Wednesday, 25 June 2025
NEWS FEED

'TDRI' ดันกลุ่ม 'คุณแม่วัยเรียน' เข้าสู่ระบบการศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตทุกคน อย่างเท่าเทียม

(1 มี.ค. 66) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เผยแพร่บทความ “โอกาสที่หายไปของ ‘แม่วัยรุ่น’ และสังคมไทย” เนื้อหาดังนี้ “สังคมไทยมีอัตราแม่วัยรุ่นสูงห่างจากหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว” ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอยู่ในระดับที่สูง สะท้อนจากสถิติอัตราการคลอดของหญิงอายุ 15-19 ปี ต่อประชากรหญิงอายุเดียวกันพันคน (ปี 2563 หญิง 29 คน ต่อ 1 พันคน ตั้งครรภ์ในวัยรุ่น) แม้ว่าหลังปี 2555 เป็นต้นมา สถานการณ์แม่วัยรุ่นจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น 

แต่จำนวนยังสูงกว่าประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิก ที่มีอัตราคลอด 23 ต่อพันคน และประเทศพัฒนาแล้วที่มีอัตราคลอด 12 ต่อพันคน รวมไปถึงแม่วัยรุ่นต้องเผชิญกับภาระทางสุขภาพและความต่างทางรายได้ในอนาคตเมื่อเข้าสู่วัยทำงาน สูญเสียโอกาสของตนเองและประเทศ การกำหนดมาตราการป้องกันและช่วยเหลือทั้งก่อนและหลังตั้งครรภ์ รวมถึงการสร้างความเข้าใจและให้โอกาสกับแม่วัยรุ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ

“แม่วัยรุ่นส่วนใหญ่จบการศึกษาสูงสุดในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น” เมื่อแบ่งกลุ่มอายุแม่วัยรุ่นเป็นกลุ่มช่วงอายุต่างๆ สามารถให้ผลที่ชัดเจนขึ้นในเรื่องการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น กลุ่มแม่วัยรุ่นที่ปัจจุบันอายุอยู่ระหว่าง 15-30 ปี มีสัดส่วนของการตั้งครรภ์ในขณะเรียนสูงในกลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น (ร้อยละ 38.8) รองลงมาคือ ประถมปลาย ร้อยละ 34.5 และอันดับ 3 มัธยมปลาย ร้อยละ 21.4

“ลักษณะสภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของแม่วัยรุ่นส่วนใหญ่” เมื่อทดสอบข้อมูลในกลุ่มหญิงอายุ 15-30 ปี โดยควบคุมลักษณะบุคคล และครัวเรือน พบปัจจัยร่วมที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นส่วนใหญ่ ทั้งด้านลักษณะของครอบครัว ชั้นรายได้ของครอบครัว 3 ประการ ประกอบด้วย 1.อยู่นอกเขตเทศบาล 2.อยู่ในครัวเรือน เกษตรกร/ผู้ใช้แรงงาน และ 3.มักเกิดซ้ำในครัวเรือนที่มีแม่เป็นวัยรุ่น

“แม่วัยรุ่น (อายุ 15-19 ปี) มีรายได้เฉลี่ยต่อปีตํ่ากว่า แม่ที่ตั้งครรภ์เมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไป” การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นจะลดโอกาสในการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งโอกาสในอาชีพและการหารายได้ ข้อมูล socio economic survey แสดงให้เห็นว่ากลุ่มตั้งครรภ์ในวัยรุ่นมีรายได้เฉลี่ยต่อปีในระดับต่ำกว่ากลุ่มที่ตั้งครรภ์เมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไป โดยแม่อายุ 20 ปีขึ้นไป มีรายได้อยู่ที่ 159,305 บาท/ปี ขณะที่แม่วัยรุ่น อยู่ที่ 121,867 บาท/ปี ทั้งนี้ “3 ลักษณะชีวิตด้านการศึกษาของแม่วัยรุ่น” มีอยู่ 3 รูปแบบ คือ 1.ตั้งครรภ์แต่ยังกลับเข้าเรียน 2.ตั้งครรภ์แล้วหลุดจากระบบการศึกษา และ 3.หลุดจากระบบการศึกษาแล้วตั้งครรภ์ 

“โอกาสทางรายได้ที่หายไปของแม่วัยรุ่น” หากแม่วัยรุ่นไม่ได้รับการดูแลและความเข้าใจจากสังคม การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นจะนำไปสู่การแบกรับภาระหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน สูญเสียรายได้ในอนาคต และเมื่อต้องเข้าสู่ตลาดแรงงานก็เป็นแรงงานที่ได้รับผลตอบแทนไม่สูงมาก ตลอดจนโอกาสที่ทารกจากแม่วัยรุ่นจะมีสุขภาพไม่ดี และนำไปสู่ภาวะพึ่งพิงทางการเงินของครอบครัวมากขึ้น สำหรับรายได้ของแม่วัยรุ่นที่หายไปนั้น แม่วัยรุ่นทั้ง 3 ลักษณะ จะมีรายได้เฉลี่ยตํ่ากว่ากลุ่มควบคุมวัยเดียวกันที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ 2,811บาท/คน/เดือน

“ความต่างของรายได้ยิ่งมากหากไม่ได้กลับเข้าเรียน” การตั้งครรภ์ไม่ว่าจะเกิดโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แม่วัยรุ่นกลุ่มนี้หากต้องการเข้าสู่ตลาดแรงงานหลังคลอดบุตร โอกาสในการทำงานและค่าจ้างที่ได้รับจะขึ้นอยู่กับ ระดับการศึกษา และ เวลาที่ต้องใช้ในการดูแลเด็กเล็ก ดังนั้นความต่างของรายได้เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ จะยิ่งมากหากไม่ได้กลับเข้าเรียน โดยหากตั้งครรภ์แต่ยังได้กลับเข้าเรียน รายได้จะต่างจากกลุ่มที่ไม่ได้ตั้งครรภ์เฉลี่ย -3,936 บาท/คน/เดือน แต่หากตั้งครรภ์แล้วยังหลุดออกจากะบบการศึกษา รายได้จะยิ่งต่างมากขึ้นไปอีก โดยอยู่ที่เฉลี่ย -4,582 บาท/คน/เดือน

“ปรากฎการณ์ ‘แม่วัยรุ่น’ ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศ” ไม่เพียงแต่แม่วัยรุ่นจะเสียโอกาสทางเศรษฐกิจด้านรายได้ตลอดช่วงชีวิต แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศในช่วงชีวิตของตนเอง มูลค่าถึง 8.3 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5.1 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ในอนาคต รายได้ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีแนวโน้มแตกต่างกันมากขึ้น ทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจของแม่วัยรุ่นในรุ่นถัดไป มากยิ่งขึ้นไปอีกและจะส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ สูงขึ้นถึง 12 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7.2 ต่อ GDP

“พาแม่วัยรุ่นกลับเข้าเรียน เพิ่มโอกาสสร้างรายได้” แม่วัยรุ่น ต้องได้กลับเข้าเรียนในระบบการศึกษาหรือกลับเข้าโรงเรียนโดยไม่มีอุปสรรค จนเรียนจบในระดับการศึกษาตามที่ได้ตั้งไจไว้ เพื่อให้มีโอกาสทำงานและมีรายได้ที่เหมาะสมในอนาคต อย่างไรก็ตาม แม่วัยรุ่นจำนวนไม่น้อยไม่กลับเข้าเรียนในระบบ แต่เลือกที่จะเข้าเรียนในการศึกษานอกระบบหรือการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) แทน การพัฒนาคุณภาพของการศึกษานอกระบบให้เท่าเทียมกับการศึกษาในระบบจึงเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากแม่วัยรุ่นควรมีโอกาสเพิ่มพูนความรู้และทักษะเพื่อการหารายได้ในระดับที่ใกล้เคียงกับกลุ่มที่เรียนอยู่ในระบบ

เหตุผลที่ MRT สายสีชมพู ใช้คำว่า ‘Kor Mor’ แทน Km 6 เพราะต่างชาติเรียกแท็กซี่จะได้ไม่ต้องพูดว่า “คิล้อมิเถอะซิกส์”

(1 มี.ค. 66) หลังจาก เพจ ‘ฉันเป็นนักเสียดสี’ ได้โพสต์แซะป้ายสถานีรถไฟฟ้า MRT สายสีชมพู ‘สถานีรามอินทรา กม.6’ ระบุว่า “บ้านนอก ใช้คำว่า ‘Kor Mor’ ชี้ คนคิดน่าจะใกล้ปลดเกษียณภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะแตก” จนถูกชาวเน็ตถล่มยับเละคาบ้านไปก่อนหน้านั้น

ด้านผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Pat Sangtum’ ก็ได้ออกมาช่วยโพสต์ไขความกระจ่างให้อีกคำรบ ว่าเหตุใดจึงมีการเลือกใช้คำเขียนดังกล่าว ไว้ว่า...

ชาวแพร่ จัดพิธีชำระคัมภีร์ธัมม์เก่าแก่ครั้งแรก อนุรักษณ์คัมภีร์โบราณสืบทอดสู่ชนรุ่นหลัง

เมื่อวันที่ (27 ก.พ. 66) คณะศรัทธาวัดพระหลวง อ.สูงเม่น จ.แพร่ นำโดย นายอดุลย์ ดอกเกี๋ยง กำนัน ต.พระหลวง อ.สูงเม่น จัดพิธี ชำระธัมม์ วัดพระหลวง อ.สูงเม่น จ.แพร่ เนื่องในงานประเพณีนมัสการพระธาตุเนิ้ง ประจำปี 2566 ณ วัดพระหลวง โดยมี พระอธิการมิตร ถาวโร เจ้าอาวาสวัดพระหลวง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ซึ่งพิธีดังกล่าว จัดโดยคณะสงฆ์และคณะศรัทธาวัดพระหลวง ร่วมกับ สถาบันอนุรักษ์คัมภีร์ใบลาน วัดสูงเม่น นำโดย พระครูวิบูลสรภัญ (ฉัตรเทพ) ผู้อำนวยการฯ พร้อมด้วย มจร.แพร่ และพระมหาสิทธิชัย ชยสิทฺธิ ป.ธ.9 ดร.ผอ.สำนักวิชาการ มจร.แพร่,เจ้าอาวาสวัดร่องฟอง,ผจก.ร.ร.บวรวิชชาลัย วัดร่องฟอง อ.เมือง จ.แพร่, ที่ปรึกษาสถาบันอนุรักษ์คัมภีร์ใบลาน วัดสูงเม่นแสดงธัมม์ 

นายบรรเลง ภิญโญ อายุ 69 ปี บ้านเลขที่ 15/2 ม.3 ต.พระหลวง อ.สูงเม่น ซึ่งเป็นปราชญ์ชาวบ้าน เผยว่า สำหรับพิธีชำระธัมม์ วัดพระหลวง พระธาตุเนิ้งในวันนี้ จัดขึ้นเป็นปีแรก ซึ่งวัดพระหลวง เป็นอีก 1 วัดเก่าแก่ นอกจากจะมีพระธาตุเนิ้ง หรือ พระธาตุเอียง (คล้ายหอเอน ประเทศอิตาลี่) ยังมีพระธัมม์คัมภีร์ใบลานโบราณ จำนวนมากประมาณ 5,400 ผูก ถือว่ามากมาย ที่ผ่านมาเก็บไว้ในหอธัมม์ภายในวัด แต่เมื่อเวลาผ่านไป บางส่วนก็ชำรุดเสียหายไปตามกาลเวลา

'Honda LPGA Thailand 2023 Charity Night' จัดงานประมูลของรักนักกอล์ฟหญิงระดับโลกรวมรายได้กว่า 1.6 ล้านบาท มอบแก่ศิริราชมูลนิธิ เพื่อสนับสนุนอุปกรณ์การแพทย์และดูแลผู้ป่วย

(ชลบุรี) ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2023 จัดกิจกรรมเพื่อการกุศล 'Honda LPGA Thailand 2023 Charity Night' เพื่อนำเงินรายได้ทั้งหมดจากการจัดประมูลไอเทมของนักกอล์ฟหญิงระดับโลก มอบให้แก่ศิริราชมูลนิธิ ได้แก่ ไม้กอล์ฟที่สั่งทำพิเศษพร้อมลายเซ็นเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ 2020 เนลลี่ คอร์ด้า เสื้อพร้อมลายเซ็นของ จินยอง โค ไดร์เวอร์คู่ใจที่ช่วยให้ นาสะ ฮาตาโอกะ คว้าแชมป์หลายรายการในอดีตธงและหมวกที่ใช้ในการคว้าแชมป์ซีเอ็มอี กรุ๊ปทัวร์ 2022 พร้อมลายเซ็นลิเดีย โค รวมถึงเวดจ์คู่ใจพร้อมลายเซ็นของอาฒยา ฐิติกุล นอกจากนี้ถุงกอล์ฟพร้อม 72 ลายเซ็นของเหล่าโปรกอล์ฟชั้นนำที่ร่วมแข่งขันในรายการ ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2023 

สำหรับยอดเงินที่ได้จากการประมูลไอเทมของนักกอล์ฟในงาน 'Honda LPGA Thailand 2023 Charity Night' เมื่อรวมกับยอดเงินบริจาคสมทบของนายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานบริษัท สื่อสากล จำกัด จำนวนทั้งสิ้น 1,630,000 บาท จะนำไปบริจาคแก่ศิริราชมูลนิธิ เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์และช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยากไร้ในโรงพยาบาลศิริราช ทั้งนี้ ศิริราชมูลนิธิมีส่วนช่วยในการพัฒนาแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์โดยสนับสนุนด้านการศึกษา การฝึกอบรม และการค้นคว้าวิจัยให้กับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล 

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.hondalpgathailand.com หรือติดตามผ่านทางเฟซบุ๊ค www.facebook.com/lpgaThailand และอินสตาแกรม https://www.instagram.com/hondalpgathailand 

โลกออนไลน์ร่วมส่งกำลังใจให้ ‘เฌอปราง BNK48’ หลังสูญเสีย ‘ฌาน อารีย์กุล’ น้องชายเพียงคนเดียว

(1 มี.ค. 66) จากกรณี พบศพ นายฌาน อารีย์กุล หรือ ‘ฌาณ’ อายุ 19 ปี อดีตนักกีฬาโบว์ลิ่งเยาวชนทีมชาติ และเป็นน้องชายแท้ ๆ ของ น.ส.เฌอปราง อารีย์กุล หรือ ‘เฌอปราง’ ผู้จัดการวง BNK48 พลัดตกจากที่สูงภายในคอนโดมิเนียม เขตคลองสาน กทม. เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา

ล่าสุด พล.ต.ต.มานพ สุคนธ์ธนพัฒน์ ผบก.น.8 เผยถึงความคืบหน้าว่า ทางพนักงานสอบสวน ได้เรียกญาติของผู้เสียชีวิตเดินทางเข้ามาให้ปากคำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เบื้องต้นผู้ปกครอง ได้ดูภาพที่กล้องวงจรปิดของทางคอนโดมิเนียมบันทึกได้เป็นที่เรียบร้อย โดยไม่สงสัยสาเหตุการตาย เนื่องจากกล้องบันทึกภาพไว้ชัดเจน ขณะก่อนเกิดเหตุ ซึ่งตามปกติผู้ตายพักอยู่ในห้องบนชั้นที่ 9 แต่ขึ้นไปบนชั้นที่ 27 และกระโดดลงมา โดยไม่มีใครอยู่ด้วยในขณะนั้น

จากการสอบสวนเพื่อนหญิง ที่อยู่กับผู้ตายเป็นคนสุดท้าย ได้ให้การว่า ผู้ตายมีปัญหากับแฟนสาวเมื่อไม่นานมานี้ สำหรับช่วงเวลาเกิดเหตุ เพื่อนสาวได้เข้าห้องน้ำอยู่ และเมื่อออกมาจากห้องน้ำก็ไม่พบตัวผู้ตาย จึงออกจากห้องไปตามหา และมาทราบในภายหลังว่า ผู้ตายเสียชีวิตแล้ว

ส่วนสาเหตุทราบข้อมูลจากทางญาติเพียงคร่าว ๆ ว่า ผู้ตายน่าจะมีปัญหาส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องความรัก ซึ่งตนได้สั่งให้พนักงานสอบสวน เร่งดำเนินการเรื่องผลชันสูตรพลิกศพ และออกเอกสารให้ญาตินำไปขอรับศพที่สถาบันนิติเวช รพ.จุฬาฯ กรณีนำร่างผู้เสียชีวิตไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป

อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด พบผู้ตายเดินออกจากห้องพักชั้น 9 ก่อนขึ้นลิฟต์ไปยังชั้น 27 แล้วเดินไปที่ดาดฟ้า ก่อนนั่งริมระเบียงประมาณ 5 นาที จากนั้นก็หงายหลังตกตึกลงมาเสียชีวิต ส่วนการตรวจสอบประวัติการรักษาทางการแพทย์ต่าง ๆ ของผู้ตายนั้น ขณะนี้รายละเอียดยังอยู่ในสำนวน

ด้าน น.ส.เฌอปราง อารีย์กุล อดีตกัปตัน ที่ผันตัวมาเป็นผู้จัดการวงไอดอลชื่อดังอย่าง BNK48 ได้โพสต์ข้อความบนพื้นหลังสีดำ ว่า

“วันนี้เฌอไม่ได้ไปร่วมงานนะคะ (Admin A)”

โดยงานที่ น.ส.เฌอปรางกล่าวถึง เมื่ออ้างอิงตามตารางงาน วันนี้ (1 มี.ค. 66) เฌอปรางมีกำหนดเข้าร่วมงาน แฟชั่นโชว์แบรนด์กระเป๋าเดินทาง ที่แฟชั่นฮอลล์ สยามพารากอน ในเวลาประมาณ 14.00 น.เป็นต้นไป

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ จัดพิธีทําบุญในโอกาสครบรอบ 35 ปี การดําเนินงาน

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ จัดพิธีทําบุญในโอกาสครบรอบ 35 ปี การดําเนินงาน ทั้งนี้จํานวนผู้โดยสารและเที่ยวบินมีอัตราเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยการให้บริการในภาพรวมกลับคืนมาแล้วกว่าร้อยละ 63 เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โรคโควิด-19

วันที่ 1 มีนาคม 2566 นายวิจิตต์ แก้วไทรเทียม ผู้อํานวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) เป็นประธานพิธีทําบุญเนื่องในโอกาสวันครบรอบ 35 ปี การดําเนินงานท่าอากาศยานเชียงใหม่ โดยมี นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ประกอบการ บริษัทสายการบิน ผู้บริหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงสื่อมวลชน ให้เกียรติร่วมพิธีและร่วมแสดงความยินดีในโอกาสดังกล่าวโอกาสนี้ คณะผู้บริหารท่าอากาศยานเชียงใหม่ ได้ร่วมกันแถลงผลการดําเนินงานของท่าอากาศยานเชียงใหม่

โดยนายวิจิตต์ แก้วไทรเทียม ผู้อํานวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ท่าอากาศยาน เชียงใหม่ มีอัตราการเจริญเติบโตในทิศทางขาขึ้นมาโดยตลอด  มีจํานวนผู้โดยสารสูงสุดเมื่อปี 2562 ถึงกว่า 11 ล้าน 3 แสนคน และมีอัตราเที่ยวบินและผู้โดยสารลดลงเป็นครั้งแรกในปี 2563 ต่อเนื่องจนถึงปี 2564 ซง่ึ เป็นช่วงที่มีการระบาด ของโรคโควิด-19 แต่หลังจากรัฐบาลไทยและทั่วโลกผ่อนคลายมาตรการการเดินทาง ทําให้ในปี 2565 ที่ผ่านมา ท่าอากาศยาน เชียงใหม่ มีอัตราการเพิ่มขึ้นของจํานวนเที่ยวบินและผู้โดยสารอีกครั้ง มีผลการดําเนินงาน มีอากาศยานพาณิชย์ ขึ้น-ลง 39,027 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 90.88  มีจํานวนผู้โดยสาร 5.46 ลา้ นคน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 209.72
มีปริมาณการขนถ่ายสินค้า 5,588 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 68.42

ด้านนายณัฐวุฒิ ทาอินต๊ะ รองผู้อํานวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ (สายปฏิบัติการ) กล่าวว่า ปัจจุบัน ท่าอากาศยานเชียงใหม่ มีสายการบินที่ให้บริการทั้งหมด 24 สายการบิน ใน 30 เส้นทาง เป็นสายการบินภายในประเทศ 12 เส้นทาง ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค และมีเส้นทางบินตรงระหว่างประเทศ 18 เส้นทาง ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนเกิด สถานการณ์โควิดถือว่าการให้บริการในภาพรวมกลับคืนมาแล้วกว่าร้อยละ 63 โดยเส้นทางล่าสุดที่คาดว่าจะเปิดให้บริการ ในตารางฤดูร้อนคือช่วงปลายเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ ได้แก่ เส้นทาง คุนหมิง-เชียงใหม่

ขณะที่ นายสรายุทธ จําปา รองผู้อํานวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ (สายสนับสนุนธุรกิจ) เปิดเผยถึง ผลประกอบการด้านการเงินว่า เป็นไปในทิศทางเดียวกับจํานวนผู้โดยสารและผู้ใช้บริการ โดยท่าอากาศยานเชียงใหม่ เคยมีกําไรสูงสุดในปี 2562 และขาดทุนครั้งแรกในปี 2564 ต่อเนื่องจนถึงปี 2565 ทั้งนรี้ ายได้ที่ลดลงจํานวนมากคือรายได้ จากส่วนแบ่งผลประโยชน์ ซึ่งเป็นรายได้หลักจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับการบินหรือ Non Aero เนื่องจาก ทอท.ได้มีนโยบาย ช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 และปัจจุบันก็ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ซึ่งหากสถานการณ์ต่างๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ร้านค้าต่างๆ กลับมาเปิดให้บริการเต็มพื้นที่ ผลประกอบการก็คาดว่าจะกลับมาเป็นเชิงบวกได้ภายในปีนี้

สําหรับโครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระยะที่ 1 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณารายงานวิเคราะห์ ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งดําเนินการควบคู่ไปกับการจ้างออกแบบและจัดหาผู้รับจ้าง โดยคาดว่าจะได้ผู้รับจ้าง ภายในปีงบประมาณ 2566 นอกจากนี้ยังมีงานเร่งด่วนบรรเทาความแออัด ซึ่งเป็นงานก่อสร้างกลุ่มอาคารทดแทน ได้แก่ อาคารดับเพลิง อาคารคลังสินค้า และลานจอด GSE โดยอยู่ระหว่างเตรียมเข้ากระบวนการจัดหาภายในปีงบประมาณ 2566 นี้เช่นกัน

สมาคมแม่บ้านตำรวจ บุกขึ้นดอยเยี่ยมโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเวียงแหง จ.เชียงใหม่ ชมการปลูกกาแฟคุณภาพ มุ่งสร้างรายได้ให้ชุมชน และครอบครัวตำรวจ ต่อยอดขยาย สาขาร้านปันรักษ์คาเฟ่

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมด้วย คุณจันทร์ทิพา หลักบุญ พล.ต.ต.หญิงวิรญา พรหมายน กรรมการบริหารสมาคมฯ เยี่ยมชมโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเบญจมะ1 บ้านสามหมื่น ต.เมืองแหง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ เพื่อประชุมหาแนวทางในการปรับเพิ่มผลผลิตและคุณภาพเมล็ดกาแฟ เตรียมพร้อมในการขยายสาขาร้านปันรักษ์คาเฟ่ 

โดยมี พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 และคุณพิยดา ต๊ะวิชัย ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธร ภ.5  พ.ต.อ.รังสิมันต์ สงเคราะห์ธรรม 
รอง ผบก.ตชด.ภ.3ให้การต้อนรับ

ในโอกาสนี้ได้มอบเครื่องอุปโภค บริโภค และของใช้ที่จำเป็นให้กับ สภ. เวียงแหง เพื่อสร้างขวัญและกำลังให้กับข้าราชการตำรวจโดย พ.ต.อ.ชาญชาย เพ็ญไชยา ผกก.สภ.เวียงแหง เป็นผู้รับมอบ

เมื่อคณะสมาคมแม่บ้านฯ เดินทางถึง รร.ตชด.เบญจมะ 1 พ.ต.อ.ผดุงเกียรติ ปัณฑรนนทกะ ผกก.ตชด.33 ด.ต.หญิง รำพึง ต่อปัญญา ครูใหญ่ ได้นำคณะครูและนักเรียนมาต้อนรับ พร้อมจัดการแสดงของนักเรียน และบรรยายสรุปความเป็นมาของโรงเรียน จุดเริ่มต้นในการปลูกกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้า จนมาเปิดเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ภายใน โรงเรียน และการฝึกนักเรียนให้เป็นบาริสต้าน้อย 

หลังจากนั้น คณะสมาคมฯ เดินทางไปยังสวนกาแฟ เพื่อชมกระบวนการผลิตกาแฟ ตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก การเก็บเมล็ดกาแฟ การคัดเมล็ด การสี การตาก จนถึงการคั่วกาแฟ และบด แบบครบวงจร พร้อมทั้งเลี้ยงอาหารกลางวันคณะครูและนักเรียน จำนวนกว่า 80 คน

กาฬสินธุ์พร้อมเปิดเมืองร่ำรวยวัฒนธรรมร่วมใจวิ่งใจเกินร้อยพิชิตภูสิงห์

จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกาฬสินธุ์ และอำเภอสหัสขันธ์ พร้อมภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เชิญชวนประชาชน นักท่องเที่ยว นักวิ่ง คนรักสุขภาพ ร่วมกิจกรรมวิ่งใจเกินร้อยพิชิตภูสิงห์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ต่อเนื่องความร่ำรวยสุขภาพ ร่ำรวยวัฒนธรรม ร่ำรวยน้ำใจ กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนหลังเปิดเมืองเต็มรูปแบบ ที่บริเวณลานบันไดสวรรค์ วัดพุทธาวาสภูสิงห์ อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผวจ.กาฬสินธุ์ เป็นประธานแถลงข่าวโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว จ.กาฬสินธุ์ กิจกรรมหลักส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยว จ.กาฬสินธุ์ กิจกรรมย่อยวิ่งใจเกินร้อยพิชิตภูสิงห์ โดยมีนายอุทัย สิงห์ทอง พัฒนาการ จ.กาฬสินธุ์ นางสาวแววตา นระทัด นายอำเภอสหัสขันธ์ นายสุรพล มิ่งชัย ท่องเที่ยวและกีฬา จ.กาฬสินธุ์ พ.ต.อ.ปรมินทร์ ปัดทุมแฝง  ผกก.ฝ่ายอำนวยการตัวแทน ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ นายกฤช โชติการณ์ รองนายแพทย์สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง

ทั้งนี้ ก่อนเริ่มแถลงข่าว ได้ชมการแสดง 'รำวงมหาดไทยเพื่อคนไทย อำเภอสหัสขันธ์' ซึ่งเป็นทีมรำวงที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดรำวงมหาดไทยเพื่อคนไทย จ.กาฬสินธุ์ จากการคัดเลือก 18 อำเภอ ก่อนที่จะจบรายการด้วยการรำวงคองก้า ซึ่งเป็นชุดการแสดงประจำของกลุ่มสตรีแม่บ้านเขตเทศบาลตำบลโนนบุรี ในการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ถนนไดโนโรด โดยนายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผวจ.กาฬสินธุ์ นายสำเริง ม่วงสังข์ รอง ผวจ.กาฬสินธุ์ และนายธนภัทร ณ ระนอง ปลัด จ.กาฬสินธุ์ ได้ร่วมกับนางรำซึ่งเป็นตัวแทนจากส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มสตรี แม่บ้าน ร่วมกันฟ้อนรำด้วยความสนุกสนาน

นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผวจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในการขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาจังหวัด ได้ชูนโยบาย 3 ร่ำรวยประกอบด้วยร่ำรวยวัฒนธรรม ร่ำรวยน้ำใจ และร่ำรวยสุขภาพ ภายใต้กรอบการทำงาน 3 ใจคือเข้าใจ ไว้ใจกันและร่วมใจกันพัฒนากาฬสินธุ์ เพื่อนำพาประชาชนมีความอยู่ดีกินดีและมีความสุข โดยในปี 2566 จ.กาฬสินธุ์ได้เริ่มเปิดบ้าน เปิดเมือง ต้อนรับความร่ำรวย ด้วย 3 ใจมาตั้งแต่การจัดงานมหกรรมผู้ไทนานาชาติ “โฮมรากเหง้าเผ่าผู้ไท” ที่อ.เขาวง ต่อเนื่องด้วยการจัดงานบุญคูณลานทุกอำเภอทั้ง 18 อำเภอ และต่อด้วยการจัดงานมหกรรมโปงลาง แพรวา และงานกาชาด จ.กาฬสินธุ์ ประจำปี 2566 ซึ่งผลตอบรับมีมากเกินความคาดหมาย ทั้งในส่วนของการจำหน่ายสินค้า ผลิตภัณฑ์โอทอปและจำนวนคนมาเที่ยวงาน

'จักริน' 'ศักดิ์ชัย' เยี่ยมชมหม้อแปลงลดค่าไฟ ลดคาร์บอน ตอบโจทย์สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่และผู้ประกอบการภาคเหนือ

บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ขอขอบคุณ นายศักดิ์ชัย คุณานุวัฒน์ชัยเดช  รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่, นายจักริน วังวิวัฒน์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่, คุณศิริพร ตันติพงษ์ ประธานกิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่และ นายอาคม ศุภางค์เผ่า รองประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ ที่ให้เกียรติเยี่ยมชมหม้อแปลงลดค่าไฟ ลดคาร์บอน บูธของบริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด หม้อแปลงบริหารระบบจัดการพลังงานสิ้นเปลือง ลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้า 5-20% ลดมลพิษ ลดคาร์บอน และลดก๊าซเรือนกระจก สร้างความมั่นคงพลังงานอย่างยั่งยืน ให้โรงงานอุตสาหกรรม อาคาร สถานประกอบการ สอดคล้อง พันธกิจ พพ. ส่งเสริม สนับสนุนการผลิต และการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน

นวัตกรรมหม้อแปลงลดค่าไฟ ลดคาร์บอน นอกจากจะช่วยประหยัดพลังงานลดค่าไฟ ลดคาร์บอน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว นวัตกรรมของคนไทยชิ้นนี้ ได้รับรางวัลเป็นเครื่องการันตีในคุณภาพมากมาย รางวัลของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน รางวัลกระทรวงพลังงาน Energy Award, ตีพิมพ์วารสาร IEEE ที่ประเทศสิงคโปร์, รางวัลนวัตกรรมสินค้าสนับสนุนส่งเสริมสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ NIA, สินค้า มอก. 384 และใบประกาศเกียรติคุณ โครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) TGO และรางวัล ASEAN Outstanding Engineering Achievement Project Award และ ASEAN Outstanding Engineering Contribution Award การันตี ทำคุณประโยชน์ในงานด้านวิศวกรรมในระดับประเทศ ASEAN Federation of Engineering Organization (AFEO) ที่ประเทศกัมพูชา

ครม.ไฟเขียว ชู ‘ผ้าขาวม้า’ ขึ้นทะเบียนยูเนสโก ยกให้เป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

(1 มี.ค. 66) ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบการเสนอผ้าขาวม้า : ผ้าอเนกประสงค์ในวิถีชีวิตไทย ให้เป็นรายการตัวแทนต่อยูเนสโก ตามที่ กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ซึ่งจะมีการยื่นเสนอต่อยูเนสโกภายในห้วงเดือนมีนาคม 2566

ผ้าขาวม้าที่ไทยจะนำเสนอยูเนสโกนั้น จัดเป็น ‘ผ้าอเนกประสงค์ในวิถีชีวิตไทย’ ผ้าขาวม้าเป็นผ้าที่ใช้โดยทั่วไป และใช้ได้สารพัดประโยชน์ในสังคมเกษตรกรรม ในชนบททางภาคเหนือและภาคอีสาน และก็ได้แพร่หลายไปยังภาคกลางและภาคใต้ ตามการอพยพย้ายถิ่นฐานของผู้คนและกลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้เกิดชุมชนทอผ้าขาวม้าเป็นจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วประเทศ สำหรับพื้นที่และขอบเขตอาณาบริเวณ คือ ทั่วประเทศ

แต่จังหวัดที่มีความโดดเด่นของการผลิต และการใช้ประโยชน์ของผ้าขาวม้า แยกตามภาค คือ

ภาคเหนือ : เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์
ภาคอีสาน : นครพนม บึงกาฬ บุรีรัมย์ มหาสารคาม ศรีสะเกษ หนองบัวลำภู อุดรธานี อุบลราชธานี
ภาคกลาง : กาญจนบุรี ราชบุรี ลพบุรี สุโขทัย
ภาคใต้ : สงขลา พัทลุง

สำหรับคุณสมบัติของผ้าขาวม้า ที่ตรงตามหลักเกณฑ์การพิจารณาของ UNESCO ได้แก่

1.) เป็นผ้าที่อยู่คู่กับวิถีชีวิตของคนไทยมาแต่อดีต ทั้งในการปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม และงานเทศกาล เช่น ใช้เป็นเครื่องแต่งกาย ผ้าปูโต๊ะ ใช้ในพิธีแต่งงาน พิธีศพ เป็นต้น
2.) เป็นภูมิปัญญาความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติเนื่องจากสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและยั่งยืน โดยสามารถนำกลับมาใช้ใหม่และใช้หมุนเวียนซึ่งจะเปลี่ยนหน้าที่และประโยชน์ใช้สอยไปตามสภาพ
3.) เป็นงานช่างฝีมือดั้งเดิมเนื่องจากเป็นผ้าทอพื้นฐานที่ใช้เทคนิคการทอที่ธรรมดาไม่ซับซ้อนจึงสามารถทอใช้กันเองได้ในครัวเรือนและชุมชน

มาตรการสงวนรักษาผ้าขาวม้า ในฐานะมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ มี 4 แนวทางคือ

1.) โรงเรียนในท้องถิ่นหลายแห่งในไทยได้มีการสอนทอผ้าเป็นรายวิชาหนึ่งในหมวดของงานหัตถ์ศิลป์ท้องถิ่น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top