Tuesday, 13 May 2025
SPECIAL

อินฟลูฯ สาวชาวจีน อวดรวยใช้เงินวันละ 8 แสน กระตุกรัฐบาลจีนหันมาปราบ ‘ลัทธิบูชาเงิน’

อินฟลูเอนเซอร์สาวชาวจีนรายหนึ่งผู้มียอดติดตามในแอปโต่วอิน (ติ๊กต็อกเวอร์ชันจีน) มากกว่า 3 ล้านคน นามว่า หวังเฉิงเฉิง (王澄澄) ได้กล่าวว่า เธอใช้จ่ายเงินวันละเป็นจำนวนมหาศาล และโพสต์ภาพการเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ จากนั้นเธอก็ถูกชาวเน็ตโจมตีและแอนตี้อย่างหนัก อีกทั้งยังถูกสื่อของรัฐบาลจีนวิจารณ์อีกว่าส่งเสริม ‘ลัทธิบูชาเงิน’ ที่ให้ผู้คนใช้เงินจำนวนมากในการซื้อความสุขให้ตัวเอง

ก่อนหน้านี้ หวังเฉิงเฉิง อินฟลูเอนเซอร์สาววัย 31 ปีรายนี้ ได้โพสต์อวดในบัญชีโต่วอินของเธอว่า เธอเป็นเจ้าของคฤหาสน์หรูขนาด 400 ตารางเมตร ขับรถหรูโรลส์-รอยซ์ ใช้เงินมากกว่า 150,000 หยวน (ประมาณ 8 แสนบาท) ต่อวัน นั่งเฮลิคอปเตอร์ตำรวจในการเดินทางทุกๆ วัน และเธอยังอ้างอีกว่าพ่อของเธอเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง ทำให้ชาวเน็ตหลายคนตั้งคำถามว่า เธอมีสิทธินั่งเฮลิคอปเตอร์ตำรวจได้อย่างไร และมีการใช้อำนาจของรัฐบาลในทางที่ผิดหรือไม่ จนในที่สุดบัญชีโต่วอินของเธอถูกแบนหลังจากเรื่องอื้อฉาวปะทุขึ้นไม่นาน

หวังเฉิงเฉิงอาศัยอยู่ในเมืองเสิ่นหยาง มณฑลเหลียวหนิง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ตำรวจประจำเมืองเสิ่นหยางจึงออกมาเปิดเผยว่า เฮลิคอปเตอร์นี้เป็นของบริษัทเอกชนและให้ตำรวจท้องที่เช่าโดยเฉพาะเท่านั้น โดยหญิงสาวรายนี้ใช้เพื่อถ่ายทำวิดีโอเท่านั้น และไม่มีสิทธิใช้นั่งเพื่อการเดินทางส่วนตัวได้

และเพื่อคลายความสงสัยให้สาธารณชน ตำรวจเมืองเสิ่นหยางได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า พ่อของหวังเฉิงเฉิงเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับล่างที่เกษียณอายุแล้ว อีกทั้งผู้จัดการของบริษัทเอกชนที่เป็นเจ้าของเฮลิคอปเตอร์ลำนี้ก็ถูกไล่ออกด้วย เนื่องจากปล่อยปละละเลยให้หวังเฉิงเฉิงใช้เฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวถ่ายทำวิดีโอของเธอ

รักษ์โลก รักษ์พลังงาน ด้วยไบโอดีเซลครบวงจรกับ BCG โมเดล โครงการ ‘ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา ครั้งที่ 19’

วิกฤตพลังงาน เป็นอีกหนึ่งวิกฤตการณ์สำคัญที่เป็นผลพวงจากสงครามรัสเซียและยูเครนที่ดำเนินเข้าสู่เดือนที่ 6 และยังไม่มีสัญญาณใดๆ ว่าจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น จากการคว่ำบาตรรัสเซียเป็นประเทศผู้ผลิตพลังงานหลักของโลก และเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับสามของโลก รองจากสหรัฐและซาอุดีอาระเบีย ส่งผลกระทบให้ทั่วโลกเกิดวิกฤติการขาดแคลนพลังงาน ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติ และลุกลามไปถึงระบบการขนส่ง การผลิตอาหาร การบริโภค เงินเฟ้อ และค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น

‘ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา ครั้งที่ 19’ โดย บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และองค์กรภาคี ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด สำนักโครงการและจัดการความรู้ (OKMD) กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมนักเรียนเก่า AFS ประเทศไทย และมูลนิธิธรรมดี นำครูอาจารย์ และหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนใจลงพื้นที่ทำกิจกรรม ในวันที 23-24 กรกฎาคม 2565 ณ โครงการโรงงานสกัดน้ำมันพืชและผลิตไบโอดีเซลครบวงจร จังหวัดเพชรบุรี หนึ่งในโครงการที่ได้ถูกคัดเลือกอยู่ในหนังสือเดินทางตามรอยพระราชา โดยศูนย์คุณธรรมร่วมกับองค์กรภาคี จัดทำสรุป 9 เส้นทาง 81 แหล่งเรียนรู้ศาสตร์พระราชา โดยให้ความสำคัญกับการเรียนรู้การแก้วิกฤติ ด้วยการ ‘นำปัญหามาแก้ปัญหา’ และการถอดพระอัจฉริยภาพ ‘จอมปราชญ์แห่งพลังงาน’ 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงสนพระทัยในเรื่องการศึกษาการนำน้ำมันปาล์มไปใช้แปรรูปเป็นน้ำมันไบโอดีเซล และได้ให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สร้างโรงงานสาธิตสกัดน้ำมันปาลม์ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ที่สหกรณ์นิคมอ่าวลึก จ.กระบี่ และที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.นราธิวาส ต่อจากนั้นสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานพระราชดำริให้สำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนา ประสานกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จัดทำโครงการเกี่ยวกับปาล์มน้ำมันและพืชพลังงานทดแทน ประกอบด้วย โครงการจัดสร้างโรงงานสกัดน้ำมันพืชและผลิตไบโอดีเซลครบวงจร โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านไบโอดีเซลเพื่อการแข่งขัน โครงการวิจัยทดสอบการใช้น้ำมันปาล์มดิบและไบโอดีเซลในเครื่องยนต์ดีเซล และโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน เพื่อเป็นสถานที่สำหรับใช้ในการศึกษา ทดลอง วิจัย และพัฒนาพลังงานทดแทนจากพืชและไบโอดีเซลจากการปฏิบัติจริง เพื่อเป็นตัวอย่างการเรียนรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการผลิตพลังงานทดแทนการสกัดน้ำมันพืชแก่ชุมชน และเพื่อทดลองการปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่แห้งแล้ง

โครงการโรงงานสกัดน้ำมันพืชและผลิตไบโอดีเซลครบวงจร จ.เพชรบุรี มีกิจกรรมหลากหลาย อาทิ การผลิตไบโอดีเซล และการนำวัตถุดิบที่ได้จากการผลิตไบโอดีเซล คือ กลีเซอรีนและน้ำมันปาล์มนำมาผลิตสบู่และผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนเช่น น้ำยาล้างจาน สเปรยไล่ยุง น้ำมันหอมระเหย การเลี้ยงปลา (ด้วยอาหารที่มีกากปาล์มผสม) เลี้ยงหมูป่าเพื่อกินกากปาล์มซึ่งได้จากกระบวนการสกัดน้ำมันปาล์มดิบ การกลั่นน้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพรที่โครงการมีการปลูกพืชเพื่อสกัดน้ำมันหอมระเหย ได้แก่ ตะไคร้หอม 

ตะไคร้บ้าน มะกรูด โปร่งฟา ขมิ้น กะเพราป่า เป็นต้น โดยทั้งหมดนี้เป็นการนำวัตถุดิบมาผลิตและหมุนเวียนให้เกิดประโยชน์โดยไม่เกิดของเสียเหลือทิ้ง ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และลดการเกิดคาร์บอนในอากาศ จากการใช้วัตถุชีวภาพ เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุลและยั่งยืน ตามหลัก BCG โมเดล ซึ่ง ครูอาจารย์และผู้ที่สนใจจะได้เรียนรู้และลงมือทำกิจกรรมในโครงการทุกขั้นตอน
นางวิชชุดา ไตรธรรม ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กิจกรรมทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอดนวัตกรรมศาสตร์พระราชา เราจัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2561 ครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 19 มีผู้เข้าร่วมโครงการ รวมจำนวน 2,279 คน ทุกกิจกรรมในโครงการตามรอยพระราชาเราคาดหวังให้เกิดความเข้าใจและรับรู้ในพระราชปณิธานและพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณีกิจนานัปการเพื่อให้ราษฎรของพระองค์มีความเป็นอยู่อย่างผาสุก การมาลงพื้นที่ทำกิจกรรมโครงการโรงงานสกัดน้ำมันพืชและผลิตไบโอดีเซลครบวงจร ในครั้งนี้ เราได้เรียนรู้ทั้งการนำทรัพยากรจากธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การดูแลสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า รวมถึงแนวทางการสร้างงานสร้างอาชีพ ซึ่งทิพยประกันภัยใส่ใจสังคม กับโครงการ ทิพยทำความดีไม่มีสิ้นสุด พร้อมร่วมส่งเสริมกิจกรรมที่สร้างความแข็งแรงให้กับสังคม คาดหวังว่าครูอาจารย์ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับความรู้และนำไปเผยแพร่ให้เกิดประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชน เพื่อการพัฒนาตนเองและประเทศชาติต่อไป

สิ้น 'ม.จ.ภีศเดช รัชนี' ผู้ถวายงานรับใช้ในหลวง ร.9 สิริชันษา 100 ปี

23 กรกฎาคม 2565 เฟซบุ๊ก เลาะรั้ว ชมวัง เผยว่า 'หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี' สิ้นชีพิตักษัย ณ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อเวลา 03.00 น. ของวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 สิริชันษา 100 ปี

'หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี' เป็นพระโอรสในพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ องค์ต้นราชสกุล 'รัชนี' ประสูติแต่หม่อมเจ้าพรพิมลพรรณ รัชนี (วรวรรณ) เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2465 และมีเจ้าพี่ร่วมพระมารดาหนึ่งพระองค์คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต เป็นพระปนัดดา (เหลน) ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (วังหลวง) และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว (วังหน้า) และเป็นพระนัดดา (หลาน) ในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (กรมพระราชวังสถานมงคลพระองค์สุดท้าย) นับเป็นพระราชวงศ์องค์สุดท้ายในสายกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) 

ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เปิดสัมมนาการป้องกันการเลือกปฏิบัติ ความรุนแรง และการล่วงละเมิดทางเพศ: สถานที่ทำงานปราศจากการเลือกปฏิบัติ ความรุนแรง และการล่วงละเมิด สร้างการรับรู้อนุสัญญาฉบับที่ 190 และข้อแนะฉบับที่ 206 

วันที่ 23 กรกฎาคม 2565 เวลา 09.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนา การป้องกันการเลือกปฏิบัติ ความรุนแรง และการล่วงละเมิดทางเพศ: สถานที่ทำงานปราศจากการเลือกปฏิบัติ ความรุนแรง และการล่วงละเมิด โดยมี นานเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล ประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย Ms. Joni Simpson ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านความเท่าเทียมระหว่างเพศและการไม่เลือกปฏิบัติ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ และหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดชลบุรี เข้าร่วมการสัมมนา ณ โรงแรมโนโวเทล มารีน่า ศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การป้องกันการเลือกปฏิบัติ ความรุนแรง และการล่วงละเมิดทางเพศ: สถานที่ทำงานปราศจากการเลือกปฏิบัติ ความรุนแรง และการล่วงละเมิด เป็นประเด็นที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับนายจ้าง ลูกจ้าง และทุกคนในโลกแห่งการทำงาน รวมถึงเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสนใจ ความรุนแรง และการคุกคามในโลกแห่งการทำงาน ถือเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรม และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นภัยคุกคามต่อโอกาสที่เท่าเทียมกัน เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ และขัดกับหลักการของงานที่มีคุณค่า องค์การแรงงานระหว่างประเทศจึงได้มีมติในที่ประชุมใหญ่สมัยที่ 108 เมื่อปี พ.ศ. 2562 รับรองอนุสัญญา ฉบับที่ 190 และข้อแนะฉบับที่ 206 ว่าด้วยความรุนแรงและการคุกคามในโลกแห่งการทำงาน ค.ศ. 2019 เพื่อเป็นกรอบแนวทางสำหรับรัฐสมาชิกในการคุ้มครองบุคคลทุกคนในโลกแห่งการทำงาน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นลูกจ้าง นายจ้าง ผู้ฝึกงาน อาสาสมัคร คนหางาน ผู้สมัครงานหรือบุคคลใช้อำนาจหน้าที่ของนายจ้าง ให้ได้รับความคุ้มครองจากความรุนแรงและการล่วงละเมิด ทั้งทางกายภาพ ทางจิตใจ ทางเพศ หรือทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในสถานที่ทำงานหรือสถานที่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน รัฐบาลไทยตระหนักถึงผลกระทบของความรุนแรงและการล่วงละเมิดที่มีต่อโลกแห่งการทำงาน และได้ร่วมลงคะแนนเสียงสนับสนุนตราสารทั้งสองฉบับ 

โดยขณะนี้กระทรวงแรงงาน อยู่ระหว่างการศึกษาช่องว่างทางกฎหมายของประเทศไทย เปรียบเทียบกับอนุสัญญาฉบับที่ 190 ร่วมกับโครงการ Safe and Fair เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงกฎหมายภายในประเทศให้สอดคล้องกับอนุสัญญา รวมถึงเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้สัตยาบันอนุสัญญา

'ก้าวไกล' ลุยต่อ 'ยุทธการโรยเกลือ' ซีซั่น 3 เล็งยื่น ป.ป.ช. เอาผิด 'ประยุทธ์และคณะ'

'พรรคก้าวไกล' ลุยต่อ 'ยุทธการโรยเกลือ' ซีซั่น 3 - เล็งยื่นข้อมูลหลักฐานจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจเอาผิด 'ประยุทธ์และคณะ รมต.' ต่อ ป.ป.ช. 'ศิริกัญญา' ชี้ความผิดปกติโครงการสร้างอนุสาวรีย์ - 'โรม' มั่นใจทุจริตในกองบินตำรวจหลักฐานมัด ด้าน 'พิธา' ขอบคุณประชาชนร่วมลงมติคู่ขนาน 

ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า พรรคก้าวไกลจะยังคงดำเนินยุทธการโรยเกลือต่อเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งแม้ที่ผ่านมาการยื่นเรื่องไปที่องค์กรอิสระที่มีหน้าที่ตรวจสอบอย่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. คดีความจะไม่ค่อยมีความคืบหน้า ซึ่งก็สอดคล้องกับที่ได้อภิปรายใน 2 เรื่องที่แม้จะมองว่าเป็นเรื่องเก่าแต่ผลก็เพิ่งออกมา นั่นคือกรณีของ จีที 200 และนาฬิกาเพื่อน และแม้ว่าความเชื่อมั่นในองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. สำหรับประชาชนแล้วจะเหลือน้อย แต่อย่างไรพวกเราก็คงต้องทำหน้าที่ของเราต่อไปด้วยการรวบรวมเอกสารทั้ง 11 กรณีที่ได้อภิปรายนำไปยื่นอีกครั้ง ด้วยหวังว่าเมื่อระบอบประยุทธ์สิ้นสุดลง วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดก็จะต้องหมดไปด้วย การเช็กบิลผู้ที่ทำผิดจะต้องเกิดขึ้นภายใต้ระบอบที่องค์กรอิสระเป็นอิสระอย่างแท้จริง 

"ที่ผ่านมา เราพบความผิดปกติหลายๆ เรื่อง เช่น กรณีที่คุณอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคได้อภิปรายเรื่องทุจริตการสร้างอนุสาวรีย์ ก็พบว่ามีการยกเลิกประกาศสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง การสร้างเพียง 1 วันก่อนอภิปราย ซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้ทางพรรคได้ปล่อยหนังตัวอย่างออกมาว่าจะมีการอภิปรายเรื่องนี้ จึงส่งผลให้มีการแก้ประกาศเพียง 1 วันหลังจากนั้น และเป็น 1 วันก่อนที่จะมีการอภิปราย ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องผิดปกติอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามยังมีอีก 2 กรณี ที่ไม่สามารถไปยกเลิกประกาศย้อนหลังได้อย่างแน่นอน ซึ่งเราเตรียมข้อมูลหลักฐานไว้พร้อมแล้ว  

นอกจากนี้ยังมีเรื่องกัญชา การซุกหุ้ง การทุจริตในเคหะแห่งชาติ การออกโฉนดอย่างไม่ชอบ การใช้สปายแวร์สอดแนมโจมตีผู้เห็นต่างและนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม และที่สำคัญคือการทุจริตในกองบินตำรวจ ก็ต้องเข้าสู่การตรวจสอบด้วยเช่นกัน ซึ่งตอนนี้หลักฐานพร้อมแล้ว ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไปจะเริ่มทยอยยื่นหลักฐานต่อ ป.ป.ช.ได้" ศิริกัญญา กล่าว

นายกฯ ขอบคุณทุกคะแนนโหวตไว้วางใจ  พร้อมปรับการทำงาน ส่วนเรื่องปรับครม. ค่อยว่ากัน

(23 ก.ค. 65) เมื่อเวลา 11.10 น. ที่รัฐสภา ภายหลังโหวตญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกรทะรวงกลาโหม พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ได้เดินลงมาพร้อมกัน

โดยนายกฯ กล่าวถึงผลการโหวตลงมติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ขอบคุณทุกคะแนนเสียงที่โหวตให้กับรัฐมนตรีและรัฐบาล ทุกคะแนนเป็นกำลังใจให้พวกเราพยายามทำงานให้ดีที่สุดและต้องทำงานให้มากขึ้น หลายๆ อย่างที่มีการอภิปรายก็เป็นประโยชน์กับพวกเรา แม้บางอย่างจะไม่ใช่ข้อเท็จจริงบ้างก็ตาม แต่อะไรที่จะต้องปรับวิธีการทำงาน ที่ตนเห็นว่าบางอย่างไม่ใช่เราทำดีทั้งหมด หรือไม่ดีทั้งหมด แต่ก็ต้องรับข้อเสนอไป อะไรที่เป็นประโยชน์ก็จะนำไปปรับใช้การทำงานในระยะต่อไปนี้ซึ่งอีกไม่นานนักหรอก

"ขอบคุณพรรคร่วมรัฐบาล ขอบคุณทุกคน ทุกคะแนนเสียง นี่คือระบอบประชาธิปไตย ระบอบการทำงานของสภาและรัฐสภา ขอบคุณมากๆ" นายกฯ กล่าว

'เจี๊ยบ ก้าวไกล' วางดอกไม้จันทน์ตรงที่นั่งนายกฯ หลังสภาฯ ลงมติไว้วางใจ 11 รัฐมนตรี

(23 ก.ค. 65) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม มีวาระที่สำคัญเป็นการลงมติอภิปรายไว้วางใจรัฐมนตรี จำนวน 11 คน บรรยากาศภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ก็มีบางส่วนประท้วงประปราย

โดยนายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ งูเห่าพรรคก้าวไกล ลุกขึ้นประท้วงว่า ทำไมถึงมีสมาชิกบางคน นำดอกไม้จันท์เข้ามาในห้องประชุมสภา ที่นี่เป็นห้องประชุมสภาอันทรงเกียรติ ไม่ใช่วัด ไม่ใช่เมรุ ขอให้ประธานควบคุมการประชุมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยด้วย

ขณะที่ นายชวน กล่าวตอบว่า ถือเป็นพฤติกรรมของแต่ละบุคคล บางเรื่องก็เข้าไปควบคุมไม่ได้ แต่ถ้าผิดข้องบังคับก็ต้องควบคุม แต่บางครั้งเรื่องที่เกี่ยวกับจริยธรรมก็ควบคุมยาก

ไว้วางใจ! ไปต่อ! ผลการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2565

23 กรกฎาคม 2565 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีนัดลงมติในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี รวมกัน 11 คน โดยผลการลงมติ พบว่า พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวมทั้งหมด 11 คน ได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนฯ ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป 

ทั้งนี้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้ได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจจากสภาผู้แทนฯ มากที่สุด ส่วนผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจำนวนมาเป็นลำดับที่สองและสาม คือ รัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย ได้แก่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในขณะที่ผู้ที่ได้รับเสียงไม่ไว้วางใจมากที่สุด คือ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ที่ได้รับความไว้วางใจน้อยที่สุดในสภา คือ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

โดยผลการลงมติอย่างละเอียดมีดังนี้

1.) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ไว้วางใจ 256
ไม่ไว้วางใจ  206
งดออกเสียง 9
ผล: ไว้วางใจ

2.) จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ไว้วางใจ 241
ไม่ไว้วางใจ 207
งดออกเสียง 23
ผล: ไว้วางใจ

3.) อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ไว้วางใจ 264
ไม่ไว้วางใจ 205
งดออกเสียง 3
ผล: ไว้วางใจ

4.) พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
ไว้วางใจ 268
ไม่ไว้วางใจ 193
งดออกเสียง 11
ผล: ไว้วางใจ

5.) พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ไว้วางใจ 245
ไม่ไว้วางใจ 212
งดออกเสียง 13
ผล: ไว้วางใจ

6.) ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ไว้วางใจ 262
ไม่ไว้วางใจ 205
งดออกเสียง 5
ผล: ไว้วางใจ

7.) ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ไว้วางใจ 249
ไม่ไว้วางใจ 205
งดออกเสียง 18
ผล:ไว้วางใจ

8.) จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ไว้วางใจ 244
ไม่ไว้วางใจ 209
งดออกเสียง 17
ผล: ไว้วางใจ

ม.แม่โจ้ จัดสานสัมพันธ์ชาวแม่โจ้ - สื่อมวลชน อบอุ่น ประทับใจ

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 2565 รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นประธานเปิดงาน MJU Thank you Press Party 2022 ผู้บริหารมหาวิทยาลัยพบปะและขอบคุณสื่อมวลชน ประจำปี 2565 เพื่อกระชับความสัมพันธ์ชาวแม่โจ้ - พี่น้องสื่อมวลชน โอกาสนี้ ได้รับเกียรติจากนายวรณาณ บุญณราช รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกล่าวต้อนรับ มีคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยแม่โจ้ นายกสมาคมศิษย์เก่าแม่โจ้ รองประธานกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และคณะสื่อมวลชนทุกแขนงเข่าวมงานคับคั่ง ณ โรงแรม MELIÃ Chiang Mai

อาจารย์ ดร.สุดเขต สกุลทอง ผู้ช่วยอธิการบดี ประธานคณะกรรมการสื่อสารองค์กรมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างรอบตัว ทั้งรูปแบบการทำงาน การดำรงชีวิตในสังคม รวมถึงรูปแบบการเรียนการสอนที่ทำให้ทุกคนต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เมื่อทางจังหวัดเชียงใหม่ได้มีประกาศให้สถานศึกษาสามารถเปิดทำการในพื้นที่ได้แล้ว มหาวิทยาลัยแม่โจ้จึงได้เปิดการเรียนการสอนในรูปแบบปกติผสมผสานกับรูปแบบออนไลน์ตามที่เห็นสมควร และดำเนินตามมาตรการที่กำหนดไว้เพื่อป้องกันและลดการแพร่ระบาดให้สามารถดาเนินกิจกรรมต่างๆ ได้ต่อไป   

การจัดกิจกรรมมหาวิทยาลัยแม่โจ้พบปะและขอบคุณสื่อมวลชน MJU Thank You Press Party 2022 ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มหาวิทยาลัยแม่โจ้ได้พบปะและขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนงที่ได้ร่วมกันมีส่วนในการเผยแพร่ข่าวสารกิจกรรม งานวิจัยต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นผลประโยชน์แก่ภาคประชาสังคมให้สามารถนาไปต่อยอด เกิดความสัมพันธ์อันดีร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยแม่โจ้และเครือข่ายทุกภาคส่วน รวมถึงแนวนโยบายในการพัฒนามหาวิทยาลัยแม่โจ้ให้พี่น้องสื่อมวลชนทุกท่านได้รับทราบและร่วมกันเผยแพร่ข่าวสารกิจกรรมต่างๆ ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้สู่สาธารณชน”

รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2477 หรือปี ค.ศ.1934 ปัจจุบันจะมีอายุครบ 88 ปี และมีการวางยุทธศาสตร์แม่โจ้ 100 ปี เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกยุคดิจตอล มีคณะที่ทาการเรียนการสอนรวม 18 คณะ โดยคณะใหม่ที่เพิ่งเปิดล่าสุด ได้แก่ คณะสัตวแพทยศาสตร์ ซึ่งได้เริ่มเปิดดำเนินการคลีนิครักษาสัตว์แล้ว และคณะพยาบาลศาสตร์ ซึ่งปีนี้มีนักศึกษาใหม่เข้าเรียนเป็นปีแรกรวม 50 คน มีหน่วยงานสนับสนุนระดับสำนัก ได้แก่ สำนักบริหารและพัฒนาวิชาการ สำนักหอสมุด และสำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร ซึ่งผู้บริหารทุกท่านเกือบทั้งหมดที่ไม่ได้ติดภารกิจก็ได้มาร่วมพบปะและขอบคุณสื่อมวลชนในครั้งนี้ด้วย 

ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้ร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่ จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม และได้ลงนามความร่วมมือกับอำเภอสันทราย จัดตั้ง MJU Well-being hospitech และศูนย์พักคอย โดยมีบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลสันทรายร่วมดูแลประชาชนในพื้นที่ร่วมกัน เห็นได้ว่าภารกิจสำคัญในการผลิตกำลังคนคุณภาพและเผยแพร่องค์ความรู้เพื่อประโยชน์แก่สังคมชุมชน มีความจำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายทุกภาคส่วนให้การสนับสนุน โดยเฉพาะสื่อสารมวลชนทุกแขนงถือเป็นเครื่องมือที่มีพลังมหาศาล เพราะข่าวสารต่างๆ ล้วนถูกส่งต่ออย่างรวดเร็วผ่านทางโลกออนไลน์   โอกาสนี้ ขอขอบคุณจังหวัดเชียงใหม่ ขอบพี่น้องสื่อมวลชน ขอบคุณเครือข่ายทุกภาคส่วนที่ได้ให้ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ด้วยดีมาตลอด ขอให้ทุกท่านคิดถึงแม่โจ้ในฐานะที่เป็นมหาวิทยาลัยแห่งชีวิต มหาวิทยาลัยของประชาชน มหาวิทยาลัยของชาวเชียงใหม่ที่มุ่งสร้างประโยชน์เพื่อสังคมร่วมกับทุกท่านต่อไป”

บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างอบอุ่น สนุกสนาน ประทับใจ มีกิจกรรมนันทนาการสานสัมพันธ์พี่น้องสื่อมวลชนและคณะผู้บริหาร พร้อมมอบของขวัญพิเศษแทนคำขอบคุณ ร่วมกระชับความสัมพันธ์อันดีของพี่น้องชาวสื่อฯ กับ ผู้บริหารมหาวิทยาแม่โจ้

คืบหน้า!! 'ไทยสมายล์บัส' เริ่มปล่อยรถเมล์อีวีลงถนนกทม.บ้างแล้ว ยัน!! อีก 77 เส้นทาง มีรถเพียงพอ พร้อมบริการปชช. เร็วๆ นี้

ผู้บริหารกรมการขนส่งทางบก เยี่ยมชมกิจการโรงงานผลิตและประกอบรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า และโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ของกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด พร้อมมั่นใจรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า จะเพียงพอต่อความต้องการ เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2565 ที่บริษัท แอ๊บโซลูท แอสเซมบลี จำกัด อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก พร้อมด้วยนายปิยะ โยมา ผู้อำนวยการสำนักการขนส่งผู้โดยสาร คณะผู้บริหารและขนส่งจังหวัด เยี่ยมชมสายการผลิตและประกอบรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า โดยฝีมือของคนไทยที่ได้รับมาตรฐานระดับสากล ภายในรถโดยสารฯ มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับคนทุกเพศทุกวัย 

อาทิ ทางขึ้นวีลแชร์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ รวมทั้งระบบตั๋วที่มีเทคโนโลยีเชื่อมโยงกับขนส่งสาธารณะอื่นๆ ยกระดับการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะให้มีความทันสมัย สะดวกสบาย 

ซึ่งขณะนี้รถโดยสารพลังงานไฟฟ้า ของบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด มีการใช้งานในพื้นที่กรุงเทพฯ แล้ว และมีแผนดำเนินการผลิตอย่างต่อเนื่อง พร้อมมั่นใจว่าอีก 77 เส้นทาง จะมีรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าเพียงพอต่อความต้องการของพี่น้องประชาชนในเร็วๆ นี้แน่นอน ซึ่งตอบโจทย์นโยบายของกรมการขนส่งทางบกในการส่งเสริมการใช้รถพลังงานสะอาด ช่วยลดมลพิษทางอากาศอย่างยั่งยืน

จากนั้น อธิบดีกรมการขนส่งทางบก พร้อมคณะฯ เยี่ยมชมกิจการของบริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ที่อำเภอบางปะกง เป็นโรงงานแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนแห่งแรกที่มีกำลังการผลิตสูงถึง 1 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี ในเขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเตรียมแผนขยายกำลังการผลิตสู่ 50 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปีตามแผนในอนาคต สู่ผู้นำด้านนวัตกรรมแบตเตอรี่รายใหญ่ที่สุดของไทยและอาเซียน ที่สามารถผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและระบบสำรองไฟฟ้าได้เองครบทุกกระบวนการ โดยมีคุณกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด คุณคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานผู้บริหารบริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) และคุณชาญยุทธ ฉายาวัฒนะ ผู้บริหารบริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ให้การต้อนรับ 

'กลุ่มประชาสังคมฯ' ร้อง 'ประธานสภา'  จัดการ 'จิราพร' อภิปรายเหมืองทองคำบิดเบือน

กลุ่มประชาสังคมปฏิรูปทรัพยากรและทองคำ บุก สภา ร้อง 'ชวน' ตรวจสอบจริยธรรม-ชงป.ป.ช.ฟัน 'จิราพร' พูดบิดเบือนข้อเท็จจริงในศึกซักฟอก ยันไทยยังไม่ได้รับความเสียหาย 'ประยุทธ์' ใช้ ม.44 ปิดเหมืองเป็นอำนาจโดยชอบของรัฐบาลไทย

วานนี้ (22 ก.ค. 65) ที่รัฐสภา กลุ่มประชาสังคมปฏิรูปทรัพยากรและทองคำ นำโดย นางวันเพ็ญ พรมรังสรรค์ รองประธานกลุ่มประชาสังคมปฏิรูปทรัพยากรและทองคำ ยื่นหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร เรื่องขอให้สอบสวนจริยธรรม น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย (พท.) จากพฤติการณ์อภิปรายกรณีเรื่องเหมืองแร่ทองคำโดยไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในสภา เมื่อวันที่ 21 ก.ค. ผ่านนายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยนางวันเพ็ญ กล่าวว่า กลุ่มของตนเป็นกลุ่มประชาชนผู้ร้องในคดีเหมืองทองคำต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้ดำเนินการสอบสวนกรณีบริษัทประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำโดยมิชอบด้วยกฎหมายในหลายกรณี ซึ่งคดีดังกล่าวนี้ บางส่วนก็มีการชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่รัฐและมีการสั่งฟ้องไปยังศาลแล้ว บางคดีก็อยู่ระหว่างการสั่งฟ้องไปยังอัยการ และบางส่วนก็อยู่ระหว่างการสอบสวน ซึ่งรวมทุกประเด็นแล้วมีมากกว่า 40 ประเด็น

นางวันเพ็ญ กล่าวว่า การที่ประเทศไทยยุติการทำเหมืองแร่ทองคำของ บริษัทอัครารีซอสเซส จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2559 โดย การใช้มาตรา 44 ตามคำสั่งที่ 72/2559 ประกอบมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นอำนาจโดยชอบของรัฐบาลไทยซึ่งให้สัมปทานเมื่อรัฐบาลเห็นว่าประชาชนร้องเรียนเรื่องผลกระทบ จึงใช้อำนาจโดยการระงับไม่ต่อใบอนุญาตเหมืองแร่ทองคำและโรงงานโลหะกรรมที่สิ้นอายุลงตามปรกติ เอาไว้เพื่อตรวจสอบ จนนำไปสู่การตรวจสอบตามข้อร้องเรียนพบว่าบริษัททำผิดกฎหมายหลายกรณี ซึ่งกรณีที่ว่านี้แม้ว่าประเทศไทยจะถูกดึงเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ แต่การต่อสู้ในชั้นนี้ ประเทศไทยมีจุดแข็งในการต่อสู้เนื่องจากขณะที่ใช้มาตรา 44 ประเทศไทยยังมีพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) แร่ พ.ศ. 2510 ซึ่งมีมาตรา 9 ตรี กับ 9 ทวิ คุ้มครองไว้ จึงทำให้ประเทศไทยนั้นไม่เสียเปรียบทางด้านกฎหมาย เพราะว่ากฎหมายได้คุ้มครองไว้ว่าไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยให้บริษัทเอกชน

หล่อไม่สร่าง!! 'เก่ง-แซม-หนุ่ม-กบ-วิลลี่' 5 นักแสดงรุ่นเก๋ากับความหล่อระดับตำนาน

โอ้ยย...พ่อคุณ คิดว่าบอยแบนด์นัดซ้อมเต้นเตรียมขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ แต่ที่แท้เป็นแค่กองถ่ายละคร ที่นักแสดงรุ่นเก๋ามาประชันบทบาทกันในละครเรื่อง 'ฟ้าทานตะวัน' รุ่นใหญ่เขาเรียงแถวกันมาขนาดนี้เลยนะ!!

ละครน่าติดตามสุดๆ!! 

มาไล่เรียงอายุให้ชัดๆ กันนะ

>> เก่ง ชาติชาย อายุ 49 ปี
>> แซม ยุรนันท์ อายุ 60 ปี
>> หนุ่ม คงกระพัน อายุ 49 ปี
>> กบ ทรงสิทธิ์ อายุ 55 ปี
>> วิลลี่ แมคอินทอช อายุ 52 ปี

กองบัญชาการตำรวจนครบาล แถลงผลการปฏิบัติที่น่าสนใจความผิดต่อชีวิต/ร่างกาย และความผิดเกี่ยวกับทรัพย์

กองบัญชาการตำรวจนครบาล ขอประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ กรณีวันที่ 20 ก.ค.65 เวลา 11.30 น. พล.ต.ท.สำราญ  นวลมา ผบช.น., พล.ต.ต.จิรสันต์  แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. พล.ต.ต.นิตินันท์ เพชรบรม รอง ผบช.น., พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง รอง ผบช.น. พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ รอง ผบช.น. ได้แถลงผลการปฏิบัติที่น่าสนใจ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

คดีที่ 1 จับกุมคนร้ายประสบปัญหาทางการเงิน ใช้อาวุธปืนปลอมชิงทรัพย์ร้านทอง ในห้างสรรพสินค้าย่านพัฒนาการ สน.คลองตัน บก.น.๕ วันที่ 19 ก.ค.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมตัว นายประภากร หรือ กร อายุ 42 ปี ที่ห้องพักเลขที่ 210 ชั้น 2 ฝันดีแมนชั่น ซอยชยางกูร 38 ถนนชยางกูร อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมได้ตรวจยึดของกลาง

1.สร้อยข้อมือทองคำจี้ รูปหัวใจ พบในขวดโลชั่นทาผิว NIVEA จำนวน 1 เส้น

2.สร้อยข้อมือทองคำจี้ รูปปี่เชี้ยะ พบในขวดโลชั่นทาผิว NIVEA จำนวน 1 เส้น 

3.สร้อยข้อมือทองคำลายลูกคิดพลอย พบในขวดโลชั่นทาผิว NIVEA จำนวน 1 เส้น 

4.สร้อยข้อมือทองคำจี้เลข 8 พบในขวดโลออนครีม NIVEA จำนวน 1 เส้น 

5.สร้อยข้อมือทองคำจี้กุหลาบหัวใจเลข 9 พบในขวดโลออนครีม NIVEA จำนวน 1 เส้น 

6.สร้อยข้อมือทองคำลายดอกพิกุล พบในขวดแป้ง POND'S จำนวน 1 เส้น

7.ตะขอทองคำรูปตัว S พบในขวดแป้ง POND'S จำนวน 1 ชิ้น 

8.ธนบัตรรัฐบาลไทย ฉบับ 500 บาท พบในกระเป๋ากางเกงข้างหน้าซ้าย ตัวที่ผู้ต้องหาสวมใส่อยู่   จำนวน 1 ฉบับ

9. ธนบัตรรัฐบาลไทย ฉบับ 50 บาท พบในกระเป๋ากางเกงข้างหน้าช้ายที่ผู้ต้องหาสวมใส่อยู่    จำนวน 1 ฉบับ

10. ธนบัตรรัฐบาลไทย ฉบับ 1,000 บาท จำนวน 12 ฉบับ

11. โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Realme จำนวน 1 เครื่อง 

12. โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Redmi จำนวน 1 เครื่อง

13. ชิมโทรศัพท์ AIS พบในกระเป๋ากางเกงข้างหน้าด้านขวาจำนวน 1 เบอร์

โดยกล่าวหาว่า “ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยทำด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจำหน้าได้โดยมีอาวุธโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อพ้นการจับกุม และพาอาวุธเข้าไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร”

จากการตรวจสอบประวัติ นายประภากร เคยมีประวัติการต้องโทษ คดีฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน โดยประสบปัญหาการขาดทุนจากร้านที่เปิดและถูกดำเนินคดี กรณีไม่ปิดจุดเสี่ยง สถานบันเทิง ห้าง คลินิก บ่อน อาบ อบนวด

คดีที่ 2  กรณีผู้ก่อเหตุขับรถยนต์ชนเด็กแล้วอุ้มขึ้นรถไปวางทิ้งไว้หน้าโรงพยาบาลสุขสวัสดิ์ สน.บุคคโล บก.น.8 เมื่อวันที่ 19 ก.ค.65 เวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บุคคโล ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ราษฎร์บูรณะ ว่ามีชาย อายุประมาณ 50 ปี สวมเสื้อยืดสีฟ้า ได้อุ้มเด็กซึ่งได้รับบาดเจ็บมาวางทิ้งไว้หน้า โรงพยาบาลสุขสวัสดิ์ แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ราษฎร์บูรณะ ได้รับข้อมูลจากเด็กที่ถูกวางทิ้งไว้หน้าโรงพยาบาล อายุประมาณ 4 ปี และถูกรถชนบริเวณลานจอดรถห้างบิ้กซี สาขาดาวคะนองแล้วถูกอุ้มขึ้นรถแล้วนำมาวางทิ้งไว้หน้าโรงพยาบาลดังกล่าว 

เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บุคคโล ได้ออกตรวจที่เกิดเหตุและตรวจสอบกล้องวงจรปิดของห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาดาวคะนอง บริเวณทางเข้า – ออก และภายในบริเวณลานจอดรถของห้างฯ พบว่ารถยนต์ที่ขับมาชนเด็กเป็นรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด กะบะด้านหลังติดตั้งตู้ทึบ สีขาว หมายเลขทะเบียน 2 ฒฒ 348 กรุงเทพมหานคร โดยขับรถเข้ามาภายในห้างฯ เวลาประมาณ 12.45 น. จากนั้นได้จอดเพื่อนำของมาส่งที่ห้างๆ ต่อมาได้ขับรถเลี้ยวเข้ามาภายในลานจอดรถเพื่อที่จะเดินทางกลับ และเมื่อเวลาประมาณ 13.15 น. ได้ขับรถชนเด็ก (ตามคำบอกเล่าพยานที่เห็นเหตุการณ์) จากนั้นเวลาประมาณ 13.19 น. ได้ขับรถออกจากห้างฯ เมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่าเมื่อเวลาประมาณ 13.21 น. รถยนต์คันดังกล่าวขับมุ่งหน้าผ่านบริเวณแยกดาวคะนอง แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี กรุงเทพฯ และได้ขับมุ่งหน้าไปทางแยกพระรามที่ 2 ไปตามถนนสุขสวัสดิ์ จากนั้นเวลาประมาณ 13.25 น. ได้ขับผ่านบริเวณห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาบางปะกอก และได้กลับรถบริเวณแยกราษฎร์พัฒนา แขวงบางปะกอก  เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ ต่อมาเวลาประมาณ 13.28 น. ได้เลี้ยวรถจอดบริเวณหน้า โรงพยาบาลสุขสวัสดิ์แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ จากนั้นคนขับรถได้อุ้มเด็กลงมาวางทิ้งไว้ที่หน้าโรงพยาบาลดังกล่าว แล้วขับรถหลบหนีไป มุ่งหน้าแยกพระรามที่ 2 

เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนได้สอบข้อมูลจากทะเบียนรถคันดังกล่าว จึงได้ทราบว่ามีนายอานนท์ฯ อายุ 52 ปี เป็นผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าว และนำตัวเด็กไปวางทิ้งไว้ที่หน้าโรงพยาบาลสุขสวัสดิ์ จึงได้ติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาพบพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

จากการตรวจสอบประวัติ นายอานนท์ ไม่มีประวัติการต้องโทษ ผลการตรวจวัดไม่มีแอลกอฮอล์ในร่างกาย ไม่มียาเสพติดในร่างกาย

คดีที่ 3 191 เปิดแผนวิเคราะห์อาชญากรรมสยบโจรลอบตัดสายไฟเมืองกรุง วันที่ 15 ก.ค.65เวลา 00.45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย บริเวณริมถนนราษฎร์รัฐพัฒนา แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ดังนี้

1.นายอณุ (สงวนนามสกุล)  อายุ  29 ปี

2.น.ส.ปารวตรี (สงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี

พร้อมด้วยของกลาง

1.สายเคเบิ้ล น้ำหนัก 16 กิโลกรัม

2.สายเคเบิ้ล อยู่ภายในท่อพลาสติกสีดำ เส้นผ่านศูนย์กลาง 3 ซม. ยาว 6 เมตร    จำนวน    1 เส้น

3.สายเคเบิ้ล อยู่ภายในท่อพลาสติกสีดำ เส้นผ่านศูนย์กลาง 4 ซม. ยาว 6.5 เมตร  จำนวน    1 เส้น

4.คีมตัดสายไฟ สีเขียว - ดำ  จำนวน    1 อัน

5.ปลอกหุ้มสายเคเบิ้ลเปล่า จำนวน  13 อัน

6.รถกระบะอีซูซุ รุ่นดีแม็ก สีขาว หมายเลขทะเบียน XXX-8982 กรุงเทพมหานคร   จำนวน    1 คัน

โดยแจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือ การพาทรัพย์นั้นไป”

สืบเนื่องจากในห้วงเดือนมีนาคม – กรกฎาคม 2565 มีผู้เสียหายและประชาชนพลเมืองดี ได้แจ้งเหตุผ่านโทรศัพท์สายด่วน 191 เกี่ยวกับเหตุลักสายไฟในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ต่อเนื่องจำนวนหลายเหตุ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ในวงกว้าง ตามดำริของผู้บัญชาการตำรวจนครบาล “นครบาลใส่ใจ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน” กองกำกับการสายตรวจ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ได้รวบรวมสถิติ วิเคราะห์ข้อมูลอาชญากรรมและพฤติกรรมของกลุ่มคนร้าย เพื่อเฝ้าระวังติดตามป้องกันมิให้คนร้ายสามารถก่อเหตุอาชญากรรมซ้ำ ตลอดจนสืบสวนติดตามพฤติกรรมกลุ่มบุคคลต้องสงสัยที่น่าเชื่อได้ว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุมาอย่างต่อเนื่อง

จนกระทั่งในวันที่ 15 ก.ค.65 เวลา 00.45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจงานสายตรวจ 2 กองกำกับการสายตรวจได้ออกตรวจพื้นที่ตามแผนวิเคราะห์อาชญากรรม ซึ่งมีการวางแผนวิเคราะห์และประเมินพื้นที่กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสในการเกิดอาชญากรรม โดยขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจตราไปตามเส้นทางที่กำหนดได้พบรถกระบะต้องสงสัยจอดอยู่ในบริเวณ ซอยเคหะร่มเกล้า 78 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร และเมื่อเฝ้าสังเกตการณ์จึงพบว่ารถกระบะคันดังกล่าวเป็นรถที่อยู่ในกลุ่มต้องสงสัยในการก่อเหตุลักลอบตัดสายไฟสายเคเบิ้ล โดยมีชายเป็นผู้ขับขี่ ทราบชื่อต่อมาในภายหลังว่า นายอณุ ได้ลงมาจากรถ จากนั้นได้ปีนขึ้นไปบนสายเคเบิ้ลในบริเวณดังกล่าว และมีผู้หญิงคนหนี่งคอยให้ความช่วยเหลือ ซึ่งทราบชื่อต่อมาในภายหลังว่า น.ส.ปารวตรี เป็นผู้ที่นั่งรถมาด้วยกัน ได้ขนสายเคเบิ้ลที่ถูกตัดกองทิ้งลงมาขึ้นไปที่บริเวณท้ายรถกระบะ และทั้งสองได้ขับรถออกจากบริเวณดังกล่าวไป 

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ติดตามรถกระบะต้องสงสัย จนกระทั่งพบว่ารถกระบะได้ถูกนำไปจอดที่บริเวณริมถนนราษฎร์รัฐพัฒนา แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบพบว่าบุคคลทั้งสองกำลังช่วยกันปลอกสายเคเบิ้ลที่เพิ่งจะลักลอบตัดมา และพบสายเคเบิ้ลจำนวนมากอยู่ในบริเวณท้ายรถกระบะ ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองให้การ “รับสารภาพ” ว่า ได้นำสายเคเบิ้ลที่ลักลอบตัดมาจากสถานที่ต่างๆมาปลอกเพื่อเอาทองแดงข้างในไปขายต่อในราคากิโลกรัมละ 180-190 บาท โดยก่อนหน้านี้ได้เคยก่อเหตุลักลอบตัดสายไฟและสายเคเบิ้ลในพื้นที่กรุงเทพมหานครมาแล้วจำนวนหลายครั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสอง พร้อมด้วยของกลางนำส่ง พนักงานสอบสวน สน.บางชัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จากการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาทั้งสองราย ผลปรากฏดังนี้

1.นายอณุ เคยต้องโทษ คดียาเสพติดเมื่อ ปี 2554 สภ.ห้วยยาง จว.ประจวบคีรีขันธ์

2.น.ส.ปารวตรี มีประวัติ ข้อหาจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา  

พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น. ได้เน้นย้ำเพื่อให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนว่า จะมุ่งเน้นการป้องกันอาชญากรรม ให้กับพี่น้องประชาชน และเมื่อเกิดเหตุแล้วจะเร่งทำการ สืบสวน ติดตามจับกุม คนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็วทุกคดีและจะดำเนินการกวาดล้างอาชญากรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครมีความปลอดภัยมากที่สุด

สาวแชร์คลิปสุดซึ้ง ลุงวินพามาเลี้ยงสเต็ก เป็นการอำลาก่อนไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย 

สาวโพสต์คลิปวิดีโอลงใน TikTok เผยลุงวินคู่ใจจู่ๆ พามาร้านสเต็ก บอกขอเลี้ยงก่อนแยกย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัย พบใช้บริการกันนานกว่า 5 ปี

เมื่อวันที่ 16 ก.ค. ผู้ใช้ TikTok @stamptyr ได้โพสต์คลิปสุดซึ้ง กับลุงวินจักรยานยนต์ที่เคยใช้บริการตั้งแต่ ม.2 จนถึง ม.6 ล่าสุดตัวผู้โพสต์เองกำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย คุณลุงได้พาตนเองมาเลี้ยงสเต็ก ซึ่งเป็นคลิปวิดีโอที่ได้ใจชาวเน็ตเป็นอย่างมาก

'ดีอีเอส' แนะ 3 ช่องทางช่วยประชาชน หากถูกแอบอ้างชื่อไปสร้างโซเชียลปลอม 

กระทรวงดิจิทัลฯ แนะประชาชน-คนดัง พบถูกแอบอ้างชื่อ/รูปภาพไปสร้างบัญชีโซเชียลปลอม รีบแจ้งด่วนผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ กดรายงานไปที่เจ้าของแพลตฟอร์ม แจ้งผ่านโทร. 1212 และแจ้งความได้ทั้งเว็บไซต์แจ้งความออนไลน์/ตำรวจ ยืนยันดีอีเอส พร้อมประสานทุกภาคส่วนเร่งปิดบัญชีปลอม และติดตามผู้กระทำผิดเข้ามาดำเนินคดี  

นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) กล่าวว่า ที่ผ่านมายังพบแนวโน้มปัญหามิจฉาชีพแอบอ้างนำชื่อและรูปภาพคนอื่น ไปสร้างบัญชีโซเชียลปลอมทั้งเฟซบุ๊ก เพจปลอม ไลน์ปลอม และ IG เพื่อนำไปหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ทั้งสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง เสียชื่อเสียง โดยเฉพาะยิ่งถ้าผู้ที่ถูกแอบอ้างชื่อและโปรไฟล์เป็นดารา หรือคนมีชื่อเสียง ความเสียหายก็จะยิ่งขยายวงกว้าง เนื่องจากมักมีแฟนคลับหรือผู้ติดตามจำนวนมาก โอกาสที่จะมีเหยี่อหลงเชื่อก็ยิ่งเพิ่มจำนวนเช่นกัน ขณะที่เจ้าตัวก็เสี่ยงต่อการสูญเสียชื่อเสียง

สำหรับรูปแบบการหลอกลวงที่พบบ่อยจากบัญชีโซเชียลสวมรอยเหล่านี้ ได้แก่ หลอกยืมเงิน หลอกขายของ หลอกลงทุน หลอกร่วมทุน โดยเหยื่อที่หลงเชื่อจะสูญเงินโดยไม่ได้รับสินค้าหรือผลตอบแทนใดๆ นอกจากนี้ ยังมีการหลอกลวงที่เป็น Romance Scam หรือหลอกให้หลงรักและสูบเงินเหยื่อผ่านทางออนไลน์ ขณะที่ บางกรณีจะเป็นการแอบอ้างตัวตนคนดัง สร้างเฟซบุ๊กปลอมเพื่อใช้เป็นพื้นที่โพสต์เนื้อหา หรือแสดงความคิดเห็นเพื่อหมิ่นประมาทผู้อื่น เป็นต้น 

นางสาว นพวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหานี้ รวมถึงอำนวยความสะดวกให้ผู้เสียหายซึ่งถูกแอบอ้างชื่อไปสร้างบัญชีโซเชียลปลอม เข้าถึงช่องทางความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว เพื่อเร่งยุติการขยายวงของความเสียหาย เร่งประสานงานเพื่อปิดบัญชีปลอม และติดตามมิจฉาชีพมาดำเนินคดี อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญคือ ขอให้ผู้ที่ถูกแอบอ้างตั้งสติ และดำเนินการผ่าน 3 ช่องทางดังต่อไปนี้ประกอบกัน เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการประสานการปิดบัญชีโซเชียลที่แอบอ้าง ได้แก่ 

1.) แจ้งรายงานไปที่แพลตฟอร์มโซเชียล โดยการ report ไปยังเว็บไซต์ผู้ให้บริการ Social Network ที่ถูกแอบอ้าง ซึ่งทั้งเฟซบุ๊ก ไลน์ และ IG มีเมนูให้รายงานบัญชีปลอมโดยตรงอยู่แล้ว จากนั้นรอขั้นตอนการตรวจสอบของทางแพลตฟอร์ม

2.) ช่องทางของกระทรวงดิจิทัลฯ ที่สายด่วน โทร.1212 OCC ศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ ของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ในสังกัดดีอีเอส + ช่องทางอื่นๆ ภายใต้การดูแลของกระทรวงฯ 

และ 3.) แจ้งตำรวจ ทั้งการไปแจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่ หรือกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) โดยให้รวบรวมหลักฐานไว้ เช่น capture จับภาพหน้าจอสนทนา หรือหน้ารูป Profile ที่ถูกปลอมขึ้นมา 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top