Thursday, 26 June 2025
NEWS FEED

ทางรอดวิกฤตฝุ่น ‘แพทย์’ แนะ 6 วิธีเอาตัวรอด ท่ามกลางฝุ่น PM 2.5 เลี่ยงภัยอันตราย หวั่นกระทบสุขภาพ ปชช. ในระยะยาว

แพทย์แนะการปฏิบัติตัวของประชาชนในช่วงวิกฤติ 'ฝุ่น PM 2.5'

ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ 5 สมาคมวิชาชีพเวชกรรม อาทิ สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ , สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย , สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ , สมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย และสมาคมพิษวิทยาคลินิก ได้ออกคำแนะนำการปฏิบัติตัวของประชาชนในช่วงวิกฤติ "ฝุ่น PM 2.5"

เป็นที่ทราบ และตระหนักกันดีถึงพิษภัยต่อสุขภาพจาก ฝุ่น PM 2.5 ทั้งผลเฉียบพลัน และผลเรื้อรัง ไม่เฉพาะผลต่อระบบการหายใจที่เป็นช่องทางนําพาฝุ่นเข้าสู่ร่างกายเท่านั้น ฝุ่น PM 2.5 ยังมีผลต่อการเกิดโรคระบบต่าง ๆ เช่น ระบบหลอดเลือดและหัวใจ ระบบประสาท หลอดเลือดสมอง และโรคไต

ประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายได้มากคือ เด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง (โรคปอด หัวใจ สมอง และไต) ในขณะที่ทุกภาคส่วนกําลังระดมสมองแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้น และระยะยาว 

นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ตรวจเยี่ยม ให้คำแนะนำผลิตภัณฑ์กลุ่มแม่บ้านตำรวจ ภ.6 เพื่อสร้างรายได้เสริม พร้อมมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวตำรวจเด็กพิเศษ

เมื่อวานนี้ (9 มี.ค.66) ณ ตำรวจภูธรภาค 6 จังหวัดพิษณุโลก คุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมด้วย คุณอุชัญญา ปราสาททองโอสถ อุปนายกสมาคมฯ และที่ปรึกษาโครงการ OPOP ภาค 6-9 และตชด. ตรวจเยี่ยมโครงการ OPOP และกิจการชมรมแม่บ้านตำรวจภูธร ภ.6 โดยพล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 คุณภคมน พิมลศรี ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 6 ให้การต้อนรับ และนำชมผลิตภัณฑ์ opop ของกลุ่มแม่บ้าน จำนวน 11 บูธ ได้แก่

- บูธที่ 1 ชมรมแม่บ้าน ภ.6 กล้วยตากออร์แกนิค สับปะรดอบแห้งแม่กระแต 
- บูธที่ 2 จว.สุโขทัย ขนมกรอบเค็ม หมี่กรอบทรงเครื่อง โรตีกรอบ ขนมเปี๊ยะนมสด
- บูธที่ 3 จว.นครสวรรค์ แคบหมูทรงเครื่อง ข้าวสารอินทรีย์ คุกกี้ธัญพืช
- บูธที่ 4 จว.เพชรบูรณ์ กล้วยไส้มะขาม มะขามอบแห้งไร้เมล็ด สบู่สกัดจากกาแฟ เมล็ดกาแฟ แมคคาเดเมีย ชาดอกกาแฟ น้ำผึ้งแท้จากไร่จ่านรินทร์  
- บูธที่ 5 จว.พิษณุโลก ข้าวตาชิน ผ้าทอชาติตระการ ชาไข่มุก ผักปลอดสารพิษของ 'โครงการตำรวจพันธุ์ดี'

กฟผ.- เชลล์ หนุนนโยบายโลกลดการปล่อยคาร์บอน ร่วมศึกษาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและการกักเก็บคาร์บอน

กฟผ. และ บ. เชลล์แห่งประเทศไทย ร่วมลงนาม MOU แลกเปลี่ยนและศึกษา Clean Energy Development มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เดินหน้าประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี ค.ศ. 2065

นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และนายปนันท์ ประจวบเหมาะ ประธานกรรมการบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อแลกเปลี่ยนและศึกษาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด อาทิ เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และกักเก็บคาร์บอน Carbon Capture Utilization and Storage (CCUS) และเทคโนโลยีเชื้อเพลิงทางเลือกในการผลิตไฟฟ้า เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 ณ อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ จ. นนทบุรี

นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวว่า ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 26 (COP26) โดยตั้งเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี ค.ศ. 2065  เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายดังกล่าว กฟผ. ได้ขับเคลื่อนองค์กรภายใต้กลยุทธ์ ‘Triple S’ คือ Sources Transformation เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน พัฒนาเทคโนโลยีทางเลือก และเทคโนโลยีเพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน Sink Co-creation เพิ่มแหล่งดูดซับกักเก็บคาร์บอน ผ่านโครงการปลูกป่าล้านไร่ และการศึกษาเทคโนโลยี CCUS และ Support Measures Mechanism ส่งเสริมการมีส่วนร่วมลดก๊าซเรือนกระจกในภาคประชาชน ผ่านโครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 โครงการห้องเรียนสีเขียว และส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า 

รวมพลังภาคีเครือข่ายควบคุมยาสูบ 17 จังหวัดภาคเหนือ ร่วมประกาศเจตนารมณ์ 'คนเหนือไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า'

(10 มี.ค. 66) ที่ โรงแรมเมอเวนพิค สุริวงศ์ เชียงใหม่ รองพ่อเมืองเชียงใหม่ เป็นประธานในการ กล่าวนำภาคีเครือข่ายควบคุมยาสูบภาคเหนือ 17 จังหวัด กว่า 200 คน ร่วมประกาศเจตนารมณ์ 'คนเหนือไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า' ในงานสัมมนาเรื่อง 'คนเหนือไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า' ย้ำจุดยืน คนเหนือ จะร่วมมือกันรณรงค์ป้องกันประชาชนภาคเหนือทุกคน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ให้ปลอดพ้นจากการเสพติดบุหรี่และไฟฟ้าทุกรูปแบบ

นายวรวิทย์ ชัยสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นประธานในการประกาศเจตนารมณ์  'คนเหนือไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า' ครั้งนี้ การระดมทุกภาคส่วนของภาคีเครือข่ายควบคุมยาสูบ 17 จังหวัด ภาคเหนือ ให้มาร่วมกันรณรงค์ป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้ากับกลุ่มเด็กและเยาวชนถือเป็นวาระแห่งชาติ ที่จะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าขยายวงกว้างไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มเด็กและเยาวชน  

โดยคำประกาศเจตนารมณ์ 'คนเหนือไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า' มีแนวทางดังนี้

1. พวกเราจะร่วมมือกันรณรงค์ป้องกันประชาชนภาคเหนือทุกคน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ให้ปลอดพ้นจากการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าทุกรูปแบบ
2. พวกเราจะร่วมกันสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัย โดยเฉพาะในโรงเรียน และสถานศึกษาทุกระดับ เพื่อป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกชนิดของเด็กและเยาวชนภาคเหนือ  โดยการบังคับใช้กฎหมายการห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเคร่งครัด
3. พวกเราจะร่วมกันสื่อสารข้อมูล เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนภาคเหนือได้รับรู้ถึงอันตรายของการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้า และรู้เท่าทันกลยุทธ์ของอุตสาหกรรมยาสูบ

4. พวกเราจะร่วมกันสร้างกลไกขับเคลื่อนงานของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ให้เกิดการเชื่อมประสานการทำงานในเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมต่อเนื่อง
5. พวกเราจะดำเนินการป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าให้เป็นวาระแห่งชาติ  และประกาศเจตจำนงที่ชัดเจนในการสนับสนุนให้รัฐบาลคงนโยบาย และมาตรการในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้

ด้าน  ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยว่า จากข้อมูลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี พ.ศ.2564 พบว่า อัตราการสูบบุหรี่ของคนไทยล่าสุดของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปเท่ากับ ร้อยละ 17.4 มีจำนวนผู้สูบบุหรี่เท่ากับ 9.9 ล้านคน หากมองภาพรวมของประเทศ ลดลงจากรอบสำรวจที่ผ่านมา แต่ที่ยังน่าเป็นห่วง คือ ยังมีปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าขยายวงกว้างไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่เด็กและเยาวชนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า จะเกิดการเสพติดนิโคติน สารเสพติดตัวเดียวกันกับที่มีอยู่ในบุหรี่ธรรมดาไปตลอดชีวิต

ถึงแม้ว่าขณะนี้ ประเทศไทยได้มีประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.2557 และ ประกาศของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค คำสั่งที่ 9/2558 เรื่อง ห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า 'บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า'

ผบ.ตร. ชื่นชม ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ สร้างภาพลักษณ์องค์กรตำรวจ ทำความดีทุกวัน ปิดทองหลังพระ ตลอดเวลา

วันนี้ (10 มี.ค.66) เวลา 14.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบรางวัลโครงการ 'ทำดี มีรางวัล' แก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ จำนวน 6 นาย พร้อมเหรียญหลวงพ่อโสธร รุ่น 80 ปี กรมตำรวจ สร้างปี พ.ศ.2538 และเงินรางวัลอีกนายละ 5,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2566 เวลาประมาณ 14.40 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุว่า มีรถยนต์ส่วนบุคคลกำลังนำเด็กมีอาการป่วยส่งโรงพยาบาล โดยรถคันดังกล่าว กำลังขึ้นทางด่วนบางนา มุ่งหน้าลงทางด่วนพระราม 4 ที่หมายโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน (สีลม) ได้ร้องขอความช่วยเหลือจาก ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ สนับสนุนอำนวยความสะดวกในเส้นทาง 
 

ผบ.ตร.มอบ รองรอย คุมเข้มกลุ่มทุนต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมายตามนโยบายรัฐบาล เรียกประชุมหน่วยเกี่ยวข้อง วางมาตรการระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว พร้อมเตรียมเปิดปฏิบัติการ ตรวจสอบเป้าหมายกว่า 100 จุดทั่วประเทศ

(10 มี.ค.66) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 3 ชั้น 2 อาคาร 1 ตร. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์  รอง ผบ.ตร. ประชุมหารือ หน่วยเกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการการป้องกันและแก้ไขปัญหากลุ่มทุนต่างชาติเข้ามายึดประกอบธุรกิจโดยผิดกฎหมายในประเทศไทย โดยมีผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กรมสรรพากร สำนักงาน ปปง. เข้าร่วม การประชุมดังกล่าวเป็นการขับเคลื่อนตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหากลุ่มทุนต่างชาติเข้ามายึดประกอบธุรกิจโดยผิดกฎหมายในประเทศไทย

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์  รอง ผบ.ตร. ที่ดูแลงานมั่นคง เป็นผู้รับผิดชอบ เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในที่ประชุมได้เห็นชอบ กำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหากลุ่มทุนต่างชาติเข้ามายึดประกอบธุรกิจโดยผิดกฎหมายในประเทศไทย ในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และมาตรการระยะยาว ดังนี้

1. มาตรการเร่งด่วน
เริ่มตั้งแต่กระบวนการการคัดกรองบุคคลต่างชาติก่อนที่จะเริ่มต้นในการประกอบธุรกิจ

1.1 เริ่มตั้งแต่สถานกงสุลหรือสถานเอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศ ใช้มาตรการในการคัดกรองเบื้องต้นสำหรับคนต่างด้าวที่ยื่นขอวีซ่าเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย

1.2. กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กำหนดเงื่อนไขและคุณสมบัติพร้อมเอกสารประกอบที่น่าเชื่อถือให้ชัดเจนสำหรับคนต่างด้าวเข้ามายื่นขอจดทะเบียนการค้า การจัดตั้งนิติบุคคล บริษัท หรือกิจการอื่นในประเทศไทย ตรวจสอบผู้ถือหุ้นในบริษัทและคัดแยกกลุ่มเสี่ยง เช่น คนไทยถือหุ้นในหลายบริษัทของคนต่างด้าวในลักษณะถือแทน (นอมินี) ส่งข้อมูลให้ ตร.(ตำรวจท่องเที่ยว สตม. และตำรวจพื้นที่) และ ปปง.เพื่อ ดำเนินการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายโดยทันที

1.3 กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ตรวจสอบเรื่องการอนุญาตการประกอบธุรกิจและการทำงานของคนต่างด้าว

1.4 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตรวจสอบเมื่อคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรด้วยวีซ่าอื่น และมีความประสงค์เปลี่ยนวีซ่าเป็นวีซ่าประเภททำงาน ตลอดจนตรวจสอบคนต่างด้าวที่ถือหนังสือเดินทางสองสัญชาติ โดยเฉพาะที่เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ

2. มาตรการระยะกลาง
กระบวนการตรวจสอบการประกอบธุรกิจ การดำเนินการของคนต่างด้าวในประเทศไทย 
เป็นการตรวจสอบความถูกต้องเรื่องของการดำเนินการให้เป็นไปตามหลักกฎหมาย ดำเนินการโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ศรชล.จัดประชุมคณะกรรมการบริหารสัญจรนัดแรกที่พัทยา ชงเสนอแผนมั่นคงและผลประโยชน์ชาติทางทะเล ปี 66-70  

วันนี้ (10 มี.ค.66) ที่ โรงแรมดุสิตธานี พัทยา จ.ชลบุรี ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) จัดการประชุมคณะกรรมการบริหาร ศรชล. ครั้งที่ 1/2566 โดยมีพล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ และรอง ผอ.ศรชล. เป็นประธานเปิดการชุมประชุม พร้อมด้วย พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ เสนาธิการทหารเรือ ในฐานะเลขาธิการ ศรชล. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้แทนหน่วยงานหลัก 7 ศร ประกอบด้วย กองทัพเรือ กรมเจ้าท่า กรมประมง กรมศุลกากร กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กองบังคับการตํารวจน้ำ และกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เข้าร่วมประชุม

สำหรับการประชุมในครั้งนี้เป็นการประชุมในรูปแบบสัญจรนัดแรกของปี 2566 ตามนโยบายผู้บังคับ บัญชา ศรชล. เริ่มต้นจากพื้นที่ ศรชล.ภาค 1 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่อ่าวไทยตอนบน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1 แสน ตร.กม. ในเขต 11 จังหวัดชายทะเล ประกอบด้วย สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และ ชุมพร

โดยในที่ประชุมได้ร่วมหารือถึงแนวทางขับเคลื่อนงานร่วมกันของหน่วยงานหลักทั้ง 7 แห่ง ให้มีประสิทธิภาพ โดย ศรชล. ได้เสนอร่างแผนการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ระยะ 5 ปี พ.ศ. 2566 - 2570 โดยมี 4 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย 1 การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเกี่ยวกับการดำเนิน การด้านความมั่นคงทางทะเล มุ่งเน้นการบูรณาการด้านความมั่นคง กลยุทธ์ 2 การส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากทะเลอย่างสมดุลและยั่งยืนภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจสีน้ำเงิน มุ่งเน้นการบูรณาการด้านเศรษฐกิจ กลยุทธ์ 3 การบริหารจัดการองค์ความรู้ทางทะเล และการสร้างความตระหนักรู้ความสำคัญของทะเล มุ่งเน้นการบูรณาการหน่วยงานทางทะเล และกลยุทธ์ 4 การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมทางทะเล และด้านการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล มุ่งเน้นการบริการประชาชน ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบตามขั้นตอน

รองต่อศักดิ์ฯ ส่งตำรวจทางหลวง ช่วยซับน้ำตาคุณยาย บัวลาย ไฟไหม้บ้านสิ้นเนื้อประดาตัว เจ้าตัวเผย ไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ปลื้มใจคนไทยไม่ทิ้งกัน

(10 มี.ค.66) เวลา 13.00 น. ที่บ้านเลขที่ 8 หมู่ 8 ต.หนองหว้า อ.บัวลาย จ.นครราชสีมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พ.อ.อรรถชัย รักษาศิลป์ รอง ผบ.มทบ.21 ,รอง ผอ.รมน.จ.นครราชสีมา พ.ต.ท.จิระพันธ์ มณีรัตน์ สารวัตรตำรวจทางหลวงนครราชสีมา จิตอาสา 904 ตำรวจทางหลวงนครราชสีมา ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชมรมฮักเขาใหญ่

โดยทั้งหมด ลงพื้นที่เกิดเหตุไฟไหม้ในเขต อ.บัวลาย จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นบ้านของ นางหนูอวน วิระฬา เพื่อประสานความช่วยเหลือด้านบรรเทาสาธารณภัย การพัฒนาพื้นที่อาคารปลูกสร้าง และมอบสิ่งของเยี่ยวยาความเดือดร้อนเบื้องต้น โดยเหตุการณ์เพลิงไหม้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ทำให้นางหนูอวน และลูกสาว พร้อมคนในครอบครัว 8 ชีวิต  ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เพราะบ้านถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมด แทบสิ้นเนื้อประดาตัว

รมว.สุชาติ ส่ง ผู้ช่วยฯ ลงสงขลา มอบวุฒิบัตรแรงงานนอกระบบที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ฝึกอาชีพ เพิ่มรายได้ มีเครื่องมือทำกิน

(10 มี.ค.66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีมอบวุฒิบัตรให้แก่ผู้ผ่านการฝึกอบรมโครงการพัฒนาทักษะเฉพาะของแรงงานอิสระยุค 4.0 (Gig Worker) หลักสูตรการฝึกยกระดับฝีมือ สาขาการประกอบขนมอบ โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นายเอกชัย เลิศวิบูลย์ลักษณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน หัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดสงขลา ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลพะตง ร่วมให้การต้อนรับ นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงาน ณ หอประชุมโรงเรียนวัดควนเนียง ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

นายสุรชัย กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้แก่ประชาชนในพื้นที่ต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการจ้างงาน ประชาชนมีทักษะฝีมือ มีงานทำ มีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง กระทรวงแรงงาน โดยท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้ให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ดำเนินการฝึกอาชีพให้แก่กลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นแรงงานนอกระบบหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ได้ลงทะเบียนถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า 'บัตรลุงตู่' เพื่อฝึกอาชีพยกระดับทักษะฝีมือแรงงาน ให้มีมาตรฐาน และมอบเครื่องมือทำกินให้หลังฝึกจบ เพื่อให้สามารถนำไปประกอบอาชีพ มีรายได้ เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้มากขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในวันนี้ รมว.แรงงาน จึงได้มอบหมายให้ผมลงพื้นที่มามอบวุฒิบัตรพบปะให้กำลังใจแก่ผู้ผ่านการฝึกอบรมโครงการพัฒนาทักษะเฉพาะของแรงงานอิสระ ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งผู้ประกอบ“อาชีพอิสระ” หรือ 'แรงงานนอกระบบ' หรือเรียกว่า Gig Worker คือ คนที่ทำงานในรูปแบบงานชั่วคราว งานที่รับจ้างเป็นระยะเวลาสั้นจบเป็นครั้งๆ ไป ไม่ยึดติดกับที่ใดที่หนึ่ง เช่น งานพาร์ทไทม์ งานฟรีแลนซ์ ซึ่งแรงงานเหล่านี้ยังขาดการพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพ จำเป็นต้องได้รับการยกระดับ ทักษะฝีมือ เพื่อเพิ่มความรู้ ความสามารถ มีงาน มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง และยั่งยืน

ดีชั่วรู้อยู่แก่ใจ!! ‘จ๊ะ นงผณี’ เคลื่อนไหว ปม ‘เมฆ รามา’ เอี่ยว ‘Forex-3D’ ลั่น!! ถ้าดีก็ขอให้รอด แต่ถ้าเลว ขอกรรมตามทันแบบสาสม

ทำเอาเหยื่อแชร์ลูกโซ่ Forex-3D อย่าง ‘จ๊ะ นงผณี มหาดไทย’ ถึงกับต้องออกมาเคลื่อนไหวเลยทีเดียว เมื่อล่าสุดทางเพจ ‘เหยื่อ’ ได้แชร์เรื่องราวที่สงสัยว่า ‘เมฆ รามา รัศมีรามา’ สามีของ ‘หยาดทิพย์ ราชปาล’ มีส่วนเกี่ยวข้องรู้จักกับ ‘อภิรักษ์ โกฎธิ’ CEO Forex-3D หรือไม่ โดยเนื้อหาในเพจระบุว่า

“นาย รามา รัศมีดารา (เมฆ) รู้จักกับอภิรักษ์หรือไม่.?
เอาจริง ๆ แล้วเราไม่อยากยุ่งเรื่อง forex 3d เพราะมีเพจที่ทำเรื่องนี้โดยตรงอยู่แล้ว
แต่ที่ต้องเขียนเพราะเกรงว่าท่านเลขาท่านอาจจะไม่รู้ข้อเท็จจริง เรื่องความสัมพันธ์ของเมฆ กับ อภิรักษ์
เพราะท่านเลขาบอกว่านายเมฆ สามีของหยาด ไม่เคยรู้จักกับ นาย อภิรักษ์มาก่อน.?

ที่เราอยากจะเรียนกับท่านเลขาก็คือ..เมฆรู้จักอภิรักษ์ซะยิ่งกว่ารู้จัก
เมฆ-อภิรักษ์ เคยไปนั่งดื่มกินคุยเรื่องซื้อขายสินทรัพย์กันที่ทองหล่อ (ไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง)
เมฆ-อภิรักษ์ เคยไปดูบ้านของอภิรักษ์ (ที่เสนา) ที่อภิรักษ์จะขายให้ (1 ครั้ง)
ส่วนนาฬิกาหรูที่อภิรักษ์จะขายให้นายเมฆ เรายังสืบไม่ถึง เลยไม่รู้ว่าเมฆได้ซื้อมาด้วยหรือไม่.?”
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top