Friday, 9 May 2025
NEWS FEED

‘นิพิฏฐ์’ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เตรียมยื่นกระทรวงการต่างประเทศ ขอให้รัฐบาลญี่ปุ่นห้าม ‘ปวิน’ ในฐานะผู้ลี้ภัยแสดงความเห็นทางการเมือง

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตส.ส.พัทลุง โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก ถึงนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ซึ่งมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองของไทย ระบุว่า

ผมไม่รู้จักอ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ และไม่ประสงค์จะรู้จักเธอ แต่ก็พอจะรู้ว่าเธอมีความคิดทางการเมือง และรสนิยมการใช้ชีวิตไปทางไหน การใช้ชีวิตของเธอหากไม่กระทบกับสังคมโดยรวมเธอจะมีจริตไปทางไหนก็แล้วแต่เธอ เอาตามรสนิยมที่เธอชอบว่างั้นเถอะ ไม่ว่ากัน วันก่อนเห็นเธอโพสต์รูปโชว์ก้นอยู่ ผมก็ได้แต่หายใจยาวกับอาจารย์คนนี้

วันดี คืนดี เธอก็เข้ามาคอมเม้นท์ในเฟสบุคส์ของผมแบบไม่ได้รับเชิญ ผมนี่ใจหายแว๊บเลย แต่ก็ไม่ติดใจอะไรเธอ เนื่องจากเฟสบุคส์ผมเป็นพื้นที่สาธารณะ เธอจะคอมเม้นท์อะไรก็แล้วแต่เธอ แต่.. ผมว่าระยะหลังนี่เธอจะพล่านมากไปหน่อย อาจคิดถึงบ้านหรืออย่างไรก็ไม่รู้ เธอมักทำอะไรที่ไม่สมกับอายุ และไม่สมกับเป็นครูบาอาจารย์ อารมณ์เธอวูบวาบเหมือนคนกำลังจะหมดประจำเดือน

ผมทราบว่าเธอได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่น การเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองนี่ เขาห้ามทำกิจกรรมทางการเมืองนะ แต่เธอก็แสดงความเห็นทางการเมืองอย่างร้อนแรงอยู่เสมอ โดยเฉพาะการเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมก็สงสัยว่า แล้วกระทรวงการต่างประเทศไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลยหรือ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ท่านสบายดีอยู่หรือ

สัปดาห์หน้า ผมจะทำหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อขอให้รัฐบาลญี่ปุ่นห้ามเธอในฐานะผู้ลี้ภัยแสดงความเห็นทางการเมือง เพราะการแสดงความเห็นของเธอหลายครั้ง กระทบถึงความสัมพันธ์อันดีที่ไทยมีอยู่ยาวนานกับประเทศญี่ปุ่น ลองดูซิว่า ท่านรัฐมนตรีจะตอบว่าอย่างไร อ้อ!! แล้วถ้าเธอไม่อยู่ในสถานะผู้ลี้ภัย ก็ทำเรื่องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนเสียเลย ผมไม่ได้เป็นส.ส.กับเขาหรอกจึงไม่มีโอกาสไปสอบถามในสภาครั้นจะหวังพึ่งส.ส.ในสภา ก็อย่าพึ่งเขาเลย ทำในฐานะประชาชนดีกว่า ถามกันทางนี้แหละ ท่านรัฐมนตรีตอบมาอย่างไร จะนำมาแจ้งให้ทราบครับ

อ้อ!! อ.ปวิน นี่เธอเป็นผู้ชายนะ

‘ราเมศ’ ซัดกลับ ‘วิโรจน์’ ปมให้ ‘ชวน’ถอนแจ้งความมือคีย์บอร์ดตัดต่อภาพ แยกสร้างสรรค์-เสียหายด้วย แนะควรมีสติปัญญาในการพูด ใช้โซเชียลให้เกิดประโยชน์ ตั้งฉายาเป็นส.ส.ทวิตเซ่อ พร้อมท้าคุยโฆษกก้าวไกล

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล และโฆษกพรรค ได้เขียนบทความถึงนายชวน หลีกภัย เพื่อให้ไปถอนแจ้งความเรื่องที่มีการตัดต่อภาพนายชวนจนก่อให้เกิดความเสียหายว่า โฆษกพรรคก้าวไกลถือว่าทำตัวไม่สมกับความเป็น ส.ส.ที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยควรมีความรู้ว่าการใช้ช่องทางกระบวนการทางกฎหมายเพื่อรักษาสิทธิของตนคือแนวทางที่ถูกต้องตามหลักนิติรัฐ

นายราเมศ กล่าวว่า เราเข้าใจในสถานะของความเป็นนักการเมือง นายชวนเป็นนักการเมืองมายาวนาน การตรวจสอบการกล่าวถึงในมุมมองต่าง ๆ ทำได้อย่างเต็มที่ เพราะเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นคนของประชาชนอยู่กับประชาชนมาตลอดชีวิตเปิดกว้าง เปิดรับ ปรับตัว เข้ากับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปในด้านเทคโนโลยีตลอดเวลา โดยข้อเท็จจริงที่ได้มีการตามเก็บข้อมูลของฝ่ายกฎหมายมีการกระทำการผ่านสังคมโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นการให้ร้าย ใส่ร้าย ทำให้เกิดความเสียหายอยู่เป็นจำนวนมาก แต่หลายกรณีมีการตักเตือนให้หยุดการกระทำก็มีอยู่มากเช่นกัน

กรณีล่าสุดที่มีการตัดต่อภาพมีการกระทำที่เกินเลยขอบเขต ภาพตัดต่อจำนวนมากทำให้เกิดความเสียหายประกอบข้อความที่ให้ร้ายกล่าวหานายชวน ว่าสั่งให้ใช้ความรุนแรง สั่งให้ตำรวจทำร้ายประชาชน ใช้ภาพตัดต่อเป็นภาพลามกอนาจาร ตัดต่อในลักษณะไม่เหมาะสมในทางเพศ ตัดต่อในลักษณะที่มุ่งหวังชี้นำให้มีการใช้ความรุนแรง และที่ไม่สามารถเปิดเผย ต่อสาธารณะได้คือการตัดต่อภาพนายชวน หลีกภัยไปในลักษณะก้าวล่วงจาบจ้วงสถาบัน

ซึ่งสิ่งนี้คือสิ่งที่ยอมไม่ได้ และมาตรา 16 ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ คือกระบวนการในการคุ้มครองประชาชนทั้งประเทศหากมีใครนำข้อมูลที่มีการตัดต่อเติมหรือดัดแปลงแล้วนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่จะทำให้ประชาชนเข้าถึง เข้าไปดูได้ เมื่อเป็นภาพตัดต่อที่ทำให้บุคคลอื่นเสียหายก็ถือว่ามีความผิด การใช้กระบวนการทางกฎหมายคือช่องทางที่ดีที่สุดในระบบประชาธิปไตย

ตนมีสติปัญญาพอที่จะวินิจฉัยได้ว่าภาพตัดต่อเป็นพื้นสีเขียว ไม่ได้มีความผิดหรือภาพที่ตัดต่อแบบสร้างสรรค์สามารถทำได้ เพราะไม่เสียหาย แต่โฆษกพรรคก้าวไกลก็ควรมีสติปัญญาในการพูดเช่นกัน ข้อมูลในสำนวนมีภาพใดบ้างข้อหาอะไรบ้างก็ไม่รู้ แต่ออกมากล่าวหาว่าใจไม่กว้างไม่เข้าใจสังคมโซเชียลมีเดีย ไม่ปรับตัวให้เข้ากับการใช้สิทธิและเสรีภาพ ข้อความที่ได้ออกมาจากโฆษกพรรคก้าวไกลถือว่าเป็นการบิดเบือนเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น โดยเฉพาะกล่าวหาว่าตนไปท้าทาย ข่มขู่ แบ่งแยกประชาชน อันที่จริงข้อความนี้เป็นหมิ่นประมาทแต่ตนใจกว้างพอไม่ติดใจที่จะดำเนินการแต่ก็ขอร้องว่าอย่ามาท้าทาย ทั้งมาดูถูกเหยียดหยามว่าถ้าเป็นโฆษกพรรคก้าวไกลแบบนี้ไม่พ้นโปร เป็นข้อความที่ถือว่าไม่ให้เกียรติกัน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตนไม่เคยไปพาดพิงโฆษกคนนี้ แต่อยากจะเตือนว่าการทำงานการเมืองไม่ควรทำตัวในลักษณะดูถูกคนอื่น

"ผมคงไม่ไปอยู่พรรคก้าวไกลที่สืบทอดมาจากพรรคอนาคตใหม่ สรุปก็เป็นอนาคตหมด ผมอยู่พรรคประชาธิปัตย์นี่คือความภูมิใจคือพรรคที่เป็นสถาบันยึดมั่นในการครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข พรรคผมไม่เคยถูกยุบ พรรคผมยึดมั่น ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" นายราเมศ กล่าว

นายราเมศ กล่าวอีกว่า การที่บอกว่าเป็นคนเข้าใจสังคมโซเชียลมีเดียคือจะทำอะไรในพื้นที่นี้ได้ทำผิดกฎหมายได้ใช่หรือไม่ ตนไม่กล้าไปสอน แต่อยากบอกว่าเป็น ส.ส.ควรให้ข้อมูลต่อประชาชนว่าเมื่อวิวัฒนาการของสังคมเปลี่ยนแปลงไปเทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้น การสื่อสารที่รับรู้ข้อมูลเร็วขึ้นในสังคมออนไลน์ควรที่จะใช้ในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์ไม่ใช่ใช้ในทางที่เป็นโทษ นี่คือการปรับตัวไปในทางที่ดี ยิ่งคนเป็นผู้นำควรทำตัวเป็นแบบอย่างอย่านำข้อมูลในการสื่อสารผิด ๆ ถูก ๆ ให้กับพี่น้องประชาชน บางคนทำตัวเป็น ส.ส.โซเชียล ส.ส.ทวิตเตอร์ แต่ดูจากการสื่อสารแล้วควรได้รับฉายาเป็น ส.ส.ทวิตเซ่อ มากกว่า และขอท้าโฆษกพรรคก้าวไกลว่านัดได้เลยห้องประชุมกรรมาธิการที่สภา มาคุยกันถึงเรื่องที่ตนไปแจ้งความว่าภาพที่ถูกตัดต่อให้เกิดความเสียหายนั้นมีอะไรบ้าง

‘ชัชชาติ’ โพสต์แฉ กทม.หนี้ท่วม 9 พันล้านบาท ค้างจ่ายเอกชน หลังซื้อใจให้ประชาชนนั่งรถไฟฟ้าฟรี ระบุ ยังไม่รู้เอาเงินที่ไหนจ่าย

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคม โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “เมื่อวานช่วงบ่ายมีเวลาว่าง เลยถือโอกาสไปนั่งรถไฟฟ้าสายสีเขียวเล่น นั่งจากหมอชิต ไปถึงพหลโยธิน 24 ลงไปเดินเล่น คุยกับพี่วินมอเตอร์ไซค์ แล้วนั่งกลับมา แวะซื้อขนมที่เซ็นทรัลลาดพร้าว และ นั่งกลับมาที่หมอชิต เพราะตอนนี้ทาง กทม. ยังให้ขึ้นฟรีอยู่ ไม่ต้องเสียค่าโดยสารตั้งแต่สถานีห้าแยกลาดพร้าวเป็นต้นไป

ทั้งนี้ รถไฟสายสีเขียวส่วนต่อขยาย มีสองส่วน ส่วนเหนือ จากหมอชิต(หรือจตุจักร) ไปคูคต และส่วนใต้จากบางจากไป เคหะฯสมุทรปราการ รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายนี้เดิมทาง รฟม.ของกระทรวงคมนาคมเป็นคนสร้าง แต่ครม.มีมติโอนให้ กทม.เป็นผู้ดำเนินการเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561

ทาง กทม.ทยอยเปิดการเดินรถไฟตามสถานีต่างๆ มาตั้งแต่ปลายปี 2561 และ ให้ประชาชนนั่ง “ฟรี” โดยไม่เก็บค่าโดยสาร แต่ กทม.ต้องจ่ายค่าจ้างเดินรถให้ทางเอกชนตลอดเพราะเอกชนเขามีค่าใช้จ่ายในการเดินรถ (ส่วนรายละเอียดว่าค่าจ้างเป็นอย่างไร สัญญาจ้างเป็นอย่างไร หาไม่ได้จริงๆ ครับ)

เมื่อเช้ามีข่าวว่าค่าจ้างสำหรับการเดินรถให้ประชาชนนั่ง “ฟรี” ตอนนี้มียอดหนี้ที่ กทม.ค้างชำระถึงเก้าพันล้านบาทแล้ว และ ยังไม่รู้ว่าจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย เห็นว่าจะไปขอจากทางรัฐบาลให้ช่วยออกให้ (แต่สุดท้ายก็เงินพวกเราทั้งนั้นแหละครับ) ซึ่งก็อาจจะไม่ง่าย เพราะจ้างไปก่อนแล้วและเท่าที่ดูมติครม.เมื่อปี 2561 มีแต่เรื่องโอนรถไฟฟ้า แต่ไม่มีระบุว่า กทม.ไม่ต้องเก็บค่าโดยสาร ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลกสำหรับการบริหารว่า สามารถจ้างไปก่อนเกือบหมื่นล้านบาทโดยยังไม่รู้ว่าจะเอางบประมาณที่ไหนจ่าย

ถ้าพวกเรามีโอกาสต้องไปแถวนั้น ทั้งหมอชิต หรือ อ่อนนุช ก็ไปนั่งรถไฟฟ้าฟรี กันนะครับ เพราะเหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวก็จะเริ่มเก็บค่าโดยสารในส่วนต่อขยายแล้วและสุดท้ายแล้วพวกเราต้องร่วมกันจ่ายเกือบหมื่นล้านบาทอยู่ดี”

‘พุทธิพงษ์’ เดินหน้าแจ้งความเอาผิดคนโพสต์หมิ่นสถาบันต่อเนื่อง พบเพจ ‘แนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ-ปวิน’ โดนอีก ยื่นขอคำสั่งศาลยื่นลบ 136 ข้อความไม่เหมาะสมออก

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ได้กำชับกองป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ปท.)และกองกฎหมายฯกระทรวงดิจิทัล ให้ดำเนินการติดตามตรวจสอบ ผู้กระทำความผิดโพสต์ข้อความไม่เหมาะสมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ทางสื่อสังคมออนไลน์และรวบรวมหลักฐานยื่นแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) อย่างต่อเนื่อง

โดยทางกองกฎหมายฯ กระทรวงดิจิทัลฯ ได้แจ้งความเอาผิดผู้กระทำความผิด ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ในช่วงวันที่ 4–15 มกราคม 2564 รวม 11 URLs เป็นผู้กระทำความผิดทาง Facebook 9 URLs และทาง YouTube 2 URLs พบชื่อบัญชีผู้กระทำความผิด

อาทิ บัญชีเฟซบุ๊ก เพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม, บัญชี Pavin Chachavalpongpun (นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์) และยูทูปแชนแนล ชื่อ FAIYEN CHANNEL(วงไฟเย็น) ที่เข้าข่ายกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 โพสต์พาดพิงสถาบันหลักของชาติ

นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ขณะเดียวกัน ปท.สรุปคำสั่งศาล ในช่วงเดียวกัน พบมีการกระทำผิด จำนวน 9 คำสั่งศาล รวม 136 URLs(รายการ) โดยมีทั้ง Facebook, YouTube, Twitter และเว็บอื่นๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังคงดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างต่อเนื่องจริงจัง

"ฝากแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ขอให้ใช้วิจารณญาณในการใช้งาน ไม่โพสต์หรือแชร์ส่งต่อข้อความที่ไม่เหมาะสมเพราะจะถือเป็นการกระทำความผิดตามพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯด้วยเช่นกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถติดตามตรวจสอบพิสูจน์ตัวตนได้ทั้งหมด" รัฐมนตรีดีอีเอส กล่าว

กรมธนารักษ์ เตรียมจัดที่ดิน 600 ไร่ ให้กระทรวงพัฒนาสังคมฯ สร้างคอนโด 3,000 ห้อง เป็นที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ

นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมฯ เตรียมทำสัญญามอบที่ราชพัสดุ 600 ไร่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ภายในช่วงเดือนก.พ.นี้ นำไปดำเนินโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ

โดบเบื้องต้นอาจเป็นอาคารชุดประมาณ 3,000 ห้อง ราคาเริ่มต้นห้องละ 999,999 บาท โดยให้สิทธิผู้สูงอายุตั้งแต่ 50 ปี เข้าจองอยู่ได้ รวมปถึงการใช้สร้างเป็นโรงพยาบาล ศูนย์ฝึกอาชีพ และอาคารสำนักงานของพม. เพื่อรองรับการดูแลภาคประชาสังคม

ปัจจุบันกรมธนารักษ์มีผู้เช่าที่ราชพัสดุทั่วประเทศ 182,000 ราย แบ่งเป็นผู้เช่าที่ดินราชพัสดุ 160,000 ราย และผู้เช่าอาคารราชพัสดุ 22,000 ราย มีผลการจัดเก็บรายได้เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ประมาณ 10,000 ล้านบาท เป็นรายได้จากการบริหารจัดการด้านที่ราชพัสดุ ประมาณ 9,000 ล้านบาท

โดยการให้บริการรับชำระค่าเช่าผ่านแอปพลิเคชัน จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้เช่าที่ราชพัสดุในยุคปัจจุบันมากขึ้นสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการเดินทางไปชำระค่าเช่าได้เหมาะสมกับพฤติกรรมเข้าสู่การใช้ชีวิตวิถีใหม่ได้ด้วย

“การมอบที่ราชพัสดุครั้งนี้เพื่อนำไปสร้างที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ น่าจะช่วยตอบโจทย์ความต้องการได้ โครงการนี้กระทรวงพัฒนาสังคมฯ จะเป็นผู้ดำเนินการ เพราะกลุ่มผู้สูงอายุที่ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยอีกจำนวนมาก”

‘104 บาท’ แพงเกิน! 'สุรเชษฐ์' ชี้ต้นตอ รัฐอุดหนุนไม่เพียงพอ เพราะการลงทุนแบบไม่พอเพียง อัด กทม.จับประชาชนเป็นตัวประกัน ปมขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว

สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล และส.ส.บัญชีรายชื่อ ให้ความเห็นจากการที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยเมื่อวาน (15 ม.ค. 64) ว่าจะมีการประกาศอัตราค่าโดยสารใหม่เนื่องจากการกำหนดฟรีค่าโดยสารในส่วนต่อขยายกำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 15 ม.ค. 64 และได้เผยแพร่ “ประกาศกรุงเทพมหานคร” เรื่อง “การกำหนดค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว” ลงวันที่ 15 ม.ค. 64

ส่งผลให้ค่าโดยสารใหม่มีผลตั้งแต่ 16 ก.พ. 64 โดย “ไม่มีการเก็บค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน” และให้จัดเก็บอัตราค่าโดยสาร “ตลอดเส้นทางไม่เกิน 104 บาท” นับว่าข้อเรียกร้องจากประชาชนเป็นผลอยู่บ้าง โดย กทม. ยอมถอย “เปลี่ยนแผน” จากเดิม 158 บาท มาเป็น 104 บาท หรือลดลงมา 54 บาท จากการไม่คิดค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนระหว่างส่วนหลักและส่วนต่อขยาย อย่างไรก็ตาม ราคาตลอดเส้นทางดังกล่าวก็ยังแพงเกินไปอยู่ดี

"หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงแพง ต้นตอของปัญหาที่แท้จริงก็คือ รัฐอุดหนุนไม่เพียงพอ เพราะการลงทุนแบบไม่พอเพียง กล่าวคือ พอเอาเงินไปลงทุนเพื่อก่อสร้างเยอะเกินจำเป็นก็เหลือเงินอุดหนุนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ต้องเก็บแพง ๆ จากผู้โดยสาร รัฐบาลก็ทราบดีว่าค่าโดยสารแพง แต่อยากเก็บเงินไว้สร้างหรือผลาญกับโครงการอื่นเพิ่มเติม จึงพยายาม Hot Fix โครงการนี้โดยให้ กทม. เอารายได้จากอนาคตมาโปะคล้ายการกู้เพิ่ม และพยายามขยายสัมปทานออกไปอีก 30 ปี ทั้งที่ยังเหลืออีก 9 ปี ซึ่งเรื่องนี้มีความไม่ชอบมาพากลหลายประการเกิดขึ้นจากการใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 แต่งตั้งคนของตัวเองไปมุบมิบเจรจา และไม่เป็นไปตาม พรบ. ร่วมทุน"

สุรเชษฐ์ กล่าวต่อไปว่า สภาผู้แทนเคยพิจารณาประเด็นนี้แล้ว และกรรมาธิการเสียงข้างมาก ทั้งจากฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล 'ไม่เห็นด้วยกับการขยายสัมปทาน' แต่ล่าสุด กทม. ยังดึงดันจะขยายสัมปทาน โดยใช้ผลการมุบมิบเจรจาตามมาตรา 44 โดยออกมาขู่ประชาชนว่าหากไม่ขยายก็จะแพงอย่างนี้ หากยอมขยายก็จะลดเหลือ 65 บาทตลอดสาย นี่คือจับประชาชนเป็นตัวประกันชัด ๆ

ประเด็นสำคัญคือหากจะขยายสัมปทานที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาทแบบนี้ ต้องเจรจาบนพื้นฐานของกฎหมายปกติและเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส นอกจากนั้น การขยายสัมปทานออกไปอีก 30 ปี จะส่งผลให้การแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ กับรถไฟฟ้าสายสีอื่นและระบบรถเมล์ ช้าออกไปอีก 30 ปี

ดังนั้น แม้จะแก้ปัญหาค่าโดยสารแพงในเส้นนี้ได้ เส้นอื่นก็ยังคงมีปัญหาอยู่ การเชื่อมต่อกับสายสีอื่นหรือระบบรถเมล์ก็ยังคงมีปัญหาอยู่ ทุกวันนี้ แค่ 'ตั๋วร่วม' ง่าย ๆ ยังทำไม่ได้เลย ปัญหา “ค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน” กับสายสีอื่นก็จะยังคงอยู่ต่อไป ไม่ต้องพูดถึงการ 'ยกเว้นค่าแรกเข้าระหว่างรูปแบบการเดินทาง' เช่น ขึ้นรถเมล์ไปต่อรถไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้จุดพีคก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องเป็นคนทุบโต๊ะ คงต้องติดตามกันต่อว่าสุดท้ายแล้วผลจะออกมาอย่างไร

กรมบังคับคดีเร่งช่วย ‘ลูกหนี้’ บัตรเดรดิต เจรจาไกล่เกลี่ย ก่อนถูกเจ้าหนี้ฟ้องยึดทรัพย์ช่วงโควิด-19 เผยปี’63 ช่วยลูกหนี้กว่า 3 หมื่นราย มูลหนี้กว่า 1.17 หมื่นล้าน

นางอรัญญา ทองน้ำตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี เปิดเผยว่าจากสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ส่งผลให้ประชาชนมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต ซึ่งเมื่อถึงที่สุดประชาชน ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ก็จะถูกฟ้อง และยึด อายัด ทรัพย์สินของลูกหนี้

กรมบังคับคดีเล็งเห็นถึงปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าว จึงได้เร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้บัตรเครดิต โดยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดกระบวนการไกล่เกลี่ยหนี้ชั้นบังคับคดีขึ้นในทุกจังหวัด โดยเปิดโอกาสให้เจ้าหนี้ ลูกหนี้ได้เจรจากันด้วยความสะดวก รวดเร็ว และไม่มีค่าใช้จ่าย โดยมีผู้ไกล่เกลี่ยของกรมบังคับคดีเป็นคนกลางในการเจรจา ซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับการลดวงเงินที่ต้องชำระคืนแก่เจ้าหนี้ตามฐานะสภาพของลูกหนี้ ทำให้ลูกหนี้มีโอกาสชำระหนี้ในวงเงินที่ลดลงได้

การเจรจาไกล่เกลี่ยทำให้ลูกหนี้มีโอกาสชำระหนี้ได้ ก็จะทำให้ลดปัญหาการถูกบังคับคดี ลดปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ และลดความเดือดร้อนของประชาชน

โดยช่วงที่ผ่านมากรมบังคับคดีได้มีการจัดโครงการไกล่เกลี่ยทั่วไทย ระหว่างวันที่ 21 ธันวาคม 2563 ถึง 15 มกราคม 2564 ณ ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท กรมบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 1 – 3 , 5 และสำนักงานบังคับคดีจังหวัด/สาขาทั่วประเทศ รวม 116 แห่ง

โดยผลจากการจัดโครงการฯ ณ วันที่ 13 มกราคม 2564 มีเรื่องที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย จำนวน 764 เรื่อง ทุนทรัพย์ 398,801,568.67 บาท สามารถไกล่เกลี่ยสำเร็จ จำนวน 626 เรื่อง ทุนทรัพย์ 306,477,463.02 บาท คิดเป็นร้อยละ 94.44 ที่เจรจาสำเร็จ และตลอดปี 2563 มีการไกล่เกลี่ยสำเร็จจำนวน 30,623 เรื่อง ทุนทรัพย์ 11,703,154,195.60 บาท

พร้อมกันนี้กรมบังคับคดีขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่ประสบปัญหาหนี้สินจากบัตรเครดิต มาใช้บริการไกล่เกลี่ยผ่านสำนักงานของกรมบังคับคดีทั่วประเทศ

รวมทั้งสามารถยื่นคำร้องข้อไกล่เกลี่ยข้อพิพาทผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทางเว็บไซต์กรมบังคับคดี www.led.go.th เพื่อขอเข้าไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้วยตนเองหรือขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน Session call

และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมบังคับคดี 1111 กด 79 หรือศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หมายเลขโทรศัพท์ 0 2881 4840, 0 2887 5072


ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ

นายกฯ เชิดชูครูเป็นบุคลากรสำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนระบบการศึกษาของชาติ “ชี้” ต้องพร้อมปรับรูปแบบการเรียนการสอน และสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ส่งสารเนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 65 ประจำปี 2564 ว่า ครูเป็นบุคลากรสำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนระบบการศึกษาของชาติและมีบทบาทในการประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบัน ครูยุคใหม่จึงต้องเป็นผู้อำนวยการในการเรียนรู้ เพื่อให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงศาสตร์สาขาต่าง ๆ เป็นผู้ที่มีความรู้ครบถ้วน เป็นคนดี มีคุณธรรม และจริยธรรม พร้อมที่จะเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ

รัฐบาลมีนโยบายในการเสริมสร้างและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีมาตรฐานวิชาชีพในระดับสากล ตลอดจนนำเทคโนโลยีซึ่งมีความก้าวหน้าและนวัตกรรมมาปรับใช้ในการจัดการศึกษา การพัฒนาบุคลากรและการจัดทำแผนการศึกษาเพื่อพัฒนาเยาวชนในทุกช่วงวัยให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าและมีศักยภาพสูง ดังนั้น อนาคตของชาติจึงอยู่ที่การศึกษา และการศึกษาที่มีคุณภาพย่อมเกิดจากครูที่มีคุณภาพด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันครูปีนี้ ผมได้มอบคำขวัญว่า “ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์คุณธรรมประจำชาติ” เพื่อให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ตระหนักถึงบทบาทและหน้าที่ของครูในยุคชีวิตวิถีใหม่ที่ต้องมีการปรับรูปแบบการเรียนการสอนและสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ให้พร้อมตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ครูจึงต้องได้รับการพัฒนา เสริมสร้างทักษะ ความรู้ และความสามารถด้านดิจิทัล เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตวิถีใหม่

นอกจากนี้ ครูยังต้องเป็นบุคลากรตัวอย่างในการประพฤติปฏิบัติตนอย่างมีคุณธรรมและจริยธรรม เป็นที่ยกย่องของผู้คนในสังคม และเป็นต้นแบบที่ดีให้แก่ศิษย์ได้ดำเนินรอยตาม เพื่อเป็นคนเก่งคนดี มีความทันสมัย มีคุณธรรมประจำใจ และเป็นอนาคตของชาติ

“เนื่องในโอกาสวันครูครั้งที่ 65 พุทธศักราช 2564 ผมขอส่งความปรารถนาดี และกำลังใจมายังคณาจารย์ ครู บุคลากรทางการศึกษา ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนพร้อมทั้งขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อีกทั้งเดชะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้ทุกท่านประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีกำลังกาย กำลังใจที่เข้มแข็ง และสัมฤทธิผลในสิ่งที่พึงปรารถนาทุกประการโดยทั่วกัน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

‘แรมโบ้’ ยืนยัน เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เคยฉวยโอกาสจับแกนนำผู้ชุมนุม หลัง ‘รังสิมันต์’ ออกโรงปกป้อง สวนกลับ สมองคิดแต่จะสนับสนุนหรือปกป้องคนจาบจ้วงสถาบัน

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และโฆษก กมธ.กฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน โพสต์เฟซบุ๊ก นายสิริชัย นาถึง หรือนิว แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม พ่นสีพระบรมฉายาลักษณ์ เขียนข้อความปล่อยเพื่อนเราไม่ผิดกฎหมาย ม.112 ว่า

ตำรวจไม่ได้ฉวยโอกาสจับใคร หรือซ้ำเติมกับประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะกับแกนนำผู้ชุมนุม แต่ตำรวจต้องทำตามกฎหมายจับกุมผู้ที่กระทำความผิดทุกคน รวมถึงได้ทำงานอย่างหนักในการปราบปรามลักลอบขนแรงงานข้ามประเทศ บ่อนการพนัน หรือยาเสพติด เพียงแต่คนอย่างนายรังสิมันต์มีแนวความคิดสนับสนุนกลุ่มคนที่คิดจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงไม่เคยคิดออกมาห้ามปรามคนที่ทำผิดกฎหมายมาตรา112 จึงพยายามกล่าวหาเจ้าหน้าที่และปกป้องคนที่จาบจ้วงก้าวล่วงสถาบันตลอดมา

นายสุภรณ์ กล่าวว่า นายรังสิมันต์เป็นถึงโฆษก กมธ.กฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน แต่กลับปกป้องคนที่ทำผิดกฎหมายและอ้างว่าการชุมนุมเป็นไปตามสิทธิเสรีภาพ ในการชุมนุมสาธารณะแต่การชุมนุมที่ไปละเมิดคนอื่นกลับมองไม่เห็น ยิ่งกระทำความผิดกฎหมายตามมาตรา112 ทำให้กระทบกระเทือนจิตใจของคนไทยส่วนใหญ่ที่จงรักภักดี ทำไมพรรคก้าวไกลไม่เคยคิดออกมาห้ามบ้าง หรือว่าเป็นอีแอบตัวจริงที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังให้คนเหล่านี้กระทำความผิดมาตรา112

ตนเข้าใจว่านายรังสิมันต์เคยเป็นนักเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน ก็ต้องปกป้องกันแต่ขณะนี้นายรังสิมันต์มีสถานะที่เป็นถึง ส.ส.ซึ่งเป็นผู้แทนของประชาชนเข้ามาทำหน้าที่ในสภาฯและยังได้เป็นโฆษก กมธ.กฎหมายฯเวลาที่จะทำอะไร หรือจะปกป้องใครขอให้ใช้สมองคิดตริตรองให้ดีเสียก่อนว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ และก็ควรให้เกียรติกับตำแหน่ง ส.ส.ที่ตนเองเป็นอยู่ด้วย

“หากนายรังสิมันต์ไม่อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมแกนนำผู้ชุมนุมที่ทำผิดกฎหมาย นายรังสิมันต์ในฐานะโฆษก กมธ.กฎหมาย ก็ควรไปขอให้แกนนำยุติการชุมนุม และขอให้แกนนำอย่าทำผิดกฎหมาย อย่าให้ร้าย ก้าวล่วงสถาบันในทุกรูปแบบ ทำแบบนี้ถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ตนยืนยันมาตรา112 ไม่เคยไปใช้รังแกใคร มีแต่คนที่ไม่หวังดีต่อสถาบัน คิดร้ายต่อสถาบันไปท้าทายฝ่าฝืนกฎหมายมาตรา112 เสียเอง ดังนั้นบ้านเมืองมีขื่อมีแปร กฎหมายต้องเป็นกฎหมายเจ้าหน้าที่ต้องบังคับใช้อย่างเข้มงวดและเด็ดขาด"นายสุภรณ์กล่าว

‘เทพไท’ เตรียมชง ประชาธิปัตย์ ส่งผู้ว่าฯ กทม. ในนามพรรค แย้ม 4 รายชื่อเหมาะลงสมัคร "องอาจ-สามารถ-พนิต-ปริญญ์" พร้อมยืนยันไม่มีการฮั้วทางการเมืองกับพรรคหรือกลุ่มการเมืองใด ๆ

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง การเปิดตัวผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.)ในขณะนี้ว่า หลังจากคณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นขึ้นตามลำดับ ส่วน กทม.ซึ่งเป็นการปกครองรูปแบบพิเศษ ก็จะมีการเลือกตั้งด้วย จึงทำให้มีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.กันอย่างคึกคักจำนวนหลายคน

ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ และเคยเป็นผู้บริหาร กทม.มาหลายสมัย แต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ออกมา อาจจะทำให้สมาชิกพรรค แฟนพันธุ์แท้ หรือกลุ่มผู้สนับสนุนพรรค เกิดคำถามได้ว่าทางพรรคประชาธิปัตย์จะส่งผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ในนามพรรคหรือไม่

ซึ่งเรื่องนี้โดยหลักการแล้ว พรรคประชาธิปัตย์จะต้องส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.อย่างแน่นอน เพราะเป็นพรรคการเมืองที่เคยครองพื้นที่ กทม.อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนาน มีฐานเสียงในเขตพื้นที่ กทม.หนาแน่นและเป็นอุดมการณ์ของพรรคที่สนับสนุนหลักการกระจายอำนาจอย่างชัดเจน ซึ่งมั่นใจว่าคณะกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ จะมีมติส่งผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ในนามพรรคอย่างแน่นอน ยืนยันได้ว่าจะไม่มีการฮั้วทางการเมืองกับพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองใดๆ จนทำให้สมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนพรรค ต้องผิดหวังอย่างเด็ดขาด

ส่วนตัวจะนำเสนอเรื่องนี้ต่อคณะกรรมการบริหารพรรคให้มีการประชุมพิจารณา และมีมติโดยเร็วที่สุด เพื่อให้สมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนได้เตรียมตัวรณรงค์หาเสียง ให้กับผู้สมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งในขณะนี้ทางพรรคมีสมาชิกพรรคที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ทางด้านการเมือง การบริหารงาน กทม.หลายคน ที่สามารถลงสมัครเป็นผู้ว่าฯกทม.ได้

เช่น 1.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค เป็น ส.ส.กทม.มาหลายสมัย เป็นอดีตรัฐมนตรี เป็นส.ส.ที่รู้ปัญหาพื้นที่ กทม.มากที่สุดคนหนึ่ง

2.) นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรค เป็นอดีต ส.ส. และเป็นอดีตรองผู้ว่าฯกทม. ที่มีความเชียวชาญด้านการขนส่งและการจราจรมากที่สุดคนหนึ่ง มีความเหมาะสมที่จะบริหาร กทม.เพื่อแก้ปัญหารถติด และรถไฟฟ้าทุกระบบ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของ กทม.ในปัจจุบัน

3.) นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ เคยเป็นรองผู้ว่าฯกทม.สมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าฯ เป็นมีประสบการณ์การบริหารทั้งภาครัฐและเอกชน มีความรู้ทางด้านการเงินการคลังเป็นพิเศษ สามารถเข้ามาบริหารงบประมาณของ กทม.ปีละ1แสนล้านได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

4.) นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรค เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ ไฟแรง เหมาะสมกับยุคสมัยปัจจุบัน มีประสบการณ์ด้านการบริหารระดับสูงภาคเอกชนมาก่อน มีความพร้อมทั้งด้านคุณวุฒิ วัยวุฒิ และชาติวุฒิ

นายเทพไท กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ทางพรรคยังมีบุคคลภายนอก ที่มีชื่อเสียงและประวัติการทำงานที่โดดเด่น มีความสนใจได้เสนอตัวเป็นผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคประชาธิปัตย์อีกหลายคน แต่เบื้องต้นตนจะขอเสนอให้คณะกรรมการบริหารพรรค พิจารณาผู้เหมาะสมจากบุคคลภายในพรรคก่อน ก่อนที่จะพิจารณาผู้เหมาะสมจากบุคคลภายนอกต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top