Thursday, 14 November 2024
WEEKEND NEWS

'จีน' ไม่สนคว่ำบาตร ยังค้าขายกับ 'รัสเซีย' นำเข้าน้ำมันดิบ - ปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นมหาศาล

การส่งออกของจีนไปยังรัสเซียในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ใน 4 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แม้ตะวันตกได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่างๆ เล่นงานเศรษฐกิจมอสโก ตามรายงานของสำนักข่าว RBK โดยอ้างอิงข้อมูลอย่างเป็นทางการด้านศุลกากรของจีน

รายงานข่าวระบุว่า การส่งออกจากจีนไปยังรัสเซียเมื่อเดือนที่แล้ว แตะระดับ 7,900 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 280,000 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคมปีก่อน (6,300 ล้านดอลลาร์) ประมาณ 26.7%

สำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดทางการค้าในแต่ละหมวดหมู่ของเดือนสิงหาคม แต่ข้อมูลสำหรับเดือนกรกฎาคม พบว่า ราว 36% ของสินค้าที่จีนส่งออกไปยังรัสเซียนั้น ประกอบด้วยเครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์เครื่องกลและเครื่องจักรต่างๆ

ถือเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันที่ตัวเลขการส่งออกของจีนไปยังรัสเซียเติบโตขึ้น หลังจากลดลงเล็กน้อยในช่วงครึ่งปีแรก

กลุ่มล้มเจ้าใน UK ร่วมอาลัย - งดรณรงค์ต่อต้านชั่วคราว หลังสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จสวรรคต

กลุ่ม Republic ที่ต้องการเปลี่ยนการปกครองอังกฤษไปสู่ระบอบสาธารณรัฐร่วมไว้อาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 งดรณรงค์ล้มเจ้าไว้ก่อน ชี้ต้องเคารพชีวิตส่วนตัวของราชวงศ์

เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา หลังจากมีข่าวเกี่ยวกับพระอาการประชวรอย่างหนักของสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ ทางกลุ่ม Republic ซึ่งมีเป้าหมายการเคลื่อนไหวเพื่อยกเลิกระบอบกษัตริย์และเปลี่ยนการปกครองอังกฤษไปเป็นแบบสาธารณรัฐ ได้ทวิตข้อความทางทวิตเตอร์ Republic (@republicstaff) แสดงความห่วงใยต่อพระอาการประชวร โดยระบุว่า

“เป็นที่ชัดเจนว่าพระพลานามัยของพระราชินีน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ไม่ว่ามุมมองของพวกเราต่อสถาบันกษัตริย์จะเป็นอย่างไร แต่ในช่วงเวลาเช่นนี้เป็นเรื่องของชีวิตส่วนตัวมากๆ ในช่วงเวลาที่เหลือของวันนี้เราจะไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ เพิ่มเติมอีก”
 

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2565 : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

ชีวิตมนุษย์มีขึ้นและมีลง
อะไรมีขึ้นก็ต้องมีลง
เป็นกฎธรรมชาติ
ที่อยู่เหนือความควบคุมของมนุษย์
อำนาจ เกียรติยศ ชื่อเสียง
ก็ไม่พ้นกฎธรรมชาตินี้

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

‘แพทองธาร’ ควง ‘ทัศนีย์’ ลงพื้นที่ตลาดสันกำแพง บ้านเกิด 2 อดีตนายกฯ ชินวัตร

‘แพทองธาร’ ควง ‘ทัศนีย์’ ลงพื้นที่ตลาดสันกำแพง บ้านเกิด 2 อดีตนายกฯ ชินวัตร แนะดันสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ขณะที่ ‘ทัศนีย์’ ย้ำคนยังรัก ‘ทักษิณ’ เพราะ 30 บาทรักษาทุกโรคช่วยให้รอดตาย ด้านแม่ค้าขายเสื้อ ยันเลือก ‘เพื่อไทย’ เป็นรัฐบาลแน่นอน

(10 ก.ย. 2565) ที่ตลาดถนนคนเดินส้นกำแพง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วยนายแพทย์ชลน่านศรีแก้ว ส.สน่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายพานทองแท้ ชินวัตร สมาชิกพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นางสาวทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 อ.สันกำแพง อ.แม่ออน และ อ.ดอยสะเก็ด นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 พรรคเพื่อไทยและคณะลงพื้นที่ที่ตลาดคนเดินสันกำแพงซึ่งเป็นย่านค้าขายที่ 2 อดีตนายกรัฐมนตรี คือ ดร.ทักษิณ ชินวัตร และ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีความผูกพัน และยังเป็นอำเภอบ้านเกิดของคนตระกูลชินวัตร

โดยระหว่างลงพื้นที่ นางสาวแพทองธาร ได้เลือกซื้อเสื้อผ้า พร้อมขนมในตลาดด้วย จากนั้น นางสาวแพทองธาร ระบุว่า มาที่ถนนสันกำแพง คิดถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ของตน เมื่อมาถึงทำให้รู้สีกบรรยากาศในอดีตสมัยวัยเด็ก ส่วนตัวอยากให้สนับสนุนของดีของ อ.สันกำแพง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ทั้งนี้ นางสาวทัศนีย์ ระบุว่า ดีใจที่พรรคเพื่อไทยให้โอกาสลงสมัคร ส.ส.เขตสันกำแพง  ทั้งนี้ประชาชนทั้งประเทศรัก ดร.ทักษิณ เพราะนโยบายที่เคยทำไว้ในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย

“ทำไมประชาชนในพื้นที่ ถึงรักนายกฯทักษิณไม่เปลี่ยนแปลง เป็นเพราะนโยบาย เพราะบางคนบอกว่ารอดตายโรคหัวใจมาได้ จากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคได้ และยังมีกองทุนหมู่บ้านมาช่วยเหลือประชาชนได้” นางสาวทัศนีย์ กล่าว

นายจักรพล ระบุว่า ถนนคนเดินสันกำแพงนี้เป็นถนนที่ตั้งของตึกชินวัตรซึ่งเคยประกอบกิจการค้าผ้า และยังเป็นวัดโรงธรรมสามัคคีซึ่งเก็บอัฐิของอัฐิของบรรพบุรุษตระกูลชินวัตร ทั้งนี้ยืนยันว่าการสลับเขตกับนางสาวทัศนีย์มาลงเขตเลือกตั้งที่ 3 ไม่ได้มีปัญหาและน่าเป็นห่วง เพราะเมื่อผนวกกับนโยบายของพรรคเพื่อไทยและกระแสก็มั่นใจว่าทางนางสาวทัศนีย์น่าจะได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.ในเขตนี้

“ฝังอยู่ในความรู้สึกของประชาชน สิ่งที่พัฒนาตั้งแต่พรรคไทยรักไทยมีผลดีและเป็นประโยชน์กับคน อ.สันกำแพง” นายจักรพล ระบุ

‘แพทองธาร’ นำทีมเพื่อไทยแลกเปลี่ยนมุมมองนักวิชาการ ศิลปินหลายสาขา หวังสร้างโอกาสงานศิลปะ ผลักดันเมืองให้กลายเป็นเมืองแห่งความคิดสร้างสรรค์เต็มรูปแบบ

พรรคเพื่อไทย นำโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นางสาวทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส.เชียงใหม่ นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นางสาวจิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ดและกรรมการบริหารพรรค นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช  คณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง ดูแลด้านนโยบาย พรรคเพื่อไทย นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นางสาวอรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความรู้กับตัวแทนนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ร่วมกับ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับศิลปะร่วมสมัย นักธุรกิจ  ในประเด็น ‘ปลดล็อคศักยภาพเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้วยนโยบายที่สร้างสรรค์’ โดยมีตัวแทนนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ ได้แก่ ผศ.ดร.จิรันธนิน กิติกา สถาปนิกและนักวิชาการ รศ.ดร.สันต์ สุวัจฉณาภินันท์ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรม  ม.เชียงใหม่ นางสาวกัณณิกา บัวจีน บ่อสร้าง  

ตัวแทนด้านภาพยนตร์ นายชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล (มะเดี่ยว) ผู้กำกับภาพยนตร์ ตัวแทนด้านวรรณกรรม นางสาวนันท์ณิชา ศรีวุฒิ นักออกแบบหนังสือ ปกอัลบั้มและภาพประกอบเพลง จาก Boof re ตัวแทนด้านดนตรี นายภราดล พรอำนวย นักดนตรีแซ็กโซโฟน และเจ้าของร้านนอร์ทเกต ตัวแทนด้านกีฬา นายพิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมเทควันโด  

ตัวแทนศิลปิน นายศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ นักวิชาการและอาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ ม.เชียงใหม่  นายนลธวัช มะชัย ศิลปิน ลานยิ้มการละคร ผศ.ดร.ทัศนัย เศรษฐเสรี ศิลปิน คณะวิจิตรศิลป์ ม.เชียงใหม่ นางสาวกิตติมา จารีประสิทธิ์ ภัณฑารักษ์พิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยใหม่เอี่ยม โดยมีชานันท์ ยอดหงษ์ (ปกป้อง) ผู้รับผิดชอบนโยบายด้านอัตลักษณ์และความหลากหลายทางเพศ พรรคเพื่อไทย ดำเนินการเสวนา 

ในการแลกเปลี่ยนมุมมอง ความคิดเห็น และความรู้ในครั้งนี้ เน้นไปที่ความท้าทายของจังหวัดเชียงใหม่และอีกหลายพื้นที่ในประเทศไทย ซึ่งคนในพื้นที่มีการรวมกลุ่มกันของคนที่คิดแบบเดียวกันและลงมือทำจนกลายเป็นกลุ่มคนที่มีพลังในการสร้างสินทรัพย์ทางปัญญาใหม่ๆ (Community) หรือวัฒนธรรมร่วมสมัยจำนวนมาก  สามารถนำเอางานศิลปะเหล่านี้  ผลักดันให้กลายเป็นเมืองแห่งความคิดสร้างสรรค์ (Creative City) ขณะเดียวกันหากสามารถนำเอาข้อมูลเชื่อมโยงเข้ากับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เกษตรกรรม วิถีชีวิต และหัตถกรรม ในรูปแบบดิจิทัลสู่การท่องเที่ยวแบบสืบค้นที่สนุกและสร้างสรรค์  เชียงใหม่และจังหวัดอื่นๆ ที่มีศักยภาพ จะสามารถยกระดับให้กลายเป็นเมืองแห่งความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มรูปแบบ งานฝีมือของคนเชียงใหม่และทั่วประเทศ จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยต้องมีนโยบายหรือการส่งเสริมจากภาครัฐ  ที่กระจายไปสู่กลุ่มการทำงานสร้างสรรค์ในรูปแบบอื่นๆ โดยเฉพาะศิลปินหน้าใหม่ด้วย

รัฐลุ้น!! สิ้นปีโกยนักท่องเที่ยวต่างชาติเกิน 10 ล้านคน ฟาก 'ที่พัก-โรงแรม' เชื่อมั่น!! จ้างงานเพิ่ม 75% รับไฮซีซั่น

โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาลพร้อมผลักดันภาคธุรกิจการท่องเที่ยวของไทย คาดการณ์ปี 2565 นี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติเกิน 10 ล้านคน พร้อมสัดส่วนการจ้างงานเพิ่มขึ้น 75% รองรับ High Season ในปีนี้

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนและผลักดันภาคธุรกิจการท่องเที่ยว สอดรับกับรายงานจากสมาคมโรงแรมไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พักแรมเดือนสิงหาคม 2565 (Hotel business operator Sentiment Index) มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 48% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2565 พร้อมคาดการณ์ว่าอัตราการเข้าพักเดือนกันยายน 2565 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 40% 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นดังกล่าวมาจากการรวบรวมข้อมูลของผู้ประกอบการด้านโรงแรม ที่พัก จำนวน 106 แห่ง (รวมทั้งประเภทโรงแรมที่เป็น AQ, Hospitel และ Hotel Isolation)  โดยนอกจากอัตราการเข้าพักที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังพบแนวโน้มของจำนวนคืนที่เข้าพักเฉลี่ยต่อโรงแรมที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถจำแนกได้ตามประเภทนักท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 1.7 คืนต่อโรงแรม และนักท่องเทียวต่างชาติเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 3.3 คืนต่อโรงแรม ซึ่งส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นกลุ่มเอเชียและตะวันออกกลางจำนวนกว่า 62% รองลงมาคือ ยุโรปตะวันตก ทวีปอเมริกา เเละ รัสเซีย-ยุโรปตะวันออก ตามลำดับ 

ทั้งนี้ข้อมูลจากสำนักตรวจคนเข้าเมืองระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมานี้ มียอดสะสมอยู่ที่ 5,018,172 คนแล้ว โดยจากการประเมินแนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติล่าสุด รัฐบาลยังคงเป้าหมายดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยตลอดปี 2565 ไว้ที่ 10 ล้านคน จากเดิมที่คาดไว้ 6 ล้านคนในปีนี้

นอกจากนี้ ยังพบสัดส่วนการจ้างงานภายในสถานประกอบการโรงแรม ที่พัก เพิ่มขึ้นกว่า 75% โดยส่วนหนึ่งเป็นการจ้างงานพนักงานใหม่เพื่อเตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวในช่วง High Season ปลายปี 2565 นี้

ก.อุตฯ เดินหน้ากระจายความสุขให้คนไทย 'หนุน SMEs - ส่งเสริมรถยนต์ EV - ลดต้นทุนปุ๋ยแพง'

กระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้ากระจายความสุขสู่ประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการทั่วประเทศ ผ่านแคมเปญเด่น 3 โครงการ ส่งเสริมสนับสนุน SMEs เพิ่มรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งของประชาชนระดับชุมชนและประชาชนทั่วประเทศ ส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV หลังความต้องการใช้ของประชาชนเพิ่มขึ้น และช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรด้วยการลดต้นทุนจากสถานการณ์ราคาปุ๋ยแพง ด้วยการเพิ่มศักยภาพ 'แร่โพแทช' นำมาสกัดเป็น 'ปุ๋ยโพแทช'  เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยผ่านรายการ 'คุยเรื่องบ้าน เรื่องเมือง คุยทุกเรื่องกับรัฐมนตรี' ว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจฐานรากและภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานรากซึ่งก็คือการพัฒนาเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติที่สำคัญนำไปสู่การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม และเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้คนไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถกระจายรายได้อย่างทั่วถึงทุกท้องที่ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ประชาชนทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบ กระทรวงอุตสาหกรรม จึงมอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ดำเนินโครงการส่งเสริมการสร้างรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งในระดับชุมชนและประชาชนทั่วไปครอบคลุมทั่วประเทศ ด้วยการฟื้นฟูผู้ประกอบการ สร้างทักษะจำเป็นให้กับแรงงาน เพื่อให้สามารถกลับมาประกอบธุรกิจและสร้างรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวให้ได้อย่างเข้มแข็ง ผ่านการดำเนินโครงการ 'พัฒนาอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้ชุมชนดีพร้อม' หรือ 'โครงการอาชีพดีพร้อม' นำร่องในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุโขทัย, พิจิตร, นครสวรรค์, ชัยนาท, ชลบุรี, สงขลา และยะลา ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีจากพี่น้องประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ สามารถบรรเทาปัญหาปากท้องของประชาชนที่ขาดแคลนรายได้จากการว่างงานและยังเพิ่มทักษะอาชีพให้แก่ประชาชนในพื้นที่ 

โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้นำเสนอผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีให้ได้รับทราบแล้ว เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา และจากความสำเร็จดังกล่าวที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการยกระดับเศรษฐกิจฐานราก จึงได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 วงเงินงบประมาณ 1,249 ล้านบาท ให้แก่ทางกระทรวงอุตสาหกรรมในการขยายพื้นที่ดำเนินโครงการดังกล่าวให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยภายใต้ 'โครงการอาชีพดีพร้อม' กระทรวงอุตสาหกรรม ได้นำนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งได้สั่งการให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) ดำเนิน 'โครงการอาชีพดีพร้อม' เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ โดยได้ดำเนินการตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงสิ้นปีนี้ โดยมี 4 หลักสูตร ได้แก่...

1.พัฒนาทักษะด้านการผลิต ประกอบด้วย ทักษะอาชีพลดรายจ่าย และทักษะอาชีพเพิ่มรายได้

2.พัฒนาทักษะด้านการบริการ อาทิ กลุ่มอาชีพช่าง หรือกลุ่มอาชีพบริการ

3.พัฒนาด้านผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ โดยใช้ต้นทุนอัตลักษณ์เดิมในชุมชน ให้ตอบโจทย์ตลาดในยุคปัจจุบัน

และ 4. พัฒนาต่อยอดทักษะจำเป็นต่อการประกอบธุรกิจ อาทิ การบริหารด้านการเงิน และการสร้างแบรนด์สินค้า 

"โครงการนี้ ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะสร้างอาชีพเสริมที่มั่นคงให้กับพี่น้องประชาชนรวม 700,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ และคาดการณ์ว่าจะเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 12,000 ล้านบาท เชื่อว่าการดำเนิน 'โครงการอาชีพดีพร้อม' ในครั้งนี้ เปรียบเสมือนเป็นการเปิดประตูบานใหม่ ให้พี่น้องประชาชนสามารถที่จะเข้าถึงโอกาส ในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และสร้างความเข้มแข็งในชุมชน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประโยชน์ทั้งหมด จะกลับคืนสู่พี่น้องประชาชนฐานรากซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย 

"ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนจะได้รับคือความรู้และทักษะใหม่ในการประกอบอาชีพที่สอดคล้องกับลักษณะพื้นที่และภูมิปัญญาของคนในชุมชน สามารถนำไปต่อยอดได้จริง ช่วยสร้างงานสร้างรายได้ ควบคู่ไปกับการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งได้จากภายใน และเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในพื้นที่ รวมถึงผลักดันให้ภาคเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวกลับมาสู่ภาวะปกติ" นายสุริยะ กล่าว

นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ยังผลักดันส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ปัจจุบันมีการใช้ในจำนวนเพิ่มมากขึ้นหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย เนื่องจากรถยนต์ EV เป็นเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคตที่ช่วยแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมหรือปัญหาโลกร้อน ปัญหามลพิษฝุ่น PM2.5 และปัญหาความผันผวนของราคาพลังงาน รัฐบาลเล็งเห็นถึงความจำเป็นดังกล่าว จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติขึ้น เพื่อกำหนดทิศทางและเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจากการผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันไปสู่ EV 

โดยคณะกรรมการฯ ได้กำหนดเป้าหมาย 30@30 (30 แอท 30) หรือ การผลิต EV ให้ได้ร้อยละ30 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030 นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ได้ออกนโยบายสนับสนุนในด้านต่างๆ เช่น มาตรการพัฒนาสถานีอัดประจุไฟฟ้า หรือ Charging Station ให้ครอบคลุมการใช้งานมากที่สุด โดยการให้สิทธิประโยชน์ด้านลดอากรนำเข้า ลดภาษีสรรพสามิต และการให้เงินสนับสนุน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ EV ในประเทศมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2564 ปรากฎว่า ได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก จากข้อมูลการจดทะเบียนรถยนต์พบว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีการจดทะเบียน EV เพิ่มขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับปี 2564 ทั้งปี โดยคาดการณ์ว่า ยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่ง EV ทั้งปี 2565 อาจสูงถึง 10,000 คัน 

ขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรม ยังให้ความสำคัญต่อมาตรฐานและความปลอดภัยของรถยนต์ EV โดยได้ก่อสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติหรือ ATTRIC (แอททริค) และศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่ไฟฟ้า ในจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อให้เกิดการยกระดับการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนในด้านผลิตภัณฑ์ มาตรฐาน และนวัตกรรม และต่อยอดอุตสาหกรรมไทยไปสู่อุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าด้วยนวัตกรรม รวมทั้งผลักดันให้มีการกำหนดมาตรฐานรถยนต์ EV และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรฐานการใช้พลังงาน มาตรฐานแบตเตอรี่ มาตรฐานสถานีอัดประจุไฟฟ้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนในการใช้ EV ที่ได้คุณภาพ และมีความปลอดภัยตามหลักมาตรฐานสากล 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวต่อไปด้วยว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่พบว่าราคาปุ๋ยเคมีเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์โดยช่วงรอบปีที่ผ่านมาราคาปุ๋ยเคมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากหลายปัจจัยรวมกันได้แก่ การขึ้นราคาของแก๊สธรรมชาติ และน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของการผลิตปุ๋ยเคมี สงครามในยูเครน ประกอบกับการจำกัดการส่งออกของผู้ผลิตปุ๋ยที่สำคัญ เช่น รัสเซีย และจีน ซึ่งราคาปุ๋ยเคมีเริ่มมีราคาสูงขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น การหาทางออกเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรไทย ด้วยการแก้ปัญหาปุ๋ยเคมีระยะยาวคือ โครงการเหมือนแร่โพแทช เป็นหนึ่งในแนวทางแก้ปัญหา โดยการนำแร่โพแทช มาสกัดเป็นปุ๋ยโพแทชซึ่ง เป็น 1 ใน 3 ของธาตุอาหารหลักของพืชใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร โดยในปีนี้ (2565) ราคาปุ๋ยโพแทชภายในประเทศ ปรับขึ้นจากตันละ 9,000 บาท เป็นตันละ 25,600 บาท และมีแนวโน้มจะขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามราคาตลาดโลก

ทัวร์ลง!! 'ดีเจภูมิ' หลังโพสต์โชคดีเกิดเป็นคนไทย ตปท.ขายส้มตำจานละ 600 จิ้มจุ่มหม้อละ 1,000

กลายเป็นประเด็นดรามา ที่มีคนเข้าไปคอมเมนต์กันอย่างถล่มทลาย หลังจาก 'ดีเจภูมิ' ภูมิใจ ตั้งสง่า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก djpoom ระบุว่า...

***เมลเบิร์นขายส้มตำจานละ 600 จิ้มจุ่มหม้อละ 1,000 คนยังเข้าแถวต่อคิวกันถึงเที่ยงคืน โชคดีขนาดไหนเกิดมาเป็นคนไทย***

'ทิพานัน' แนะ!! ช่องทางตรวจสอบสถานะ ผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

รองโฆษกรัฐบาลแนะช่องทางตรวจสอบสถานะลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งทางออนไลน์-ออฟไลน์ และไทม์ไลน์ตรวจสอบได้วันไหนบ้าง ย้ำลงทะเบียนได้ทั้งสามี-ภรรยา คนโสดพิสูจน์สถานะด้วยทะเบียนสมรส

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และทีมโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ได้ลงพื้นที่ชุมชนสุขศิริ ชุมชมวิสุทธิจิตร ชุมชนคอกม้า ในเขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร เพื่อรับเรื่องราวร้องทุกข์ของพี่น้องประชาชน พร้อมทั้งได้ประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบความคืบหน้าในการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐว่า...

ล่าสุด ณ วันที่ 9 กันยายน 2565 เวลา 15.00 น. มีประชาชนลงทะเบียนแล้วทั้งสิ้น 8,339,614 ราย โดย 6,060,687 ราย ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ และ 2,278,927 รายลงทะเบียนที่หน่วยงานรับลงทะเบียน จะเห็นได้ว่าประชาชนให้ความสนใจและได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้นที่มีช่องทางให้ลงทะเบียนด้วยตนเองผ่านทางเว็บไซต์คิดเป็น 72.7% ของผู้ลงทะเบียนทั้งหมด และทุกคนที่ลงทะเบียนไปแล้วไม่ว่าจะทางเว็บไซต์หรือที่หน่วยลงทะเบียนก็สามารถติดตามสถานะการลงทะเบียนด้วยตนเองได้ที่ https://welfare.mof.go.th เพียงกรอกเลขบัตรประชาชนและวันเดือนปีเกิด และหากพบข้อมูลว่า "กระทรวงการคลังได้รับข้อมูลการลงทะเบียนของท่านครบถ้วนแล้ว” ก็ไม่จำเป็นต้องนำแบบฟอร์มและเอกสารประกอบการลงทะเบียนไปยื่นที่หน่วยงานรับลงทะเบียนอีก

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ผู้ลงทะเบียนสามารถตรวจสอบสถานะการลงทะเบียนผลการตรวจสอบข้อมูลกับกรมการปกครอง ทุกวันศุกร์ของสัปดาห์ถัดไป โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2565 โดยมีกำหนดรอบดังนี้...

1. ลงทะเบียน 5 – 8 กันยายน 2565 ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน วันศุกร์ที่ 16 กันยายน 2565

2. ลงทะเบียน 9 – 15 กันยายน 2565 ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2565

3. ลงทะเบียน 16 – 22 กันยายน 2565 ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน วันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565

4. ลงทะเบียน 23 – 29 กันยายน 2565 ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม 2565

5. ลงทะเบียน 30 กันยายน – 6 ตุลาคม 2565 ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม 2565

6. ลงทะเบียน 7 - 13 ตุลาคม 2565 ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2565

7. ลงทะเบียน 14 - 19 ตุลาคม 2565 ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2565

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า หลังการตรวจสอบข้อมูลกับกรมการปกครอง ถ้าขึ้น "สถานะการลงทะเบียนสมบูรณ์" ให้ผู้ลงทะเบียนรอผลการตรวจสอบคุณสมบัติต่อไปโดยจะประกาศผลในช่วงเดือนมกราคม 2566 แต่หากพบว่า "สถานะการลงทะเบียนไม่สมบูรณ์" เนื่องจากข้อมูลของผู้ลงทะเบียนไม่ตรงตามฐานข้อมูลกรมการปกครอง ให้แก้ไขข้อมูลให้เรียบร้อยก่อนวันที่ 3 พฤศจิกายน 65 ปัจจุบันต้องติดต่อแก้ไขข้อมูลที่หน่วยงานรับลงทะเบียนเท่านั้น  หากลงทะเบียนทางออนไลน์ให้ไปแก้ไขที่จุดลงทะเบียนที่ไหนก็ได้ แต่หากลงผ่านทางจุดรับลงทะเบียน ต้องกลับไปจุดเดิมเท่านั้น

'เพื่อไทย' ยุ่งแล้ว!! คนอีสานชู 'สุดารัตน์' ขึ้นแท่นนายกฯ 'แพทองธาร' มาที่สอง

ถือว่ามาตามนัด สำหรับ 'หญิงอ้อ' คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ที่เฉิดฉายอย่างยิ่งในกิจกรรม 'สะบัดชัย เพื่อไทยมาเหนือ' ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จ.เชียงใหม่ พร้อมเพรียงด้วยบุคคลในครอบครัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และพลพรรคเพื่อไทย ซึ่งต่างมาให้กำลังใจคุณแพทองธาร ชินวัตร กันอย่างคับคั่ง ประกาศศักดาครอบครัวเพื่อไทยยืนหนึ่งในเวทีการเลือกตั้งหนหน้า

ทว่าในวันนี้ (10 ก.ย.65) อีสานโพล ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสานมหาวิทยาลัยวิทยาลัยขอนแก่น ได้เปิดเผยผลสำรวจในหัวขัอ 'ความเครียดของคนอีสานกับปัญหาเศรษฐกิจ' โดยผลการสำรวจพบว่า 3 ปัญหาที่คนอีสานกำลังเผชิญและมีความเครียดมากที่สุด คือ ค่าครองชีพสูงและราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเพิ่มขึ้นมาก และรายได้ไม่พอกับรายจ่ายจนต้องมีหนี้เพิ่ม และยังมีปัญหาเศรษฐกิจอื่นๆ ที่คนอีสานราวๆ 30% รู้สึกเครียดมากและรอการบรรเทาปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการหางานใหม่ยากหรือหางานทำยาก ภาระรายจ่ายด้านการศึกษา ผ่อนชำระหนี้กับสถาบันการเงินไม่ไหวขาดทุนจากการทำเกษตรหรือแทบไม่มีกำไร ขาดแคลนเงินทุนหรือสินเชื่อในการทำมาหากิน เป็นผู้สูงอายุที่มีเงินไม่พอใช้หรือมีภาระต้องเลี้ยงดูผู้สูงอายุ และผ่อนชำระหนี้นอกระบบไม่ไหว

รศ.ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการอีสานโพล เปิดเผยว่า การสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความคิดเห็นของคนอีสานต่อความเครียดที่คนอีสานกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจและการเงินเพื่อสะท้อนปัญหาของคนอีสานให้กับทางภาครัฐหรือพรรคการเมืองต่างๆ ได้หาแนวทางบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจให้กับคนอีสาน จากกลุ่มตัวอย่างอายุ 18 ปีขึ้นไป 1,065 รายในเขตพื้นที่ภาคอีสาน 20 จังหวัด โดยเมื่อสอบถามกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับความเครียดเกี่ยวกับปัญหาด้านเศรษฐกิจและการเงินใน 14 ประเด็น 

แต่ประเด็นไฮไลต์จากผลโพลล์ดังกล่าว อยู่ที่ 'การเลือกตั้งครั้งใหม่ อยากให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี' เพื่อมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ พบว่า อันดับ 1 เป็นของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ร้อยละ 23.4 รองลงมาคุณแพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 21.1 อันดับ 3 คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ร้อยละ 20.2 ตามมาด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ 12.5 นานอนุทิน ชาญวีรกุล ร้อยละ 9.9 คนอื่นๆ จากพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 6.5 คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ร้อยละ 2.8 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ร้อยละ 1.7 และอื่นๆ ร้อยละ 1.9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top