Tuesday, 13 May 2025
SPECIAL

‘นายกฯ’ เร่ง ปูทางโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ปี66 เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ วอน ฝ่ายค้านร่วมมือช่วยพัฒนาประเทศ ยกระดับก้าวสู่ศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของอาเซียน

เมื่อวันที่ 24 ก.ค.น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังเสร็จสิ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะเร่งเดินหน้าบริหารประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการวางโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมทั้งระบบ ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ทั้งภาคขนส่ง ทางถนน ราง ทางน้ำ และทางอากาศ ในโครงการสำคัญ 40 โครงการ 
.
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า โดยภาคการขนส่งทางถนน ภายในปี 2566 คาดว่าจะเปิดใช้ทางหลวงพิเศษ (มอเตอร์เวย์)ระหว่างภูมิภาค เช่น โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง บางปะอิน-โคราช  ระยะทาง 196 กิโลเมตร  ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กิโลเมตร ซึ่งถูกออกแบบให้เชื่อมโยงกับระบบราง ลดการเวนคืนที่ดิน และกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค ส่วนการขนส่งทางอากาศ ระหว่างปี 2564-2567ได้ปรับสนามบินรองรับนักเดินทาง-การขนส่ง เช่น สนามบินสุวรรณภูมิจะมีการก่อสร้างอาคาร-สร้างรันเวย์เพิ่มขึ้น รองรับเที่ยวบินได้ 94 เที่ยวต่อชม. และภายในปี 2570 สนามบินดอนเมือง และสนามบินอู่ตะเภา จะปรับปรุงอาคารผู้โดยสารและโครงสร้างอื่น เพื่อรองรับการเติบโตของพื้นที่อีอีซี

มทบ.11 ร่วมมือจิตอาสา ร่วมขจัดผักตบชวา วัชพืช และเก็บขยะในลำคลองเพื่อเปิดทางระบายน้ำหลังฝนตกหนักในพื้นที่กทม.

เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2565  มณฑลทหารบกที่11 (มทบ.11) โดย  พัน.ร.มทบ.11  ได้นำจิตอาสา 904 , กำลังพลจิตอาสา ร่วมกับประชาชนจิตอาสา ดำเนินการเก็บผักตบชวา กำจัดวัชพืช  และเก็บขยะใน ลำคลองบางตลาด เลียบคลองประปา อ.ปากเกร็ด  จว.นนทบุรี ซึ่งเป็นลำคลอง ที่รองรับน้ำจากถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่  

เพื่อเป็นการเปิดทางระบายน้ำให้คล่องตัว ในห้วงสถานการณ์ที่มีฝนตกหนัก ไม่ให้มีน้ำรอการระบายตามผิวถนน และเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน  รวมทั้งเป็นการปรับปรุงภูมิทัศน์ลำคลอง ให้สะอาด เป็นระเบียบและเกิดความสวยงาม 

'อลงกรณ์' ชี้รัฐบาลมีเสถียรภาพมากขึ้นหลังศึกซักฟอกเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ยืนยันขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์มีเอกภาพมากที่สุด พร้อมขอบคุณเสียงโหวตของประชาชนไว้วางใจ 'จุรินทร์' มากที่สุดอันดับ4 ขึ้นแท่นแชมป์เบอร์ 1 รัฐมนตรีชี้แจงดีที่สุดในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคเขียนเฟสบุ๊คส่วนตัววันนี้ว่า การที่รัฐบาลผ่านความไว้วางใจให้บริหารประเทศต่อไปทำให้มีเสถียรภาพมากขึ้นซึ่งเป็นผลดีต่อการแก้ไขปัญหาและการรับมือวิกฤติต่างๆที่กำลังรุมเร้าประเทศจากผลกระทบของโควิด19 สงครามรัสเซีย-ยูเครนและความผันผวนทางเศรษฐกิจ

พร้อมกับยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้มีความเป็นเอกภาพมากที่สุดภายใต้การนำของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคและนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคทั้งก่อนหน้าและหลังศึกซักฟอกสะท้อนจากผลการลงมติไม่ไว้วางใจเป็นไปในทางเดียวกันซึ่งเป็นการลบข้อครหาและการวิพากษ์วิจารณ์ก่อนหน้านี้ว่ามีความแตกแยกภายในพรรคและจะเกิดปัญหาเสียงแตกในการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีบางคนของพรรค

นอกจากนี้นายอลงกรณ์ยังแสดงความขอบคุณประชาชนที่โหวตให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ที่ชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจดีที่สุดโดยเฉพาะซูเปอร์โพลโหวตให้เป็นรัฐมนตรีที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดอันดับ4

      “พรรคประชาธิปัตย์จะนำทุกกำลังใจที่มอบให้ทุ่มเททำงานให้ดีที่สุดเพื่อประชาชนและประเทศชาติอย่างเต็มที่ในวาระที่เหลืออยู่ของรัฐบาล”

       รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งข้อสังเกตด้วยว่าเสียงโหวตนอกสภากับในสภาแตกต่างกันมากระหว่างเสียงประชาชนกับเสียงการเมือง โดยเฉพาะเสียงจากกลุ่มพรรคเล็กและพรรคเศรษฐกิจไทยรวมทั้งเสียงของส.ส.ที่มีแนวโน้มย้ายพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้าถือเป็นตัวแปรสำคัญต่อผลคะแนนที่ปรากฎออกมา

INTERLINK เจาะลึก แนะเทคนิค กลุ่มราชการ รัฐวิสาหกิจ ก้าวสู่ Smart Government 

คุณสมบัติ  อนันตรัมพร ประธานกรรมการบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ กล่าวเปิดงาน “Networking Cabling Design Professional ” กับกลุ่มผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ เพื่อแบ่งปันองค์ความรู้เรื่องระบบ Digital Infrastructure  ผลักดันภาครัฐเข้าสู่ Smart Government ฉายภาพชัดเรื่องระบบ  Networking และ Cabling ที่สำคัญต่อการพัฒนาองค์กร เพื่อนำไปปรับใช้ได้อย่างเต็ม

ซูเปอร์โพล เผยคนรู้อยู่แล้วอภิปรายครั้งนี้ไม่มีอะไรใหม่ หวังแค่เสียดสีการเมืองเอา ทำลายความน่าเชื่อถือ ขณะที่คนส่วนใหญ่ยังไว้วางใจให้ ‘บิกตู่’ ทำงานต่อเป็นอันดับ 1 แต่แนะปรับครม.ใหม่หาคนเก่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

วันที่ 24 ก.ค. 65 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจ เรื่อง รัฐมนตรีคนไหนรอด เสียงโหวตนอกสภา กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศโดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 2,175 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 22 – 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 83.7 รู้อยู่แล้วว่าจะอภิปรายอะไร ไม่มีอะไรใหม่ โจมตีกัน เสียดสีกันทางการเมืองและสถาบัน หวังทำลายความน่าเชื่อถือศรัทธาของคนไทย หาเสียงก่อนการเลือกตั้ง 

ในขณะที่ ร้อยละ 70.9 ระบุ มีแต่สาดโคลน เอาเรื่องส่วนตัวมาโจมตี เหมือนดูละคร น้ำเน่า ไม่ได้ประโยชน์ ร้อยละ 69.6 ระบุ เห็นฝ่ายค้านบางคนอภิปรายได้ดี รัฐบาลควรนำไปแก้ไข ร้อยละ 64.3 ระบุ เห็นชัดการเมืองไทย และหลักประชาธิปไตยไทย ถูกแทรกแซงจากกลุ่มอำนาจผลประโยชน์และคนต่างประเทศ ร้อยละ 53.6 ระบุอื่น ๆ เช่น พรรคเล็ก พรรคใหญ่ต่อรองผลประโยชน์ มีทั้ง ดาวร่วง ดาวรุ่ง ไร้ค่ายสังกัด ประชาชนรู้ทัน เป็นต้น

ผลสำรวจพบด้วยว่า รัฐมนตรีที่ประชาชนวางใจให้ทำงานต่อ อันดับแรกคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร้อยละ 61.1 รองลงมาคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร้อยละ 59.2 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 58.7 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร้อยละ 53.2 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร้อยละ 52.1 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร้อยละ 51.9 นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร้อยละ 51.4 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานร้อยละ 50.8 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร้อยละ 50.5 นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ร้อยละ 50.3 และ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร้อยละ 50.3 เท่ากัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความต้องการของประชาชนต่อการปรับคณะรัฐมนตรี พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 69.1 ระบุ ควรปรับคณะรัฐมนตรี หาคนเก่งมาร่วมงานแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องและความเดือดร้อนของประชาชนได้ดีกว่า ในขณะที่ ร้อยละ 30.9 ระบุ ไม่ควรปรับ เพราะ ทำงานดีอยู่แล้ว ปรับไปก็เท่านั้น ไม่มีประโยชน์ ยิ่งเกิดปัญหาขัดแย้งแก่งแย่งตำแหน่ง ใครจะเป็นอะไรไม่เกี่ยวกับชีวิต เป็นต้น

ที่น่าสนใจคือ 5 อันดับแรก คุณลักษณะเฉพาะของบุคคลสำคัญที่ประชาชนต้องการให้เป็นนายกรัฐมนตรี พบว่า ส่วนใหญ่ หรือ ร้อยละ 55.8 ระบุ เป็นชาย สูงวัย ซื่อสัตย์ ไม่โกงบ้านโกงเมือง เด็ดขาด ปกป้องสถาบันเสาหลักของชาติ มีผลงาน มากประสบการณ์ เคยผ่านการเป็นผู้นำสูงสุดในอาชีพ อดทน คุมความขัดแย้งของคนในชาติได้ รับฟังความเห็นของทุกฝ่าย นานาประเทศยอมรับ รองลงมาคือ ร้อยละ 54.6 ระบุ เป็นชาย อดีตนักธุรกิจ นักบริหาร มีผลงานประสบความสำเร็จทั่วโลกยอมรับ มากประสบการณ์การเมือง อดทน จิตใจดีช่วยเหลือคนตัวเล็กตัวน้อย กล้าเปลี่ยนแปลง กล้าทำ มีความสามารถแก้วิกฤตต่าง ๆ ได้ ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจและสังคม เด็ดขาดเมื่อต้องเด็ดขาด มีจุดยืนปกป้องสถาบันเสาหลักของชาติ

อันดับสามคือ ร้อยละ 51.9 เป็นชาย สูงวัย มีประสบการณ์ กล้าทำ แก้ปัญหาใหญ่ ๆ ปราบปรามอิทธิพลเถื่อน แก้ต้นตอปัญหาทำกิน มีบารมีเครือข่าย คอนเนคชั่น คุมความขัดแย้งของคนในชาติ ปกป้องสถาบันเสาหลักของชาติ อันดับสี่คือ ร้อยละ 39.4 ระบุ เป็นชาย คนรุ่นใหม่ วิสัยทัศน์กว้างไกล โลกเสรีประชาธิปไตย พูดจาดีน่าฟัง มีเหตุผล เคยเป็นนักธุรกิจ และอันดับห้า คือ ร้อยละ 24.8 ระบุ เป็นหญิง คนรุ่นใหม่ อายุน้อย แต่ มีฐานะ มีตระกูลแกนนำการเมือง ตั้งใจจริงจะพัฒนาประเทศให้เจริญ มุ่งมั่นรวบรวมนักการเมืองเป็นครอบครัวเดียวกัน

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เผย ศึกซักฟอก รัฐมนตรีรอดทุกคน แต่ประชาชน กำลังอดตาย ซัด สภาพึ่งไม่ได้ เดินหน้าสร้าง ต่อยอด แพลตฟอร์ม ประชาชนมีส่วนร่วม

24 ก.ค. 2565 -คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงผลการลงมติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีรวม 11 คน ที่สภาผู้แทนราษฎรเทคะแนนเกินครึ่งให้ความไว้วางใจปฏิบัติหน้าที่ต่อ ว่าความรู้สึกหลังจากทราบผลคือไม่อยู่จะพูดยังไง หรือภาษาอีสานคือ เบิดคำสิเว้า เพราะจากการที่ตัวเองติดตามฟังการอภิปรายมาตลอด 4 วัน 4 คืน หลายเรื่องที่ฝ่ายค้านหยิบยกมาเป็นเรื่องจริงที่สะท้อนว่ารัฐบาลไร้สามารถในการบริหารประเทศจนทำให้เศรษฐกิจถดถอย พลังงานแพง สินค้าและค่าครองชีพสูง 

นอกจากนี้ข้อมูลการทุจริตคอร์รัปชันหลายอย่างก็ชัดเจน ตั้งแต่ นาฬิกาหรูยืมเพื่อน ปั่นหุ้น ฮั้วประมูล เอื้อประโยชน์พวกพ้อง หรือเอาพรรคพวกเข้ามารับตำแหน่งกินภาษีประชาชนโดยมิชอบ ทั้งหมดมันยิ่งตอกย้ำว่าในสถานการณ์ที่ทุกคนกำลังลำบากเดือดร้อน แต่รัฐบาลกลับซ้ำเติมประชาชน แถมยังมีเสียงในสภาคอยหนุนหลัง เป็นผู้แทนราษฎรที่มองข้ามความเดือดร้อนและไม่ฟังเสียงประชาชน เช่นเดียวกับอีกหลายองค์กรอิสระที่กลายเป็นตรายางฟอกขาวให้รัฐบาล ดังนั้น การขจัดคอร์รัปชันต้องเป็นวาระแห่งชาติ และพรรคไทยสร้างไทยจะขอเป็นช่องทางรับฟังเสียงประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อนำไปแก้ไขปัญหา และพัฒนาเป็นนโยบายในอนาคต ตามเจตนารมณ์ของพรรคคือ สู้เพื่อคนตัวเล็ก

“อภิปรายไม่ไว้วางใจ รอดทุกคน ยกเว้นประชาชนที่กำลังจะอดตายในวิกฤตเศรษฐกิจ แถมยังถูกซ้ำเติมด้วยรัฐบาลที่ไม่มีประสิทธิภาพ เอาภาษีไปบำเรอพวกพ้อง เมื่อสภาก็พึ่งไม่ได้ ป.ป.ช. ก็พึ่งไม่ได้ พรรคไทยสร้างไทยขอเป็นที่พึ่งรับฟังเสียงของประชาชนเพื่อช่วยเหลือและพัฒนาเป็นนโยบาย ตามเจตนารมณ์ของพรรคคือ สู้เพื่อคนตัวเล็ก” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมแจมงานคราฟต์เบียร์ หลังเสร็จศึกซักฟอกรัฐบาล ให้คำมั่นเดินหน้าสู้เพื่อปลดแอกสุราคนไทย ตามนโยบายทำน้อยแต่ได้มาก

เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ที่ชั้น 2 อาคารอนาคตใหม่ คณะก้าวหน้า จัดงาน B.A.D. BEER ครั้งที่ 2 มหกรรมคราฟต์เบียร์รวมเบียร์ฝีมือคนไทย โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนร่วมงานจำนวนมาก มีทั้งแบรนด์เบียร์ ร้านอาหารร่วมออกบูธ 

ภายในงานมีการออกบูธเบียร์-สุราชุมชนที่มีแบรนด์ถูกกฎหมาย รวมถึงจัดทำเวิร์คช็อป ชิม เบียร์-อาหาร โดยมี ส.ส. พรรคก้าวไกล เท่า พิภพ ลิมจิตกร เป็นวิทยากร โดยประชาชนและนักดื่มนักต้มเบียร์ ให้ความสนใจร่วมงานเป็นจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายของกิจกรรม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เซอร์ไพรส์ปรากฎตัวที่งาน โดยร่วมขึ้นปราศรัย ขอบคุณประชาชนที่ร่วมงานและต่อสู้เพื่อผลักดันกฎหมายสุราก้าวหน้า จนสำเร็จผ่านการพิจารณาในวาระแรก เพื่อเดินหน้าทลายทุนผูกขาด ปลดล็อกศักยภาพเบียร์ฝีมือคนไทย

"สินค้าการเกษตรนั้นมันเกิดขึ้นได้จากคนที่มีแพชชั่นแบบคุณทุกคนที่อยู่ในงานนี้ และหากไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนทุกคน คงไม่มีวันที่จะสำเร็จได้" นายพิธา กล่าว

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม จับมือลงนาม ไทย-ปูซาน ส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ตั้งเป้าใน 3 ปี เพิ่มมูลค่าส่งออกไทย 2 แสนล้านบาท 

เมื่อวันที่24 ก.ค.นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ร่วมเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายด้านการค้ากับประเทศพันธมิตรกลุ่มเมืองรองที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง และนำไปสู่การลงนามความร่วมมือระหว่างไทย-ปูซาน เชื่อมั่นการทำบันทึกความเข้าใจ ไทย-ปูซาน ที่จะผลักดัน Soft power และการส่งออกของไทย

นายธนกร กล่าวว่า นายกฯ มีนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าขับเคลื่อนการค้าระหว่างประเทศ เพื่อขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ทั้งการเจรจาการค้าในเวทีระดับโลกและภูมิภาคในหลายรูปแบบ ส่งผลให้เกิดความร่วมมือกับประเทศพันธมิตรเมืองหลัก และเมืองรอง ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง อาทิ มณฑลไห่หนาน มณฑลกานซู่ ประเทศจีน เมืองโคฟุ ประเทศญี่ปุ่น หรือรัฐเตลังคานา ประเทศอินเดีย เป็นต้น โดยวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจด้านการค้า (Memorandum Of Understanding : MOU) หรือ Mini FTA ระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจปูซาน หรือ Busan Economic Promotion Agency (BEPA) สาธารณรัฐเกาหลี

ทูตนริศโรจน์ เผยหนังไทยกำลังได้รับความนิยม พร้อมขึ้นแท่นหนึ่งใน ‘Soft Power’ อันดับต้นๆ ของไทย พร้อมชวนออเจ้าไทยในออสเตรเลียร่วมชม ‘บุพเพสันนิวาส 2’ สร้างปรากฎการณ์หนังไทยในต่างแดน

นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (คณะที่ 2) กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ดูแลเวลากองถ่ายทำจากต่างประเทศที่ขอเข้ามาถ่ายทำในไทย โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก Fuangrabil Narisroj ระบุว่า ...

มาออสเตรเลียเพื่องานนี้โดยเฉพาะ!!!

 ได้รับเชิญให้มาเป็นประธานเปิดฉายหนังเรื่อง ‘บุพเพสันนิวาส 2’ (Love Destiny the Movie) วันที่ 30 กค ที่ซิดนีย์ และวันที่ 6 สค. ที่เมลเบิร์น

ตอนนี้หนังไทยกลายเป็น Soft Power ในอันดับต้นๆที่สำคัญของไทยไปแล้ว

เปิดแล้ว ‘ศาลเจ้าชินโต ศรีราชา’ ที่พึ่งทางใจของชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เปิดให้สักการะแล้ว หลังมีพิธีอัญเชิญเทพเจ้าประดิษฐานไปเมื่อวันที่ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา

เฟซบุ๊กเพจ ททท. สำนักงานพัทยา เผยภาพบรรยากาศงานอัญเชิญเทพเจ้าประดิษฐาน ณ ศาลเจ้าซินโต ศรีราชา ที่พึ่งทางใจของคนญี่ปุ่นในไทยและนักท่องเที่ยว พร้อมข้อความว่า

ภาพจาก ททท.สำนักงานพัทยา

การสร้างศาลเจ้าชินโต ศรีราชา นำโดย Mr.Masahiro Abe นายกสมาคมศาลเจ้าชินโตศรีราชา สร้างขึ้นเพื่อเผยเเพร่พระพุทธคุณของเทพเจ้าหลัก "เทพเจ้าอามาเตราซุโนะโอมิกามิ" และ "เทพเจ้าอุกะโนะมิทามะ" ให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางขึ้น ในฐานะเทพเจ้าผู้สามารถปกปักรักษาอำเภอศรีราชา และเป็นศูนย์รวมที่พึ่งทางจิตใจของชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย
 

องค์การอนามัยโลก (WHO) ยกระดับการเตือนภัยโรคฝีดาษลิงเป็นขั้นสูงสุดแล้ว โดยประกาศให้เชื้อไวรัสชนิดนี้เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ

การยกระดับเตือนภัยครังนี้หมายความว่า WHO มองว่าการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงเป็นภัยคุกคามต่อสาธารณสุขทั่วโลกในระดับสำคัญ ซึ่งจำเป็นต่องใช้การตอบสนองเชิงประสานงานระหว่างประเทศเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายไปมากกว่านี้และไม่ให้มันกลายเป็นโรคระบาด

ถึงแม้ว่าการประกาศของ WHO จะไม่ได้บังคับให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ออกมาตรการแต่อย่างใด แต่มันเป็นการเรียกร้องให้มีการตอบสนองอย่างเร่งด่วน WHO ทำได้เพียงออกคำชี้แนะและแนวทางต่อรัฐสมาชิกเท่านั้น หน้าที่ของรัฐสมาชิกคือการรายงานเหตุการณ์ที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อสาธารณสุขโลก

เมื่อเดือนที่แล้ว หน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาตินี้ประกาศภาวะฉุกเฉินระหว่างประเทศเพื่อตอบสนองต่อโรคฝีดาษลิง แต่การติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา บีบให้ เตโวโดรส อัดฮาโนม เกอเบรออีเยอซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกต้องออกคำเตือนขั้นสูงสุด

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ ที่ 24 กรกฎาคม 2565 : พระพยอม กลฺยาโณ

ชีวิตยังไงก็ต้องเจอ 
กับคำว่า ‘วิกฤต’
ดังนั้นต้องหัดเรียนรู้และเข้าใจ
ว่าในทุกวิกฤต
ย่อมมีโอกาสเสมอ
เราต้องผ่านไป...
ด้วยความชาญฉลาด
และสติปัญญา...

พระพยอม กลฺยาโณ

'บิ๊กโจ๊ก' ลงพื้นที่สุโขทัยชื่นชม Smart Safety Zone 4.0 สภ.เมืองสุโขทัย อันดับ 3 ของประเทศ

(23 ก.ค.65) พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ประธานกรรมการประเมินโครงการ Smart Safety Zone 4.0 พร้อมด้วย พล.ต.ต.พยูห์ ธนะศรีสืบวงศ์ รอง ผบช.ภ.6, คณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเดินทางมาตรวจเยี่ยมพื้นที่ดำเนินการโครงการ Smart Safety Zone 4.0 สภ.เมืองสุโขทัย ซึ่งเป็นโรงพักนำร่อง หนึ่งในร้อยสถานีตำรวจ ระยะที่ 2 ประจำปี 2565 ติดตามความคืบหน้า ในการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการป้องกันอาชญากรรม เพื่อให้การป้องกันอาชญากรรมอย่างมีให้ประสิทธิภาพ โดยมี พล.ต.ต.อมรศักดิ์ เกษมก์สิริ. ผบก.ภ.จว.สุโขทัย พร้อมด้วยพ.ต.อ.ไสว ครุธผาสุข รอง ผบก.ภ.จว.สุโขทัย โดยมี พ.ต.อ.ไพบูลย์ กาศอุดม ผกก.สภ.เมืองสุโขทัย และพ.ต.ท.ลักษณ์ รัตนถาวร รอง ผกก.ป.สภ.กล่าวรายงานความคืบหน้า และร่วมนำเสนอผลงานที่จัดทำขึ้นตั้งแต่เริ่มโครงการและผลงานเด่นชัดจากการป้องปราม ปราบปราม และจับกุม มีภาคีเครือข่ายเพื่อร่วมกันป้องกันอาชญากรรมในพื้นที่ตามโครงการ Smart Safety Zone 4.0 สภ.เมืองสุโขทัย จากนั้นได้ร่วมประชุมรับฟังคำชี้แนะ ที่ห้องประชุม 1 ตำรวจภูธรจังหวัดสุโขทัย พร้อมกล่าวชื่นชมสภ.เมืองสุโขทัยที่ผลการประเมินจัดอยู่ในท๊อป 3 ของประเทศ และเจ้าหน้าที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยีและไอทีเป็นอย่างดี และยังมีช่องทางการประชาสัมพันธ์ที่ทำให้ประชาชนเกิดการรับรู้การทำงานของตำรวจได้เป็นอย่างดี

สำหรับที่มาของโครงการ Smart Safety Zone 4.0 เป็นแนวคิดริเริ่มของ ผบ.ตร.ท่านปัจจุบันพลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ที่ต่อยอดมาจากตำรวจชุมชนสัมพันธ์เดิม แต่เมื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีต่างๆ มากขึ้น เข้ามาทำให้ชีวิตของประชาชนเปลี่ยนไปอาชญากรรมมีความซับซ้อนมากขึ้น อาชญากรรมมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาดำเนินการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรมออนไลน์ การพนันรูปแบบต่างๆ การหลอกลวงลงทุน Romance Scam (Call Center) ท่าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงได้ริเริ่มโครงการ Smart Safety Zone 4.0 แต่เดิมมีแค่ตำรวจกับประชาชนโดยได้เพิ่มเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตำรวจประชาชนและเทคโนโลยี อันเป็นที่มาของโครงการนี้ 

ซึ่งโครงการ Smart Safety Zone 4.0 สภ.เมืองสุโขทัยมีพื้นที่เป้าหมาย 0.64 ตร.กม. 3 ชุมชน ได้แก่ชุมชนราชธานี ชุมชนประชาร่วมใจ ชุมชนวิเชียรจำนงค์ สถานที่สำคัญในเขต Smart Safety Zone 4.0 สภ.เมืองสุโขทัย มีโรงเรียน 2 แห่ง ธนาคาร ร้านค้าทอง 9 ตลาด วัด โรงเรียน ส่วนราชการ ได้รับงบประมาณจากอบจ.สุโขทัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชนในพื้นที่ในการติดตั้งกล้องวงจรปิดรวมทั้งสิ้น 8,965,000 บาท ทำให้มีอุปกรณ์ครบจุดพร้อมให้บริการประชาชน และเป็นที่พอใจของประชาชน อีกทั้ง สภ.เมืองสุโขทัย ร่วมบูรณาการทำงานระหว่างภาครัฐและเอกชน Big 6 และวิเคราะห์อาชญากรรมเป็นประจำทุกเดือนได้ดำเนินการตามโครงการ Smart Safety Zone 4.0 โดยใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีสมัยใหม่ นำมาประยุกต์ใช้ในการป้องกัน เหตุอาชญากรรมในพื้นที่โครงการดังนี้ 1. ห้องศูนย์ปฏิบัติการควบคุมสั่งการ ccoc 2. กล้องวงจรปิด ccoc ที่ควบคุมพื้นที่ทั้งหมด 3. สายตรวจโดรนสำหรับหาข่าวและสังเกตการณ์ 4. ตู้รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน SOS 5. ตู้แดง QR Code สแกนผ่าน Application Police 4.0 และ 6. การรับแจ้งเหตุผ่าน Application Police I lert you และ LINE OA  ส่วน 7. มีหน้าจอแสดงพิกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่โดยใช้ Life 360 

จับชีพจร '2ป.พปชร' วัดบารมีลุงป้อม ในวันที่ลูกพรรคเริ่มแตกแถว 'ป๊อกร่อแร่ - ชะตาเฮ้งแย่' หลังเจอปากน้ำลอยแพ

ควันหลงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้ว่ารัฐมนตรีทั้ง 11 ท่านจะรอดจากการอภิปราย ภายใต้ข้อมูลของฝ่ายค้านด้วยข้อมูลที่ 'เบาหวิว' 

แต่ศึกกันเองนี่สิ ดูแล้วน่าแอบห่วง!! เพราะภายในพรรคประชาธิปัตย์, พรรคเศรษฐกิจไทย, พรรคพลังประชารัฐ และ พรรคร่วมกันเอง ต่างก็ไม่โหวตให้กัน 

ข้ามมาในส่วนฝั่งฝ่ายค้าน ก็มีงูเห่าเหมือนเดิม ทั้งพรรคเพื่อไทย และ พรรคก้าวไกล ส่วนพรรคที่ดูมีเอกภาพมากที่สุด มีงูเห่าโผล่มาเติมเสียงให้ คือ พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเรียกได้ว่าเนื้อหอมที่สุดในยามนี้

ตัดมาที่ฉากหลักอย่าง พรรคพลังประชารัฐ ตอนนี้มี 'รอยปริ' จากกลุ่มที่เคยเรียบร้อยมาตลอด อย่าง 'กลุ่มปากน้ำ' (ที่ควรจะมีตำแหน่งรัฐมนตรีสักเก้าอี้ แต่ไม่มีให้) 

โดยงวดนี้กลุ่มปากน้ำเริ่มออกฤทธิ์ ในการออกเสียงรอบนี้ เหตุเพราะมีการลือกันว่า กลุ่มนี้ไม่ได้รับความร่วมมือในการทำงานพื้นที่จากบิ๊กป๊อก หรือ รมว.มหาดไทยเลย ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา เลยพากันไม่ยกมือให้ แถมยังลามไม่ยกมือให้ รมว.แรงงาน อย่างเสี่ยเฮ้ง สุชาติ ชมกลิ่น จากชลบุรี ที่เป็นคนสนิทของลุงป้อม หัวหน้าพรรคด้วยอีกคน

กลุ่มปากน้ำฝ่ามติพรรค ไม่โหวตให้ 2 รัฐมนตรี น้องรักลุงป้อมงวดนี้ เหมือนกำลังวัดบารมีลุงป้อม ที่วันนี้ดูท่าจะลดลง ไม่พองฟูเหมือนเดิมแล้ว

ประเด็นที่น่าสนใจ คือ ลุงป๊อกจะได้ไปต่อหรือไม่ ตรงนี้นี่น่าคิดมาก เพราะเท่ากับต้องแลกกับการแตกแยกของ ส.ส.ต่อจากนี้

'ดร.กอบศักดิ์' แนะรับมือวิกฤตซ้อนวิกฤต ประเมินสถานการณ์ สร้างโอกาสลงทุน

'กอบศักดิ์' บรรยาย เปิด 'หลักสูตร พศส.' สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ แนะรับมือวิกฤตซ้อนวิกฤต ประเมินสถานการณ์สร้างโอกาสลงทุน

'กอบศักดิ์' คาดเศรษฐกิจโลก - ไทยเผชิญภาวะวิกฤตซ้อนวิกฤตยาว 2 ปี กนง.จ่อขึ้นดอกเบี้ยปีนี้ 0.75% ดันดอกเบี้ยนโยบายไทยปีนี้แตะ 1.25% หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ระบุท่องเที่ยวไทยสัญญาณฟื้นชัดเจน มองราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อ    

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ 'Economic Turbulence 2022 เศรษฐกิจ วิกฤตซ้อนวิกฤตต้องรับมืออย่างไร' ระหว่างการอบรมโครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง (พศส.) ปี 2565 Next chapter for wealth : เปิดโลกสร้างความมั่งคั่งสู่ความมั่นคง จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงเทพ และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ว่าในปัจจุบันแม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลงแต่เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงในหลายด้าน ถือเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตที่แต่ละประเทศต้องเตรียมการรับมือ ได้แก่ วิกฤตความขัดแย้งระหว่างประเทศ วิกฤตราคาพลังงานและอาหารโลก ความปั่นป่วนของตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก 

ขณะที่การเร่งการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพื่อต้อสู้กับเงินเฟ้อส่งผลให้ธนาคารกลางหลายประเทศต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นจนเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ตามมาทั้งในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ รวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตในประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) และปัญหาของเศรษฐกิจจีนที่มีสัญญาณการชะลอตัว โดยวิกฤตเศรษฐกิจในระดับโลกที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจนในช่วง 1 - 2 ปีข้างหน้าโดยเฉพาะภาคการส่งออกที่จะชะลอตัวลงจากเดิมที่เคยขยายตัวได้ในระดับ 20% ในปี 2564 

อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ได้อานิสงค์จากการฟื้นตัวในส่วนของภาคการท่องเที่ยว โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปีนี้ไปจนถึงต้นปี 2566 จะเพิ่มมากขึ้น โดยจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยเดือนละประมาณ 1 ล้านคน โดยรวมจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามายังประเทศไทยในปีนี้ประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยภาพรวมเนื่องจากมีสัดส่วนประมาณ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) 

ทั้งนี้เมื่อการท่องเที่ยวฟื้นตัวและส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภาพรวมจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่คาดว่าภายในปีนี้จะมีการทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% เป็นจำนวน 3 ครั้ง รวมแล้วคาดว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น 0.75% ภายในสิ้นปีนี้ ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับเพิ่มขึ้นจาก 0.5% ในปัจจุบันเป็น 1.25% โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อ และช่วยชะลอการลดลงของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ลดลงจากระดับ 2.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาสู่ระดับ 2.15 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือลดลงประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา 

“ตัวเลขเงินเฟ้อเป็นตัวเลขที่แบงก์ชาติต้องจับตาดูเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเรื่องการปรับอัตราดอกเบี้ย โดยเงินเฟ้อในส่วนที่เป็นเงินเฟ้อรวมในเดือนที่ผ่านมาของไทยอยู่ที่  7.66% แต่ในส่วนที่เป็นเงินเฟ้อทั่วไป (Core Inflation) ของไทยอยู่ที่ 2.58% ถือว่าไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงนัก ดังนั้นการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติอีก 0.75% เพื่อให้ดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ระดับ 1.25% ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 คาดว่าเป็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ จากนั้นก็จะต้องดูปัจจัยอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศแต่คาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยคงเกิดขึ้นต่อไปอีกระยะ” ดร.กอบศักดิ์ กล่าว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top