Sunday, 8 June 2025
NEWS FEED

'ดีอีเอส' เตือนอย่าเชื่อ 'คลิป-เสียง-รูปปลอม' สร้างเรื่องเสมือนจริง หลอกลวงประชาชน

นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีเทคโนโลยีปลอมเสียง ปลอมแชต ปลอมคลิป (Deepfake, Social Maker และ Fake voice) ซึ่งเป็นการปลอมแปลงข้อมูล การตัดต่อภาพ ตัดต่อข้อความ ตกแต่งเสียงพูด หรือแม้แต่การตัดต่อวิดีโอคลิปให้เหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งประชาชนควรรู้ เพื่อให้เข้าใจ รู้เท่าทัน และป้องกันการถูกใช้เป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพ หรือพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต และทรัพย์สินของผู้อื่น

“จากเทคโนโลยีดังกล่าว ทำให้กลุ่มมิจฉาชีพนำมาใช้ในการแชตปลอม โพสต์ปลอม ผ่าน 'Social Maker' ที่สร้างโพสต์ปลอม, ข้อความปลอม, ความคิดเห็นปลอม และสร้างโปรไฟล์ปลอม ใน 3 แพลตฟอร์ม ในโซเชียลมีเดีย คือ Facebook, Instagram และ Twitter รวมถึงโปรแกรมแชต Messenger, Message ต่าง ๆ สร้างความเข้าใจผิดและหลอกลวง เป็นภัยสังคมอยู่ในขณะนี้” นางสาวนพวรรณกล่าว

โดยการปลอมภาพคลิปด้วย Deepfake สร้างภาพความคมชัดสูง และท่าทางที่เสมือนจริงมากขึ้น การแปลงเสียง Voice changer / Jokesphone  ปลอมเสียงได้ง่ายๆ ผ่านแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่เปลี่ยนน้ำเสียง เช่น ชายเป็นหญิง หญิงเป็นชาย ผู้ใหญ่เป็นเด็ก ซึ่งการแชตปลอม, โพสต์ปลอม, ปลอมภาพคลิป, การเลียนเสียงและแปลงเสียง ที่ผู้ไม่ประสงค์ดีใช้เป็นเครื่องมือในการแอบอ้างเป็นบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์บางอย่าง หลอกลวงให้โอนเงิน ดังนั้นขอให้ประชาชนควรตรวจสอบข้อมูลทุกครั้งก่อนที่จะเชื่อ หรือแชร์ต่อ เพื่อให้มั่นใจว่า สิ่งที่คุณเห็นเป็นเรื่องจริง

วธ. ดึงสภาเด็กและเยาวชน กทม. – ผู้แทนสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทยทั่วประเทศ - ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ร่วมเวทีระดมความเห็นใช้ทุนวัฒนธรรมสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ร่วมสานพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมใหม่

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2565 เวลา 09.00 น. ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ "สานพลังเด็กและเยาวชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมใหม่ สร้างรายได้ เสริมคุณค่าและภูมิคุ้มกันทางสังคม" โดยมีนางโชติกา อัครกิจโสภากุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร วิทยากร เยาวชนผู้เข้าอบรมฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น 8 อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม

ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า ปัจจุบันสังคมไทยและสังคมโลกกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) การเกิดภาวะเงินเฟ้อ ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด สิ่งต่าง ๆ ล้วนส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและค่านิยมของคนในสังคม ซึ่งตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในปี 2565 กระทรวงวัฒนธรรมได้ปรับภาพลักษณ์เป็น “กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ” ให้เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ โดยการใช้วัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย เพื่อพลิกฟื้นงานศิลปวัฒนธรรมและพลิกโฉมประเทศไทยให้เข้มแข็ง และมั่นคงท่ามกลางความผันผวนของโลก และที่สำคัญในวาระที่ วธ. ครบรอบ 20 ปี ได้กำหนดเป้าหมายในการส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และประชาชนเข้าถึงศิลปวัฒนธรรม ส่งเสริม  ให้ใช้ศักยภาพเพื่อการสร้างสรรค์ นำวัฒนธรรมมาพัฒนาคุณภาพชีวิต ส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เป็นสังคมคุณธรรม มีความสุข มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

ดร.ยุพา กล่าวว่า ดังนั้นเพื่อเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของ วธ. รวมถึงเป็นการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและค่านิยมเชิงบวกด้านเศรษฐกิจวัฒนธรรมและชุมชนคุณธรรม เสริมสร้างความเข้มแข็ง เพื่อเป็นพลังร่วมของสังคมไทยในการขจัดสื่อร้าย ขยายสื่อดี และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กและเยาวชน โดยได้เชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์สื่อสารการตลาดและนักจิตวิทยาศาสตร์ มาถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการนำทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและมีการระดมความเห็นของเด็กและเยาวชน เพื่อนำมาเป็นแนวทางและนำมาต่อยอดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมใหม่ วธ.จึงจัดอบรมเชิงปฏิบัติการสานพลังเด็กและเยาวชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมใหม่ สร้างรายได้เสริมคุณค่าและภูมิคุ้มกันทางสังคม ระหว่างวันที่ 6 - 7 สิงหาคม 2565 โดยรูปแบบการอบรมเป็นรูปแบบผสมผสานซึ่งจัดอบรมผ่านระบบการประชุมอิเล็กทรอนิกส์ ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม และการลงพื้นที่ศึกษาดูงาน จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ ชุมชนกุฎีจีน เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และเกาะลัดอีแท่น อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ต้นแบบชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ตำรวจ PCT เปิดปฏิบัติการ ปราบบัญชีม้าทั่วประเทศ ตัดตอนเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์

(5 ส.ค.65) เวลา 13.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT เปิดเผยผลการระดมจับกุม "ผู้ที่ยินยอมให้คนร้ายใช้บัญชีธนาคารตน เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงประชาชน หรือ บัญชีม้า" ที่ถูกออกหมายจับไว้แล้วพร้อมกันทั่วประเทศ กว่า 453 หมายจับ สามารถจับกุมได้ทั้งสิ้น 193 ราย 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งการให้เร่งระดมจับกุมบัญชีม้า เนื่องจากเป็นส่วนประกอบหนึ่ง ที่มิจฉาชีพนำไปใช้ในการหลอกลวง และไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงประเภทใด ล้วนแล้วแต่อาศัยบัญชีม้าในการโอนเงินทั้งสิ้น

ปฏิบัติการครั้งนี้ สั่งการให้ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.ภ.8 หัวหน้าชุดปฏิบัติการ PCT ชุดที่ 1 พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุรศักดิ์  สุรินทร์แก้ว ผกก.3 บก.สส.สตม. ,พ.ต.อ.ชินวุฒิ ตั้งวงศ์เลิศ ผกก.สภ.ฉิมพลี, พ.ต.ท.รัชพล รุ่งกิตติวรกุล รอง ผกก.คธม.บช.ทท. จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมกับ บช.น.,ภ.1-9 ติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับบัญชีม้า จำนวน 453 ราย ครั้งที่ 1 ช่วงวันที่ 27-30 มิ.ย.65  จับกุมได้ 75 ราย ครั้งที่ 2  25 – 27 ก.ค.2565 จับกุมได้เพิ่มอีก 118 ราย   รวมทั้งสิ้น 193 ราย  ซึ่งรวมถึงผู้ต้องหาบัญชีม้า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่หลอก พิธีกรสาว “ต้นอ้อ ภัทธีมา” สูญเงินกว่า 1 ล้านบาทด้วย 

ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้นั้น เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์รูปแบบต่างๆ ยังคงใช้เป็นเครื่องมือหลอกลวงประชาชนให้สูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก โดยต่อจากนี้จะมีการเร่งรัดติดตามจับกุมกลุ่มบัญชีม้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่สังคม พร้อมทั้งได้ประสานความร่วมมือไปยังธนาคารพานิชย์  ให้มีการประกาศเตือน บทลงโทษตามกฎหมาย ให้ลูกค้าทราบว่าหากยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคารตนเองไปกระทำความผิด ก่อนทำการเปิดบัญชีกับทางธนาคารทุกครั้ง

รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยเกรงประชาชนจะตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางออนไลน์ กำชับให้ ตร. เร่งปราบปรามและหาแนวทางประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ จึงขอเตือนว่า การเปิดบัญชีธนาคารควรเปิดเท่าที่จำเป็นและ ไม่ยินยอมให้ผู้อื่นนำไปใช้ไม่ว่าในกรณีใดๆ โดยหวังแก่ประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ หรือการให้ผู้อื่นใช้บัญชีตนเพราะความเชื่อใจไว้ใจก็ตาม ท่านไม่สามาถปฏิเสธความรับผิด อาจตกเป็นผู้ต้องหาในคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชน มีอัตราโทษจำคุกสูงถึง 5 ปี หากสงสัยจะตกเป็นเหยื่อสามารถโทรปรึกษาได้ที่ สายด่วน บช.สอท.1441 หรือ ศูนย์ PCT 081-866-3000 และผู้เสียหายสามารถแจ้งความออนไลน์ได้ที่ thaipoliceonline.com 

‘อรวรรณ ฉิมแป้น’ ฝืนเจ็บกัดฟันเข้าเส้นชัย คว้าเหรียญทองที่ 3 จากกีฬาคนพิการฝากชาวไทย

อำพล ทองเมืองหลวง ช่างภาพกีฬาชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงเรื่องราวสุดประทับใจ ในการแข่งขัน อาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 11 เมืองโซโล อินโดนีเซีย โดยระบุว่า ...

เป็นภาพชุดนึงที่ชอบของวันนี้... 

ภาพที่บอกอะไรหลาย ๆ อย่าง ให้ความหมายอะไรหลาย ๆ อย่าง 

อรวรรณ ฉิมแป้น นักวิ่งผู้พิการทางสมอง วันนี้เธอวิ่งคว้าเหรียญทอง 400 เมตรหญิงคลาส T37 ด้วยเวลา 1.18.30 นาที และนี่เป็นเหรียญทองที่สามของเธอ หลังจากเมื่อวาน ได้เหรียญทองทั้ง 100 เมตร กับ 200 เมตร

ถึงเส้นชัยเธอลงไปนอนกองกับพื้น แล้วร้องด้วยความเจ็บปวด ถ่ายรูปไป ผมก็สงสัยเธอเป็นอะไร...

"ลุกไหวมั๊ย ลุกไหวค่อย ๆ ลุกเดินออกมานะ"

เสียงโค้ชตะโกนสวนผ่านหูใกล้ ๆ ก่อนน้องจะโบกมือไม่ไหว แล้วลงไปนอน ก่อนจะมีเปลมาหามออกไปด้านหลัง แล้วน้องก็ร้องห่ม ร้องไห้ใหญ่ ด้วยความเจ็บปวด

ทุกคนช่วยปลอบ รวมถึงความน่ารักของนักกีฬาข้าง ๆ ที่นอนบนเปลข้าง ๆ หันมายกนิ้วยินดีให้กับชัยชนะของเธอ

สักพักเธอยิ้มได้ แล้วทีมงานบอกยกนิ้วให้กล้องหน่อยดั่งภาพที่เห็น

หลังจากนั้นผมเดินไปถามโค้ชว่าน้องเขาเป็นอะไรหรอครับ ร้องไห้ทำไม?

ศิลปินออสซี่เอา ‘แตงกวา’ แปะติดเพดาน ตั้งราคาขาย 2 แสนบาท

แตงกวา 1 ชิ้นที่ใส่มาในเบอร์เกอร์และถูกเอาไปแปะติดบนเพดาน กลายเป็นผลงานศิลปะที่ถูกตั้งราคาขายสูงถึง 10,000 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ หรือประมาณ 2.2 แสนบาท ท่ามกลางความงุนงงของชาวเน็ตแดนกีวี

งานศิลปะที่ชื่อว่า ‘Pickle’ นี้เป็นผลงานของ แมทธิว กริฟฟิน ศิลปินชาวออสเตรเลีย และถูกนำไปจัดแสดงที่หอศิลป์ Michael Lett Gallery ในนครออกแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ 

มันไม่มีอะไรซับซ้อน มีเพียงแตงกวาเปื้อนซอสมะเขือเทศ 1 ชิ้นที่ถูกดึงมาจากชีสเบอร์เกอร์ของแมคโดนัลด์ และถูกแปะเอาไว้บนเพดานของหอศิลป์เท่านั้น

หอศิลป์แห่งนี้อธิบายว่า นี่คืองานศิลปะที่มีเจตนา 'ปลุกเร้า' คนดูให้ฉุกคิดว่าอะไรคือสิ่งที่มีคุณค่า ขณะที่ ไรอัน มัวร์ ผู้อำนวยการหอศิลป์ Fine Arts Sydney ซึ่งเป็นตัวแทนของ กริฟฟิน ระบุว่า การที่สิ่งๆ หนึ่งจะมีคุณค่าและความหมายคู่ควรกับคำว่าศิลปะหรือไม่นั้น อยู่ที่คนจะมอง

ฝีดาษลิงรายที่ 4 พบผู้ป่วยฝีดาษวานรรายที่ 4 ในไทย เป็นผู้หญิงใกล้ชิดต่างชาติเที่ยวกทม.

กรมควบคุมโรค รายงานพบผู้ป่วยยืนยันโรคฝีดาษวานร รายที่ 4 ของประเทศไทย เป็นหญิงไทย มีประวัติเสี่ยงใกล้ชิดกับชายชาวต่างชาติ ที่สถานบันเทิง เบื้องต้นคาดว่าติดเชื้อจากการที่มีสัมผัสใกล้ชิด กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องค้นหาติดตามกลุ่มเสี่ยงต่อไป

(5 ส.ค. 65) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรมควบคุมโรคได้รับรายงานพบผู้ป่วยยืนยันโรคฝีดาษวานร รายที่ 4 ของประเทศไทย เป็นหญิงไทย อายุ 22 ปี มีประวัติเสี่ยงไปเที่ยวสถานบันเทิง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ย่านที่ชาวต่างชาตินิยมมาเที่ยว เป็นประจำประมาณสัปดาห์ละครั้ง และมีการสัมผัสใกล้ชิดกับชายชาวต่างชาติ โดยผู้ป่วยเริ่มมีไข้ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2565 แต่ยังไปเที่ยวสถานบันเทิงพร้อมเพื่อนชาวไทย และชาวต่างชาติ วันที่ 30 กรกฎาคม 2565 เริ่มมีตุ่มขึ้นที่แขนขา แล้วลามไปทั่วร่างกาย ร่วมถึงอวัยะเพศ วันที่ 3 สิงหาคม 2565 จึงเดินทางเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และห้องปฏิบัติการที่ศูนย์โรคอุบัติใหม่ด้านคลินิก TRC-EIDCC โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ยืนยันพบเชื้อฝีดาษวานร (Monkeypox virus) วันที่ 4 สิงหาคม 2565 ก่อนส่งตัวผู้ป่วยมารับการดูแลรักษาต่อที่สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค นับเป็นผู้ติดเชื้อโรคฝีดาษวานรเป็นรายที่ 4 และเป็นเพศหญิงรายแรกในประเทศ โดยผู้ติดเชื้อรายแรกเป็นชายชาวไนจีเรียที่ภูเก็ต รายที่ 2 ชายชาวไทย ในกรุงเทพมหานคร และรายที่ 3 ชายชาวเยอรมันที่ภูเก็ต

นายแพทย์โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ได้กำชับให้สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 จังหวัดชลบุรี ประสานสำนักงานป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง และสำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร เร่งติดตาม ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่เป็นเพื่อนร่วมห้องของผู้ป่วยทั้ง 2 ราย ผู้สัมผัสคนอื่น ๆ และเร่งติดตามตัวชายชาวต่างชาติแล้ว และเน้นย้ำว่า โรคฝีดาษวานรไม่ได้ติดต่อกันได้ง่าย ๆ ซึ่งจะติดต่อได้จากการสัมผัสใกล้ชิดมาก ๆ จึงขอให้กลุ่มเสี่ยงเพิ่มความระมัดระวังและงดการสัมผัสใกล้ชิดกับคนแปลกหน้าเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อฝีดาษวานร

ดีอีเอส เผยปชช.แจ้งความคดีออนไลน์แตะ 6 หมื่นเรื่อง พบคดีหลอกลวงด้านการเงินมาเป็นอันดับ 1

ดีอีเอส เปิดตัวเลขเหยื่อไซเบอร์ ใช้บริการแจ้งความคดีออนไลน์ 59,846 เรื่อง ในระยะเวลา 4 เดือนหลังเปิดตัวเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com อายัดเงินไปแล้วกว่า 121 ล้านบาท พบคดีหลอกลวงด้านการเงินมาเป็นอันดับ 1

นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส)  กล่าวว่าจากแนวโน้มปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้นผ่านโทรศัพท์มือถือและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนในยุคดิจิทัล ดังนั้นกระทรวงดีอีเอส และหน่วยงานต่าง ๆ ตลอดจนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จึงได้เร่งยกระดับบูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา เพิ่มช่องทางอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน เพื่อเข้าถึงการช่วยเหลือ และติดตามผู้กระทำผิดกฎหมายมาดำเนินคดีได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

โดยจากข้อมูลของศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com สรุปสถิติการใช้บริการของประชาชนในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา(ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. - 31 ก.ค.2565 พบว่า มีผู้เสียหายแจ้งความคดีออนไลน์ 59,846 เรื่อง โดยสามารถดำเนินการอายัดบัญชีได้แล้วกว่า 121 ล้านบาท 

ในส่วนของคดีออนไลน์ พบมากที่สุดคือ คดีหลอกลวงด้านการเงิน 31,047 เรื่อง โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ หลอกให้ทำงานออนไลน์ หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน และหลอกให้ลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ขณะที่ จำนวนคดีลำดับรอง ๆ ลงมา ได้แก่ หลอกลวงจำหน่ายสินค้า 24,643 เรื่อง การพนันออนไลน์ 462 เรื่อง ข่าวปลอม 239 เรื่อง และล่วงละเมิดทางเพศ 136 เรื่อง

ระบบรับแจ้งความออนไลน์ เป็นช่องทางที่ช่วยให้ประชาชนสามารถแจ้งความได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น โดยสามารถแจ้งความทางเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com โดยลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตน กรอกข้อมูลทางคดี ตามขั้นตอนจนเสร็จ ผู้แจ้งจะได้รับ “เลขรับแจ้งความออนไลน์ หรือ Case ID” จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่การรับแจ้ง (Admin) ติดต่อกลับโดยจากสถิติปัจจุบันสามารถโทรหาผู้แจ้งได้ทั้งหมดภายใน 3 ชั่วโมง

‘บิ๊กตู่’ ย้ำเป้าหมาย Net zero ภายในปี พ.ศ. 2608 วอนคนไทยร่วมรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

‘บิ๊กตู่’ กล่าวปาฐกถาพิเศษงาน TCAC ยืนยันเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มุ่งใช้นโยบายเศรษฐกิจ BCG เป็นกลไกหลักในการสร้างความสมดุลแห่งการพัฒนา เดินหน้าสร้างความเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนทุกคน

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 5 สิงหาคม ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดและกล่าวปาฐกถาพิเศษในการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย (Thailand Climate Action Conference: TCAC) จัดโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด“อนาคตไทย อนาคตโลก: โอกาสและความรับผิดชอบ (Our Future: Our Responsibility, Our Opportunity)” โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงาน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยินดีที่มาเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมฯ เป็นการยืนยันเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลักดันไทยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2608 ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบทวีความรุนแรงมากขึ้นต่อทุกภูมิภาคทั่วโลก ตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา กิจกรรมของมนุษย์เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นประมาณ 1.1 องศาเซลเซียส 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประชาคมโลกต้องเร่งยกระดับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิจะส่งผลให้นานาประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตการผลิตสินค้าอาจส่งผลกระทบรุนแรงถึงขั้นที่ประชากรทั่วโลกจะประสบกับภาวะขาดแคลนอาหาร และภัยธรรมชาติรูปแบบต่าง ๆ จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นด้วย ดังนั้น World Economic Forum : WEF จึงได้กำหนดให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามระยะยาวของโลกที่มีแนวโน้มจะส่งผลต่อการดำเนินเศรษฐกิจระดับมหภาค ที่ผ่านมา ประชาคมโลกได้พยายามยกระดับการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และมุ่งบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีสจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส  และพยายามควบคุมให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเท่ากับต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกลงร้อยละ 45 ภายในปี 2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิต้องเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 พร้อมทั้งสร้างขีดความสามารถในการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น ควบคู่กันไปอย่างสมดุล

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและกระทันหัน เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย ซึ่งล้วนแต่กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ในปี 2564 ไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่อผลกระทบระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสูงสุด เป็นลำดับที่ 9 ของโลก ซึ่งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา มีมูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมแล้วนับแสนล้านบาท ในวันนี้ ประเทศไทยจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวรับผลกระทบที่เกิดขึ้นในมิติต่าง ๆ อย่างจริงจัง

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า นโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยได้กำหนดทิศทางการพัฒนาสู่ความยั่งยืนในทุกมิติร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนแม่บทต่าง ๆ ที่มุ่งสู่การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ ครอบคลุม 3 องค์ประกอบที่สำคัญ การลดก๊าซเรือนกระจกระยะยาวที่สอดคล้องกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ,การปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ สนับสนุนการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐและเอกชน รวมถึงการพัฒนามาตรการทางเศรษฐศาสตร์ การเงิน และการคลัง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปรับตัวสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะเป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายตามที่แสดงเจตนารมณ์ต่อ United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC 

ตร. ตีแผ่ “หนี ซ่อน สู้” หลักสากลในการเอาชีวิตรอดในเหตุกราดยิง (Active Shooter)

วันที่ (5 ส.ค. 2565) พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ในปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า เหตุกราดยิง หรือที่เรียกภาษาอังกฤษว่า Active Shooter นั้น ไม่ได้พบแต่ในต่างประเทศเท่านั้น แต่ในประเทศไทยก็เคยมีเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวมาแล้ว เช่น เหตุกราดยิง ที่ตลาดไท อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ (23 พ.ค. 2550) และเหตุกราดยิง ที่ ห้าง Terminal 21 จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ (8 ก.พ. 2563) เป็นต้น อีกทั้งหลักการดังกล่าวยังสามารถนำไปปรับใช้ในการเอาชีวิตรอดในเหตุการณ์ยิงปะทะต่าง ๆ อีกด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนได้รู้จักหลัก “หนี ซ่อน สู้” หรือ “Run Hide Fight” ซึ่งเป็นหลักสากลที่ FBI และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในหลาย ๆ ประเทศ นำมาใช้แนะนำประชาชนในการเอาชีวิตรอดในเหตุกราดยิง โดยหลักการดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้

“หนี – Run” เมื่อสามารถหาเส้นทางหลบหนีที่พาไปยังพื้นที่ปลอดภัยได้
- เวลาไปสถานที่ต่าง ๆ ให้จดจำทาง เข้า-ออก และทางออกฉุกเฉินให้เป็นนิสัย
- เมื่อเกิดเหตุต้องตั้งสติให้ดี และมองหาเส้นทางในการหลบหนี
- ทิ้งของทุกอย่างที่ไม่จำเป็น
- ช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่สามารถช่วยได้

Grand Opening Advanced wound care Center หยุดแผลเรื้อรังแบบไม่ลุกลาม ด้วยเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์

เนื่องจากปัจจุบันการรักษาทางการแพทย์ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งเน้นในการรักษาคนไข้ให้กลับไปใช้ชีวิตปกติได้เร็วยิ่งขึ้นทาง โรงพยาบาลพญาไท3 จึงได้เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องของการดูแลคนไข้และไม่เคยหยุดพัฒนาเทคโนโลยีการรักษารูปแบบใหม่อยู่เสมอ และอีกหนึ่งการดูแลรักษาที่สำคัญที่หลายท่านอาจมองข้ามไปนั่นคือการดูแลบาดแผล ซึ่งหลายท่านอาจเคยคิดว่าการล้างแผล ทำแผล อาจเป็นเรื่องพื้นฐานที่ไม่ต้องใช้เทคนิคในการดูแล แต่ความจริงแล้วการเกิดบาดแผลเพียงเล็กน้อยหากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่มีประสิทธิภาพแล้วอาจเกิดการติดเชื้อและลุกลามและอาจส่งผลให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นได้

ด้วยเหตุนี้ นายแพทย์สุรพล โล่ห์สิริวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท3 จึงได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการยกระดับการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยพร้อมสร้างความเชื่อมั่นในการรักษาให้ เปิดศูนย์ Advanced Wound Care Center  หยุดแผลเรื้อรังแบบไม่ลุกลาม ด้วยเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ถือเป็นอีกหนึ่งการยกระดับการดูแลบาดแผลด้วยแพทย์เฉพาะทางและมีการใช้เทคโนโลยีและวัสดุการดูแลการปิดแผลที่ทันสมัย การใช้เทคโนโลยีการตัดเนื้อตายด้วยพลังน้ำ Hydrosurgery ช่วยส่งเสริมการหายของบาดแผลไม่รบกวนคุณภาพชีวิต เพื่อดูแลคนไข้ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  

ด้านมุมมองทางการแพทย์โดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการดูแลบาดแผล  ศูนย์ Advanced wound care Center นำทีมโดย

พญ.นรสรา วิทยาพิพัฒน์  ศัลยแพทย์ศูนย์ศัลยกรรมเทคโนโลยชั้นสูง โรงพยาบาลพญาไท3 
พญ.เบญจพร นันทสันติ ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านการส่องกล้อง โรงพยาบาลพญาไท3
ผศ.พญ.กุสุมา ชินอรุณชัย ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านอุบัติเหตุและบาดแผล โรงพยาบาลพญาไท3
นพ.พงษ์ตะวัน กัลยพฤกษ์ ศัลยแพทย์ทั่วไป ศัลยแพทย์หลอดเลือดแผลจากหลอดเลือดโรงพยาบาลพญาไท3


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top