Friday, 4 July 2025
NEWS FEED

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ เปิดผลงาน ‘ดีอี’ ลุยปราบโจรออนไลน์ เดินหน้าปิดกั้นโซเชียลมีเดีย-เพจ-เว็บไซต์ผิดกฎหมาย ‘ไตรมาสแรก’68’ แล้วกว่า 52,691 รายการ เพิ่มมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเกือบเท่าตัว 

(9 ม.ค. 68) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดีอี ได้เร่งรัดการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล นางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะการปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ และเว็บไซต์ URLs ผิดกฎหมายทุกรูปแบบ เพื่อเป็นการตัดวงจรช่องทางการก่ออาชญากรรมที่สำคัญของขบวนการมิจฉาชีพ ทั้งนี้ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2568 ตั้งแต่เดือนตุลาคม – ธันวาคม 2567 (ระยะเวลา 3 เดือน) กระทรวงดีอี ได้ดำเนินการปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ และเว็บไซต์ URLs ผิดกฎหมายแล้ว 52,691 รายการ หรือเฉลี่ย 17,564 รายการต่อเดือน เพิ่มขึ้น 0.69 เท่าตัว จากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ 2567 (ตุลาคม – ธันวาคม 2566) ที่ปิดกั้น 31,154 รายการ หรือ เฉลี่ย 10,385 รายการต่อเดือน

สำหรับประเภทของการปิดกั้นในระยะเวลา 3 เดือน ( ตุลาคม – ธันวาคม 2567) มีดังนี้ พนันออนไลน์ จำนวน 14,010 รายการ เพิ่มขึ้น 0.163 เท่า จากช่วงเวลาเดียวกันก่อนหน้านี้ (ตุลาคม – ธันวาคม 2566) ที่มีจำนวน 12,045 รายการ , บิดเบือน/หลอกลวงออนไลน์ จำนวน 22,826 รายการ เพิ่มขึ้น 1.287 เท่า จากช่วงเวลาเดียวกันก่อนหน้านี้ (ตุลาคม – ธันวาคม 2566) ที่มีจำนวน 17,750 รายการ , อื่นๆ จำนวน 15,855 รายการ เพิ่มขึ้น 10.66 เท่า จากช่วงเวลาเดียวกันก่อนหน้านี้ (ตุลาคม – ธันวาคม 2566) ที่มีจำนวน 1,359 รายการ

“จากการบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเฝ้าระวัง ตรวจสอบติดตามอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ทำให้สถิติการปิดกั้นมีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวของปีงบประมาณก่อนหน้า พร้อมกันนี้กระทรวงดีอี ยังได้ติดตามตรวจสอบขั้นตอนการดำเนินการตามกฎหมายในการระงับการทำให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์ ภายหลังจากที่แจ้งคำสั่งศาลไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และแพลตฟอร์มทราบแล้วด้วย เพื่อให้การปิดกั้นเว็บไซต์เป็นไปตามคำสั่งศาล โดยหากกรณีที่ยังพบเว็บไซต์บางรายการที่ยังไม่ปิดกั้น / ระงับการเผยแพร่ ถือเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล มีความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งหากพบการฝ่าฝืนดังกล่าว กระทรวงฯ จะนำผลการตรวจสอบการไม่ระงับ / ไม่ปิดกั้นเว็บไซต์ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต แพลตฟอร์มด้วยระบบการจัดเก็บทางคอมพิวเตอร์ ไปทำการปรับพินัยฐานไม่ปิด ‘เว็บผิดกฎหมาย’ ต่อไป” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าว

ชื่นชม ‘อิน - เอม ทองแตง’ เยาวชนดีเด่นประจำปี 68 สองพี่น้องหัวใจอนุรักษ์ ผู้ก่อตั้ง ‘Below the Tides’

ชื่นชม น้องอิน-น้องเอม อริณชย์ - อริสา ทองแตง สองเยาวชนคนเก่ง นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรุ่นเยาว์ ผู้ก่อตั้ง Below the Tides รับรางวัลเด็กและเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2568

เมื่อวันที่ (8 ม.ค. 68) สองเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2568 นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรุ่นเยาว์ ที่มีผลงานด้านสิ่งแวดล้อม และได้รับรางวัลมากมายทั้งระดับชาติและระดับนานาชาติ น้องอิน อริณชย์ ทองแตง อายุ 17 ปี น้องเอม อริสา ทองแตง อายุ 15 ปี จากโรงเรียนนานาชาติ Shrewsbury ผู้ก่อตั้ง Below the Tides เข้ารับรางวัลพร้อมรับฟังโอวาทจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยนายกฯ มอบโอวาท เด็กและเยาวชนดีเด่น และนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ ขอให้ทุกคนภาคภูมิใจ มีสติ และรู้คุณค่าในตัวเอง รัฐบาลพร้อมสนับสนุนด้านการศึกษา และอาชีพ

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบโอวาทให้กับเด็กและเยาวชนดีเด่น , เด็กและเยาวชนที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติที่มีผลงานโดดเด่น จำนวน 1,292 คน จากทั่วประเทศ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2568 โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมเด็ก และเยาวชน ทุกคนที่ได้รางวัลในสาขาต่าง ๆ ขอให้ทุกคนมีความภูมิใจในตัวเอง ถ้าทุกคนรวมกลุ่มกันคิดในเรื่องที่ดี ทำในเรื่องที่ดี จะเป็นกำลังสำคัญให้กับประเทศชาติอย่างแน่นอน และอยากให้รู้ว่าทุกคนมีคุณค่ากับประเทศชาติ เมื่อโตขึ้นไปจะเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด สิ่งที่ไม่ได้วางแผนไว้ ดังนั้น ขอให้ทุกคนมีความยืดหยุ่นในตัวเอง และพร้อมที่จะปรับตัวอยู่เสมอ เพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ส่วนตนเองที่มาอยู่ตรงนี้ก็ผ่านการเป็นเยาวชนมาแล้ว และเมื่อรู้คุณค่าของตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งที่สุด สวยที่สุด รวยที่สุด และอย่าลืมขอบคุณตัวเอง ซึ่งการที่ย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่ามีคุณค่า จะโตขึ้นไปด้วยใจที่แข็งแรง ไม่มีใครเข้ามาเปลี่ยนความคิดตรงนี้ได้ ทำให้รู้สึกด้อยค่า หรือไม่มีค่า จึงอยากให้ทุกคนมีต้นทุนตรงนี้ไว้ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง 

ขณะเดียวกัน สังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง มีสติ เพราะเป็นกฎในการดำเนินชีวิตที่ถ้ามีสติก็จะเข้าใจปัญหานั้น และรับมือได้ดี ขอให้เติบโตขึ้นไปอย่างมีสติ รู้คุณค่าของตัวเอง และพร้อมที่จะพัฒนาประเทศชาติต่อไป มั่นใจว่า ทุกคนเป็นความภาคภูมิใจให้กับครอบครัว ขอให้นำความภาคภูมิใจนี้ไปต่อยอดขึ้นไปอีกในชีวิต พร้อมย้ำว่า รัฐบาลจะสนับสนุนทุกคนในเรื่องของการศึกษา การประกอบอาชีพ หรือหางานทำใหม่ ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลพยายามสนับสนุนอย่างรอบด้าน และปีใหม่นี้ขอให้ประสบความสำเร็จ อะไรที่ตั้งใจไว้ก็ขอให้สำเร็จ ขอให้มีความภาคภูมิใจในตนเองในทุกวัน ขณะที่ เด็กและเยาวชนที่ได้รับคัดเลือกรางวัลดีเด่นด้านกีฬา และนันทนาการ และด้านวิชาการ กล่าวว่า รู้สึกปลาบปลื้มดีใจ ภาคภูมิใจ ที่ได้รับรางวัล เพราะก่อนหน้านี้จะต้องพยายามฝึกฝนอย่างหนัก ลงแข่งในหลายสนาม เพื่อที่จะให้ผลการแข่งขันนั้นประสบผลสำเร็จ และอยากเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากเล่นกีฬา อยากทำความดี ให้มีความกล้า มีความพยายาม และทำให้เต็มที่

ขณะที่ผู้แทนเด็กและเยาวชน ได้มอบของขวัญที่ระลึกให้กับนายกรัฐมนตรี เช่น สร้อยคอลูกปัดโนรา ภาพวาด ภาพถ่าย การ์ดอวยพร ตุ๊กตาลาบูบู้ที่สวมชุดแบรนด์เนม พร้อมข้อความว่า “น้ำอุ่นรักนายก” ขนมและผลิตภัณฑ์ชุมชน เป็นต้น โดยนายกรัฐมนตรี ได้เดินทักทายเด็กและเยาวชน และร่วมเซลฟี่ รวมถึงได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกที่บริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลอย่างเป็นกันเอง

ทั้งนี้ น้องอิน-น้องเอม อริณชย์ - อริสา ทองแตง สองเยาวชนคนเก่ง นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรุ่นเยาว์ ผู้ก่อตั้ง Below the Tides กล่าวว่า มีความยินดีและภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่ได้รับรางวัลเด็กและเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2568 พร้อมยืนยันจะมุ่งมั่นเดินหน้าการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการทำสาธารณประโยชน์ในมิติต่างๆ ต่อไป

รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ร่วมกิจกรรม 'รักษ์ทะเลไทย' ตามแนวพระดำริ 

เมื่อวันที่ (7 ม.ค.68) เวลา 08.00 น. มูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา จัดกิจกรรม 'รักษ์ทะเลไทย ตามแนวพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา'  เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ 38 พรรษา ณ หาดเตยงาม หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยมี พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธี 

ในการนี้ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ให้การสนับสนุนรถยนต์พยาบาล จำนวน 1 คัน พร้อมแพทย์ พยาบาล ยา และเวชภัณฑ์ รวมถึงสนับสนุนออกหน่วยรับบริจาคโลหิตเฉลิมพระเกียรติฯ 

ทั้งนี้ น.อ.พัลลภ สุภากรณ์ รอง ผอ.รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พร้อมด้วย น.อ.หญิง สุชวี แสงรัตนกุล หน.กลุ่มงานเทคนิคการแพทย์ ให้การต้อนรับ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมหน่วยรับบริจาคโลหิต ในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือน 5 ภัยออนไลน์ วายร้ายทำลายเด็ก ที่ผู้ปกครองต้องตรวจสอบก่อนจะสายเกินไป 

(9 ม.ค. 68) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ประกอบกับวันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2568 ที่จะถึงนี้ เป็นวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม ซึ่งเป็นวันเด็กแห่งชาติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอเตือนภัยพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานอยู่ในความดูแล ให้หมั่นตรวจสอบ และระมัดระวังบุตรหลานของท่าน ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของภัยออนไลน์ที่มีเป้าหมายหลักเป็นเด็กและเยาวชน ดังต่อไปนี้

1. การล่อลวงออนไลน์ - คนร้ายสร้างความไว้วางใจกับเด็ก ผ่านเกมหรือสื่อสังคมออนไลน์ แล้วพยายามนัดพบตัวจริง เพื่อล่วงละเมิดทางเพศ

2. การหลอกถ่ายคลิปลามก - คนร้ายหลอกล่อเด็กให้ถ่ายภาพหรือคลิปลามกส่งให้กับคนร้าย จากนั้นนำภาพหรือคลิปลามกไปขาย หรือนำมาแบล็กเมล์ เรียกเอาเงินจากผู้ปกครอง

3. การกลั่นแกล้งทางออนไลน์ - การที่เด็กถูกกลั่นแกล้งในสื่อสังคมออนไลน์ จากการโพสต์ข้อความหรือรูปภาพที่ทำให้เสียหาย

4. การหลอกลวงซื้อขายสินค้า - คนร้ายหลอกลวงให้เด็กโอนเงินซื้อสินค้า ผ่านเกมหรือสื่อสังคมออนไลน์ แล้วไม่ส่งของให้

5. การเข้าถึงเนื้อหาไม่เหมาะสม - การที่เด็กเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เช่น ความรุนแรง ภาพลามก การพนันออนไลน์ ซึ่งมักจะเกิดจากการคลิกโฆษณา หรือการค้นหาโดยไม่ตั้งใจ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอให้พ่อแม่และผู้ปกครอง ติดตามพฤติกรรมการใช้อินเตอร์เน็ตของบุตรหลานของท่านอยู่เสมอ และเปิดใช้งานเครื่องมือในการกรองเนื้อหาสำหรับเด็กในแอปพลิเคชันหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัย รวมไปถึงการให้ความรู้กับเด็กและเยาวชนเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ เพื่อให้รู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อ

หากบุตรหลานของท่านตกเป็นเหยื่อ หรือได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมออนไลน์รูปแบบต่าง ๆ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ หรือแจ้งความออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือ สายด่วน 1441 ได้ ตลอด 24 ชั่วโมง

จุฬาเปิดตัว 'ChulaGENIE' คู่แข่งแชทจีพีที ตั้งเป้าปีนี้เปิดให้คนทั่วไปใช้งาน

(9 ม.ค.68) ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มหาวิทยาลัยได้เตรียมความพร้อมโดยร่วมมือกับ World Economic Forum (WEF) นำเสนอรายงาน The Future of Jobs 2025 เพื่อเสนอแนวทางรับมือการเปลี่ยนแปลงด้านทักษะและอาชีพในช่วงปี 2568–2573  

นอกจากนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังได้พัฒนานวัตกรรมใหม่ด้วยการร่วมมือกับ Google Cloud สร้างแพลตฟอร์มเจนเนอเรทีฟเอไอ (Generative AI) ภายใต้ชื่อ ChulaGENIE ที่มีความสามารถคล้ายกับ ChatGPT โดยมุ่งสนับสนุนการทำงานของบุคลากรในมหาวิทยาลัย โดยเริ่มเปิดทดลองใช้งานเมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา  

ดร.วิเลิศ อธิบายว่า ChulaGENIE มีความพิเศษแตกต่างจากแพลตฟอร์ม AI อื่น ๆ ตรงที่ไม่ได้ตอบคำถามเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถให้คำแนะนำเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องได้ด้วย ปัจจุบันการใช้งานยังจำกัดเฉพาะบุคลากรและนักศึกษาภายในจุฬาฯ แต่ในอีก 2–3 เดือนข้างหน้า มีแผนจะขยายกลุ่มผู้ใช้งานให้กว้างขึ้น โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและการยืนยันตัวตนผู้ใช้เป็นหลัก  

ในระยะยาว มหาวิทยาลัยมีแผนขยายการใช้งาน ChulaGENIE สู่ประชาชนทั่วไป พร้อมวางเป้าหมายเปิดให้บริการในรูปแบบสาธารณะภายในปี 2568 โดยมุ่งเน้นการต่อยอดแพลตฟอร์มเพื่อสร้างโอกาสการพัฒนาเทคโนโลยีที่ยั่งยืน  

“ประเทศไทยไม่ควรหยุดอยู่เพียงการใช้งาน AI แต่ควรก้าวสู่การเป็นเจ้าของและผู้พัฒนาเทคโนโลยีเอง เพื่อสร้างความยั่งยืนรอบด้านและรองรับเทรนด์โลกในอนาคต” ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ กล่าวทิ้งท้าย

จุฬาฯ เติมหลักสูตร Non-Degree จบได้ใน 6 เดือนรับตลาดแรงงานอนาคตโลก

(9 ม.ค. 68) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมมือกับ World Economic Forum เผยรายงาน Future of Jobs 2025 ชี้ให้เห็นว่าอีก 5 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีจะเปลี่ยนโฉมตลาดแรงงานอย่างมหาศาล โดยอาชีพเก่าอาจหายไปถึง 92 ล้านตำแหน่ง ขณะเดียวกัน อาชีพใหม่ที่อาศัยทักษะด้าน AI และ Big Data จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด มหาวิทยาลัยต้องเร่งปรับตัว โดยการออกแบบหลักสูตรระยะสั้น เพื่อสร้างบุคลากรที่มีทักษะเหนือกว่า AI  

ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า รายงานนี้อ้างอิงจากการสำรวจบริษัทกว่า 1,000 แห่ง ครอบคลุมพนักงาน 14 ล้านคนใน 22 อุตสาหกรรม และ 55 ประเทศทั่วโลก โดยมีข้อมูลสำคัญดังนี้  ตำแหน่งงานใหม่ 170 ล้านตำแหน่ง จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม,  92 ล้านตำแหน่งงานจะหายไป เนื่องจากระบบอัตโนมัติและการปรับตัวของเศรษฐกิจ, การเติบโตสุทธิของการจ้างงานทั่วโลก จะอยู่ที่ 7% หรือประมาณ 78 ล้านตำแหน่ง  

อย่างไรก็ตาม งานบางส่วนที่ถูกดิสรัปไม่ได้หายไปโดยสิ้นเชิง แต่เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นดิจิทัล โดยต้องการแรงงานที่มีทักษะรอบด้านและสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ  

ปัจจัยสำคัญเปลี่ยนโฉมตลาดแรงงานในปี 2573  รายงานยังชี้ถึง 5 ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน ได้แก่:  
1. การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เช่น AI หุ่นยนต์ และนวัตกรรมด้านพลังงาน  
2. สิ่งแวดล้อม การรับมือกับสภาพภูมิอากาศสร้างความต้องการแรงงานด้านพลังงานหมุนเวียน  
3. ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ค่าใช้จ่ายและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ  
4. การเปลี่ยนแปลงด้านประชากร เช่น ประชากรสูงอายุในประเทศพัฒนาแล้ว  
5. ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก การค้าระหว่างประเทศและข้อจำกัดทางการค้า  

ขณะที่ 10 ทักษะในอนาคตของประเทศไทยและประเทศต่างๆทั่วโลกภายในปี  2573 ประกอบด้วย

ทักษะด้าน AI และ Big Data
Analytical thinking ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์
Creative thinking ทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์
Networks and cybersecurity ทักษะด้านเครือข่าย และความปลอดภัยทางข้อมูล
Leadership and social influence มีความเป็นผู้นำ และสร้างอิทธิพลต่อสังคมได้
Resilience, flexibility and agility ปรับตัวไว ทำงานอย่างยืดหยุ่น และคล่องตัว
Empathy and active listening มีความเห็นอกเห็นใจ และมีทักษะในการรับฟัง
Motivation and self-awareness มีความเข้าใจตนเอง และมีแรงจูงใจในการทำงาน
Talent management ทักษะด้านการบริหารจัดการคนเก่งในองค์กร
Curiosity and lifelong learning มีความช่างสงสัย ใฝ่เรียนรู้ตลอดชีวิต

ในปี 2573 ทักษะในอนาคตของประเทศไทยและประเทศต่างๆทั่วโลก โดยในไทย ทักษะที่โดดเด่น คือ ทักษะด้าน AI และ Big Data ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ ทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์ ทักษะด้านเครือข่ายและความปลอดภัยทางข้อมูล ในขณะที่ระดับโลกเน้นทักษะด้าน AI และ Big Data ทักษะด้านเครือข่ายและความปลอดภัยทางข้อมูล ความฉลาดในการใช้งานเทคโนโลยี และทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์

กลยุทธ์สำคัญ 4 ประการสำหรับประเทศไทย

1. สร้างการเปลี่ยนแปลง แบบ Holistic Skill Change:ยกเครื่องการ upskill ของบุคลากรในมิติไม่ใช่ทักษะใดทักษะหนึ่งเท่านั้น
2. สร้างองค์กร ให้เป็น Future-Ready Organization: มีระบบการพัฒนาทักษะอนาคตของบุคลากร
3. Human Replacement: งานที่ซ้ำชากควรเลิกใช้คนและทดแทนด้วยระบบ Automation 
4. Enhancing Dynamic Work Role: มีการส่งเสริมให้ไม่ยึดติดกับบทบาทการทำงานในแบบเดิมๆ แต่มีการปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร กล่าวเพิ่มเติมว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมุ่งสู่การเป็น The University of AI โดยมีเป้าหมายในการสร้าง คนพันธุ์ใหม่ หรือ ‘Future Human’ ที่ไม่เพียงแค่มีความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) แต่ยังต้องมีทักษะพิเศษอย่าง II (Instinctual Intelligence) หรือ ‘ปัญญาสัญชาตญาณ’ ที่สามารถสร้างสรรค์ความรู้ที่ไม่สามารถประดิษฐ์ขึ้นได้ การเป็น ‘คนพันธุ์ใหม่’ ไม่ใช่แค่การมีสมองที่เฉลียวฉลาด แต่ยังต้องมีหัวใจที่ดีงาม เพื่อใช้พลังของเทคโนโลยีในการสร้างคุณค่าทั้งต่อตนเองและสังคม”

ประเทศไทยยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นในการเรียนรู้และพัฒนา AI โดยให้ความสำคัญกับการ Reskill และ Upskill เพื่อเตรียมแรงงานให้พร้อมสำหรับ "งานแห่งอนาคต" ซึ่งบุคลากรต้องมีทักษะที่หลากหลายและสามารถนำไปใช้ได้จริง

“สิ่งที่สามารถเอาชนะปัญญาประดิษฐ์ได้คือปัญญาสัญชาตญาณ ความเข้าใจโลก และการฝึกฝนจนชำนาญ” ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ กล่าว

ดร.วิเลิศเน้นย้ำว่า มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนบทบาทจากการสอนปริญญา 2-4 ปี มาเป็นหลักสูตรระยะสั้นที่ใช้เวลาเพียง 6 เดือน และมุ่งเน้นสร้าง “skill incubator” เพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นในอนาคต โดยเน้นการสอนที่สามารถปรับตัวตามเทคโนโลยีและตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงาน

“มหาวิทยาลัยต้องสร้างบุคลากรที่ไม่เพียงแค่มีความรู้ แต่ต้องมีความฉลาดที่ไม่ล้าสมัย” ดร.วิเลิศ กล่าวเพิ่มเติม

ดร.วิเลิศระบุว่า ปัจจุบันหลักสูตรการศึกษาที่เน้นปริญญาและใช้เวลา 2-4 ปีไม่ตอบโจทย์ตลาดแรงงานในอนาคตอีกต่อไป มหาวิทยาลัยต้องจัดให้มีหลักสูตร Non-degree ที่เน้นการศึกษาระยะสั้น 6 เดือน เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยการถ่ายทอดความรู้ผ่านเทคโนโลยี AI และเข้าใจศักยภาพของผู้เรียน การเปลี่ยนสถาบันให้เป็น “skill incubator” จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยต้องมุ่งบ่มเพาะพรสวรรค์และพัฒนาทักษะแห่งอนาคตให้แก่บุคลากร เพื่อให้พวกเขาเข้าใจศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ มหาวิทยาลัยต้องเป็นสถาบันที่ไม่เพียงแต่สอนความรู้ แต่ต้องเน้นการพัฒนาความฉลาดที่สามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างยั่งยืน

“วันนี้หากประเทศไทยต้องการคนที่มีทักษะใหม่ๆ ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจากปริญญาตรี แต่อาจนำคนที่จบปริญญาตรีแล้วมาพัฒนาทักษะเพิ่มในเวลา 6 เดือน การศึกษาของมหาวิทยาลัยไม่ใช่แค่การถ่ายทอดความรู้ แต่ต้องนำความรู้เหล่านั้นไปสู่สังคม ทั้งในหลักสูตร Degree และ Non-degree”

โรงเรียนดุริยางค์ทหารบก ใช้ไอเดียคุกกี้กล่องแดง เปิดรับสมัครนักเรียนประจำปี 2568

(9 ม.ค.68) เพจ หมวดดุริยางค์ มณฑลทหารบกที่ 13 จ.ลพบุรี สร้างกระแสไวรัลสุดฮือฮาหลังประกาศรับสมัครนักเรียนดุริยางค์ทหารบก ด้วยไอเดียโฆษณาสุดสร้างสรรค์ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม  

ประกาศรับสมัครในครั้งนี้ไม่ได้มาแบบธรรมดา เพราะทางโรงเรียนดุริยางค์ทหารบกเลือกใช้ คุกกี้กล่องแดงในตำนาน เป็นพื้นหลังในป้ายโฆษณา พร้อมใส่ภาพวงดุริยางค์ทหารบกและรายละเอียดการรับสมัครอย่างครบถ้วน อ่านง่าย ดึงดูดสายตา จนทำให้โพสต์นี้กลายเป็นไวรัลในเวลาอันรวดเร็ว  

สำหรับผู้ที่สนใจสมัครเข้าเป็นนักเรียนดุริยางค์ทหารบก ประจำปีการศึกษา 2568 สามารถสมัครได้ตั้งแต่ วันนี้ - 28 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่านระบบออนไลน์เท่านั้นที่เว็บไซต์  
(https://rtasm.thaijobjob.com/202412/index.php)  

รายละเอียดการติดต่อเพิ่มเติม  
Facebook:  
- โรงเรียนดุริยางค์ทหารบก  
- นักเรียนดุริยางค์ทหารบก RTABS  
 โทรศัพท์:  
- 02-245-9378  
- 02-245-3373 ต่อ 89530  
- 088-994-4414 

สวนนงนุชพัทยามอบของขวัญในวันเด็กแห่งชาติปี2568 สำหรับเด็ก 3 ฟรีเที่ยวสวนสวยระดับโลก

สวนนงนุชพัทยาโดยคุณกัมพล  ตันสัจจา  ประธานสวนนงนุชพัทยา  ขอมอบประสบการณ์ความสนุกและความรู้แบบเต็มอิ่มให้กับน้องๆหนูๆ ตามคำขวัญวันเด็กที่ว่า ทุกโอกาส คือ การเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง ในวันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2568 วันเด็กแห่งชาติ ด้วยสิทธิ์พิเศษสำหรับเด็กที่มากับครอบครัว 

ทั้งนี้ 3 ฟรี ที่ทางสวนนงนุชพัทยาจัดให้ 1.บัตรผ่านประตูชมสวนฟรี 2.ชมการแสดงนงนุชโชว์และการแสดงช้างแสนรู้ฟรี 3. เข้าชมพิพิธภัณฑ์พระพุทธคุณฟรี สำหรับเด็กไทยที่มีความสูงไม่เกิน 140 เซนติเมตร พร้อมกิจกรรมอีกมากมายตลอดทั้งวัน นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เกิดในเดือนมกราคม เข้าฟรีถึง 31 มกราคม 2568

สำหรับเด็กๆพลาดไม่ได้หุบเขาไดโนเสาร์ ที่มีไดโนเสาร์มากกว่า 1,700 ตัว และยังมีสวนสวยมากกว่า 60 สวน อาทิเช่น สวนตะบองเพชร1,2 สวนกล้วยไม้ สวนรถ เนิร์สเซอรี่ไม้ภายใน  และยังมีสถานที่สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิให้ได้ชมอีกมากมาย เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 08.00 น. – 18.00 น. สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.nongnoochpattaya.com 

ลิซ่า จับมือ Erewhon เปิดตัวเมนูพิเศษ 'Thai Up The World' พาชาไทย สู่เวทีโลก

(8 ม.ค.68) 'ลิซ่า' ลลิษา มโนบาล ยังคงตอกย้ำบทบาทของเธอในฐานะตัวแทน Soft Power ของไทย ล่าสุดเธอได้เปิดตัวเมนูชาไทยสูตรพิเศษ 'Thai Up The World by Lisa' ร่วมกับ Erewhon ซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อสุขภาพระดับไฮเอนด์ของสหรัฐอเมริกา โดยเมนูนี้ถือเป็นการนำชาไทยแบบดั้งเดิมมายกระดับใหม่ ผสมผสานวัตถุดิบออร์แกนิกระดับพรีเมียมที่เหมาะสำหรับสายรักสุขภาพ 

เมนู 'Thai Up The World' ใช้ส่วนผสมที่ลงตัว เช่น Just Iced Tea ชาดำออริจินัลแบบไม่หวาน, Clover Sonoma ครีมออร์แกนิกจากฟาร์มโคนมในแคลิฟอร์เนีย, เมเปิ้ลไซรัปออร์แกนิก, ผงวานิลลา และ ARMRA Colostrum™ โปรตีนเสริมสุขภาพ เมนูนี้มีรสชาติที่กลมกล่อมและยังคงเอกลักษณ์ของชาไทยแบบดั้งเดิมไว้ พร้อมจำหน่ายในราคา 11 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 380 บาท) โดยวางขายที่ Erewhon จนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์นี้เท่านั้น 

นอกจากจะสร้างความประทับใจในวงการเครื่องดื่ม ลิซ่าและ Erewhon ยังร่วมสนับสนุนองค์กร Best Friend Animal Society องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ช่วยเหลือสัตว์ถูกทอดทิ้งและยุติการฆ่าสัตว์อีกด้วย ซึ่งเป็นการสะท้อนความตั้งใจของลิซ่าในการใช้ชื่อเสียงเพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคม

ก่อนหน้านี้ ลิซ่าเคยสร้างไวรัลด้วยการโชว์ทำเมนูข้าวไข่เจียวและพริกน้ำปลาผ่านความร่วมมือกับ Spotify และในครั้งนี้ เมนูชาไทยของเธอกับ Erewhon ยิ่งทำให้วัฒนธรรมอาหารไทยโดดเด่นในเวทีโลก นับว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งของการใช้ Soft Power ในการโปรโมตประเทศไทยผ่านอาหารไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

แฟนๆ สามารถลองเมนูนี้พร้อมชมซีรีส์ดังอย่าง The White Lotus ซีซั่น 3 ที่มีลิซ่าร่วมแสดง เพิ่มอรรถรสให้กับประสบการณ์การดื่มเมนู 'Thai Up The World by Lisa' ได้อีกด้วย

สวนนงนุชพัทยา จับมือ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากประเทศจีน  ลงนามความร่วมมือการพัฒนาสายพันธุ์ดอกเฟื่องฟ้า ใหม่ไปทั่วโลก

วันนี้ เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมเฟื่องฟ้า โดยนายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา พร้อมด้วย บริษัท Sanya Yazhou Bay Science and Technology City Investment Holding Co., Ltd. สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง(MOU)ว่าด้วยกรอบการสื่อสารความร่วมมือ เพื่อจะสร้างพันธุกรรม รวบรวม วิจัย และพัฒนาพันธุ์ดอกเฟื่องฟ้า ใหม่ไปทั่วโลก

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูล,พันธุกรรม,พัฒนาเทคนิคการเพาะพันธุ์,การพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ๆ และสร้างแพลตฟอร์มแบ่งปันข้อมูลสำหรับสถานที่จัดเก็บพันธุ์ดอกเฟื่องฟ้าร่วมกัน อีกทั้งร่วมแก้ไขและเผยแพร่ "รายชื่อพันธุ์ไม้ดอกเฟื่องฟ้าโลก" ก่อนปี 2570  ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้ทั้ง 2 แห่งนี้มีจำนวนสายพันธุ์และสายพันธุ์ใหม่ๆของต้นเฟื่องฟ้ามากที่สุดในโลก  โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2571

ทั้งนี้สำหรับ Hainan Sanya Bougainvillea Science and Technology Park เป็นสวนวิทยาศาสตร์และนิทรรศการดอกเฟื่องฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นสถานที่เพาะพันธุ์ดอกเฟื่องฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของจีน และสวนนงนุชพัทยา เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในสิบสวนที่สวยที่สุดในโลก มีสายพันธุ์ดอกเฟื่องฟ้ามากที่สุดในโลก ทั้งสองแห่งถือว่าเป็นสถาบันมีสำคัญ และมีบุคลากรที่เชียวชาญในเรื่องของการศึกษาดอกเฟื่องฟ้าของโลก หลังจากนั้นทางคณะเดินทางไปปลูกต้นเฟื่องฟ้ายักษ์ บริเวณสวนรุกขชาติเชิงเขาบรรไดกฤษ ที่สวนนงนุชพัทยา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top