโทรมของการท่องเที่ยว)

ตามตัวเลขอย่างเป็นทางการ เฉพาะปี 2023 มีนักท่องเที่ยวแบบพักค้างคืนเดินทางมาภูมิภาคบาร์เซโลนาเกือบ 26 ล้านคน เกิดการใช้จ่ายเงิน 1.27 หมื่นล้านยูโร (ราว 5 แสนล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม Assemblea de Barris pel Decreixement Turístic กล่าวว่า นักท่องเที่ยวเหล่านี้ทำให้สินค้าขึ้นราคาและสร้างแรงกดดันต่อบริการสาธารณะ ในขณะที่ผลกำไรจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็ถูกกระจายอย่างไม่ยุติธรรมและเพิ่มความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม

กลุ่มผู้ประท้วงได้เผยแพร่ข้อเสนอ 13 ฉบับเพื่อลดจำนวนนักท่องเที่ยวและเปลี่ยนเมืองสู่รูปแบบใหม่ของการท่องเที่ยว ซึ่งรวมถึงการปิดท่าเรือสำราญ กฎระเบียบที่พักนักท่องเที่ยวเพิ่มเติม และการยุติการใช้จ่ายสาธารณะเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว

ด้าน เจาเม คอลโบนี นายกเทศมนตรีเมืองบาร์เซโลนา เน้นย้ำมาตรการต่าง ๆ ที่เขาได้ประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้เพื่อลดผลกระทบของการท่องเที่ยวมวลชน รวมถึงการเพิ่มภาษีนักท่องเที่ยวต่อคืนเป็น 4 ยูโร (เกือบ 160 บาท) และการจำกัดจำนวนผู้โดยสารบนเรือสำราญ

เมื่อปลายเดือน มิ.ย. คอลโบนียังได้ประกาศว่า จะยุติการเช่าอะพาร์ตเมนต์สำหรับนักท่องเที่ยวภายในปี 2028 ด้วยการยกเลิกใบอนุญาตการเช่าระยะสั้นสำหรับอะพาร์ตเมนต์มากกว่า 10,000 แห่ง

มาตรการนี้จะช่วยทำให้ที่อยู่อาศัยมีราคาไม่แพงมากสำหรับผู้อยู่อาศัยระยะยาว หลังช่วง 10 ปีที่ผ่านมาค่าเช่าเพิ่มขึ้น 68% ทำให้ค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านเพิ่มขึ้น 38%

อย่างไรก็ตาม คอลโบนีถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า อนุญาตให้จัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การแสดงแฟชั่นโชว์ของ หลุยส์ วิตตอง เมื่อเดือน พ.ค. รวมถึงการแข่งขันเรือใบ America's Cup ที่กำลังจะมีขึ้น

การประท้วงลักษณะนี้เป็นเรื่องปกติในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมหลายแห่งทั่วโลก ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวมากเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวจากช่วงโควิด-19

แม้การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของนักท่องเที่ยวอาจส่งผลดีต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและผลกำไรของธุรกิจการบริการ แต่ก็มีข้อเสียที่น่าสังเกตเช่นกัน ได้แก่ เสียงรบกวนที่เพิ่มขึ้น มลพิษ การจราจร และความเครียดต่อทรัพยากร คุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่นลดลง และอื่น ๆ อีกมากมาย

นั่นทำให้ไม่น่าแปลกใจที่สถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น, เวนิส ฯลฯ เริ่มมีความคิดริเริ่มและข้อจำกัดที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อต่อสู้กับการท่องเที่ยวที่มากจนเกินไป รวมถึงการขึ้นภาษีหรือค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยว มาตรการกีดกันนักท่องเที่ยวที่มีปัญหา และการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม

‘ผู้โดยสารแอร์ไชนา’ ขึ้นเครื่องครั้งแรก พลาดเปิดประตูฉุกเฉิน  เข้าใจผิดว่าเป็นประตูห้องน้ำ คาด!! จ่ายค่าเสียหายเหยียบล้าน

ถือเป็นเหตุการณ์น่าระทึกใจอย่างยิ่ง เมื่อผู้โดยสารรายหนึ่งซึ่งขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก พลาดไปเปิดประตูฉุกเฉินโดยไม่ตั้งใจ ขณะตามหาห้องน้ำ ส่งผลให้เครื่องบินโดยสารของสายการบินแอร์ไชนา ต้องวุ่นวายทั้งลำ แต่เคราะห์ดีที่มันเกิดบนภาคพื้น มิเช่นนั้นมันอาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ยากจะจินตนาการ

เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนที่เที่ยวบิน 2745 ของสายการบินแอร์ไชนา กำลังอยู่บนลานจอด ณ สนามบินฉือโจว ในมณฑลเจ้อเจียง ทางภาคตะวันออกของจีน เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 4 ก.ค. ที่ผ่านมา

รายงานข่าวระบุว่า ผู้โดยสารหน้าใหม่เดินไปบริเวณท้ายเครื่องบินและเปิดประตูฉุกเฉินโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ทำให้ทางลาดฉุกเฉินสำหรับอพยพถูกเปิดใช้งาน

"ตอนที่ทางลาดฉุกเฉินกระเด้งออกมา แม้แต่พวกพนักงานต้อนรับบนเที่ยวบินก็ยังตกอกตกใจ" ผู้โดยสารรายหนึ่งชื่อว่า เฉิง เล่าถึงเหตุการณ์ ในขณะที่ภาพถ่ายบนสื่อสังคมออนไลน์จีน พบเห็นเครื่องบินจอดอยู่ตรงกลางลานบิน ในสภาพที่ทางลาดฉุกเฉินถูกปล่อยออกมาแล้ว

สุดท้ายแล้วเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องพาผู้โดยสารทั้งหมดลงจากเครื่องบิน และเที่ยวบินก็ถูกยกเลิกไปในท้ายที่สุด 

"ผู้โดยสารหญิงรายนี้ถึงกับร่ำไห้ ตอนที่ได้ทราบว่าเธอจำเป็นต้องจ่ายเงินชดใช้ความเสียหาย" เฉิงบอก 

ขณะที่เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ คาดหมายว่าค่าใช้จ่ายสำหรับเปิดใช้งานประตูฉุกเฉินของเครื่องบิน อยู่ที่ราว 28,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1 ล้านบาท) โดยผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความวุ่นวายนี้ถูกตำรวจเข้าสอบปากคำหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม ในรายงานข่าวไม่มีการระบุตัวตนสตรีรายนี้แต่อย่างใด

เรื่องนี้ก่อความวิตกบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบางส่วนตั้งคำถามและแสดงความกังวลเกี่ยวกับข้อบกพร่องในการออกแบบประตูฉุกเฉิน ที่เปิดโอกาสให้ผู้โดยสารหนึ่ง ๆ สามารถเปิดประตูฉุกเฉินโดยไม่ได้ตั้งใจได้อย่างง่ายดาย

‘แบงก์โลก’ เผย!! ‘รัสเซีย’ ขยับขึ้นสู่ประเทศที่มีรายได้สูง สวนทางความพยายามชาติตะวันตกคว่ำบาตรนานกว่า 2 ปี

(9 ก.ค. 67) เฟซบุ๊ก ‘Salika’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า…ธนาคารโลกชี้การเติบโตทางเศรษฐกิจของรัสเซียสวนทางกับการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกที่กินเวลายาวนานกว่า 2 ปีแล้ว

การจัดอันดับรายได้ประชาชาติประจำปีของธนาคารโลกล่าสุด แสดงให้เห็นว่า รัสเซียได้เลื่อนระดับจากประเทศที่มีรายได้ ‘ปานกลางระดับบน’ ไปเป็นประเทศที่มีรายได้ ‘สูง’ เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

ธนาคารวัดรายได้มวลรวมประชาชาติ (GNI) ตามวิธีการย้อนหลังไปถึงปี 1989 และอัปเดตการจัดหมวดหมู่นี้ทุก ๆ วันที่ 1 กรกฎาคม โดยอิงตาม GNI ต่อหัวของปีปฏิทินก่อนหน้า รายได้วัดในหน่วยเทียบเท่ากับดอลลาร์สหรัฐ

“กิจกรรมทางเศรษฐกิจในรัสเซียได้รับอิทธิพลจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทหารในปี 2566 ในขณะที่การเติบโตยังได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการค้า (+6.8%) ภาคการเงิน (+8.7%) และการก่อสร้าง (+6.6%)” บล็อกของธนาคารโลกระบุ

“ปัจจัยเหล่านี้นำไปสู่การเพิ่มขึ้นทั้ง GDP ที่แท้จริง (3.6%) และ GDP เล็กน้อย (10.9%) และ GNI (ตามวิธีคำนวณ Atlas Method) ของรัสเซียต่อหัวเพิ่มขึ้น 11.2%” ธนาคารโลกกล่าวเสริม

การเติบโตทางเศรษฐกิจนี้เกิดขึ้นแม้หลังจากที่สหรัฐฯ และพันธมิตรเรียกเก็บมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียหลายพันครั้งจากความขัดแย้งในยูเครน โดยระบุอย่างเปิดเผยว่าเป้าหมายของพวกเขาคือการทำลายเศรษฐกิจรัสเซียและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในมอสโก

“ไม่มีเศรษฐกิจใดในโลก แม้แต่จีน ที่สามารถทนต่อการรุกรานทางการเงินและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับรัสเซียได้” ศาสตราจารย์ Alexander Dynkin นักเศรษฐศาสตร์ชาวรัสเซียและประธานสถาบันวิจัยแห่งชาติ Primakov ด้านเศรษฐกิจโลกและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวกับ The Economic Times

“เราพึ่งพาตนเองได้ในด้านทรัพยากรพลังงาน วัตถุดิบ และอาหาร เรามีตลาดแรงงานที่มีทักษะ วิทยาศาสตร์พื้นฐานของเราอยู่ในระดับโลก ระบบนวัตกรรมระดับชาติของเราประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาอำนาจอธิปไตยทางเทคโนโลยีและเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มที่ว่างอยู่”

ประธานาธิบดี Vladimir Putin ของรัสเซีย กล่าวถึงนักลงทุนที่งานประชุมเศรษฐกิจนานาชาติเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเมื่อเดือนที่แล้วว่า เศรษฐกิจรัสเซียกำลังเติบโตแม้จะมีการคว่ำบาตรจากนานาชาติอย่างหนัก และประเทศได้ขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชีย AP รายงาน

ปัจจัยขับเคลื่อนหลักในการเติบโตทางเศรษฐกิจของรัสเซียคือการต่อสู้ในยูเครน ซึ่งขณะนี้มีความสำคัญต่อรัสเซียในเชิงเศรษฐกิจพอ ๆ กับในทางการเมือง แบรนด์ระดับโลกส่วนใหญ่ก็หายไป หรือกลับมาทำธุรกิจใหม่ในคราบของแบรนด์รัสเซีย แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนักในเชิงเศรษฐกิจสำหรับชาวรัสเซียส่วนใหญ่ โดยการใช้จ่ายของรัฐจำนวนมหาศาลสำหรับยุทโธปกรณ์ทางทหาร และการจ่ายเงินจำนวนมหาศาลให้กับทหารอาสาสมัคร ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างแข็งแกร่ง

เศรษฐกิจของรัสเซียจะเติบโตต่อไปในปีนี้ แม้จะมีการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก ตามข้อมูลจากธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนาแห่งยุโรป (EBRD) ในลอนดอน

EBRD คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ของรัสเซียจะขยายตัว 2.5% ในปี 2024 และกลับมาอยู่เหนือระดับที่เห็นก่อนปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครนในปี 2022 นั่นแสดงถึงการยกระดับครั้งใหญ่จากคำแนะนำก่อนหน้านี้ที่ 1.0% ที่ให้ไว้ในเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา ในขณะที่รัสเซียชดเชยผลกระทบของการคว่ำบาตรด้วยรายจ่ายมหาศาลสำหรับเครื่องจักรสงครามของตน แต่ยังคงชะลอตัวลงอย่างมากจากการเติบโต 3.6% ในปี 2566

“มันไม่สมจริงเลยที่จะคาดหวังว่าการคว่ำบาตรรัสเซียจะนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจและการเงินครั้งใหญ่ ดังที่หลาย ๆ คนคาดหวังไว้” Beata Javorcik หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ EBRD กล่าวกับ AFP ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รัสเซียได้ “มุ่งความสนใจไปที่เศรษฐกิจของตนไปที่ความพยายามในการทำสงคราม” เธอกล่าว “นี่กำลังนำไปสู่การเติบโตที่เร็วขึ้น” แต่ “การเติบโตนี้แปลไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของผู้คนหรือเปล่า เป็นเรื่องที่น่าสงสัย” 

“การเติบโตของรัสเซียในระยะกลางจะต่ำกว่าที่ควรจะเป็นในกรณีที่ไม่มีการคว่ำบาตร” เธอกล่าว

ทั้งนี้ ในการพิจารณาว่าประเทศใดมีรายได้สูง ประเทศนั้นจะต้องมีรายได้ประชาชาติ หรือ GNI (ผลรวมของรายได้ประเภทต่าง ๆ ของบุคคลในระบบเศรษฐกิจ ได้รับในฐานะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ในรอบระยะเวลาหนึ่ง ๆ) มากกว่า 14,005 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจาก 13,845 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีงบประมาณก่อนหน้า การปรับค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของ GDP deflators (ตัววัดค่าเฉลี่ยของระดับราคาของสินค้าทุกชนิดที่รวมอยู่ใน GDP) ของจีน ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และยูโรโซน

ธนาคารโลกกำหนดเศรษฐกิจของโลกไว้ 4 กลุ่มรายได้ ได้แก่ ต่ำ ปานกลางระดับล่าง ปานกลางระดับบน และสูง ซึ่งการจำแนกประเภทจะได้รับการอัปเดตทุกปีในวันที่ 1 กรกฎาคม

การแบ่งประเภทประเทศตามประเภทรายได้มีการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญตลอดช่วงเวลานับตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980 โดยในปี 1987 พบว่า 30% เป็นประเทศที่มีรายได้ต่ำ และ 25% เป็นประเทศที่มีรายได้สูง สำหรับปี 2023 ประเทศที่มีรายได้ต่ำลดเหลือ 12% และประเทศที่มีรายสูงถึง 40% ในหมวดผู้มีรายได้สูงเพิ่มขึ้นเป็น 40%

อย่างไรก็ตาม ขนาดและทิศทางของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก นี่คือไฮไลต์บางส่วนของแต่ละภูมิภาค

- 100% ของประเทศในเอเชียใต้ถูกจัดเป็นประเทศที่มีรายได้ต่ำในปี 1987 ในขณะที่ส่วนแบ่งนี้ลดลงเหลือเพียง 13% ในปี 2023

- ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือมีส่วนแบ่งของประเทศที่มีรายได้ต่ำในปี 2023 (10%) สูงกว่าในปี 1987 ที่ไม่มีประเทศใดถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่นี้

- ในละตินอเมริกาและแคริบเบียนสัดส่วนของประเทศที่มีรายได้สูงเพิ่มขึ้นจาก 9% ในปี 1987 เป็น 44% ในปี 2023

- ยุโรปและเอเชียกลางมีสัดส่วนของประเทศที่มีรายได้สูงในปี 2023 (69%) ต่ำกว่าปี 1987 (71%) เล็กน้อย

- นอกจากรัสเซีย แล้วยังมีอีก 2 ประเทศ คือ บัลแกเรียและปาเลา ที่ขึ้นแท่นเป็นประเทศที่มีรายได้สูง

‘นครฮาร์บิน’ เปิด ‘สวนสนุกน้ำแข็ง-หิมะในร่ม’ แห่งใหม่ รับนักท่องเที่ยว ด้าน กินเนสส์เวิลด์ฯ ยก!! ให้ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยพื้นที่ 23,800 ตร.ม.

เมื่อวานนี้ (7 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นครฮาร์บิน เจ้าของสมญานาม ‘เมืองน้ำแข็ง’ ในมณฑลเฮยหลงเจียงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ได้เปิด ‘สวนสนุกน้ำแข็งและหิมะในร่ม’ แห่งใหม่ต้อนรับนักท่องเที่ยว เมื่อวันเสาร์ (6 ก.ค.) ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า สวนสนุกแห่งใหม่นี้ ได้รับการบันทึกสถิติของกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด (Guinness World Record) ให้เป็นสวนสนุกน้ำแข็งและหิมะในร่มขนาดใหญ่ที่สุดโลกด้วยพื้นที่ก่อสร้าง 23,800 ตารางเมตร

โดยสวนสนุกแห่งนี้แบ่งพื้นที่เป็น 9 ส่วน ซึ่งจัดแสดงประติมากรรมน้ำแข็งเหมือนจริง พร้อมประดับแสงไฟหลากสีสัน และควบคุมอุณหภูมิให้คงที่เพื่อสามารถรับรองนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

อนึ่ง สวนสนุกแห่งนี้จะเป็นส่วนเสริมของสวนสนุกโลกน้ำแข็ง-หิมะ ฮาร์บิน (Harbin Ice-Snow World) ซึ่งเป็นสวนสนุกน้ำแข็งและหิมะกลางแจ้งตามฤดูกาล ทำให้ฮาร์บินกลายเป็นจุดหมายท่องเที่ยวในทุกฤดู

อย่างไรก็ตาม สวนสนุกโลกน้ำแข็ง-หิมะ ฮาร์บิน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 810,000 ตารางเมตร ได้รับรองนักท่องเที่ยวในฤดูหนาวที่ผ่านมาเฉลี่ยกว่า 30,000 คนต่อวัน

‘แฟนบอล’ แห่ลงชื่อให้ ‘เยอรมนี-สเปน’ แข่งศึกยูโรใหม่ หลังมองการตัดสินของแมตช์ดังกล่าวไม่ยุติธรรม

(8 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แฟนบอลเกิน 30,000 รายได้ลงชื่อบนเว็บไซต์ 'Change.org' ภายหลังจากเยอรมนีในฐานะเจ้าภาพต้องจบเส้นทางของฟุตบอลยูโร 2024 ไว้ที่รอบ 8 ทีมสุดท้าย หลังพ่ายต่อสเปนในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-2 เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้มีการเตะกันใหม่อีกครั้ง

เนื่องจาก ในเกมดังกล่าวเกิดจังหวะปัญหาขึ้นเมื่อ ‘แอนโธนี เทย์เลอร์’ ผู้ตัดสินชาวอังกฤษ ไม่เป่าให้เยอรมนีได้ลูกโทษในจังหวะที่ลูกยิงของ ‘จามาล มูเซียลา’ ไปโดนมือของ ‘มาร์ก กูกูเรยา’ กองหลังสเปนในกรอบเขตโทษช่วงต่อเวลาพิเศษ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าลูกนี้เป็นการแฮนด์บอลชัดเจน

ล่าสุดมีแฟนบอลเกิน 30,000 ราย ได้ลงชื่อบนเว็บไซต์ 'Change.org' ในการเรียกร้องให้แมตช์ดังกล่าวกลับมาเตะใหม่กันอีกครั้ง เนื่องจากมองว่าการตัดสินของ ‘แอนโธนี เทย์เลอร์’ นั้นไม่ยุติธรรม

ทั้งนี้ ‘โรแบร์โต โรเซ็ตติ’ หัวหน้าผู้ตัดสินของ ยูฟ่า ระบุถึงจังหวะปัญหาดังกล่าวว่า เขาไม่ต้องการเห็นจุดโทษที่ได้รับจากเหตุการณ์ที่แขนของกองหลังอยู่ใกล้ลำตัว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top