Monday, 20 May 2024
WEEKEND NEWS

'สกพอ.'​ ร่วมมือ 'อบจ.ระยอง -​ เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่'​ เร่งเครื่องพัฒนาไม้ผลครบวงจร

ตามโครงการ EFC แผนพัฒนาการเกษตรพื้นที่อีอีซี นำร่องชาวสวนทุเรียนผลิตได้ตรงตลาด รักษาคุณภาพรสชาติด้วยห้องเย็นทันสมัย จัดระบบขายได้ตลอดปี สร้างรายได้สูงให้เกษตรกร

วันที่ 4 กันยายน 2564 นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง และ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมเป็นประธานและสักขีพยาน การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาไม้ผลอย่างครบวงจร ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 
(อีอีซี) ภายใต้โครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (Eastern Fruit Corridor : EFC) และแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยมี นางสาวพจณี  อรรถโรจน์ภิญโญ รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) นายปิยะ ปิตุเตชะ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง (อบจ.ระยอง) และนายโชติชัย  บัวดิษ ประธานเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ไม้ผลจังหวัดระยอง ร่วมลงนาม ณ ห้องประชุม 3 องค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง

โดยบันทึกข้อตกลงฯ ครั้งนี้ จะช่วยยกระดับผลไม้ไทย ให้มีคุณภาพมาตรฐานพรีเมียมระดับสากล ตั้งแต่การเพาะปลูกจนถึงการทำตลาดด้วยนวัตกรรมใหม่ ตรงความต้องการตลาดผู้บริโภครายได้สูง และสนับสนุนโครงการระบบห้องเย็นตามโครงการ EFC ให้เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ มีความร่วมมือสำคัญ ๆ 4 ด้าน ได้แก่... 

1) สนับสนุนกลุ่มเกษตรกรไม้ผล ได้พัฒนาทักษะการประยุกต์ใช้นวัตกรรมในการผลิต แปรรูป การค้าการตลาดยุคใหม่อย่างครบวงจร สร้างโอกาสเข้าถึงทรัพยากร เพิ่มอำนาจต่อรองตลอดช่วงการผลิตสินค้า

2) ยกระดับคุณภาพมาตรฐานผลไม้ไทย สร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภคตลาดในและต่างประเทศ รักษาเสถียรภาพราคา ลดความเสี่ยงให้เกษตรกร

3) พัฒนาการเก็บรักษา ยืดอายุผลผลิตให้คุณภาพ รสชาติเดิมได้นาน ด้วยการใช้ประโยชน์ระบบห้องเย็น (Blast Freezer & Cold Storage)

4) ส่งเสริมการวิจัยและต่อยอดการแปรรูปไม้ผลมูลค่าสูง ร่วมกับพันธมิตร ให้ตรงความต้องการตลาด และสนับสนุนด้านการตลาดสมัยใหม่อย่างครบวงจร

ทั้งนี้ ระยะแรกกลุ่มที่เข้าร่วมลงนามเพื่อผลิตทุเรียนพรีเมียม จะมีเครือข่ายกลุ่มวิสาหกิจแปลงใหญ่ 16 กลุ่ม เกษตรกรประมาณ 700 ราย พื้นที่ประมาณ 8,200 ไร่ โดยจะผลิตทุเรียนได้ประมาณปีละ 13,000 ตันต่อปี และจะขยายเครือข่ายสมาชิกให้มากขึ้น จากความร่วมมือของ อบจ.และเกษตรจังหวัดที่สนับสนุนร่วมกัน รวมทั้งขยายผลเพิ่มเติมในกลุ่มไม้ผลอื่นๆ ต่อไป

ดร.คณิศ แสงสุพรรณ กล่าวว่า สาระสำคัญการลงนามความร่วมมือ ครั้งนี้ จะสอดคล้องกับโครงการ EFC ที่เป็นโครงการหลักของแผนพัฒนาเกษตรในอีอีซี ประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญ คือ การสร้างสินค้าให้มีคุณภาพตามความต้องการตลาด โดย สกพอ. มุ่งเน้นตลาดกลุ่มลูกค้าทุเรียนพรีเมียม การวางระบบการค้าสมัยใหม่ ผ่านระบบ e-Commerce และ e-Auction ผลผลิตที่ส่งออกต้องตรวจสอบและย้อนกลับได้ สร้างมูลค่าให้ทุเรียนของภาคตะวันออก การลงทุนห้องเย็นด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เก็บรักษาให้มีความสดใหม่ และการจัดระบบสมาชิกชาวสวนผลไม้ สหกรณ์ที่เข้าร่วม ให้พัฒนาผลผลิตให้ได้คุณภาพพรีเมียม

โดยการผลิตทุเรียนของไทย คาดว่าในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า จะสูงถึง 2 ล้านตัน ปัจจุบันผลผลิตจากระยอง​ คิดเป็น 10% หรือกว่า 1 แสนตันต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งระบบห้องเย็น ภายใต้โครงการ EFC จะสามารถจัดเก็บผลผลิต เพื่อขายในช่วงนอกฤดูเก็บเกี่ยวหรือช่วงขาดแคลนได้ โดยจะจัดเก็บทุเรียนได้ประมาณ 4,000 ตันต่อรอบ ซึ่งหากจัดการอย่างมีประสิทธิภาพจะจัดเก็บได้มากกว่า 10,000 ตันต่อปี ช่วยรักษาความสด คงรสชาติ สร้างเสถียรภาพทางราคา สามารถส่งออกทุเรียนออกขายช่วงเทศกาลสำคัญ ที่มีความต้องการเป็นจำนวนมาก ขายได้ราคาสูง หรือกำหนดราคาเองได้ รวมทั้งรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศให้กินทุเรียนของระยองได้ตลอดปี สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน

'บลูเทค ซิตี้'​ มอบน้ำดื่มสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ในการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19

'บลูเทค ซิตี้'​ มอบน้ำดื่มสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ในการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19

(2 ก.ย.64) ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ทีมงานฝ่าย CSR ของโครงการนิคมอุสาหกรรม ฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ มอบน้ำดื่ม จำนวน 300 แพ็ค เพื่อสนับสนุนให้กับบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ที่ปฏิบัติงานร่วมการทดสอบระบบบริหารจัดบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้แก่ประชาชนในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมี นายสุพจน์ สกุลธรรม หัวหน้างานประชาสัมพันธ์และเลขานุการอธิการบดี เป็นผู้รับมอบ

โดยวันนี้ยังเป็นวันที่มีการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา ล็อตการผลิตในไทยพร้อมกันทั่วประเทศด้วย ควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีนซิโนแวคที่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจุดที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์นั้น สามารถรองรับประชาชนที่จะเข้ามารับบริการวัคซีนฯได้ประมาณวันละ 2,000 คน

'ผู้ช่วยฯ รอย' ชี้การติวให้ความรู้ และการทดสอบด้านปราบปรามฯใช้รองรับ-เพิ่มทักษะ เสริมเขี้ยวเล็บป้องอาชญากรรมให้ทันต่อสภาวการณ์ปัจจุบัน

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2564 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ท. รอย อิงคไพโรจน์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และประธานคณะทำงานพัฒนางานป้องกันปราบปราม เปิดเผยถึง กรณีที่มีข่าวทางโซเชียล ระบุถึงการทดสอบความรู้งานด้านป้องกันปราบปราม มีผลต่อเงินเพิ่มพิเศษ ของสายงานนั้น   ขอทำความเข้าใจว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาความรู้ให้กับข้าราชการตำรวจ เพื่อเป็นการเสริมทักษะเสริมความรู้ในการเป็นเกราะป้องกันสำหรับการปฏิบัติหน้าที่

ซึ่งที่ผ่านมานอกจากปัญหาอาชญากรรมที่รุนแรงขึ้นเช่น การต่อสู้ขัดขวางในการปฏิบัติหน้าที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต อีกทั้งยังปรากฏบางเหตุการณ์เมื่อรับแจ้งเหตุหรือเข้าระงับเหตุการชี้แจงทำความเข้าใจกับ ประชาชน ปรากฏข้อพิพาทกันบ่อยครั้งตามที่ปรากฏในสื่อต่างๆ ซึ่งปัญหาเกิดจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ ตรากตรำ ไม่มีเวลาทบทวนทั้งยุทธวิธีการทำงานและองค์ความรู้ด้านทฤษฎี

จึงดำริให้ดำเนินการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อเป็นประโยชน์และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ปฏิบัติงานสายตรวจ ซึ่งก็มีตั้งแต่การจัดการฝึกอบรมงาน ปป. ด้านยุทธวิธี ให้กับครูฝึกและเจ้าหน้าที่ตำรวจต้นแบบ ทั่วประเทศเพื่อไปถ่ายทอดให้กับทุกหน่วย ตั้งแต่ต้นปี 2564 จากนั้น คณะทำงานได้พัฒนาระบบการให้ องค์ความรู้ด้านทฤษฎีอันประกอบด้วยกฏหมายและแนวทางปฏิบัติต่างๆ โดยใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการถ่ายทอด ซึ่งมีผลตอบรับเป็นอย่างดีเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ในส่วนของการสอบนั้น เป็นการดำเนินการเพื่อให้ทดสอบความรู้ตนเองเพื่อให้ทันต่อสภาวะการปัจจุบัน และมิใช่แต่ งานป้องกันปราบปรามเท่านั้น การเสริมความรู้และการทดสอบนั้นต้องมีการดำเนินการทุกสายงาน ทั้ง จราจร สอบสวน และอำนวยการนอกจากจะเป็นประโยชน์แก่ตัวเจ้าหน้าที่แล้ว 

ยังทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่อีกด้วย โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลาทุกอาชีพต้องมีการพัฒนาความรู้ใหม่อยู่เสมอเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เช่นเดียวกัน  ในส่วนของผลกระทบในอนาคตหากไม่ผ่านหรือขาดความเอาใจใส่ที่จะพัฒนาความรู้ นอกจากจะส่งผลกระทบตรงกับความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของตนและประชาชนแล้ว ก็อาจเป็นไปได้ที่จะต้องกระทบถึงค่าตอบแทนพิเศษที่กำหนดให้สำหรับสายงานนั้นๆหรือหน้าที่นั้นๆ
ก็ขอเชิญชวนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกท่านได้สนใจที่จะพัฒนาองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง และเท่าที่ผ่านมาก็เห็นถึงควากระตือรือร้นใฝ่รู้ เป็นจำนวนมาก

'รัฐมนตรีเฉลิมชัย' พร้อมรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มั่นใจตอบได้ทุกประเด็นหลังโชว์ผลงานปฎิรูปกระทรวงเกษตรฯภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์คว้าแชมป์ ”คุณธรรมและความโปร่งใส” ประจำปี 2564 ของปปช. 

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจถือเป็นการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านในการตรวจสอบและถ่วงดุลรัฐบาลตามครรลองเสียงข้างมากข้างน้อยของระบบรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตย ในส่วนของตนพร้อมชี้แจงทุกประเด็นทั้งเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินและประเด็นการทุจริตประพฤติมิชอบรวมทั้งประเด็นอื่นๆที่มีการกล่าวหาหรือมีการตั้งข้อสงสัยเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใช้ประกอบดุลยพินิจในการลงมติ ตนเชื่อว่าผลงานคือคำตอบที่ดีที่สุดโดยเฉพาะการบริหารราชการแผ่นดินด้วยคุณธรรมและความโปร่งใสของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งล่าสุด คณะกรรมการ ป.ป.ช. และคณะกรรมการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ได้จัดทำการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) ประจำปีงบประมาณ 2564 ซึ่งได้กำหนดไว้ตามแผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ พบว่า หน่วยงานทั้ง23 หน่วยงาน ในสังกัด กระทรวงเกษตและสหกรณ์มีค่าITA อยู่ในระดับA โดยมีคะแนนภาพรวมทั้งสิ้น 92.67 คะแนน สูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยการประเมินภาพรวมทั่วประเทศที่มีค่าเฉลี่ย 81.25 คะแนน
ยิ่งกว่านั้นกระทรวงเกษตรฯ.ยังคว้าอับดับที่1 ของผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสประเภทที่5 (กองทุนและหน่วยงานของรัฐอื่น ๆ) ในระดับ AA มากถึง 3 หน่วยงานได้แก่กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง 98.52 %ตามด้วยสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร97.22 %และองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย 96.1 %

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวต่อไปว่า ความก้าวหน้าพัฒนาของ23หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผลมาจากความมุ่งมั่นและการทำงานหนักของทุกคนในองค์กรอย่างต่อเนื่องโดยมุ่งเน้นการปฏิรูป 2 มิติคือการปฏิรูปการบริหารราชการและการปฏิรูปการบริการประชาชนด้วยความรวดเร็วมีประสิทธิภาพโปร่งใสและตรวจสอบได้ภายใต้“5 ยุทธศาสตร์การปฏิรูป” ซึ่งเป็นคานงัดสร้างจุดเปลี่ยนได้แก่
 1.ยุทธศาสตร์ตลาดนําการผลิต
 2. ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0 
3. ยุทธศาสตร์ “3’s” (Safety- Security-Sustainability- เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคงและเกษตรยั่งยืน) 
4. ยุทธศาสตร์การบริหารเชิงรุกแบบบรู ณาการกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะโมเดล ”เกษตร-พาณิชย์ทันสมัย” 
 5. ยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชา
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเร่งการดำเนินงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และจะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

สำหรับผลคะแนนทั้ง 23 หน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ มีดังนี้ 
1. กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาการเกษตร 98.52 คะแนน ระดับ AA
2. สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร 97.22 คะแนน ระดับ AA
3. องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย 96.17 คะแนน ระดับ AA
4. สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง 94.71 คะแนน ระดับ A
5. การยางแห่งประเทศไทย 94.58 คะแนน ระดับ A
6. กรมพัฒนาที่ดิน 94.47 คะแนน ระดับ A
7. สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 93.86 คะแนน ระดับ A
8. กรมส่งเสริมสหกรณ์ 93.80 คะแนน ระดับ A
9. องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร 93.14 คะแนน ระดับ A
10.กรมชลประทาน 93.11 คะแนน ระดับ A
11.สำนักมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ 93.00 คะแนน ระดับ A
12.กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ 92.69 คะแนน ระดับ A
13.สำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ 92.62 คะแนน ระดับ A
14.องค์การสะพานปลา 92.29 คะแนน ระดับ A
15.กรมฝนหลวงและการบินเกษตร 92.22 คะแนน ระด
16.กรมวิชาการเกษตร 92.07 คะแนน ระดับ A
17.กรมปศุสัตว์ 91.81 คะแนน ระดับ A
18.กรมส่งเสริมการเกษตร 90.60 คะแนน ระดับ A
19.สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 90.22 ระดับ A
20.กรมประมง 90.21 คะแนน ระดับ A
21.กรมหม่อนไหม 89.09 คะแนน ระดับ A
22.กรมการข้าว 88.07 คะแนน ระดับ A
23.สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร 87.02 คะแนน ระดับ A 

คณะกรรมการ ป.ป.ช. และคณะกรรมการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ได้จัดทำการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) โดยในปีนี้มีหน่วยงานภาครัฐเข้าร่วมการประเมินITA 8,300 หน่วยงาน มีประชาชนเข้ามาร่วมตอบแบบสอบถามจำนวน 1,331,588 ราย แบ่งเป็น เจ้าหน้าที่ของรัฐ 471,794 ราย และผู้รับบริการภาครัฐ 859,794 ราย ซึ่งเป็นการประเมินที่มีคนเข้าร่วมมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีหน่วยงานทั่วประเทศที่ผ่านเกณฑ์ประเมินซึ่งต้องได้คะแนน85%ขึ้นไป 4,146 หน่วยงาน คิดเป็น 49.95%

ทั้งนี้ การให้คะแนนความโปร่งใสหน่วยงานนั้น สามารถแบ่งเป็นเกรดต่าง ๆ ได้ดังนี้ เกรด AA 95-100 คะแนน / เกรด A 85-94.99 คะแนน / เกรด B 75-84.99 คะแนน / เกรด C 65-74.99 คะแนน / เกรด D 55-64.99 คะแนน / เกรด F 0-54.99 คะแนน  

 โดยหน่วยงานที่ได้รับการประเมินแบ่งเป็น 8 ประเภท มีคะแนนเต็ม 100 คะแนได้แก่1.ประเภทหน่วยงานธุรการขององค์การศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ และหน่วยงานในสังกัดรัฐสภา 2.ประเภทส่วนราชการระดับกรม 3.ประเภทรัฐวิสาหกิจ 4.องค์การมหาชน5.กองทุนและหน่วยงานของรัฐ6.สถาบันอุดมศึกษา 7.จังหวัด (เฉพาะส่วนราชการส่วนภูมิภาคระดับจังหวัด) 8.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ

“คนสิทธิ” จับมือ “คนข่าว” ส่งต่อความห่วงใย มอบอาหาร-น้ำ ชุมชนริมคลองบางบัว ช่วยบรรเทาพิษโควิด

วันที่ 21 สิงหาคม ที่ชุมชนริมคลองบางบัวหลังกรมวิทยาศาสตร์ ถนนเกษตรนวมินทร์ นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยตัวแทนนักศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่น 1 (ปสม.1) สถาบันพระปกเกล้า นำโดย นางถวิล เพิ่มเพียรสิน อดีตรองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน นางสาวพรทิพย์ เตชะสมบูรณา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทในเครือ เวิลด์เมดิคอลซัพพลาย จำกัดนางสุจิตรา แก้วไกร ผู้อำนวยการ กองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และนางสุกัญญา จรรยา ผู้จัดการ มูลนิธิสหชาติ

ร่วมกับเวปไซต์ข่าวจั่นเจา Canchaonews.com หนังสือพิมพ์ดีดีโพสต์ นิวส์ ส่งมอบข้าวกล่องพร้อมทาน หน้ากากอนามัย น้ำดื่ม และสเปร์แอลกอฮอล์ ส่งมอบแก่ นางสิริวรรณ กลิ่นหอม ประธานชุมชน เป็นผู้แทนรับมอบเพื่อส่งต่อให้ชาวบ้านในพื้นที่ที่ดูแล

นางสิริวรรณ กลิ่นหอม เปิดเผยว่า ชุมชนแห่งนี้ มีประชาชนพักอาศัย 120 ครัวเรือน ประชากรกว่า 600  คน ในจำนวนนี้ผู้มีความเสี่ยงจากโรคติดเชื้อโควิด-19 และต้องกักตัว 16 ครอบครัว ขณะนี้รักษาหายแล้ว และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ แต่ชุมชนยังคงเฝ้าระวัง ช่วยกันดูแลป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด แบบไม่ประมาทการ์ดไม่ตก 

ด้านนายสมชาย จรรยา เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดเขื้อไวรัสโควิด-19 ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานประจำวัน มียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รวม 20,571 ราย จำแนกเป็น ติดเชื้อใหม่ 20,336 ราย ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 235 ราย

ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบาง ที่เป็นทั้งคนไร้บ้าน ผู้ยากไร้ ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง ที่อาศัยอยู่ในชุมชนต่างๆ โดยเฉพาะเมืองกรุง ที่จังรอการช่วยเหลือ 

ในนามพันธมิตรจิตอาสาเป็นอีกหนึ่งกลุ่มองค์กร ที่อาสามาเป็นสะพานบุญ รับข้าวกล่องพร้อมทานจากจุดส่งมอบอาหารโลตัสบางกะปิ ภายใต้โครงการ "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19" โดยบริษัทในเครือซีพี จัดทำขึ้น โดยมีสิ่งของ อื่นๆ อาทิ สเปรย์แอลกอฮอล์ น้ำดื่ม ได้นำมาสมทบ เพื่อแบ่งปันความสุข
และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย เราคนไทยไม่ทิ้งกัน ต้องก้าวผ่านวิกฤติไปด้วยกันให้ได้

'สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย'​ ปันน้ำใจ มอบ 'ผ้าหน้ากากอนามัย'​ ให้คนพิการ คนยากไร้ คนเร่ร่อน

'สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย'​ ปันน้ำใจ มอบ 'ผ้าหน้ากากอนามัย'​ ให้คนพิการ คนยากไร้ คนเร่ร่อน

(21 ส.ค.64)​ ณ บริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กรุงเทพมหานคร​ 'นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล'​ นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย และตำแหน่งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการด้านแรงงาน นำ 'ผ้าหน้ากากอนามัย' จำนวนมากกว่า 1,000 ชิ้น ที่ได้รับมอบจาก 'นายศุภชีพ ดิษเทศ'​ นายกสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย และ คณะกรรมการบริหารสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย ไปช่วยเหลือ คนพิการ คนยากไร้ คนด้อยโอกาส คนเร่อน 

โดยตระหนักถึงความสำคัญ และความจำเป็นถึงอุปกรณ์ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส Covid-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ ถึงแม้จะเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆ​ ที่ทางองค์กรคนพิการ พอจะมี พอจะให้ แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับคนยากไร้ คนด้อยโอกาส คนพิการ คนเร่ร่อน ที่ไม่มีเงินจะสามารถซื้อ และเปลี่ยน 'หน้ากากอนามัย'​ ได้บ่อยครั้ง

สำหรับการดำเนินกิจกรรมในครั้งนี้ ถึงแม้เราจะเป็น 'องค์กรคนพิการ'​ แต่เราก็อยากเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งปัน ช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ร่วมใจกันสร้างสรรค์สังคมไทยให้น่าอยู่สืบไป

#คนละไม้_คนละมือ

'ตำรวจน้ำ'​ กองบังคับการ​ 9​ ปฏิบัติการ!! ยึดยาไอซ์​ มูลค่า 650 ล้านบาท กลางทะเลอันดามัน

พล.ต.ท. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก. เน้นย้ำมาตรการด้านยาเสพติด เข้มงวด ตรวจตรา ภัยต่อความมั่นคง ดำเนินการเด็ดขาด รวดเร็ว ขานรับแนวทาง พล.ต.ต. สมควร พึ่งทรัพย์ ผบก.รน. สั่ง ทุกหน่วยใน ตำรวจน้ำเข้มและจริงจัง 

สืบเนื่องจากเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตำรวจน้ำกองกำกับการ 9  สถานีตำรวจน้ำสตูลได้ตรวจยึดยาไอซ์ พร้อมเฮโรอีน จำนวน 500 ล้านบาท และ ในเดือนกรกฎาคม สามารถทำการตรวจยึดและจับกุมตัวผู้ต้องหาพร้อมยาไอซ์ 30 กก. พร้อมเรือที่ใช้ลำเลียงอีก​ 1​ ลำ ถือเป็นการทำงานเข้มมาโดยตลอด

ต่อมา (20 สค.64 ) เวลาประมาณ​ 09.00 น. 
พันตำรวจเอก ธรากร เลิศพรเจริญ รอง ผบก . รน.​ อำนวยการร่วมกับ พ.ต.อ.จตุรวิทย์ คชน่วม ผกก.9 บก.รน.ได้สั่งการชุดสืบสวน กก.9 ตำรวจน้ำ นำโดย พ.ต.ท.บรรเจิด มานะเวช รอง ผกก. ฯ หัวหน้าชุด ว่าจะมีสิ่งของผิดกฎหมายประเภทยาเสพติด เข้ามาในพื้นที่ทะเล จ.ตรัง จัดเตรียมกำลัง ของ สถานีตำรวจนำ้ตรัง โดย พ.ต.ท. จักรพงษ์  มนัสชัย สว.สรน. 2 กก.9 ฯ ดำเนินการออกตรวจมาตลอด จนถึงวันเวลาดังกล่าวได้มีสายตรวจเคลื่อนที่เร็วทางน้ำ ได้แจ้งมาว่าพบยาเสพติดจำนวนดังกล่าวอยู่ในบริเวณพื้นที่กลางทะเลอันดามันใกล้เกาะรอกซึ่งอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดตรัง จึงได้รีบออกไปยังที่เกิดเหตุห่างจากชายฝั่งประมาณ 40 ไมล์ทะเล (75 กม.)ชุดตรวจยึดจับกุมได้ไปถึงที่เกิดเหตุพบยาเสพติดจำนวนมากลอย กลางทะเล มีถังแกลลอนเป็นทุนลอยน้ำใช้สำหรับถ่วงยาเสพติด ตรวจยึดได้จำนวน 32 กระสอบ

โดย ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ตรัง นายขจรศักดิ์ เจริญโสภา​ กล่าวว่า​ ในเรื่องของการจับกุมยาเสพติดทางทะเลเป็นนโยบายของทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยทางกองบังคับการตำรวจน้ำกับนโยบายจังหวัดตรัง โดยครั้งนี้นำโดยกองกำกับการ 9 กองบังคับการตำรวจน้ำร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่บูรณาการด้านกำลังและข้อมูลข่าวสารในการจับกุม ติดตามกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดโดยเฉพาะทางน้ำ

เนื่องจากปัจจุบันมีการขนส่งยาเสพติดในพื้นที่ทางทะเลจำนวนมากขึ้น โดยก่อนหน้านี้ทางตำรวจน้ำจังหวัดสตูลมีการจับกุมตรวจยึดยาเสพติด​ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ค้ารายใหญ่ และอาจมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดที่ได้ทำการตรวจยึดในจังหวัดตรังในครั้งนี้

สำหรับการตรวจยึดยาไอซ์ของกลางในวันที่ 20​ สิงหาคม 2564 เป็นการปฏิบัติการโดยการนำเรือตรวจการณ์ 525 ของตำรวจน้ำตรัง ลาดตระเวนในพื้นที่ทางทะเลพบยาไอซ์ผูกทุ่นลอยถ่วงน้ำอยู่กลางทะเลห่างจากจังหวัดตรังประมาณ 40 ไมล์ทะเลเพื่ออำพรางเจ้าหน้าที่ในการตรวจเจอได้ยากขึ้น ของกลางที่พบครั้งจำนวน 650 กิโล หากสามารถนำส่งปลายทางได้อาจมีมูลค่ากว่า​ 650 ล้านบาท​ ซึ่งถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศและต้องขอขอบคุณทางกองบังคับการตำรวจน้ำ​ ตลอดทั้งผู้บังคับบัญชาที่เป็นแกนหลักในการปราบปรามในครั้งนี้ซึ่งทางจังหวัดจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในทุกด้านต่อไป

พ.ต.อ.จตุรวิทย์ คชน่วม กล่าวว่า จากแนวนโยบายของ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ พล.ต.ต. สมควร พึ่งทรัพย์​ ผบก.รน.ในเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติด​ จึงได้มีการตั้งทีมชุดสืบสวน หาข่าวขึ้นประกอบกำลังกับชุดสืบสวนของตำรวจนำตรัง ได้ทำการประสานข้อมูล และส่งชุดสืบสวนดำเนินการออกติดตามมาซักระยะหนึ่งแล้ว ประกอบกับได้มีการทำแผนประทุษกรรม การข่าว และหาข้อมูลย้อนหลังว่า ช่วงเดือนนี้ในปีย้อนหลังมีการขน ยาเสพติดมาพักในพื้นที่ รับผิดชอบ ซึ่งรูปแบบในการลำเลียงนั้นจะแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่จากการตรวจยึดครั้งนี้พบว่ายาเสพติดนั้นมีการถ่วงเอาไว้ในทะเล​ โดยใช้ทุ่นลอยเป็นถังน้ำมันเล็ก ซึ่งเราต้องอาศัยความชำนาญตลอดทั้งเครือข่ายภาคประชาชนในการแจ้งเบาะแสของยาเสพติดในพื้นที่​ ซึ่งในการจับกุมครั้งนี้อยู่ห่างขายฝั่งไกลมาก ใช้เวลาเดินทางไปและกลับประมาณ 6 ชั่วโมงประกอบกับช่วงนี้มีฝนตกจึงต้องรีบดำเนินการจัดเก็บและดำเนินการสืบค้นและหาตัวผู้กระทำความผิดต่อไป

ในการนี้​ พล.ต.ท. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก. ได้เน้นย้ำถึงการปฎิบัติและจัดทำแผนประทุษกรรมเพื่อที่จะได้ เป็นแนวทางในการสืบสวนต่อไปให้ถึงตัวการใหญ่ที่ทำลายประเทศ พร้อมทั้งช่วยสนับสนุนในเรื่องงบประมาณในการดำเนินงาน ให้กับข้าราชการตำรวจในทุกสังกัดอย่างเต็มขีดความสามารถ​ เพื่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานพร้อมทั้งได้ประสานงานกับ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดเข้ามาดำเนินการต่อไป

สมาคมสื่ออาชญากรรม ส่งต่อกำลังใจ มอบข้าวกล่องปันอิ่ม สื่อภาคสนาม ช่วยบรรเทาวิกฤติโควิด

(20 ส.ค.64)​ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล​(บช.น.) นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย นำข้าวกล่องพร้อมทาน ส่งมอบแก่สื่อมวลชนภาคสนาม ประกอบด้วยสื่อวิทยุโทรทัศน์จากช่องต่างๆ สื่อสิ่งพิมพ์จากหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ และสื่อออนไลน์จากสำนักข่าวต่างๆ ที่ปักหลักปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวอยู่ในกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้นำไปรับประทาน ในสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื่อไวรัสโควิด-19 

จากนั้นส่งมอบข้าวกล่องแก่สื่อมวลชนประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ตำรวจสันติบาล ได้รับประทานในขณะปฏิบัติหน้าที่

วันเดียวกันได้นำส่ง มอบข้าวกล่องพร้อมทานแก่สื่อมวลชน ประจำกองบรรณาธิการ สถานีโทรทัศน์ NBT (ช่อง11) และกองบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ ข่าวสด 

นอกจากนี้ ยังส่งมอบข้าวกล่องแก่สื่อมวลชนที่ปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวที่สถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง และอาสาสมัครหน่วยบรรเทาสาธารณภัย เหนือ 43-00 วัฒนะ01 ดอนเมือง นำแจกจ่ายแก่ประชาชนในชุมชนปิ่นเจริญ เขตดอนเมือง 

นายสมชาย จรรยา เปิดเผยว่า กิจกรรมนี้ เป็นความร่วมมือของ พันธมิตรจิตอาสา มูลนิธิสหชาติ สำนักข่าว News Online Thailand เวปไซต์ข่าวจั่นเจา Canchaonews.com หนังสือพิมพ์ดีดีโพสต์ นิวส์ และนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่น 1 (ปสม.1) สถาบันพระปกเกล้า

โดยสมาคมฯ ได้รับข้าวกล่องจากจุดส่งมอบอาหาร โลตัส สาขาบางกะปิ ภายใต้โครงการ "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19" โดยบริษัทในเครือซีพี จำนวน 300 ชุด 

เพื่อนำส่งมอบต่อผู้ที่ไดรับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย…“คนไทยไม่ทิ้งกัน”

พลิกปูมชะตากรรมสยองของอดีตผู้นำอัฟกานิสถาน​ ในวันที่ตอลิบานเรืองอำนาจ

ความวุ่นวายในอัฟกานิสถานและการยึดประเทศของกลุ่มกองทัพตอลิบาน กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ทั่วโลกกำลังจับตามองมากที่สุดในตอนนี้ และต่างตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดรัฐบาลอัฟกานิสถานถึงได้ล่มสลายอย่างรวดเร็วหลังสหรัฐอเมริกาได้ประกาศถอนทหารทั้งหมดภายในระยะเวลาแค่ 3 เดือน

หากถามความเห็นของทีมรัฐบาลอัฟกานิสถาน ก็ได้กล่าวโทษนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ว่าตัดสินใจถอนทหารเร็วเกินไปจนขาดสเถียรภาพ ทำให้ฝ่ายตอลิบานได้โอกาสบุกยึดอย่างรวดเร็วเกินต้านทาน

แต่รัฐบาลสหรัฐฯ​ ก็ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า เป็นเพราะกองทัพของรัฐบาลอัฟกานิสถานไม่ยอมต่อสู้กับฝ่ายตอลิบานอย่างกล้าหาญเพื่อปกป้องประเทศ จนทำให้อัฟกานิสถานต้องมีวันนี้อีกครั้งหนึ่ง

ซึ่งหนีไม่พ้นความรับผิดชอบของประธานาธิบดี แอชราฟ กาห์นี ที่สละตำแหน่ง และหลบหนีออกนอกประเทศทันทีที่กองทัพตอลิบานบุกประชิดกรุงคาบูล และยังมีข่าวว่าได้ขนทรัพย์สินติดตัวไปเป็นจำนวนเกือบ 170 ล้านดอลลาร์ จนบางคนตราหน้าเขาว่าเป็นคนทรยศประเทศชาติ

ด้านประธานาธิบดี แอชราฟ กาห์นี ได้ออกมาให้สัมภาษณ์แล้วหลังจากที่เขาหลบหนีออกจากอัฟกานิสถานไปพักพิงชั่วคราวที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้แล้วอย่างปลอดภัยว่า เหตุผลที่เขาต้องออกนอกประเทศเพราะไม่ต้องการให้เกิดการนองเลือดในกรุงคาบูล ที่อาจทำให้อัฟกานิสถานมีชะตากรรมไม่ต่างจากซีเรีย หรือ เยเมน และก็เจ็บปวดเช่นกันที่ต้องหนีออกมา

และปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่า ตัวเขาและครอบครัวไม่ได้ขนสมบัติมีค่าติดตัวอะไรมาเลย นอกจากเสื้อผ้าส่วนตัวไม่กี่ชิ้นเท่านั้น สามารถเช็กข้อมูลได้ที่เจ้าหน้าศุลกากรได้เลย

ส่วนกระแสที่พูดถึงในโซเชียลต่างประเทศ ก็แตกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายที่มองว่าอดีตประธานาธิบดีกาห์นีเป็นคนขลาดเขลาและทรยศที่ไม่ยืนหยัดปกป้องประชาชนของตนในวันกรุงแตก

แต่ฝ่ายที่เห็นใจผู้นำกาห์นีก็มีไม่น้อย และมองว่าท่านทำดีที่สุดแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ และหากแอชราฟ กาห์นี ไม่เดินทางออกนอกประเทศในวันนั้น อาจมีชะตากรรมไม่ต่างจากอดีตประธานาธิบดีคนเก่าของอัฟกานิสถาน ในวันเสียกรุงคาบูลครั้งที่ 1 ให้กับกลุ่มตอลิบานในปี 1996 ก็เป็นได้

อดีตผู้นำอาภัพของอัฟกานิสถานที่มีการหยิบขึ้นมาพูดถึงก็คือ โมฮัมเหม็ด นาจิบูลลาห์ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอัฟกานิสถานในช่วงปี 1986 - 1992

ประวัติส่วนตัวของอดีตผู้นำ โมฮัมเหม็ด นาจิบูลลาห์ มีเชื้อสายชาวปัชตุน หรือในปากีสถานเรียกกว่า 'ปาทาน'​ เกิดในการ์เดซ ทางภาคตะวันออกของอัฟกานิสถาน

ก่อนหน้าที่นาจิบูลลาห์จะเข้ามามีตำแหน่งทางการเมือง เขาเรียนจบด้านศัลยแพทย์ ที่มหาวิทยาลัยคาบูล ที่ต่อมาคนอัฟกันเรียกติดเขาติดปากว่า 'ด็อกเตอร์ นาจิบ'​ แต่พอจบมา กลับไม่เคยได้ใช้มีดผ่าตัดเลยสักครั้ง แต่มุ่งหน้าเข้าสู่เส้นทางการเมือง และเข้าร่วมกับพรรคประชาธิปไตยประชาชนอัฟกานิสถาน (PDPA) ที่มีแนวคิดตามอุดมการณ์สังคมนิยมมาร์กซิส และได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต

เบื้องหลังการเมืองในอัฟกานิสถานในยุคนั้นก็มีความร้อนแรงไม่แพ้ยุคปัจจุบันเลยทีเดียว เมื่อมีกระแสการเมืองกดดันให้โค่นอำนาจของ พระเจ้าโมฮัมหมัด ซาเฮียร์ ชาห์ กษัตริย์แห่งอัฟกานิสถาน เพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองให้เป็นสาธารณรัฐ

ต่อมาพรรค PDPA ก็ได้สนับสนุน โมฮัมเหม็ด ดาวูด ข่าน ที่เป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์เช่นกันให้ยึดอำนาจของ พระเจ้า โมฮัมหมัด ซาเฮียร์ ชาห์ ในปี 1973 และได้สถาปนาเป็นสาธารณรัฐอัฟกานิสถานในปีนั้นเอง โดยได้ โมฮัมเหม็ด ดาวูด ข่าน เป็นประธานาธิบดีคนแรก

แม้จะเป็นการปฏิวัติที่ไม่เสียเลือดเนื้อ แต่การเมืองในอัฟกานิสถานก็ยังไม่สงบลงแม้แต่น้อย เพราะต่อมา ประธานาธิบดี โมฮัมเหม็ด ดาวูด ข่าน ก็เริ่มมีใจออกห่างสหภาพโซเวียต ไปเป็นพันธมิตรกับประเทศที่นิยมเสรีตะวันตกรวยน้ำมัน อย่าง ซาอุดีอาระเบีย และ อิหร่าน (ในสมัยที่ยังอยู่ภายใต้ระบอบราชาธิปไตย)

พรรค PDPA ก็ไม่อาจอยู่เฉยได้ จึงทำการปฏิวัติยึดอำนาจจากประธานาธิบดีดาวูด ข่าน ที่เรียกว่า การปฏิวัติเซาร์ ในปี 1978 ซึ่งครั้งนี้ไม่นุ่มนวลเหมือนครั้งที่ผ่านมา เกิดการปะทะกันระหว่าง 2 ฝ่ายอย่างรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตหลายพันคน รวมถึงตัวประธานาธิบดี โมฮัมเหม็ด ดาวูด ข่าน ก็ถูกสังหารโหดหลังการยึดอำนาจสำเร็จเพียงแค่ข้ามวัน และนำศพไปฝังรวมที่นอกประตูเมืองคาบูลอย่างไร้เกียรติ

ด้านพรรค PDPA ก็เดินหน้าปฏิรูปให้อัฟกานิสถานเป็นประเทศสังคมนิยมเต็มตัว แต่ไม่นานนักก็มีกลุ่มนักรบใต้ดินติดอาวุธกลุ่มใหม่ที่ชื่อว่า มูจาฮีดีน ที่จัดตั้งกองกำลังฝึกรบในปากีสถานและจีน แต่ได้ทุนสนับสนุนมหาศาลจากซาอุดิอารเบีย และสหรัฐอเมริกา มีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มรัฐบาลพรรค PDPA และเปลี่ยนอัฟกานิสถานให้เป็นระบอบประชาธิปไตยตามแบบแผนของโลกเสรีตะวันตก

ก็เข้าสูตรสงครามเย็น ที่มีอัฟกานิสถานเป็นตัวแทนสงครามเต็มรูปแบบ โซเวียตได้ส่งกองกำลังเข้าแทรกแซง และหนุนหลังรัฐบาลของ PDPA อย่างเต็มที่ และกลายเป็นสงครามโซเวียต-อัฟกานิสถาน ที่กินเวลาเกือบสิบปี (1979 - 1989)

และช่วงเวลานั้น โซเวียตก็ได้ผลักดันให้ โมฮัมเหม็ด นาจิบูลลาห์ หรือ ด็อกเตอร์ นาจิบ ของเราขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในช่วงเวลาที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยไฟสงครามกลางเมืองจนได้

แต่หลังจากที่ลงทุนรบกับกลุ่มมูจาฮิดีนมาเกือบ 10 ปีโดยที่ไม่ได้อะไร โซเวียตก็ยอมรับความจริง ตัดสินใจยุติสงครามและถอนทหารออกในปี 1989 ทิ้งไว้แต่รัฐบาลของด็อกเตอร์ นาจิบ รับมือกับกองทัพมูจาฮิดีน ท่อน้ำเลี้ยงหนาเพียงลำพัง และยิ่งโดดเดี่ยวหนักขึ้นไปอีกเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991

และสุดท้ายก็ต้านทานไม่ไหว กลุ่มมูจาฮิดีนยึดตีเมืองไปจนเกือบหมด ทำให้รัฐบาลของด็อกเตอร์ นาจิบ แพแตก บีบให้ประธานาธิบดี โมฮัมเหม็ด นาจิบูลลาห์ ประกาศลาออกในวันที่ 16 เมษายน 1992 และนับเป็นประธานาธิบดีฝ่ายคอมมิวนิสต์คนสุดท้ายของอัฟกานิสถาน

หลังจากที่ลาออกจากตำแหน่งแล้ว อดีตประธานาธิบดีนาจิบูลลาห์ ย้ายเข้าไปหลบภัยในอาคารสำนักงาน UN ในคาบูล และพยายามที่จะหลบหนีไปอินเดีย ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับ นาจิบูลลาห์ แต่แผนการถูกขัดขวางทุกครั้ง เพราะฝ่ายกองทัพหวังจะใช้เขาเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง

และถึงแม้ว่าโซเวียตจะถอยไปแล้ว แต่สถานการณ์ในอัฟกานิสถานก็ยังคงลุกโชนด้วยไฟสงครามราวเป็นดินแดนต้องคำสาป รัฐบาลชุดใหม่ที่จับมือกับกลุ่มมูจาฮีดินก็หันหน้ามารบแย่งอำนาจกันเอง และกลายเป็นสงครามตัวแทนระหว่าง ซาอุดีอาระเบีย และอิหร่าน  กลุ่มนักรบมูจาฮิดีนที่เคยเข้มแข็งก็อ่อนแอลงอย่างมาก แต่กลับมีกองกำลังกลุ่มใหม่เข้ามาแทนที่นั่นก็คือ 'ตอลิบาน'

กลุ่มตอลิบานก่อตั้งโดยหมอสอนศาสนาในหมู่บ้านคนหนึ่งชื่อว่า โมฮัมเหม็ด โอมาร์ มีเชื้อสายปัชตุน เช่นกัน เกิดในเมืองกานดาฮาร์ ทางตอนใต้ของประเทศ ครอบครัวของโอมาร์ล้วนเป็นครูสอนศาสนาที่เคร่งมาก ต่อมา โมฮัมเหม็ด โอมาร์ก็เข้าร่วมฝึกรบกับกองกำลังมูจาฮีดีน เพื่อต่อสู้กับโซเวียต

แต่หลังจากที่ล้มรัฐบาลของด็อกเตอร์ นาจิบ ที่ถูกมองว่าเป็นหุ่นเชิดของโซเวียตได้ และกลุ่มมูจาฮิดีน กำลังวุ่นวายกับการแย่งอำนาจกันเองภายใน โมฮัมเหม็ด โอมาร์ ก็แยกวงออกมาตั้งกองกำลังของตัวเอง เรียกว่ากลุ่มตอลิบาน​ ในปี 1994 โดยเริ่มต้นจากการฝึกนักเรียนศาสนาในหมู่บ้านให้เป็นนักรบ

แล้วก็ขยายกองกำลังไปยังปากีสถาน รวบรวมแนวร่วมนักรบใต้ดินมูจาฮีดีนเดิมมาเป็นพวก จึงเริ่มบุกยึดเมืองต่าง ๆ ในอัฟกานิสถาน และใช้เวลาเพียง 2 ปี กองทัพตอลิบานก็ยาตราสู่กรุงคาบูลในปี 1996

หลังจากที่ตีกรุงคาบูลแตกแล้ว นักรบตอลิบานก็บุกเข้าไปในหน่วยงาน UN ที่อดีตประธานาธิบดี โมฮัมเหม็ด นาจิบูลลาห์ ลี้ภัยอยู่ แล้วก็ลากตัวเขา และน้องชาย ออกมาทุบตีอย่างโหดเหี้ยมจนตาย และนำร่างไร้วิญญาณของพวกเขาผูกติดท้ายรถจี๊ป ลากวนรอบเมือง ก่อนนำศพของทั้งคู่ไปแขวนประจานที่เสาไฟจราจรหน้าทำเนียบรัฐบาล และไม่อนุญาตให้นำศพไปประกอบพิธีทางศาสนาอีกด้วย

ภาพการลงทัณฑ์ประหารอดีตผู้นำอัฟกานิสถานอย่างป่าเถื่อนของกลุ่มตอลิบาน ถูกประณามอย่างหนักจากทั่วโลก และเป็นเหมือนสัญลักษณ์การเริ่มต้นเข้าสู่ยุคมืดของอัฟกานิสถานภายใต้การปกครองของตอลิบาน โดยใช้กฏหมายศาสนาสุดโต่งที่ตีความโดยกลุ่มตอลิบานปกครองบ้านเมือง จนกระทั่งการมาถึงของกองทัพสหรัฐฯ ในปี 2001 หลังเหตุการณ์ 9/11 นั่นเอง

ดังนั้น ชาวอัฟกันจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าการหลบหนีออกนอกประเทศของประธานาธิบดี แอชราฟ กาห์นี เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะคงไม่มีใครอยากเจอชะตากรรมสยองอย่างอดีตผู้นำ โมฮัมเหม็ด นาจิบูลลาห์ หรือ ด็อกเตอร์ นาจิบ และไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าประวัติศาสตร์แห่งยุคมืดในสมัยกลุ่มตอลิบานเรืองอำนาจจะไม่ซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง

อ้างอิง : Indian Express / Al jazeera / Wikipedia

ผู้เขียน : ยีนส์ อรุณรัตน์

โซเชียลโต้!! ส.ส. ปชป. ตัดงบศึกษาบุหรี่ไฟฟ้า​ พร้อมชี้!! นโยบายแบนบุหรี่ไฟฟ้าล้มเหลว ยิ่งแบนยิ่งเพิ่มปัญหาของเถื่อนและคอรัปชั่น

ลิดรอน​ 'เสรี'​ (สุข)​ ภาพ...โซเชียลโต้!! ส.ส. ปชป. ตัดงบศึกษาบุหรี่ไฟฟ้า​ พร้อมชี้!! นโยบายแบนบุหรี่ไฟฟ้าล้มเหลว ยิ่งแบนยิ่งเพิ่มปัญหาของเถื่อนและคอรัปชั่น

นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน เจ้าของเฟซบุ๊ก 'มนุษย์ควัน'​ กล่าวถึงกรณีที่นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้ตัดงบกระทรวงการคลังลง 5% ในระหว่างอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยให้เหตุผลว่าไม่มีความจะเป็นต้องนำไปศึกษาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ว่า... 

“น่าผิดหวังมากที่ ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ให้ความสำคัญกับการใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์​ มากำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความเป็นความตายของผู้สูบบุหรี่ในประเทศที่มีจำนวนเกือบ 10 ล้านคน แม้กระทั่งการจะตั้งงบเพื่อศึกษาหาทางแก้ปัญหาและเก็บภาษีก็ยังขัดขวาง ทั้งๆ ที่มีการลักลอบนำเข้า จำหน่าย และใช้บุหรี่ไฟฟ้ากันเกลื่อนเมือง​ รวมทั้งในรัฐสภา แทนที่ ส.ส. จะหาทางสนับสนุนให้ศึกษาหาแนวทางแก้ปัญหา กลับเสนอตัดงบซึ่งถือเป็นการปิดกั้นและลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการเข้าถึงทางเลือกที่อันตรายน้อยกว่าบุหรี่ เพราะขนาดวัคซีนเรายังต้องขอมีทางเลือกเพื่อสุขภาพของเรา แต่พอเป็นบุหรี่ไฟฟ้ากลับถูกกีดกันทุกวิถีทาง”

“การแบนบุหรี่ไฟฟ้าของไทยตอนนี้ ตรงกันข้ามกับประเทศที่พัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, สหภาพยุโรป หรือนิวซีแลนด์ ที่ควบคุมผลิตภัณฑ์ทางเลือกทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์แบบให้ความร้อนอย่างถูกกฎหมายหลังจากที่ได้ศึกษาผลการวิจัยแล้วว่าทั้งบุหรี่ไฟฟ้า และยาสูบแบบไม่เผาไหม้ช่วยลดความเสี่ยงให้กับผู้สูบบุหรี่ ในสหรัฐอเมริกา องค์การอาหารและยา (US FDA) อนุญาตให้ขายยาสูบไร้ควันและยังให้สื่อสารกับผู้สูบบุหรี่ได้ด้วยว่าการเปลี่ยนมาใช้ยาสูบแบบไม่เผาไหม้ช่วยลดการช่วยลดการได้รับสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ขณะที่เม็กซิโก และอุรุกวัยที่เพิ่งจะออกกฎหมายปลดล็อคยาสูบแบบไม่เผาไหม้ก็เป็นผลมาจากการศึกษาผลวิจัย หรือกรณีของสาธารณสุขอังกฤษและนิวซีแลนด์ก็สนับสนุนให้ผู้สูบบุหรี่หันมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าทดแทน”

“การให้ข้อมูลของ ส.ส. พิสิฐ ลี้อาธรรมนั้นไม่ถูกต้อง มีการใช้ข้อมูลที่บิดเบือนหลายด้าน​ โดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนถูกต้อง สร้างความเข้าใจผิดและความสับสนให้กับประชาชนทั้งประเทศ ทำไม ส.ส. พิสิฐ ถึงไม่บอกด้วยว่า ตอนนี้มีกว่า 79 ประเทศทั่วโลกมีกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกต้องตามกฎหมาย และอีก 84 ประเทศทั่วโลกที่ไม่ได้แบนบุหรี่ไฟฟ้า มีเพียง 32 ประเทศที่ยังดำเนินนโยบายสุดโต่งเช่นเดียวกับไทย ตัวอย่างของประเทศเหล่านั้น​ คือ กัมพูชา, ลาว, ศรีลังกา, เอธิโอเปีย และเกาหลีเหนือ และตัวเลขนี้ยังไม่ร่วมประเทศที่เพิ่งปลดแบนผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบใหม่ในปีนี้ คือ เม็กซิโก, อุรุกวัย และล่าสุดคือ ฟิลิปปินส์ เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในระหว่างวันที่ 8-13 พฤศจิกายน นี้จะมีการประชุมสมัชชารัฐภาคีกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก ครั้งที่ 9 ซึ่งจุดยืนขององค์การอนามัยโลกและประเทศไทย ยังคงสวนทางกับหน่วยงานสาธารณสุขชั้นนำใน สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, ยุโรป, นิวซีแลนด์ และอีกกว่า 70 ประเทศทั่วโลกที่ต่างสนับสนุนให้ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกต้องตามกฎหมายและให้ประชาชนใช้เป็นทางเลือกในการเลิกสูบบุหรี่เนื่องจากมีสารพิษที่เป็นอันตรายน้อยกว่า

“คำสั่งแบนผลิตภัณฑ์ทางเลือก เช่น บุหรี่ไฟฟ้า และยาสูบแบบให้ความร้อน ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะเราก็ยังเห็นคนใช้กันอยู่ทั่วไป กลายเป็นการส่งเสริมตลาดซื้อขายผิดกฎหมายที่มีมูลค่ามากกว่า 6,000 ล้านบาทและเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ทุจริต ปล่อยปะละเลยให้มีการขายใต้ดิน หรือจับกุมรีดไถผู้ใช้ เท่ากับว่าเราแก้ปัญหาการสูบบุหรี่ที่ทำให้คนตายปีละ 8 หมื่นคนไม่ได้และยังสร้างปัญหาใหม่จากการแบนอีกด้วย การที่พรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายปิดกั้นการศึกษาข้อมูลเช่นนี้คงทำให้ประชาชนเห็นแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์มีจุยืนเช่นไร ซึ่งก็เป็นปัจจัยในการตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งต่อไปด้วยเช่นกัน” นายสาริษฎร์กล่าวทิ้งท้าย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top