Wednesday, 14 May 2025
SPECIAL

'อุทัย' ปลื้ม!! ชาวบ้านเข้าใจ ภท.หนุนกัญชาเพื่อการแพทย์ เมินกัญชาเสรี แถมตอบกลับ "เลือกตั้งหนนี้ พร้อมกาให้เบอร์ 2 เขต 1 ยโสธร"

(16 เม.ย.66) นายอุทัย มิ่งขวัญ ผู้สมัครสมาชิกผู้แทนราษฎร พรรคภูมิใจไทย เขต 1 จังหวัดยโสธร เบอร์ 2 ได้ลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้าน โดยในวันนี้ นายอุทัย เดินหน้าทำความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องพืชสมุนไพร​ไทย 'กัญชาไทย มีประโยชน์ต่อสุขภาพและเป็นประโยชน์​ในทางการแพทย์' 

"วันนี้ขอใช้เวลาแบบยาวๆ เพื่อมาเดินเคาะประตูบ้านแบบทั่วถึงอีกหนึ่งวัน โดยหาเสียงแจกแผ่นผับโบว์ชัวร์​รณรงค์​ให้เลือกเบอร์ 2 เด็กวัด ลูกชาวนา ค่ายภูมิใจไทยในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัด​ยโสธร​ ประกอบด้วย​ อำเภอ​เมืองยโสธร​ อำเภอ​ทรายมูล​ อำเภอป่าติ้ว​ (เฉพาะตำบาลกระจาย และตำบลศรีฐาน)​ และ อำเภอคำเขื่อน​แก้ว​ (เฉพาะตำบลทุ่งมน)​ 

"สิ่งที่น่าประทับใจอย่างมาก คือ วันนี้เราอยากมาทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในแง่ของกัญชาในมิติที่ถูกต้อง แต่กลับกันชาวบ้านฝากบอกผมไปบอก 'เสี่ยหนู' อนุทิน ว่า..."ไม่ต้องห่วง ประชาชนเข้าใจในสาระสำคัญที่ภูมิใจไทยนำเสนอ และพร้อมสนับสนุน​เต็มที่ เพราะกัญชาพืชสมุนไพร​ไทยเป็นประโยชน์​ต่อสุขภาพ​และมีการปลูกตามครัวเรือน สวนหลังบ้าน ตามที่ทางการกำหนด และพร้อมสนับสนุนผู้สมัคร ส.ส.จากภูมิใจไทยอย่างแน่นอน" 

‘ชวน’ ลุยหาเสียง อ้อน ปชช. สนับสนุน ‘แนน ศิริภา’ ชี้ เป็นคนมีความสามารถ ซื่อสัตย์ มีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้แทนฯ

(16 เม.ย.66) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่กทม. โดยนายชวน หลีกภัย อดีตประธานรัฐสภาและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ลงพื้นที่ ซ.สุขสวัสดิ์ 26 เขตราษฎร์บูรณะ พร้อมด้วย น.ส.จิตภัสร์ ตั๊น กฤดากร รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อหาเสียงสนับสนุน น.ส.ศิริภา อินทวิเชียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. หมายเลข 11 เขตธนบุรี คลองสาน ราษฎร์บูรณะ

โดย นายชวน ได้นำ น.ส.ศิริภา เดินพบปะประชาชนที่มาจ่ายตลาด ภายในซ.สุขสวัสดิ์ 26 และฝากให้ช่วยกันเลือก น.ส.ศิริภา หมายเลข 11 รวมถึงเลือกพรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 26 บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักมีประชาชนเข้ามามอบดอกไม้ และขอถ่ายรูปจำนวนมาก เนื่องจากชื่นชมบทบาทของนายชวน ในการทำหน้าที่ประธานสภาฯ นอกจากนี้นายชวน ยังได้ขึ้นรถปราศรัย ขอคะแนนเสียงให้ น.ส.ศิริภา ไปตามซอกซอยต่างๆ ยืนยันความตั้งใจสนับสนุนให้ น.ส.ศิริภา ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.กทม. เพื่อเข้ามาเป็นตัวแทนประชาชนในสภาฯ ด้วยประสบการณ์การทำงานกับตนเองในฐานะเลขา

นายชวน กล่าวด้วยว่า น.ส.ศิริภา เป็นผู้สมัครหญิงของพรรคที่มีความรู้ความสามารถ มีความรับผิดชอบ และมีความตั้งใจ ซึ่งตนเชื่อมั่น น.ส.ศิริภา เพราะเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ สุจริต ประกอบกับกรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวง และประเทศไทยก็เป็นดินแดนอันเป็นที่ยอมรับ มีจุดดีจุดเด่นมากมาย จึงขอประชาชนอย่าละเลย ให้ประเทศเกิดโรคระบาดของการทุจริตโกงกิน  อีกทั้ง น.ส.ศิริภา ถือเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ตนคาดหวังอยากให้เป็น ส.ส.และมั่นใจว่าสนามการเลือกตั้ง กทม.ครั้งนี้ พรรคน่าจะประสบความสำเร็จได้ ส.ส.กลับคืนมาอย่างแน่นอน

จับตา 'รวมไทยสร้างชาติ' หลังส่ง 'วิเนตร ดอนเส' เข้าบู๊ ขี่ 'บัตรลุงตู่' ขู่ 'วันนิวัติ สมบูรณ์' แชมป์เก่าจนหลุดขอบ

การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ ขอนแก่นเขต 10 ถือว่ามีความคึกคักไม่แพ้เขตอื่นๆ ในจังหวัด 

เริ่มกันที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ส่ง 'วิเนตร ดอนเส' ศิษย์เก่าพลังประชารัฐ และศิษย์เก่า สร้างอนาคตไทย เข้าลงสังเวียน ท้าชิงแชมป์เก่า ส.ส. วันนิวัติ สมบูรณ์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ของอดีต ส.ว.รัตนาพร สมบูรณ์ บ้านใหญ่แห่งอำเภอหนองสองห้อง 

อย่างไรเสีย วิเนตร ดอนเส เองก็เคยเป็นอดีตนายกเทศมนตรีตำบลชนบท และอดีตคณะทำงานรัฐมนตรีหลายกระทรวงฯ ลงพื้นที่ใกล้ชิดประชาชนมาโดยตลอด เรียกว่ารับทราบและซึมซับปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่อยู่เสมอ ทำให้กระแสความนิยมและเสียงตอบรับเพิ่มขึ้นตามลำดับ ในพื้นที่เขต 10 ของจังหวัดขอนแก่น ซึ่งประกอบไปด้วย อำเภอหนองสองห้อง / อำเภอเปือยน้อย / อำเภอโนนศิลา / อำเภอโคกโพธิ์ไชย และอำเภอชนบท 3 ตำบล

ความน่าสนใจอีกประการ คือ ในขณะที่ วิเนตร รุกชิดชาวบ้าน กลับกัน ส.ส.แชมป์เก่า อย่าง วันนิวัติ สมบูรณ์ แห่งพรรคเพื่อไทย ในช่วงหลังๆ ไม่ค่อยลงพื้นที่มากนัก จึงทำให้ผู้สมัครหน้าใหม่ ที่อาศัยความนิยม 'บัตรลุงตู่' เข้ามาเสริมแรงได้มากอยู่ มีโอกาสแซงเข้าป้ายได้เหมือนกัน 

ประจวบกับอีกตัวแปรอย่าง 'บัลลังก์ อรรณพพร' บ้านใหญ่ แห่งอำเภอหนองสองห้อง เลือกสวมเสื้อพลังประชารัฐ ลงแข่งขันในเขต 10 ก็น่าจะมาแบ่งคะแนนจากอำเภอหนองสองห้องได้มากพอสมควร 

โดยสรุป ภาพรวมการแข่งขันชิงเก้าอี้ผู้สมัคร ส.ส. โดยเฉพาะจาก 3 พรรคใหญ่ รวมไทยสร้างชาติ, เพื่อไทย และพลังประชารัฐ ในพื้นที่เขต 10 ขอนแก่น หนนี้ มีโอกาสแพ้ชนะใกล้เคียง ได้ประมาทกันไม่ได้

‘เลขาฯ ป.ป.ส.’ ชื่นชม ‘เมียนมา’ หลังทลายโรงงานผลิตเฮโรอีน สะท้อนการประชุมแม่น้ำโขงปลอดภัย 6 ประเทศ สัมฤทธิผล

เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 66 นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) เปิดเผยว่า ผลจากการเข้าร่วมประชุมสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และหารือเกี่ยวกับการพิจารณารับร่างแผนแม่น้ำโขงปลอดภัย เพื่อการควบคุมยาเสพติด 6 ประเทศ ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2566 - 2570) โดยมีผู้แทนจาก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย, กัมพูชา, จีน, ลาว, เมียนมา และเวียดนาม เข้าร่วมประชุม ในระหว่างวันที่ 5 – 7 เม.ย 2566 ที่ผ่านมานั้น

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า สำนักงาน ป.ป.ส. โดยศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย (Safe Mekong Coordination Centre : SMCC)  ได้เสนอแผนความร่วมมือให้ทั้ง 6 ประเทศ ลดปัญหายาเสพติดในภูมิภาคด้วยการผนึกกำลังร่วมกัน โดยมีมาตรการสำคัญ คือ การลดศักยภาพการผลิตยาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ โดยมุ่งเน้นมาตรการในการสกัดกั้นปราบปราม
ยาเสพติด การควบคุมสารตั้งต้นเคมีภัณฑ์ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด รวมถึงการร่วมกันสืบสวนขยายผลจับกุมกลุ่มผู้ค้าสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ และเครือข่ายการค้ายาเสพติด ไม่ให้กระจายไปยังประเทศต่าง ๆ โดยประสานข้อมูลการข่าว และปฏิบัติการในประเทศตนเองอย่างเคร่งครัด

นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. เผยว่า ผลจากการประชุมได้ทำให้แต่ละประเทศตื่นตัวเพิ่มมากขึ้น และพร้อมที่จะดำเนินมาตรการตามแผนปฎิบัติการร่วมกัน โดยเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2566 ทางการเมียนมาได้รับรายงานว่ามีโรงงานผลิตยาเสพติดในบริเวณหมู่บ้านห่างจากเมืองน้ำคำ รัฐฉาน ไปทางตะวันตกประมาณ 6.7 กม. เจ้าหน้าที่เมียนมาได้เข้าตรวจสอบพบเพิงพักชั่วคราวที่ประกอบขึ้นเป็นโรงงานจำนวน 4 แห่ง ซึ่งเชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตเฮโรอีน และสามารถตรวจยึดฝิ่นสกัดจำนวน 60 ลิตร พร้อมสารตั้งต้นเคมีภัณฑ์ ได้แก่ เอทิลอีเทอร์ (Ethyl Ether) จำนวน 80 ลิตร เบนซีน (BenZene) จำนวน 60 ลิตร โซเดียมคาร์บอเนต จำนวน 3 กก. โซเดียมไนเตรท จำนวน 4 กก. และ โพรเทสเซียม 15 กก. พร้อมอุปกรณ์การผลิต

โดยขณะนี้อยู่ระหว่างประสานข้อมูลการข่าวกับประเทศรอบข้างรวมทั้งประเทศไทยเพื่อขยายผลต่อไป เนื่องจากเมืองน้ำคำ ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว อยู่ติดชายแดนประเทศจีน และห้ามคนต่างชาติ

'ศิลัมพา-รทสช.' โชว์ภาพยูทูปเบอร์ทั่วโลก แห่ทำ Content งานสงกรานต์ สะท้อน!! แรงผลักซอฟเพาเวอร์ของรัฐบาลและคนไทยทุกคน

(16 เม.ย.66) น.ส.ศิลัมพา เลิศนุวัฒน์ ผู้สมัคร ส.ส. เขตคลองสาน ธนบุรีและแขวงบางปะกอก เบอร์ 7 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กล่าวถึงซอฟต์เพาเวอร์ของรัฐบาล หลังยูทูปเบอร์ทั่วโลก แห่ทำ Content งานสงกรานต์ว่า ตนได้เห็นภาพงานเทศกาลสงกรานต์ ในหลาย ๆ ที่ ทั้งในกรุงเทพ และในส่วนภูมิภาค ล้วนมีแต่ความคึกคักมีชีวิตชีวา 

โดยนอกเหนือจากพวกเราคนไทย ที่ออกมาเล่นสงกรานต์กันอย่างมีความสุขที่สุด นี่เป็นครั้งแรกหลังจากสถานการณ์โควิด ภาพนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่แน่นหนา ไม่ว่าจะเป็นถือปืนฉีดน้ำ ถือขันน้ำสาดกันในสถานที่ต่าง ๆ นี่เป็นภาพที่ยืนยันถึงความสุขของผู้คนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี ดังนั้นใครที่ยังคงสร้างวาทกรรทหลอกชาวบ้านว่า "ประเทศไทยเต็มไปด้วยความทุกข์” นั้นควรเลิกพูดได้แล้ว

ด้านประเด็นยูทูปเบอร์ทั่วโลก แห่ทำ Content งานสงกรานต์ ศิลัมพา กล่าวว่า ถ้าเราเข้าไปดูในสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ จะเห็นว่า เรื่องราวของเทศกาลสงกรานต์ของประเทศไทยของเรา กลายเป็นเทศกาลที่ถูกนำเสนอออกไปโดยชาวต่างชาติที่มีโอกาสมาสัมผัสเและเผยแพร่ออกไปทั่วโลก

โดยเฉพาะในยูทูป เท่าที่ตนติดตามดูพบว่า มีบรรดายูทูปเบอร์ ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก ทำคอนเทนต์ หรือเรื่องราว ของเทศกาลสงกรานต์ประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 30 ช่อง แต่ละช่องก็มีผู้ชมจำนวนมากทั้งนั้น

ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า งานเทศกาลสงกรานต์ของไทยเรานั้น ได้กลายเป็นงานเทศกาลระดับโลกไปแล้วเป็นที่รู้จัก และเป็นหมุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่ครั้งหนึ่งใชีวิตนจะต้องมาร่วมงานให้ได้

'จตุพร' ถก 'สุริยะใส' ร่วมชี้!! 3 สัญญาณอันตรายเลือกตั้ง วิเคราะห์ 'ทักษิณ' ยิ่งรุก!! ยิ่งขันเกลียวภาพปี 62 ให้แน่นขึ้น

(16 เม.ย.66) จากรายการ ‘ถลกข่าว ถลกคน’ รายการเกาะติดเจาะลึกการเลือกตั้ง 2566 โดยสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ร่วมกับ TV Direct ช่อง 76 (จานดาวเทียม PSI) ใน EP แรก ได้เชิญ 2 นักวิเคราะห์วิจารณ์ ผู้มองสถานการณ์การเมืองไทยแบบเกาะติด มาร่วมฉายฉากทัศน์การเลือกตั้ง 66 ได้อย่างน่าสนใจ 

ท่านแรกเป็นนักต่อสู้นักเคลื่อนไหว เคยเป็น ส.ส 2 สมัย พรรคพลังประชาชน เมื่อปี 2550 และพรรคเพื่อไทยเมื่อปี 2554 เป็นอดีตประธาน นปช. ทุกวันนี้ยังออกรายการทีวี คือ 'คุณจตุพร พรหมพันธ์' ส่วนอีกท่านหนึ่งเคยเป็นผู้ประสานงานคนดังของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งวันนี้เข้าสู่โหมดวิชาการอย่างเต็มรูปแบบ เป็นคณบดี วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต 'รศ.ดร.สุริยะใส กตะศิลา' ดำเนินรายการโดย นายสำราญ รอดเพชร สื่อมวลชนอาวุโส

>> 3 สัญญาณอันตรายเลือกตั้ง 66
สำหรับประเด็นที่น่าสนใจใน 'ถลกข่าว ถลกคน' EP แรกนี้ รศ.ดร.สุริยะใส ได้เปิดประเด็นด้วยการขีดเส้นใต้ให้เห็นถึงความของการเลือกตั้งหนนี้ กับครั้งก่อนหน้า โดย รศ.ดร.สุริยะใส เผยว่า...

"ผมขอขีดเส้นใต้ไปที่สัญญาณอันตราย 3 เรื่อง...
1) ใช้เงินเท่าไร ทุจริตเท่านั้น : การเลือกตั้ง 66 จะเป็นการเลือกตั้งที่ใช้เงินมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และก็จะเป็นการเลือกตั้งที่มีการทุจริตมากอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย...เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมเพิ่งจะคุยกับหัวคะแนน...สมัยก่อนเวลาจ่ายเงินซื้อเสียงเนี่ย ล็อกเป้าหวังผล จ่ายแสนต้องได้ 3,000 / 4,000 คะแนน เรียกว่าล็อกเป้าได้ แต่เดี๋ยวนี้จ่าย 500,000 ได้ 2,000 ก็เอาแล้ว  เพราะมันล็อกเป้าไม่ได้!! เพราะทุกพรรคจ่ายกัน แล้วจ่ายเยอะด้วย ฉะนั้นชาวบ้านก็รับทุกทาง ก็เป็นโอกาสของชาวบ้านว่าไป แต่ว่าเรานึกถึงตอนเขาถอนทุนสิ เขาต้องถอนทุนหนักกว่าเดิมแน่

"2) หาเสียงในวังวนเดิม : มีหลายเรื่องที่ผมคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นการเดิมพันประเทศไทย แต่ปรากฏว่าวาระของประเทศกลับไม่ถูกพูดถึงหลายเรื่องเลย...เอาง่ายๆ ตอนนี้เราอยู่ในภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ อันนี้พูดแบบวิชาการหน่อย แต่ว่าการเลือกตั้งรอบนี้ยังมาเถียงกันเรื่อง 600 / 400 / 700 / 300 / 3 พัน / 2 พัน เราถึงมักถูกบีบให้เลือกจีนหรือเลือกอเมริกา...คำถามคือ แล้วต่อไปไทยอยู่ตรงไหนของระเบียบโลกใหม่ เรื่องนี้ไม่มีพรรคการเมืองไหนตอบเลย และน่าห่วงมาก คือ พอไปถามพรรคพวกที่อยู่ในแวดวงทุกพรรค ก็บอกว่าเลือกประเด็นแบบนั้นมาเสนอ มันหาเสียงไม่ได้ ชาวบ้านไม่รู้เรื่อง นี่คือเรื่องที่น่าห่วง 

"3) กลืนกินเงินอนาคต : ประชานิยมรอบนี้น่ากลัวมาก กินไปถึงเงินคงคลัง กินไปถึงเงินทุนสำรอง คำถามคือแล้วความรับผิดชอบของพรรคการเมือง ซึ่งเข้าไปผูกมัดตัวเองกับเรื่องที่มาของเงินล่ะ จะเอายังไง แน่นอนว่านาทีนี้ใครลงเลือกตั้งก็อยากชนะ แต่มันสมควรหรือไม่? แล้วคณะกรรมการการเลือกตั้งทำอะไรอยู่ ทำไมต้องรอคนไปร้อง มันเรียกแจงได้แต่ละพรรคได้แล้ว"

รศ.ดร.สุริยะใส กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "ถ้าหากพรรคการเมืองทำตามนโยบายที่หาเสียงเอาไว้ เท่ากับว่าเป็นการส่งสัญญาณที่จะกินไปถึงเงินคงคลังที่ว่า 1.โกง 2.วาระของประเทศน้อยไป ไม่ถูกพูดถึง 3.เรื่องประชานิยม"

เกี่ยวกับประเด็นนี้ ด้านคุณจตุพร ก็มองไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมทั้งกล่าวด้วยว่า "อย่างที่คุณสุริยะใสบอกกล่าว การเลือกตั้งครั้งนี้มีการใช้เงินที่มาก เพราะท่ามกลางห้วงเวลาที่ประชาชนมีความยากลำบากเนี่ย เงินก็จะมีผล ไม่ว่าเงินโดยระบบการซื้อเสียง เงินโดยผ่านนโยบาย ซึ่งจะมีการคิดสารพัดพลิกแพลงที่จะแจกกัน ไม่ว่าเงินดิจิทัล 10,000, บัตรคนจน 1,000, บัตรพลังประชารัฐ 700, บำนาญประชาชน 3,000 จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องการแจกทั้งสิ้น 

"แต่ในมุมผม บางนโยบาย เช่น การนำแนวคิดด้านดิจิทัลมาขายนั้น อาจเป็นการคิดการขายที่เร็วเกินไป ทั้งที่ยังไม่มีกฎหมายมารองรับอย่างเป็นทางการ ซึ่งก็จริงอย่างที่คุณสุริยะใสบอก ว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง ควรที่จะตัดสินว่าอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่ารอการชี้แจงจากผู้ร้อง และก็เป็นการชี้แจงเพียงแค่ว่าจะหาเงินมาจากไหน ขณะเดียวกันวันนี้ทุกคนต่างก็พูดพื้นฐานในเรื่องนโยบายเหมือนๆ กันว่า จะเก็บภาษีเพิ่ม ตัดงบประมาณที่ไม่เป็นจำออกไป แต่ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องวินัยทางการคลังหรือว่ากฎหมาย หรือผลประโยชน์ทับซ้อนอื่นใดๆ เลย"

>> ฉากทัศน์การเมืองเดิม
เมื่อภาพของการหาเสียงไม่ต่าง การเปลี่ยนแปลงในเชิงฉากทัศน์เพื่อปากท้องไม่เปลี่ยน โอกาสที่ฉากทัศน์ทางการเมืองจะวนเวียนเหมือนเดิม จึงไม่ผิดเพี้ยน ซึ่งประเด็นนี้คุณจตุพร มองว่า "โอกาสสวิงขั้วอำนาจของ 2 ซีกการเมืองเดิมนั้น คงจะเป็นไปได้น้อยมาก หรือก็คือ ซีกรัฐบาลเดิม ที่ถูกจำกัดความเรียกว่า 'อนุรักษ์นิยม' กับอีกซีกหนึ่งที่เรียกว่าพวก 'เสรีนิยม' นั้น จะปรากฏภาพของคะแนนในแต่ละภาคฝั่งที่มันจะถูกหารกันออกมาคล้ายๆ เดิม โดยในซีกรัฐบาลเดิม ไม่ว่าจะรวมไทยสร้างชาติ, พลังประชารัฐ, ประชาธิปัตย์, ภูมิใจไทย ก็คงหมุนวนอยู่ตรงนั้น อีกซีกนึง เพื่อไทย, ก้าวไกล, ไทยสร้างไทย, เสรีรวมไทย, ประชาชาติ ก็จะอยู่ในวนนี้ โอกาสที่จะสวิงข้างยากลำบาก 

"ฉะนั้น เมื่อฉากทัศน์ในแง่ของขั้วการเมืองไม่ต่าง จึงสังเกตได้ว่า ตอนนี้รูปแบบการหาเสียงเลือกตั้งเลยดูจะเน้นไปในทางสร้างความแตกแยกก่อน เพื่อจะแย่งเอาคะแนนไปให้ฝ่ายตนได้มากสุด

"ยกตัวอย่าง พรรคพลังประชารัฐ ลุงป้อม ก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่เดินไปเดินมาชักจะเป็นปัญหา เพราะมีการปรากฏตัวของนายทักษิณ รวมถึงการขับเคลื่อนของพรรคก้าวไกลที่เข้มข้น แต่ขณะเดียวกันเมื่อทักษิณผลุบ ซีกฝั่งของพลเอกประยุทธ์อยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาดื้อๆ เพราะการปรากฏตัวของทักษิณโดยเฉพาะยิ่งพูดถึงเรื่องการกลับบ้านมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างความแข็งแรงให้พลเอกประยุทธ์มากเท่านั้น 

"หรือแม้แต่วันก่อนกับ พรรคที่ขอก้าวข้ามความขัดแย้ง  รองหัวหน้าพรรคไพบูลย์ นิติตะวัน ออกมาสัมภาษณ์ว่าจะไม่จับมือกับพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ซึ่งพรรคเพื่อไทยเองก็ไม่เคยประกาศว่าจะจับมือกับพรรคก้าวไกล มีเพียงก้าวไกลประกาศจับมือกับพรรคเพื่อไทย ภูมิใจไทยก็ประกาศไม่จับมือกับพรรคก้าวไกล ทั้งหมดเนี่ยก็คือ การละเลงทางการเมืองก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นสังเกตให้ดีเราจะเห็นว่า คะแนนเดิมมันปริ่มน้ำทั้ง 2 ฝ่าย เหมือนตอนยุบไทยรักษาชาติแล้วคะแนนมางอกที่อนาคตใหม่ยังไงยังงั้น เพราะฉะนั้นบริบทคะแนนมันไม่ได้ต่างกัน จึงต้องมีการกระทำเพื่อนำไปสู่การเทคะแนนเสียงไปมา

"นี่ไม่นับเรื่องการยุบพรรค ซึ่งดูกำหนดเวลาแล้วเนี่ย น่าจะมีการยุบภายหลังการเลือกตั้งในระหว่างการจัดตั้งรัฐบาล ในกรอบ 180 วัน ก่อนพระราชกฤษฎีกาหลังพระราชกฤษฎีกา"

>> ทักษิณขยับ!! ลุงตู่ผงาด!!
เกี่ยวกับประเด็นนี้ รศ.ดร.สุริยะใส ได้วิเคราะห์เพิ่มเติมด้วยว่า "คงยังไม่มีกรณีซ้ำรอยเช่นพรรคไทยรักษาชาติแบบเมื่อปี 2562 ซึ่งตอนนั้นมีการยุบพรรคก่อน แต่หนนี้อาจจะยุบพรรคทีหลัง ส่วนในเรื่องสูตรของรัฐบาล คงเป็นเรื่องที่ต้องคาดการณ์ล่วงหน้ากันไป แต่มันไม่ใช่ตัวแปรที่จะทำให้การเลือกตั้งสะดุด เพียงแต่ว่าสูตรที่วางกันในขณะนี้มันกลับไปสูตรเดิม นั่นก็คือทันทีที่คุณทักษิณขยับ คะแนนแกจะหยุด แล้วเรตติงบิ๊กตู่ดันขึ้นมา"

"กลายเป็นว่าเป็นคนเดียวที่จะหยุดนายกทักษิณได้ คือ พลเอกประยุทธ์" คุณจตุพรสำทับ 

‘พิธา’ ขอบคุณ ปชช.เทคะแนนโหวต หนุนเป็นนายกฯ คนต่อไป สะท้อนคนไทยเบื่อการเมืองแบบเดิม พร้อมลุยหาเสียงโค้งสุดท้าย

เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 66 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีประชาชนโหวตให้เป็นอันดับ 1 คนที่จะเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้ง 2566 จากผลโพลของสำนักข่าวมติชนที่ร่วมกับสำนักข่าวเดลินิวส์ ซึ่งสำรวจกลุ่มตัวอย่างผ่านช่องทางออนไลน์จำนวน 84,076 ราย กระจายทุกภูมิภาค ทุกระดับอายุ อาชีพ การศึกษา และรายได้ และเป็นการโหวตแบบไม่ซ้ำไอพีแอดเดรส (IP Address) ระหว่างวันที่ 8-14 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา

นายพิธา กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณประชาชนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ คะแนนจากโพลนี้สอดคล้องกับสิ่งที่เราสัมผัสได้ในทุกจังหวัดที่เดินทางไป และสอดคล้องกับตัวเลขในทางออนไลน์ ที่ประชาชนแสดงออกว่าสนับสนุนพรรคก้าวไกลมากขึ้น ยิ่งกว่าสมัยอดีตพรรคอนาคตใหม่ในปี 2562 อย่างเห็นได้ชัด ทั้งอยากเห็นตนเป็นนายกฯ อยากได้ ส.ส.เขตแบบก้าวไกลมาทำงานรับใช้ประชาชน และในภาพใหญ่ คืออยากให้คนบริหารประเทศเป็นคนแบบก้าวไกล

เสียงสนับสนุนที่เราได้รับ สะท้อนให้เห็นว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เราพิสูจน์การทำงานให้ประชาชนเห็นแล้วว่า ส.ส.พรรคก้าวไกล ทำงานได้โดดเด่นและแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นที่เคยมีมาอย่างไร จนได้รับคำชมว่า ก้าวไกลทำงานตรงไปตรงมา ทำงานคุ้มค่า และมุ่งแก้ปัญหาที่ต้นตอ

“สิ่งที่สำคัญที่สุด เสียงสนับสนุนที่ก้าวไกลได้รับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สะท้อนว่าคนไทยไม่ต้องการวนเวียนอยู่กับการเมืองแบบเดิม ๆ อีกแล้ว เพราะนักการเมืองแบบเดิม ๆ วิธีคิดและวิธีการทำงานการเมืองแบบเดิม ไม่สามารถตอบโจทย์ของสังคมไทยยุคใหม่ได้ ประชาชนจึงต้องการพรรคก้าวไกลมาทำในสิ่งที่นักการเมืองในอดีตทำไม่ได้” นายพิธา กล่าว

หัวหน้าพรรคก้าวไกลทิ้งท้ายว่า ในช่วง 30 วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง พวกเราพรรคก้าวไกลต้องทำงานให้หนักมากขึ้น ทั้งเปิดเวทีปราศรัยทั่วประเทศ ทั้งสื่อสารทางออนไลน์และผ่านสื่อมวลชน ทั้งเดินเคาะประตูบ้าน เพื่อเข้าหาพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุด เพราะในการเลือกตั้งครั้งนี้ ชัยชนะของพรรคก้าวไกลจะเป็นปัจจัยชี้ขาดโฉมหน้าของรัฐบาลชุดต่อไป ว่าจะน่าไว้วางใจแค่ไหน และจะมีพรรคทหารจำแลงร่วมรัฐบาลด้วยหรือไม่

“ชวน”ชื่นชม3อดีต ส.ส.เพชรบุรี มั่นคงอุดมการณ์ไม่ขายตัวไม่ทิ้งพรรค วอนคนเพชรเลือก ”อลงกรณ์-กัมพล-อภิชาติ”เบอร์7ทั้ง3เขตพ่วงกาประชาธิปัตย์เบอร์26

เมื่อวันที่ 15 เม.ย เวลา 18.00 น.อดีตประธานรัฐสภาและอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่หาเสียงที่อำเภอบ้านลาดจังหวัดเพชรบุรีขึ้นรถแห่ปราศรัยหาเสียงพร้อมด้วยนายอลงกรณ์ พลบุตร ผู้สมัครเขต1 นายกัมพล สุภาแพ่่ง ผู้สมัคร เขต 2 
นายอภิชาติ สุภาแพ่ง ผู้สมัครเขต3 พรรคประชาธิปัตย์เบอร์7ทั้ง3เขตจากนั้นจึงเดินทักทายประชาชนในตลาดบ้านลาดมีประชาชนให้การต้อนรับอย่างคึกคัก


     นายชวนปราศรัยตอนหนึ่งว่า ตนเป็น ส.ส.16สมัยเห็นความจริงทางการเมืองมายาวนาน55ปี การเมืองทุกวันนี้ใช้เงินซื้อนักการเมืองเหมือนประมูลตัวแต่นักการเมือง3คนของจังหวัดเพชรบุรีมีอุดมการณ์มั่นคงไม่ทิ้งพรรคไม่ขายตัว ขอให้คนเมืองเพชรสนับสนุนนักการเมืองที่ดีมีอุดมการณ์ โดยช่วยกันเลือกอดีตส.ส.ทั้ง3คนคือนายอลงกรณ์ พลบุตร ผู้สมัครเขต1 นายกัมพล สุภาแพ่่ง ผู้สมัคร เขต 2  นายอภิชาติ สุภาแพ่ง ผู้สมัครเขต3 พรรคประชาธิปัตย์เบอร์7ทั้ง3เขตและพรรคประชาธิปัตย์เบอร์26 สถาบันการเมืองของประชาชนเป็นพรรคการเมืองพรรคแรกของประเทศอยู่มายาวนานกว่า77ปีเป็นหลักของบ้านเมือง


  นับเป็นการมาช่วยหาเสียงผู้สมัครส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์แบบเซอร์ไพรส์ครั้งที่2ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา.

คำคมประจำวันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน 2566

ไม่มีอาชีพไหน
เป็นงานที่ต่ำต้อย
จะมีก็เพียงทัศนคติเท่านั้น
ที่ต้อยต่ำ

เปิดตัวขุนพล ‘พรรคใหญ่’ ชิงชัยเก้าอี้ ส.ส. ภูเก็ต ใครได้หมายเลขไหน? อย่าจำผิด!!

สำหรับ 3 เขตของจังหวัดภูเก็ต ตามการแบ่งเขตของ กกต. มีดังนี้ 

>> เขต 1 อำเภอเมืองภูเก็ต (เฉพาะตำบลตลาดใหญ่, ตำบลตลาดเหนือ, ตำบลรัษฎา และตำบลเกาะแก้ว)                                                
 

‘ธนกร-เมืองคอน’ ลุยหาเสียงนครศรีฯ เปิดศูนย์เลือกตั้ง รทสช. เผย เรตติ้งภาคใต้ ‘ลุงตู่’ มาแรง จนมีพรรคอื่นแอบอ้าง-เกาะกระแส

เมื่อวันที่ (15 เม.ย. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค เดินทางมาเป็นประธานเปิดศูนย์ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคทั้ง 10 เขต เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

โดยนายธนกร กล่าวว่า พรรครวมไทยสร้างชาติเรามุ่งเน้นทำงานการเมือง เพื่อประชาชน เรามีภารกิจที่จะเข้ามาสานต่อนโยบายที่ดี เพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำ ความยากจน สร้างเศรษฐกิจปากท้องที่ดีให้ประชาชน โดยเฉพาะภาคใต้เราได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อนุมัติงบประมาณพัฒนาจังหวัดภาคใต้ วงเงินกว่า 250,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ตามนโยบาย ‘ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ’ และแคมเปญใหม่ที่ออกมา ‘หาเงินได้ ใช้เงินเป็น’ ของจริงยิ่งกว่า 10,000 บาท ถ้าดูคลิปแล้วประชาชนจะเข้าใจนโยบายของพรรคเรายิ่งขึ้น นโยบายพรรคจะช่วยกลุ่มเป้าหมายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย บัตรสวัสดิการแห่งรัฐพลัสเพิ่มเงินเป็น 1,000 บาท, กู้ฉุกเฉิน 10,000 บาท, เบี้ยผู้สูงอายุ 1,000 บาททุกช่วงวัย, ค่าตอบแทน อสม. 2,000 บาท, กองทุนฉุกเฉินประชาชน 30,000 ล้านบาท

ผลโพลเดลินิวส์xมติชน ยก ‘เพื่อไทย’ อันดับ 1 พรรคที่ชอบ ส่วน 3 อันดับ นายกฯ ที่ใช่ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ควง ‘เศรษฐา’ ขึ้นโพเดียม

ผลโหวต เดลินิวส์ x มติชน โพลเลือกตั้ง '66 ครั้งที่ 1 ออกแล้ว ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เข้าป้ายอันดับ 1 นายกฯ ที่ใช่ ตามด้วย ‘อุ๊งอิ๊ง-เศรษฐา’ และ ‘บิ๊กตู่’ รั้งอันดับ 4 ส่วนพรรคที่ชอบ ‘เพื่อไทย’ เข้าวินเป็นที่ 1 ตามด้วย ‘ก้าวไกล-รวมไทยสร้างชาติ-ภูมิใจไทย’ อันดับ 2-4 ตามลำดับ

(15 เม.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานผลการโหวตโพลการเมืองครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของสองสื่อสารมวลชนชั้นนำระดับประเทศ 'เดลินิวส์ x มติชน โพลเลือกตั้ง '66 ครั้งที่ 1' ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 8-14 เมษายน 2566 ผ่านช่องทางออนไลน์กระจายไปทั่วทุกภูมิภาค ระดับอาชีพ การศึกษา และรายได้ทั่วประเทศ รวมกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 84,076 ราย และเป็นการโหวตแบบไม่ซ้ำไอพีแอดเดรส (IP Address)

จากการสำรวจโพล 'เดลินิวส์ x มติชน โพลเลือกตั้ง ’66 ครั้งที่ 1' ผ่านช่องทางออนไลน์ ได้แก่ เว็บไซต์ https://www.matichon.co.th/thai-election66-poll/ ของสื่อเครือมติชน ประกอบด้วย มติชน ข่าวสด ประชาชาติธุรกิจ มติชนสุดสัปดาห์ มติชนทีวี และ https://www.dailynews.co.th/election-2566/poll/ ของเดลินิวส์ ที่เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 84,076 ราย พบข้อมูลดังนี้....

หัวข้อคำถามที่ 1 ท่านจะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้ง 2566 พบว่า ในกลุ่ม 10 อันดับแรก ผู้ได้รับการโหวตเป็น อันดับ 1 คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล ร้อยละ 29.42, อันดับ 2 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 23.23, อันดับ 3 นายเศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 16.69, อันดับ 4 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ร้อยละ 13.72, อันดับ 5 ยังไม่ตัดสินใจ (ว่าจะเลือกใคร) ร้อยละ 2.97

อันดับ 6 นายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 2.94, อันดับ 7 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส จากพรรคเสรีรวมไทย ร้อยละ 2.25, อันดับ 8 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จากพรรคไทยสร้างไทย ร้อยละ 1.90, อันดับ 9 นายกรณ์ จาติกวณิช จากพรรคชาติพัฒนากล้า ร้อยละ 1.40 และอันดับ 10 พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 1.24

ทั้งนี้ ในส่วนของพรรคเพื่อไทย จากผลการทำโพลในหัวข้อคำถามที่ 1 ดังกล่าว พบว่า เมื่อนำผลโหวตของ น.ส.แพทองธาร นายเศรษฐา และนายชัยเกษม นิติสิริ มารวมกัน จะอยู่ที่ร้อยละ 40.34

สำหรับแคนดิเดตนายกฯ คนอื่น ๆ ที่ได้รับการโหวตคะแนนลดหลั่นกันไป ประกอบด้วย อันดับ 11 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 1.08, อันดับ 12 นายวราวุธ ศิลปอาชา พรรคชาติไทยพัฒนา ร้อยละ 0.96, อันดับ 13 บุคคลอื่น ๆ ร้อยละ 0.49, อันดับ 14 นายชัยเกษม นิติสิริ พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 0.42, อันดับ 15 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พรรครวมไทยสร้างชาติ ร้อยละ 0.26, อันดับ 16 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม พรรคไทยภักดี ร้อยละ 0.25

อันดับ 17 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา พรรคประชาชาติ ร้อยละ 0.21, อันดับ 18 นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ พรรคไทยศรีวิไลย์ ร้อยละ 0.20, อันดับ 19 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ พรรคชาติพัฒนากล้า ร้อยละ 0.11, อันดับ 20 น.ต.ศิธา ทิวารี พรรคไทยสร้างไทย ร้อยละ 0.10, อันดับ 21 นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ร้อยละ 0.08, อันดับ 22 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง พรรคประชาชาติ ร้อยละ 0.06 และอันดับ 23 นายเทวัญ ลิปตพัลลภ พรรคชาติพัฒนากล้า ร้อยละ 0.01

ต่อด้วยหัวข้อคำถามที่ 2 ท่านจะสนับสนุนพรรคการเมืองใด ในการเลือกตั้ง 2566 พบว่า ในกลุ่ม 10 อันดับแรกนั้น พรรคการเมืองได้รับการโหวตเป็นอันดับ 1 คือ พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 38.89, อันดับ 2 พรรคก้าวไกล ร้อยละ 32.37, อันดับ 3 พรรครวมไทยสร้างชาติ ร้อยละ 12.84, อันดับ 4 พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 3.30, อันดับ 5 ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคใด ร้อยละ 2.21, อันดับ 6 พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 1.83, อันดับ 7 พรรคไทยสร้างไทย ร้อยละ 1.73, อันดับ 8 พรรคเสรีรวมไทย ร้อยละ 1.63, อันดับ 9 พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 1.55 และอันดับ 10 พรรคชาติพัฒนากล้า ร้อยละ 1.14

ส่วนพรรคอันดับอื่น ๆ มีผลโหวตโพลดังนี้ อันดับ 11 พรรคชาติไทยพัฒนา ร้อยละ 0.96, อันดับ 12 พรรคไทยภักดี ร้อยละ 0.41, อันดับ 13 พรรคอื่นๆ ร้อยละ 0.36, อันดับ 14 พรรคประชาชาติ ร้อยละ 0.33, อันดับ 15 พรรคเปลี่ยน ร้อยละ 0.31 และอันดับ 16 พรรคไทยศรีวิไลย์ ร้อยละ 0.14

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มตัวอย่างผู้ร่วมทำโพลออนไลน์ 'เดลินิวส์ x มติชน โพลเลือกตั้ง '66 ครั้งที่ 1' 84,076 ราย แยกเป็นกลุ่มช่วงอายุ 42-57 ปี หรือ 'GEN-X' มากเป็นอันดับหนึ่ง จำนวนร้อยละ 35.08 ตามด้วยกลุ่มช่วงอายุ 58-76 ปี หรือ 'เบบี้บูมเมอร์' จำนวนร้อยละ 27.63, ช่วงอายุ 26-41 ปี หรือ 'GEN-Y' จำนวนร้อยละ 26.50, ช่วงอายุ 18-25 ปี หรือ 'GEN-Z' จำนวนร้อยละ 9.77 และช่วงอายุ 77 ปีขึ้นไป หรือ “Silent-GEN” จำนวนร้อยละ 1.02

‘ก้าวไกล’ ลั่น!! นโยบายยกเลิกเกณฑ์ทหารมาแรง วอนขอเป็น รบ. จะ ‘ดันเร่งกระจายอำนาจ-สุราก้าวหน้า-ปฏิรูปที่ดิน’

‘โรม’ พบเครือข่ายก้าวไกลพังงา เผยนโยบายยกเลิกเกณฑ์ทหารมาแรง ขอโอกาสกาก้าวไกลเป็นรัฐบาล ดันกระจายอำนาจ-สุราก้าวหน้า-ปฏิรูปที่ดิน ให้งานและเงินอยู่ใกล้บ้าน การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต

(15 เม.ย. 66) นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ร่วมกับ นายธีรุตม์ สันหวัง ผู้สมัคร ส.ส.พังงา เขต 1 พบปะทีมทำงานและเครือข่ายพรรคก้าวไกล ที่ศูนย์ประสานงานพรรคก้าวไกล ตำบลท้ายช้าง อำเภอเมือง จังหวัดพังงา โดยนายรังสิมันต์ได้รับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากผู้เข้าร่วมหลายคน เกี่ยวกับนโยบายของพรรคก้าวไกล หนึ่งในข้อข้องใจหลักคือ ข่าวปลอมที่ว่าพรรคก้าวไกลจะยกเลิกบำนาญข้าราชการ ซึ่งนายรังสิมันต์ยืนยันว่า พรรคก้าวไกลไม่มีนโยบายดังกล่าว และหากย้อนกลับไปฟังการอภิปรายของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็จะพบว่าไม่มีการสื่อสารว่า จะตัดลดหรือยกเลิกบำนาญข้าราชการตั้งแต่ต้น

นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า นโยบายของพรรคก้าวไกลที่ดูจะได้รับความนิยมมากที่สุด คือนโยบายยกเลิกการเกณฑ์ทหารและการปฏิรูปกองทัพ ซึ่งจะเป็นการปลดล็อกประชากรคนหนุ่มนับแสนคนต่อปีให้สามารถออกไปทำงานและใช้ชีวิตตามที่ต้องการ ยิ่งในช่วงที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aging Society) คนหนุ่มเหล่านี้ถือเป็นกำลังสำคัญของประเทศ พรรคก้าวไกลจึงเสนอยกเลิกเกณฑ์ทหาร เปลี่ยนเป็นระบบสมัครใจทั้งหมด ลดขนาดกองทัพ และเพิ่มการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน สวัสดิการ และประสิทธิภาพของกำลังพล

‘จิ๊บ ศศิกานต์’ อัด นโยบายแจกเงินดิจิทัลของ ‘เพื่อไทย’ ชี้!! รูปแบบ-ที่มาของงบไม่ชัดเจน สะท้อนความเลื่อนลอย

(15 เม.ย. 66) ยังคงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ อย่างกว้างขวางสำหรับนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้แก่ประชาชน อายุ 16 ปีขึ้นไปในระยะเวลา 6 เดือน ภายใต้จำนวนงบประมาณมหาศาลถึง 54 หมื่นล้านบาท ด้วยความวิตกกังวลของหลายฝ่าย ว่าการใช้เงินจำนวนมากและแจกจ่ายแบบเหวี่ยงแหเช่นนี้ จะส่งผลกระทบต่อวินัยการเงิน การคลังและระบบเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในขณะที่ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย ก็ยังคงยืนยันถึงความมั่นใจและประโยชน์ที่จะได้จากการทำโครงการนี้

ล่าสุด น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ หรือ ‘จิ๊บ’ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตบางแค ภาษีเจริญ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า เท่าที่ติดตามการชี้แจงจากแกนนำของพรรคเพื่อไทยหลายคน รวมถึงนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ก็เห็นว่านโยบายดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนในหลายประเด็น เช่น รูปแบบของเงินที่จะออกให้ประชาชนคนละ 1 หมื่นบาทนั้น จะเป็นรูปแบบอะไร มีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอด อย่างตอนแรกบอกว่าจะแจกเป็นเหรียญดิจิทัล ต่อมาก็บอกจ่ายเป็นคูปองแทน ซึ่งเรื่องนี้ก็อยากจะเรียกร้องให้พูดให้ชัด ๆ เสียที อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนคนฟังสับสน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อยากจะย้ำเตือนความจำให้นายเศรษฐารับทราบว่า ที่ผ่านมาทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และกระทรวงการคลัง ได้ออกมาประกาศชัดเจนตั้งแต่ปีที่แล้ว ถึงประเด็นการใช้จ่าย ชำระสินค้าผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล ว่าไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ให้บริการเกี่ยวกับการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้า

เพราะมีความกังวลจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เช่น อาจเกิดความเสี่ยงจากการสูญมูลค่าที่เกิดจากความผันผวนของราคา ความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ ความเสี่ยงข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล หรือการถูกใช้เป็นเครื่องมือของการฟอกเงิน ฯลฯ จึงอยากจะถามถึงนายเศรษฐาว่าได้ทราบเรื่องเหล่านี้หรือไม่

น.ส.ศศิกานต์ ยังเผยอีกว่า เมื่อไม่นานมานี้ทางเพื่อไทย ได้ออกมาชี้แจงเพิ่มเติมว่า ไม่ใช่คริปโตเคอร์เรนซี ไม่ใช่เงินสกุลใหม่ แต่เป็น ‘เหรียญ (คูปอง)’

คำถามก็คือ ไม่ว่าจะแจกในรูปแบบอะไรก็ตาม ก็ต้องมีจำนวนเงินงบประมาณจริง ๆ พร้อมจะแจกจ่าย ซึ่งเป็นจำนวนเงินกว่า ห้าแสนสี่หมื่นล้านบาท ซึ่งจากการให้สัมภาษณ์ของนายเศรษฐา ได้อธิบายว่า ส่วนหนึ่งนำมาจากเงินภาษีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สองแสนหกหมื่นล้าน

อีกส่วนหนึ่งที่เหลือ นายเศรษฐา ใช้คำว่า “คาดว่า” จะนำมาจากภาษีของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ที่จะเกิดการหมุนเวียนหลายรอบ

‘สกลธี’ บุกตลาดสัมมากร นำทีมช่วย ‘นาถยา’ หาเสียง ชูนโยบาย ลดราคาก๊าซ-น้ำมัน ลั่น!! ทำทันทีหากได้เป็นรัฐบาล

(15 เม.ย. 66) ที่ตลาดสัมมากร นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พร้อมนางนาถยา แดงบุหงา ผู้สมัคร ส.ส.เขต 19 (มีนบุรี-สะพานสูง) หมายเลข 10 ลงพื้นที่ตลาดสัมมากร เขตสะพานสูง พบประชาชนและแนะนำนโยบายพรรค ก่อนขึ้นรถแห่หาเสียง

นายสกลธี กล่าวว่า ประชาชน ตอบรับการลงพื้นที่วันนี้ดีมาก เพราะนางนาถยา เป็น ส.ส.เจ้าของพื้นที่มา 2 สมัย มีความคุ้นเคยกับคนในพื้นที่เป็นอย่างดี ส่วนตนได้พบกับผู้สนับสนุนตั้งแต่สมัยที่ลงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.มีโอกาสได้พูดคุยกัน และนำเสนอนโยบายของพรรค เรื่องลดราคาก๊าซ เหลือถังละ 250 บาท โดยทำทันทีหากได้เป็นรัฐบาล เพื่อช่วยลดต้นทุนให้หับพ่อค้า แม่ค้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top