Sunday, 29 June 2025
NEWS FEED

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสหราชอาณาจักร เปิดตัว 'สถานีตำรวจนำร่อง' เพื่อยกระดับมาตรฐานการควบคุมตัวผู้ต้องหา สู่ความเป็นเลิศด้านสิทธิมนุษยชน

(19 มี.ค.68) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมและเปิดตัวโครงการ “สถานีตำรวจนำร่อง” เพื่อยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรื่องการควบคุมตัวผู้ต้องหาให้มีมาตรฐานเป็นสากล โดยมี นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , ผศ.ดร.สุชาติ เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , นายพิทยา จินาวัฒน์  ที่ปรึกษาประจำสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , นายบุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ ที่ปรึกษาประจำสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , Mr. David Thomas Deputy อุปทูตสหราชอาณาจักร ประจำประเทศไทย , Mr.David Lawes ที่ปรึกษากระทรวงมหาดไทย สหราชอาณาจักร , Ms.Leanne Moorhouse ผู้เชี่ยวชาญด้านกล้องติดตัว จาก Devon & Cornwall Police สหราชอาณาจักร , Mr.Seamus Weightman เจ้าหน้าที่หัวหน้าส่วนคุมขัง จาก Northumbria Police สหราชอาณาจักร พร้อมด้วย พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , พล.ต.ต.ธนู พวงมณี ผู้บังคับการกองยุทธศาสตร์ สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ , พ.ต.อ.ธรา แปงเครื่อง รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 และ พ.ต.อ.ศิริชาติ จันทร์พรมมา ผู้กำกับการ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน ร่วมประชุมและเปิดตัวโครงการฯ ณ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน

โครงการ “สถานีตำรวจนำร่อง” เพื่อยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรื่องการควบคุมตัวผู้ต้องหาให้มีมาตรฐานเป็นสากล จากการริเริ่มของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติ ดำเนินโครงการฯ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสหราชอาณาจักร โดย Mr. David Thomas อุปทูตสหราชอาณาจักร ประจำประเทศไทย โดยการนำแนวทางการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best practice) และบทเรียน (Lesson learned) เกี่ยวกับการควบคุมผู้ต้องหาจากสหราชอาณาจักรมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับกฎหมายและบริบทของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการคุ้มครองผู้ต้องหาให้ปลอดภัยจากการซ้อมทรมาน และป้องกันมิให้เกิดการเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัว เพื่อให้การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และส่งเสริมความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรื่องชีวิต ร่างกาย และวิธีการปฏิบัติ 

ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นความมุ่งมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสหราชอาณาจักร ที่จะพัฒนาการควบคุมตัวผู้ต้องหาให้มีความปลอดภัย โดยแนวทางการปฏิบัติที่พัฒนาขึ้นนั้นต้องสามารถนำมาปฏิบัติได้จริง และเป็นผลดีต่อทั้งผู้ต้องหาและเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติ ดังนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน และสถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี ไปรับการฝึกอบรมจากกองบัญชาการตำรวจนอร์ทัมเบรีย ณ สหราชอาณาจักร และยังได้เชิญผู้เชี่ยวชาญซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย จากสหราชอาณาจักร มาให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด เพื่อนำแนวทางปฏิบัติมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทยให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปฏิบัติเกี่ยวกับการควบคุมตัวผู้ต้องหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้นำหลัก "Change by Design" มาพัฒนาแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการควบคุมตัวผู้ต้องหา โดยเน้นการออกแบบเชิงระบบ เริ่มจากการปรับปรุงโครงสร้างห้องควบคุมให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย มีกล้องวงจรปิดบันทึกเหตุการณ์ตลอดเวลา และการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกขั้นตอนต้องเกิดขึ้นในพื้นที่ห้องขัง นอกจากนี้ ยังพัฒนากระบวนการควบคุมตัวผู้ต้องหาให้มีความปลอดภัยและโปร่งใส โดยการประเมินความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงสภาพความพร้อมด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้ต้องหาในการถูกควบคุมตัว การจัดทำบันทึกควบคุมตัวโดยละเอียด มีการบันทึกทรัพย์สินส่วนบุคคล และการตรวจสอบการควบคุมตัวโดยผู้บังคับบัญชา ซึ่งทุกขั้นตอนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นจะถูกบันทึกลงในบันทึกการควบคุมตัวผู้ต้องหาเพื่อสร้างกระบวนการที่โปร่งใสสามารถตรวจสอบได้

เป้าหมายสูงสุดของโครงการสถานีตำรวจนำร่อง คือการป้องกันมิให้เกิดการซ้อมทรมานและการเสียชีวิตระหว่างการควบคุมตัว โดยหลักปฏิบัติที่สำคัญของโครงการนี้คือ การประเมินความเสี่ยงและสภาพความพร้อมด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้ต้องหาในการถูกควบคุมตัวในโอกาสแรกที่สามารถทำได้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะเกิดประโยชน์อย่างมากในกรณีที่ผู้ต้องหานั้นมีโรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อชีวิต มีอาการบาดเจ็บ หรือมีประวัติการเสพยาเสพติดซึ่งอาจนำไปสู่อาการต้องการเสพยาขั้นรุนแรง เนื่องจากการทราบถึงข้อมูลเหล่านี้ก่อนจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปนั้น สามารถทำให้เจ้าหน้าที่ประจำห้องขังสามารถตัดสินใจได้ว่ามีความจำเป็นต้องส่งต่อผู้ต้องหาไปยังโรงพยาบาลหรือไม่ หรือต้องกำหนดระดับการดูแลและตรวจสอบที่ระดับใด การตัดสินใจที่ถูกต้องและรวดเร็วบนพื้นฐานของข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้สามารถรักษาชีวิตของผู้ต้องหาเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินได้ ซึ่งแนวทางปฏิบัตินี้ได้ถูกนำมาปฏิบัติและพิสูจน์ว่าเกิดประสิทธิภาพในการช่วยชีวิตผู้ต้องหาได้จริงในสถานีตำรวจ 2 แห่งแล้ว ได้แก่ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน และสถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี 

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า หลังจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติและการวิเคราะห์ข้อมูลการควบคุมตัวผู้ต้องหามากยิ่งขึ้น โดยจะพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับใช้ในการบันทึกการควบคุมตัวผู้ต้องหา และในระยะต่อไปจะขยายแนวทางการปฏิบัติรูปแบบใหม่นี้ไปยังสถานีตำรวจในสังกัดกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 ก่อนที่จะนำไปใช้ในทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศ โครงการ "สถานีตำรวจนำร่อง" นี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 รวมถึงกฎหมาย และระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในสถานีตำรวจ

สืบ ตม. ตัดวงจรจีนเทา ขบวนการรถหรูรับลูกค้าส่งไปชายแดน

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ภานพ วรธนัชชากุล ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.เฉลิมชนม์ แหลมทอง รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) หน.กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้   
สืบ ตม. ตัดวงจรจีนเทา ขบวนการรถหรูรับลูกค้าส่งไปชายแดน

ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับให้ตรวจสอบพฤติกรรมกลุ่มคนต่างด้าวที่มีพฤติกรรมขัดต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม ตลอดจนมีลักษณะที่กระทบภาพลักษณ์และความมั่นคงของประเทศ บก.สส.สตม. จึงได้ทำการสืบสวนเกี่ยวกับกลุ่มรถยนต์หรู ป้ายทะเบียนสวยงาม พบว่ามีกลุ่มรถซึ่งเป็นของคนต่างด้าวเดินทางไปยังพื้นที่ชายแดน อาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มจีนเทาที่กระทำผิดกฎหมายในปัจจุบัน จึงได้ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน จากนั้นได้ขออนุมัติหมายค้นต่อศาลอาญาพระโขนง เพื่อเข้าค้นบ้านหลังหนึ่งย่านสวนหลวง จากการเข้าตรวจค้นพบ Mr.Ma (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี สัญชาติจีน และภรรยา พักอาศัยอาศัยอยู่ พบพยานหลักฐานเชื่อว่า Mr.Ma ประกอบธุรกิจ นำรถหรูออกให้คนต่างชาติเช่าผ่านระบบออนไลน์ โดยจ้างคนไทยที่สามารถพูดภาษาจีนได้เป็นพนักงานขับรถ จากการตรวจสอบข้อมูลการครอบครองรถยนต์ พบรถยนต์หรู ป้ายทะเบียนสวยงาม จำนวน 4 คัน และจากการตรวจสอบเส้นทางรถที่วิ่งพบว่าวิ่งไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่ติดกับชายแดน อาทิเช่น สระแก้ว เชียงราย จันทบุรี ฯลฯ จึงได้ดำเนินคดีกับ Mr.Ma ในข้อหา 'ประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต' และดำเนินคดีกับคนไทยที่ทำหน้าที่ขับรถรับส่งชาวต่างชาติจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังจังหวัดต่าง ๆ ในข้อหา 'ใช้รถผิดประเภท' โดยจะได้สืบสวนขยายผลเกี่ยวกับกลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการต่อไป

‘ภูมิธรรม-ทวี’ นำคณะเยือนซินเจียง ภารกิจแน่นพบปะอุยกูร์และถกประเด็นสำคัญกับท้องถิ่น

เมื่อเวลา 09.40 น. (19 มี.ค.68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เดินทางถึงท่าอากาศยานเมืองคาซือ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีนายชู ต้าถง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ให้การต้อนรับ

ภารกิจของคณะเริ่มต้นด้วยการพบปะหารือกับนายฉี หยานจุน รองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ พร้อมรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับการดำเนินการดูแลกลุ่มบุคคลที่ถูกส่งกลับจากจีน โดยเฉพาะชาวอุยกูร์ 40 คน ที่ถูกส่งกลับเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ช่วงบ่าย คณะผู้แทนไทยได้แบ่งออกเป็น 2 คณะ โดยคณะแรกนำโดยนายภูมิธรรม ส่วนคณะที่สองนำโดยพันตำรวจเอกทวี แยกเดินทางไปเยี่ยมเยียนชาวอุยกูร์ที่บ้านพักส่วนตัว ห่างจากเมืองคาซือประมาณ 100-300 กิโลเมตร โดยมีผู้แทนระดับรัฐมนตรีจากจีนร่วมเดินทางในทั้ง 2 คณะ

ส่วนช่วงเย็น คณะของฝ่ายไทยได้เข้าเยี่ยมชมหมู่บ้านท้องถิ่นและมัสยิดอิดกะฮ์ พร้อมหารือกับผู้นำศาสนาอิสลาม ก่อนจะประชุมกับแพทย์ที่รักษาชาวอุยกูร์และตัวแทนชาวอุยกูร์ผ่านระบบการประชุมทางไกล

ขณะที่เวลาประมาณเวลา 20.00 น. คณะฝ่ายไทยได้หารือกับนายหม่า ซิงรุ่ย สมาชิกคณะกรรมการกรมการเมืองกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ก่อนร่วมงานเลี้ยงรับรองที่โรงแรมคาซือ

สำหรับภารกิจสุดท้ายของวันนี้ ฝ่ายจีนได้พาคณะฝ่ายไทยเยี่ยมชมพื้นที่สำคัญทางวัฒนธรรมเมืองโบราณคัชการ์ ก่อนปิดฉากภารกิจในวันที่แน่นเอี๊ยด

สมุทรปราการ-สุนทร ปานแสงทอง แถลงนโยบาย 5 ด้าน รับฟังทุกปัญหาเดินหน้าพัฒนาสมุทรปราการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ห้องประชุม ชั้น 4 อาคารสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ อ.เมือง สมุทรปราการ

ได้มีการเปิดประชุมสภาพร้อมกับการแถลงนโยบายการบริหารงานของนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ

โดยในวันนี้ วันที่ 18 มีนาคม 2568 นายสมควร ชูไสว ประธานสภา อบจ.สมุทรปราการ ได้มีการประชุมสภา อบจ.สมุทรปราการ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ นอกจากนี้ ยังได้มีการแถลงนโยบายต่อที่ประชุมสภา อบจ.สมุทรปราการ

โดยนาย สุนทร ปานแสงทอง นายก อบจ.สมุทรปราการ ได้กล่าวแถลงนโยบายแผนขับเคลื่อนการบริหารงาน ทั้ง 5 ด้าน ต่อที่ประชุมสภา โดยมีคณะผู้บริหาร พร้อมด้วย คณะสมาชิกสภา อบจ.ทั้ง 36 เขต ร่วมเป็นสักขีพยานและร่วมรับฟัง พร้อมทั้งเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา

โดยทางด้าน นายสุนทร ปานแสงทอง นายก อบจ.สมุทรปราการ กล่าวว่า ในวันนี้สภา อบจ.สมุทรปราการ โดยท่านสมควร ชูไสว ประธานสภา อบจ.สมุทรปราการ ได้เปิดประชุมสภาพร้อมทั้งเชิญคณะสมาชิกสภา อบจ.ทั้ง 36 เขต มาร่วมประชุมรับฟังแนวทาง การเสนอแนวคิด การแก้ไขปัญหาในด้านต่างๆ ร่วมกัน 

พร้อมทั้งการแถลงนโยบาย ทั้ง 5 ด้าน ต่อที่ประชุมสภา คือ 1.ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจในทุกภาคส่วน 2.ด้านระบบสวัสดิการและคุณภาพชีวิตของประชาชน 3.ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค สาธารณูปการและการผังเมือง 4.ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ 5.ด้านการพัฒนาการเมือง การบริหาร และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนตามหลักธรรมาภิบาล 

ซึ่งนโยบายทั้ง 5 ด้านนี้ จะเกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องชาวสมุทรปราการอย่างแท้จริง โดย อบจ.สมุทรปราการ มีความตั้งใจ มุ่งมั่นในการบริหารงานและหวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากทุกท่านเพื่อให้จังหวัดสมุทรปราการบ้านของเราพัฒนาก้าวหน้าต่อไป

'ฐปณีย์' ตั้งคำถามปมปิดปากสื่อ-แทรกแซงสื่อข้ามชาติ เรียกร้องหาผู้รู้ตรวจสอบ

(19 มี.ค. 68) แยม ฐปณีย์ เอียดศรีไชย นักข่าวสายลุยคนดังจากรายการข่าว 3 มิติ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า “เจอสถานการณ์หลายสิ่งในช่วงนี้จึงทบทวนดูอย่างรอบคอบ ว่าจะเรียกสิ่งที่เผชิญอยู่นี้ว่าอะไร - ปิดปากสื่อ? - แทรกแซงสื่อข้ามชาติ? จะต้องเรียกแบบไหน คงต้องหาผู้รู้มาตรวจสอบค่ะ”

ทั้งนี้ ข้อความดังกล่าว คาดว่าน่าจะเกิดจากกรณีที่เจ้าตัวไม่ได้รับเชิญให้ร่วมทริปเยือนเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน ติดตามคณะ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม , พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมถึงสื่อมวลชนของไทย เพื่อติดตามชีวิตความเป็นอยู่ชาวอุยกูร์ 40 คน ซึ่งทางรัฐบาลไทยได้ส่งกลับแผ่นดินเกิดก่อนหน้านี้ 

ไฟไหม้ลานเก็บรถของกลาง เผาวอด 300 คัน ตำรวจเร่งแกะรอยหาสาเหตุเพลิงปริศนา คาดเสียหายหลัก 100 ล้าน

(19 มี.ค. 68) จากกรณีเมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 18 มี.ค. 68 เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่ลานเก็บรักษารถยนต์ของกลางของด่านศุลกากรแม่สอด จังหวัดตาก บริเวณด้านหลังด่านศุลกากรแห่งใหม่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ใกล้กับสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 อำเภอแม่สอด โดยเพลิงไหม้ดังกล่าวลุกลามอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้รถยนต์ที่จอดอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้กว่า 300 คัน สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง

เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจากเทศบาลนครแม่สอด และหน่วยกู้ภัยในพื้นที่ ได้ระดมรถดับเพลิงกว่า 10 คันเข้าควบคุมเพลิงอย่างเร่งด่วน แต่เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นลานโล่งกลางแจ้ง ประกอบกับมีเชื้อเพลิงอย่างน้ำมันในรถยนต์ที่ถูกเก็บรักษาอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ไฟลุกไหม้อย่างรุนแรงและขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง กว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้

เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบสาเหตุของเพลิงไหม้ โดยมีการตั้งข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่า อาจเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร หรือมีการลอบวางเพลิง เนื่องจากรถยนต์ของกลางที่ถูกเก็บรักษาในพื้นที่ดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นรถที่ถูกยึดจากขบวนการลักลอบนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นของกลางที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดี

ด้านนายอำเภอแม่สอด และเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรแม่สอด ได้เดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสืบสวนหาสาเหตุของเพลิงไหม้ในครั้งนี้ รวมถึงประเมินมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสูงถึงหลายร้อยล้านบาท

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการกันพื้นที่โดยรอบ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในบริเวณที่เกิดเหตุ รวมถึงตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียง เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมประกอบการสอบสวน

ด้านประชาชนในพื้นที่ต่างแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ และเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานของรัฐ โดยหลายฝ่ายต่างเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียด และหากพบว่าเป็นการลอบวางเพลิง ควรมีการดำเนินคดีกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังอย่างถึงที่สุด

ทั้งนี้ เหตุการณ์ไฟไหม้ลานเก็บรถของกลางด่านศุลกากรแม่สอดครั้งนี้ นับเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ไฟไหม้ที่สร้างความเสียหายอย่างหนัก และต้องรอผลการสอบสวนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

สตม.รวบฟิลิปปินส์สองผัวเมีย หนีหมายจับคดีหลอกลงทุนกว่า 150 หมาย ซุกไทย

(19 มี.ค. 68) บก.สส.สตม. ได้รับการประสานงานจากสถานเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ ประจำประเทศไทย ขอความร่วมมือ  ให้ช่วยตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายกับ Mr.Cerrone (สงวนนามสกุล) อายุ 46 ปี และ Mrs.Marve (สงวนนามสกุล) อายุ 47 ปี สองสามี-ภรรยา สัญชาติฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของทางการฟิลิปปินส์ และเป็นบุคคลที่องค์การตำรวจสากล ได้ออกประกาศสีแดง  (Interpol Red Notice) ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงรูปแบบเครือข่ายหลอกให้ลงทุน” โดยมีผู้เสียหายจำนวนมาก เป็นเหตุให้ถูกหมายจับรวมกันกว่า 150 หมาย และได้หลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ในเบื้องต้น ผบก.สส.สตม. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าพฤติการณ์ของบุคคลต่างด้าวทั้งสองมีเหตุอันควรให้ เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว เนื่องจากเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศ ได้ออกหมายจับ จึงเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร พร้อมกับขึ้นบัญชีเป็นคนต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร และสั่งการให้ กก.2 บก.สส.สตม. สืบสวนติดตามหาตัว ต่อมาจากการสืบสวนทราบว่า Mr.Cerrone และ Mrs.Marve ได้เช่าบ้านพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ อ.ชะอำ จว.เพชรบุรี จึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ จนกระทั่งพบบุคคลทั้งสอง จึงได้แจ้งหนังสือแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร นำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อกักตัวไว้รอการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป จากการสอบถาม Mr.Cerrone และ Mrs.Marve ให้การว่า ทั้งสองคนเป็นประธานบริษัทการลงทุนแห่งหนึ่งในประเทศฟิลิปปินส์ ได้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการระดมทุน กระทั่งมีปัญหาเรื่องการเงิน ทำให้บริษัทขาดทุนอย่างหนัก และภายหลังได้ถูกออกหมายจับ จึงได้พาครอบครัวหลบหนีมายังประเทศไทย สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด   ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

‘หมอมิยู’ สวมชุดมวยไทยพิชิตงานวิ่ง ‘ลอสแองเจลิส มาราธอน’ พร้อมนำเสนอมรดกวัฒนธรรมและผลิตภัณฑ์ไทยสู่เวทีโลก

(18 มี.ค. 68) ทันตแพทย์หญิง ชรินญา กาญจนเสวี หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘หมอมิยู’ ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้คนในนครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเธอสวมชุดมวยไทยเต็มยศวิ่งผ่านถนนในเมืองของงานวิ่งมาราธอนที่จัดขึ้นเมื่องช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

สำหรับคอนเสปการวิ่งครั้งนี้ของหมอมิยู เพื่อประชาสัมพันธ์ “ไทยทาวน์” ชุมชนที่เต็มไปด้วยร้านอาหารและธุรกิจคนไทยที่มีเอกลักษณ์และคึกคักที่สุดในสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังใช้ผลิตภัณฑ์ในการวิ่งโดย “คนไทย” ทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า

โดยก่อนหน้านี้ 1 สัปดาห์ หมอมิยูได้ทำลายสถิติดีสุดของตัวเอง (New PB) ด้วยเวลา 3.03.30 ชั่วโมง ในงาน “นาโกยา วีเมนส์ มาราธอน 2025” ครั้งนั้นหลังจบการแข่งขันคุณหมอได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “สำหรับหมอฟันที่เป็นพนักงานประจำที่วิ่งได้นิดหน่อย เราเชื่อว่าการซ้อมที่ดี คือการซ้อมที่พอดี และดีพอ ทำให้เราสามารถ balance ชีวิตการทำงาน และ การซ้อมได้อย่างสมดุลอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด”

จากนั้นบินมาต่อที่รายการ “ลอสแองเจลลิส มาราธอน 2025” ระยะ 42.195 กม. ซึ่งรายการดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันกว่า 25,000 คน หมอมิยูที่สวมชุดมวยไทยวิ่งตลอดการแข่งขันผ่านเส้นทางที่สวยงามและมีชื่อเสียง เช่น ฮอลลีวูดบูเลอวาร์ด, พิพิธภัณฑ์กูเกิล, และสิ้นสุดที่จุดหมายปลายทางบริเวณชายหาดแซนตาโมนิกา ซึ่งทำเวลาไปได้ 4.20.00 ชั่วโมง จากที่ตั้งเป้าไว้ 4.30 ชั่วโมง  

ทั้งนี้ หมอมิยู เคยทำสถิติเป็นนักวิ่ง “Fastest Marathon dressed in Thai Traditional Dress” หรือ นักวิ่งหญิงคนแรกที่ใส่ชุดไทยวิ่งมาราธอนได้เร็วที่สุดในโลก ในการแข่งขันรายการ “ลอนดอนมาราธอน” ด้วยเวลา 3.45.34 ชั่วโมง 

รวมถึงสถิติ Guinness World Records อีกครั้งด้วยการทำสถิติเป็นนักวิ่ง “Fastest Marathon in a school uniform” หรือ นักวิ่งหญิงคนแรกที่ใส่ชุดนักเรียนวิ่งมาราธอนได้เร็วที่สุดในโลก ในการวิ่งรายการ เบอร์ลินมาราธอน ด้วยเวลา 3:10:55 ชั่วโมง

‘ทูตรัสเซีย’ ชี้!! สื่อยุค AI ภัยคุกคามที่มาพร้อมความก้าวหน้า กับโจทย์ท้าทายของผู้รับสารที่ต้องแยกแยะข่าวจริงและข่าวปลอม

นายเยฟกินี โทมิคิน เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย กล่าวในงานสัมมนา THE FUTURE JOURNALISM 2025 'AI กับ สื่อสารศาสตร์ยุคใหม่' ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือของสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES จากประเทศไทย, สำนักข่าว SPUTNIK ของรัสเซีย และวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในอุตสาหกรรมสื่อสารมวลชนของทั้ง 2 ประเทศ ว่า ขณะนี้ เรากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีการสร้าง เผยแพร่ และบริโภคข้อมูล ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้นำมาซึ่งโอกาสใหม่ที่น่าทึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายที่สำคัญต่อความจริง ความเป็นกลาง และจริยธรรมของสื่อมวลชน

การเติบโตของสื่อที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เปิดขอบเขตใหม่ในการเข้าถึงข้อมูล เพิ่มประสิทธิภาพ และระบบอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรมองข้ามภัยคุกคามที่มากับความก้าวหน้าดังกล่าว การแพร่ระบาดของข่าวปลอม (Fake News) วิดีโอ Deepfake และการใช้ระบบอัลกอริทึมในการกำหนดเนื้อหาข่าว ท้าทายความสามารถของเราที่จะแยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงและเรื่องแต่ง ในยุคที่ข้อมูลเท็จสามารถแพร่กระจายได้เร็วกว่าที่เคยเป็นมา บทบาทของนักข่าวและผู้แสวงหาความจริงจึงมีความสำคัญมากกว่าครั้งไหน ๆ

หนึ่งในประเด็นเร่งด่วนที่สุดที่เราต้องเผชิญในวันนี้คือ การใช้ข้อมูลเป็นอาวุธ ข่าวปลอมไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์ของข้อผิดพลาดอีกต่อไป แต่มันได้กลายเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ใช้ในการกำหนดมุมมอง มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของสาธารณะ และบิดเบือนความเป็นจริงทางภูมิรัฐศาสตร์ ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยี Deepfake ที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถปลอมแปลงคำพูดของผู้นำโลก บิดเบือนบันทึกทางประวัติศาสตร์ และสร้างการบิดเบือนเหตุการณ์ปัจจุบัน ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบร้ายแรงต่อการทูต ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเสถียรภาพของสังคม

นอกจากนี้ เราต้องยอมรับถึงอิทธิพลของ สื่อกระแสหลักจากโลกตะวันตก ที่ครอบงำการกำหนดกรอบเนื้อหาในระดับสากล หลายครั้งที่เหตุการณ์ระหว่างประเทศถูกนำเสนอผ่านมุมมองเพียงด้านเดียว โดยละเลยความหลากหลายของมุมมองที่มีอยู่ในโลกที่มีหลายขั้วทางอำนาจ การนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความขัดแย้ง เศรษฐกิจ และการเมืองโดยสื่อกระแสหลักของตะวันตกมักจะสร้างความไม่สมดุลในการรับรู้ของผู้ชม สื่อสารมวลชนจึงควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ความเป็นธรรม ความหลากหลาย และการเปิดกว้างต่อมุมมองที่แตกต่างกัน เพื่อให้เกิดสังคมโลกที่ได้รับข้อมูลอย่างรอบด้าน

รัสเซียให้ความสำคัญกับหลักการ อธิปไตยทางสื่อ และความจำเป็นในการมีมุมมองทางเลือกมาโดยตลอด ดังนั้น จึงอยากจะชวนทุกท่านเข้าร่วมเครือข่าย Global Fact-Checking Network ซึ่งเป็นองค์กรอิสระระดับรากหญ้า ที่มุ่งเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐบาล องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (NGOs) และภาคเอกชน เพื่อส่งเสริม ความเป็นกลาง ความโปร่งใส และความแม่นยำ ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง แพลตฟอร์มอิสระเช่นนี้ รวมถึงองค์กรสื่อระดับชาติที่ไม่ใช่ของตะวันตก และโครงการดิจิทัลต่างๆ ที่พวกท่านเป็นตัวแทน ล้วนมีบทบาทสำคัญในการถ่วงดุลกับการนำเสนอข่าวระดับนานาชาติที่มักถูกผูกขาดในแนวทางเดียว

อย่างไรก็ดี เทคโนโลยี AI หากถูกนำมาใช้ อย่างมีความรับผิดชอบ จะสามารถช่วยส่งเสริม ความหลากหลายทางสื่อ ได้ โดยช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และเปิดโอกาสให้แนวคิดต่างๆ ไหลเวียนอย่างเสรี อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัย ความร่วมมือระหว่างนักข่าว นักวิชาการ และภาครัฐ เราต้องร่วมมือกันกำหนดแนวทางด้านจริยธรรมสำหรับการใช้ AI ในวงการสื่อมวลชน ดำเนินมาตรการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเข้มข้น และส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) เพื่อให้ประชาชนสามารถป้องกันตัวเองจากข้อมูลเท็จได้

“ขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการสื่อสาร ขอให้เรายืนยันเจตนารมณ์ในการรักษาคุณค่าพื้นฐานของวงการสื่อ ได้แก่ ความถูกต้อง ความรับผิดชอบ และความเป็นธรรม อนาคตของสื่อสารมวลชนขึ้นอยู่กับความสามารถของเราในการปกป้องความจริงท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว” เอกอัครราชทูตรัสเซีย ประจำประเทศไทย กล่าวปิดท้าย

‘นนอ. ปยุต’ นักเรียนนายเรืออากาศไทยสร้างชื่อ คว้ารางวัล “นักเรียนต่างชาติดีเด่น” จากสถาบันทหารเกาหลีใต้

(18 มี.ค. 68) เพจเฟสบุ๊คข่าวทหาร รายงานว่า มีนักเรียนนายเรืออากาศไทยสร้างความภาคภูมิใจให้กับประเทศ ด้วยการคว้ารางวัล “นักเรียนต่างชาติดีเด่น” จาก สถาบันการศึกษาทางทหารชั้นนำของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่นักศึกษาต่างชาติที่มีผลการเรียนดีเด่นและมีความเป็นผู้นำโดดเด่นในระหว่างการศึกษาในต่างประเทศ

นักเรียนนายเรืออากาศ ปยุต ร้อยอำแพง เป็นตัวแทนของกองทัพอากาศไทยที่เดินทางไปศึกษาต่อในหลักสูตรของสถาบันทหารชั้นนำของเกาหลีใต้ โดยได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางวิชาการ ทักษะการเป็นผู้นำ และความสามารถทางการทหารที่โดดเด่นท่ามกลางเพื่อนร่วมสถาบันจากหลายประเทศ

ส่งผลให้ นนอ. ปยุต ร้อยอำแพง คว้ารางวัล “นักเรียนต่างชาติดีเด่น” เป็นผลจาก ผลการเรียนที่ยอดเยี่ยม ความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเอง และการเป็นแบบอย่างที่ดี ซึ่งได้รับการยอมรับจากอาจารย์และผู้บังคับบัญชาในสถาบัน

“รางวัลนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถและความมุ่งมั่นของ นนอ. ปยุต ที่ได้ทุ่มเทให้กับการศึกษาจนประสบความสำเร็จ" พลอากาศเอก อี กล่าว "นอกจากนี้ นนอ. ปยุต ยังเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านความประพฤติและการเป็นผู้นำ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญสำหรับนายทหารอากาศ”

ความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็น แรงบันดาลใจสำคัญให้แก่นักเรียนนายเรืออากาศไทยรุ่นต่อไป ในการพัฒนาตนเองทั้งด้านวิชาการและการเป็นผู้นำในเวทีนานาชาติ พร้อมทั้งเป็นเครื่องยืนยันว่า บุคลากรของกองทัพอากาศไทยมีศักยภาพและความสามารถทัดเทียมนานาชาติ

“รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลนี้ ผมขอขอบคุณกองทัพอากาศไทยที่ให้โอกาสผมได้มาศึกษาต่อที่ประเทศเกาหลีใต้ และขอขอบคุณผู้บังคับบัญชา ครูอาจารย์ และเพื่อนๆ ทุกคนที่ให้การสนับสนุนผมมาโดยตลอด” นนอ. ปยุต กล่าว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top