Wednesday, 30 April 2025
CRIMES

โฆษก ตร.ห่วงใย! ใช้รถ - ใช้ถนน - ไม่บรรทุกสิ่งของ ความสูงเกินกฎหมายกำหนด "สุดอันตราย" วอนคำนึง "ความปลอดภัย" เพื่อนร่วมทาง

17 ม.ค.65 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า จากกรณีที่มีการแชร์ในสื่อสังคมออนไลน์ ปรากฏภาพรถยนต์เปิดฝากระโปรงท้าย แล้วบรรทุกถังน้ำขนาดใหญ่ไว้ท้ายรถโดยมีเชือกพันไว้กับตัวรถ นั้น

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยและคำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้สั่งการกำชับไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศหากพบการกระทำผิดกฎหมาย ให้ดำเนินคดีอย่างเข้มงวดรวดเร็ว เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนมีความปลอดภัยอย่างสูงสุด

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการกวดขันจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายจราจรอย่างต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้รถใช้ถนน และด้วยความห่วงใยอยากจะฝากถึงผู้ที่ใช้รถยนต์บรรทุกสิ่งของ หากมีสิ่งของขนาดใหญ่เกินกว่าตัวรถแล้ว ขอให้ปรับเปลี่ยนหรือใช้รถให้ถูกประเภท เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเองและผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ซึ่งหากใช้รถยนต์บรรทุกสิ่งของเกินตัวรถมากกว่าที่กฎหมายกำหนด อาจเป็นความผิดตามกฎหมาย 

พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522

มาตรา 18 รถที่ใช้บรรทุกคน สัตว์ หรือสิ่งของ จะใช้บรรทุกในลักษณะใดโดยรถชนิดหรือประเภทใด ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

กฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522

ข้อ 1 รถโรงเรียน รถบรรทุก หรือรถบรรทุกคนโดยสาร บรรทุกของได้ตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้

(3) สำหรับส่วนสูง

(ก) ในกรณีที่เป็นรถบรรทุก รถม้าสี่ล้อบรรทุกของ หรือเกวียน ให้บรรทุกสูงไม่เกิน 3.00 เมตร จากพื้นทาง

(ข) ในกรณีที่เป็นรถอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน (ก) ให้บรรทุกสูงไม่เกิน 1.50 เมตร

(ค) ในกรณีที่เป็นรถชนิดที่ผู้ขับขี่อยู่หลังตัวรถ ให้บรรทุกสูงไม่เกินระดับที่ผู้ขับขี่มองเห็นพื้นทางข้างหน้าได้ในระยะตั้งแต่ 3.00 เมตร จากรถ หรือน้อยกว่า

มาตรา 150 ผู้ใด (3) ไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 18 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท

 

ศพดส.ตร. พบเรือประมงสองจังหวัด สวมทะเบียนลอบทำประมงผิดกฎหมาย สั่งขยายผลจับกุมผู้เกี่ยวข้อง เชื่อ!!เจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนรู้เห็น

จากกรณีที่ประเทศไทยได้ถูกลดอันดับการรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์จากทางการสหรัฐฯ ลงเป็นอันดับประเทศที่ต้องจับตามอง (Tier 2 Watch List) โดยมีข้อสังเกตในเรื่องการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการค้ามนุษย์อย่างจริงจังในทุกภาคส่วน ปัญหาการบังคับใช้แรงงานและแรงงานข้ามชาติซึ่งเกิดขึ้นในหลายอุตสาหกรรมรวมถึงภาคการประมง รวมทั้งปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ตามที่ทราบแล้ว นั้น

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ  รองนายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย และการบังคับใช้แรงงานในภาคการประมง โดยมี พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานคณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ควบคุม เฝ้าระวังการทำการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยได้แต่งตั้งชุดปฏิบัติการตรวจสอบและเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาการประมง เพื่อการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวและประสานการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในการนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการ ตำรวจแห่งชาติ/ผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/ รองผู้อำนวยการ ศพดส.ตร./รองประธานอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) โดยเร่งด่วน

ต่อมาเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2565 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร./รองประธานอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ได้เดินทางมาตรวจสอบเรือประมงต้องสงสัยในการสวมซาก ปลอมเปลี่ยนแปลงชื่อเรือ ที่คานเรือ ต.โกรกกราก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร 

หลังได้รับรายงานจาก สภ.สัตหีบว่า เมื่อวันที่ 8 ม.ค.2565 เจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจประมงชลบุรีเข้าตรวจสอบเรือประมงชื่อโนรีนาวา ณ ท่าเทียบเรือสะพานปลาป้าแคลง ซึ่งเรือลำดังกล่าวยื่นคำร้องขอปิดสัญญาณอุปกรณ์ระบุตำแหน่งเรือชั่วคราว เนื่องจากกรณีตัวเรือเกิดชำรุดเสียหายต้องซ่อมแชม โดยนำเรือเข้าอู่เรือคานเรือ หรือท่าเทียบเรือประมงไว้กับด่านตรวจประมงชลบุรี แต่เมื่อไปตรวจสอบ ไม่พบเรือลำดังกล่าวที่ท่าเทียบเรือสะพานปลาป้าแคลง จึงขยายผลตรวจสอบ จนพบเรือดังกล่าว ถูกนำไปจอดไว้ห่างออกไป ซึ่งคาดว่าจะนำเรือไปจม เพื่อนำหมายเลขเรือดังกล่าวไปสวมซากเรือ 

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1/หน.ชป.2 พ.ต.อ.น้ำเพขร ทรัพย์อุดม รอง ผบก.คด./รอง หน.ชป.ที่ 2 พร้อมพวกตำรวจสืบสวนขยายผลจนได้ข้อมูลว่า มีเรือที่เกี่ยวข้องกัน อยู่ที่ จ.สมุทรสาคร จึงเดินทางมาตรวจสอบพบเรือต้องสงสัยอีก 1 ลำ จึงร่วมกับพิสูจน์หลักฐาน กรมเจ้าท่า กรมประมง ศรชล. ตำรวจน้ำ ทำการตรวจพิสูจน์

เบื้องต้นพบว่า นายสนั่น แซ่ลี้ เป็นเจ้าของเรือ โดยให้การว่า ซื้อเรือ ศุภประภานำโชค   มาจาก น.ส.สุธีรา มุกดา อยู่ที่ ต.แสมสาร  ชลบุรี  เมื่อวันที่ 16 พ.ย.64  ในราคาสามแสนบาท   โดยจดทะเบียนที่ กรมเจ้าท่าถูกต้อง ก่อนผู้ขายจะขับเรือมาส่งให้ ที่ท่าหน้าบ้าน เลขที่ 82/6 ม.2 ต.บางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร  โดยผู้ซื้อเดินทางด้วยรถยนต์ มาจดทะเบียนโอนเรือให้ที่ จท.สมุทรสาคร  และจอดเรือไว้ที่ท่าหน้าบ้านประมาณ 20 วัน จึงนำเรือมาขึ้นคานซ่อมแซม ที่คานเรือ เนื่องจากเรือมีสภาพทรุดโทรมมาก จากนั้นตน ก็ไปขอโอนใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์ และได้รับแล้ว  มีเอกสารหลักฐานครบถ้วนถูกต้อง  

จากการตรวจสอบกายภาพของเรือ พบมีชื่อ เลขทะเบียน เลขเครื่องหมายประจำเรือประมง  มีการตอกเลขอัตลักษณ์2 แห่ง จึงได้แจ้งจท. Pipo ศรชล. พฐ. ร่วมตรวจสอบเรือ โดยตรวจวัดขนาด และตรวจเลขอัตลักษณ์ พฐ.ตรวจพิสูจน์ ชื่อเรือ  เลขทะเบียน โดยจะลอกสี  เพื่อดูชื่อเรือที่เคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้ รวมทั้งตรวจ การตอก ร่องรอยลักษณะ 

โดยเบื้องต้นพบว่า เรือลำดังกล่าวมีการขูดเปลี่ยนแปลงหมายเลขเป็นอีกลำหนึ่ง ซึ่งน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับ เรือ ศุภประภานำโชค เรือโนรีนาวา ที่ตรวจพบที่ สัตหับ จ.ชลบุรี

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรือต้องสงสัยที่ตรวจพบทั้งหมด มีความเชื่อมโยงกัน มีการขูดลอกเลข เพื่อปลอมแปลงชื่อเรือ ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยละเอียดของกองพิสูจน์หลักฐาน หากพบการกระทำความผิด จะเรียกผู้เกี่ยวข้องมาดำเนินคดี รวมทั้งขยายผลว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ ยืนยันว่าจะทำความจริงให้ปรากฏ แยกน้ำดีออกจากน้ำเสีย เพื่อแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมายตามนโยบายรัฐบาล” 

 

ตั้งสติ!! “ห้ามโอนเงินโดยเด็ดขาด” โฆษก ตร. เตือนภัยออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกโอนเงิน

13 ม.ค.65 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ในห้วงเวลาปัจจุบัน ได้มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงพี่น้องประชาชนในหลายรูปแบบ อาทิเช่น หลอกว่าได้รับรางวัล หลอกว่าเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด หรือปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล้วให้เพิ่มเพื่อนผ่านแอปพลิเคชันไลน์ โดยปลอมเป็นไลน์ของสถานีตำรวจ เพื่อหลอกเอาข้อมูลส่วนตัว หรือหลอกให้หลงเชื่อว่าทำผิดกฎหมายเพื่อโอนเงินแลกกับการไม่ดำเนินคดี ซึ่งในขั้นตอนสุดท้ายมิจฉาชีพจะโน้มน้าวให้ “โอนเงิน” ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นั้น  ขอให้ท่านตั้งสติ และห้ามโอนเงินเด็ดขาด

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากภัยร้ายทางโลกออนไลน์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความมุ่งมั่นที่จะปราบปรามอย่างจริงจัง จึงได้ตั้ง ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) เพื่อปฏิบัติภารกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องดังกล่าว อย่างเข้มงวด เพื่อลดความสูญเสียทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน โดยมี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็น ผู้อำนวยการศูนย์ฯ

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีนโยบายให้ประชาสัมพันธ์เตือนภัย และให้ความรู้กับพี่น้องประชาชน เพื่อให้รู้เท่าทันมิจฉาชีพ เสมือนเป็นวัคซีนเพื่อป้องกันภัยร้ายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (Cyber Vaccinated) และได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ปฏิบัติหน้าที่กวาดล้างมิจฉาชีพอย่างเข้มข้น รวดเร็ว เพื่อไม่ให้พี่น้องประชาชนตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอีกต่อไป จึงอยากขอเน้นย้ำกับพี่น้องประชาชนว่า หากท่านพบว่ามีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และดำเนินการเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ให้สันนิษฐานว่าเป็นมิจฉาชีพ ขอให้ท่านตั้งสติ และห้ามโอนเงินโดยเด็ดขาด

 

“ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่” มีโทษจำคุก! โปรดอย่าหาทำ! โฆษก ตร.ขอเตือน

12 ม.ค.65 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ในห้วงเวลาที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ระงับเหตุ สืบสวน หรือจับกุมผู้กระทำผิด ซึ่งบ่อยครั้งที่ผู้กระทำความผิดบางรายไม่พอใจในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้มีการสบประมาท ดูถูก อันเป็นการดูหมิ่น เหยียดหยามเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติตามหน้าที่ซึ่งทำให้มีพฤติกรรมเลียนแบบเกิดขึ้นหลายครั้ง นั้น

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม เพื่อความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชน ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจต่อผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย จนถึงขั้นด่าทอหรือใช้ถ้อยคำหยาบคาย พูดจาดูหมิ่น เหยียดหยามเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งในหลาย ๆ คดี ศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษไปแล้ว จึงอยากเตือนไปยังผู้ที่กระทำดังกล่าว หรือผู้ที่อาจจะมีพฤติกรรมเลียนแบบว่า อาจมีความผิดตามกฎหมาย

ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 136 ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

โฆษก ตร. เตือน!! "เมาแล้วขับ" คุก 10 ปี เพิกถอนใบขับขี่ เสี่ยง "อุบัติเหตุร้ายแรง"

11 ม.ค.65 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า จากกรณีที่มีการเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่มีพลเมืองดีแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าพบผู้หญิงรายหนึ่งขับรถไม่ไปตามทิศทางที่กำหนด (ย้อนศร) และมีอาการคล้ายคนเมาสุรา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงพบรถยนต์คันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเชิญตัวไปตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ แต่เจ้าของรถไม่ยินยอม จึงได้นำตัวไปที่สถานีตำรวจเพื่อตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ นั้น

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าว เมื่อเจ้าหน้าที่นำตัวเจ้าของรถไปตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ แล้วพบว่ามีปริมาณเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงได้จับกุมตัว และแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีตามกฎหมาย จึงขอแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนว่า ห้ามขับขี่ขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น เนื่องจากจะทำให้ไม่มีสติในการขับรถ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง เกิดความเสียหายทั้งต่อตนเองและผู้อื่น จนทำให้เกิดความสูญเสีย ถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตได้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจเป็นความผิดตามกฎหมาย

>> พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522

>> มาตรา 43 (2) ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถ ในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น

>> มาตรา 160 ตรี ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 43 (2) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 บาทถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 6 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000 บาทถึง 120,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 บาท ถึง 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

>> พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2557

>> มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 142 แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2542 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

>> มาตรา 142 เจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอํานาจสั่งให้ผู้ขับขี่หยุดรถในเมื่อ

(1) รถนั้นมีสภาพไม่ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 6 

(2) เห็นว่าผู้ขับขี่หรือบุคคลใดในรถนั้นได้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอันเกี่ยวกับรถนั้น ๆ

ในกรณีที่มีพฤติการณ์อันควรเชื่อว่าผู้ขับขี่ฝ่าฝืนมาตรา 43 (1) หรือ (2) ให้เจ้าพนักงานจราจรพนักงานสอบสวน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งให้มีการทดสอบผู้ขับขี่ดังกล่าวว่าหย่อนความสามารถในอันที่จะขับหรือเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นหรือไม่

ในกรณีที่ผู้ขับขี่ตามวรรคสองไม่ยอมให้ทดสอบ ให้เจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอํานาจกักตัวผู้นั้นไว้ดําเนินการทดสอบได้ภายในระยะเวลาเท่าที่จําเป็นแห่งกรณีเพื่อให้การทดสอบเสร็จสิ้นไปโดยเร็ว หากผู้นั้นยอมให้ทดสอบและผลการทดสอบปรากฏว่าไม่ได้ฝ่าฝืนมาตรา 43 (1) หรือ (2) ก็ให้ปล่อยตัวไปทันที

ในกรณีที่มีพฤติการณ์อันควรเชื่อว่าผู้ขับขี่ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น หากผู้นั้นยังไม่ยอมให้ทดสอบตามวรรคสามโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นฝ่าฝืนมาตรา 43 (2) การทดสอบตามมาตรานี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดในกฎกระทรวง

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด เพื่อตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ของผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างเข้มงวด และมีการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนทุกคน ซึ่งในหลาย ๆ คดี ศาลได้มีคำพิพากษาจำคุก และเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ 

 

ตำรวจ PCT ทลายเครือข่ายแชร์ลูกโซ่ “บ้าน M” เงินหมุนเวียนกว่า 10 ล้านบาท!!

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.​ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT, พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ฯ , พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. และ พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง ผบช.น. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายแชร์ลูกโซ่ “บ้าน M ” และ เครือข่ายค้าอาวุธปืนผิดกฎหมาย

 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ทุกหน่วยเร่งระดมกวาดล้างอาชญากรรมทั่วไปและอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ตั้งแต่ 25 ธ.ค.64  - 3 ม.ค.65 เพราะเป็นช่วงที่พี่น้องประชาชนเดินทางกลับบ้าน และมีการสังสรรค์ เกรงจะมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งจากผลการระดมกวาดล้าง สามารถจับกุมการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ทั้งสิ้น จำนวน 3,634 ราย

 รอง ผบ.ตร. กล่าวว่าได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ไตรรงค์ฯ รอง ผบช.น. หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 4 สืบสวนจนทราบว่า เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.64 เวลาประมาณ 18.00 น. กลุ่มผู้เสียหายได้เข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้ดำเนินคดีกับ น.ส.วัชรา สงวนนามสกุล  ผู้ต้องหาซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีพฤติการณ์ชักชวนให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาระดมทุนเล่นแชร์ โดยการเปิด Facebook และกลุ่มไลน์ชื่อ “CM Gold” และ “บ้านแชร์ M” แล้วหลอกให้ประชาชนที่หลงเชื่อเข้ามาเล่นแชร์โดยปกปิดวิธีการเล่น อ้างว่ามีการเปียแชร์รวมถึงการจะจ่ายผลตอบแทนสูงกว่าอัตราที่ดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินพึงจ่ายได้ หากแต่กลับนำเงินดังกล่าวมาหมุนจ่ายให้กับสมาชิกรายอื่น และไม่ได้มีการเปียแชร์หรือจ่ายดอกเบี้ยจริง ทำให้มีประชาชนเสียหายหลงเชื่อเข้าจ่ายดอกด้วยหวังว่าจะได้เปียแชร์ในรอบต่อไป แต่ต่อมาเมื่อถึงกำหนดจากเงินสมาชิกได้ปิดกลุ่มแล้วหลบหนีไป ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวผู้เสียหายได้เข้าร้องทุกข์ต่อหน่วยงานต่างๆ ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) โดยเบื้องต้นพบว่ามีเหยื่อคนหลงเชื่อสมัครเล่นแชร์ดังกล่าวกว่า 300 ราย ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน และกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” ซึ่งสามารถจับกุม นางสาววัชราฯ ผู้ต้องหา ได้ที่บ้านเอื้ออาทร ต.สวนหลวง อ.กระทุ่มแบน สมุทรสาคร ทั้งนี้ได้มีผู้เสียหายกว่า 50 รายมายืนยันตัวผู้กระทำความผิดและเรียกร้องค่าเสียหายมูลค่ากว่า 10,000,000 บาท

นอกจากนี้ ยังสามารถจับกุมคดีค้าอาวุธปืนออนไลน์ โดยเมื่อวันที่ 2 ม.ค.65 เวลาประมาณ 15.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT ชุดเดียวกันร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล สืบสวนทราบว่า นายกฤษดา สงวนนามสกุล มีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ชื่อ “QB Thailand” และ “เศษเหล็กกิโลละแสน” เพื่อชักชวนให้ผู้สนใจเข้าซื้อขายอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน และจัดส่งสินค้าอาวุธปืนผิดกฎหมายผ่านทางบริษัทขนส่งเอกชน เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT และ นครบาล ได้รวบรวมพยานหลักฐานเข้าทำการตรวจค้นบ้านเลขที่ 42/50 ซ.หมู่บ้านจามจุรี ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ผลการตรวจค้นพบอาวุธปืนจริงและอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ จำนวน 6 กระบอก เครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก ตลอดจนอุปกรณ์ในการผลิตปืนกว่า 17 รายการ ภายหลังการจับกุม พบว่าผู้ต้องหารายนี้เป็นบุคคลเดียวกันกับคนร้ายที่เมื่อปี 63 ขณะมีภูมิลำเนาอยู่ที่หนองบัวลำภู ได้ก่อเหตุขับรถยนต์หรูแหกด่านเคอร์ฟิวเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองหนองบัวลำภู ต่อมารถคันดังกล่าวได้เสียหลักชนแบริเออร์ข้างทางทำให้ไม่สามารถไปต่อได้ แต่คนร้ายได้ทิ้งรถหลบหนี ต่อมาตรวจสอบพบอาวุธปืนขนาด 9 มม.พร้อมเครื่องกระสุนในรถคันเกิดเหตุ ส่วนรถยนต์คันดังกล่าวเป็นรถยนต์สวมทะเบียนปลอม ทั้งนี้ ชุดจับกุมยังตรวจสอบพบอีกว่ามีหมายจับของศาลจังหวัดเลย ที่ 82/2563 ลง 27 เม.ย.63 ในความผิดฐาน “มีอาวุธปืนติดมือ และพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต” และหมายจับของศาลจังหวัดหนองบัวลำภู ที่ จ.115/64 ลง 16 ส.ค.64 ในความผิดฐานเดียวกัน

 

ตร. เตือน!! สมัครงานออนไลน์ ระวังถูกหลอกเอาบัญชีไปโกงผู้อื่น เสี่ยงถูกดำเนินคดี

วันที่ 10 ม.ค. 2565 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ปัจจุบัน พบว่ามีพี่น้องประชาชนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของอาชญากร อย่างไม่รู้ตัวในรูปแบบของการสมัครงานทางออนไลน์ โดยขอให้นำบัญชีธนาคารของตนเองมาใช้ในการทำงาน สำหรับพฤติการณ์ของคนร้ายเริ่มต้นจาก การประกาศรับสมัครงานผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ อ้างว่าเป็นงานที่รายได้สูง สามารถทำงานจากที่บ้านได้ แค่เพียงมีคอมพิวเตอร์เท่านั้น ซึ่งหากสนใจสมัคร คนร้ายก็จะอธิบายรูปแบบของการทำงาน

โดยงานดังกล่าวจะเป็นการรับโอนเงิน อ้างว่าเป็นตำแหน่งบัญชี รับเงินจากผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ เมื่อมีเงินเข้าบัญชี จะให้โอนเงินต่อไปยังบัญชีที่คนร้ายกำหนด และจะได้รับส่วนแบ่งเป็นเงินตามจำนวนครั้งที่ทำรายการ ซึ่งเงินที่เข้ามาในบัญชีจริง ๆ แล้วเป็นเงินที่ได้จากการหลอกลวงผู้อื่นหรือได้มาจากการกระทำความผิด ส่งผลให้เจ้าของบัญชีถูกแจ้งความดำเนินคดี เนื่องจากเป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่ถูกใช้ในการกระทำความผิด

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ได้กล่าวต่อไปอีกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก จึงอยากจะประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนให้พี่น้องประชาชนโปรดใช้ความระมัดระวังในการสมัครงานผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์โดยใช้บัญชีธนาคารของท่านในการรับโอนเงินจากผู้อื่น เพราะท่านอาจ ตกเป็นเครื่องมือของคนร้ายในการหลอกลวงผู้อื่น หรือคนร้ายอาจนำบัญชีธนาคารของท่านไปใช้ในการกระทำความผิดอื่น เช่น ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกง การพนัน ยาเสพติด หรือการกระทำผิดกฎหมายอื่น ๆ เจ้าของบัญชีธนาคารอาจถูกดำเนินคดีอาญาได้ในกรณีดังต่อไปนี้

1.ในฐานะตัวการร่วมในการกระทำความผิด ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

2.ผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วน ของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

 

ตำรวจ PCT ทลายเครือข่ายพนันออนไลน์ “ไพลิน” พบเงินหมุนเวียนกว่า 300 ล้านบาท!!

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.​ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT, พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ฯ , พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. และ พล.ต.ต.สันติ ชัยนิรามัย รอง ผบช.ก. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมการพนันออนไลน์เครือข่าย “ไพลิน” การพนันกำถั่วออนไลน์ มูลค่าความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ทุกหน่วยเร่งระดมกวาดล้างอาชญากรรมทั่วไปและอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ตั้งแต่ 25 ธ.ค.64  - 3 ม.ค.65 เพราะเป็นช่วงที่พี่น้องประชาชนเดินทางกลับบ้าน และมีการสังสรรค์ เกรงจะมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งจากผลการระดมกวาดล้าง สามารถจับกุมการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ทั้งสิ้น จำนวน 3,634 ราย

รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า ได้มอบให้ พล.ต.ต.สันติฯ รอง ผบช.ก. หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 2 ทำการสืบสวนจนทราบว่า  เครือข่าย”ไพลิน” ได้ลักลอบเปิด ให้มีการเล่นการพนันออนไลน์ ชักชวนให้ประชาชนทั่วไปรวมทั้งเด็กและเยาวชนเข้าเล่นพนันอย่างเปิดเผย ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ชนิดต่างๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT จึงได้ขอหมายค้นจากศาลเข้าทําการตรวจค้นสถานที่ซึ่ง เกี่ยวข้องกับการกระทําความผิดจํานวน 1 จุด ณ บ้านไม่มีเลขที่ หมู่ 1 ถนนพุทธมณฑลสาย 2 แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร และได้จับกุมผู้ต้องหา จํานวน 8 คน ดังต่อไปนี้
1. นายพัชรพงษ์ สงวนนามสกุล

2. นางสาววีนา สงวนนามสกุล

3. นางสาวภัสสราณัฐ สงวนนามสกุล

4. นางสาววิไลพร สงวนนามสกุล

5. นางสาวสุภัคกรณ์ สงวนนามสกุล

6. นางสาวสุชาวรรณ สงวนนามสกุล

7. นางสาวสุรภา สงวนนามสกุล

8. นางสาวรัญชนา สงวนนามสกุล

ตามหมายจับศาลแขวงธนบุรีที่ จ.331-338/2564 ลงวันที่ 29 ธ.ค. 64 ในข้อหา “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทําอุบายล่อช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเลน่ซึ่ง มิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน”

จากการรวบรวมพยานหลักฐานพบว่าเครือข่ายการพนันนี้ได้มีการจัดให้เล่นพนันผ่านแอปพลิเคชั่น ไลน์ ( LINE ) โดยกลุ่มผู้ต้องหาได้ร่วมกันจัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์ประเภท “กําถั่ว” โดย Line Official ชื่อ ไพลิน ( @pailin100 ) มีสมาชิกกว่า 3,000 คน โดยลักลอบเปิดให้มีการเล่นการพนันออนไลน์มาตั้งแต่เมื่อประมาณเดือน พ.ค.64 โดยมียอดเงินหมุนเวียนกว่าเดือนละ 300 ล้านบาท ในการปฏิบัติการครั้งนี้ ได้ตรวจยึดทรัพย์สินที่ได้มาจาก การกระทําความผิดจากการจัดให้มีการเล่นพนันดังกล่าวและอายัดบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้
1.จอคอมพิวเตอร์ จํานวน 5 จอ

2. ซีพียูคอมพิวเตอร์ จํานวน 5 เครื่อง

3. โทรศัพท์มือถือและแทปเล็ต จํานวน 9 เครื่อง

4.กล้องถ่ายและอุปกรณไ์ลฟ์สดขณะนําเล่น(WEBCAM)จํานวน 2 ตัว

5. กล้องไอพี จํานวน 1 ตัว

6. อินเตอร์เน็ตเราท์เตอร์ จํานวน 2 เครื่อง

7.อุปกรณ์และเครื่องประกอบในการเล่นการพนันประเภท“กําถั่ว”จํานวน 154 รายการ

8. เอกสารบัญชีรายรับ - รายจ่ายในการเล่น จํานวน 57 ชุด

9. บัญชีธนาคารกสิกรไทย จํานวน 8 บัญชี

ติวเข้ม!! ชุดปฏิบัติการต้าน IUU ลุยทันที แยกน้ำดี - น้ำเสีย ไร้ Double Standard ไม่เว้นเจ้าหน้าที่รัฐ

หลังจากสหภาพยุโรปประกาศปลดใบเหลือง IUU ให้กับประเทศไทย รัฐบาลได้ดำเนินนโยบาย

ในการยกระดับให้ประเทศไทยเป็นผู้นำต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal Unreported and Unregulated Fishing : IUU) ในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงเป็นประเทศปลอดการประมง IUU ทั้งระบบ(IUU-Free) ซึ่งสอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานบังคับ รวมถึงการค้ามนุษย์ในภาคประมง ตามที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้ว นั้น

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานคณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ควบคุม เฝ้าระวังการทำประมงไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อขับเคลื่อนนโยบายข้างต้นให้บรรลุเป้าหมาย โดยบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) กรมประมง กรมเจ้าท่า กรมศุลกากร และกระทรวงแรงงาน

ในการนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการ              ตำรวจแห่งชาติ/ผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/รองผู้อำนวยการ ศพดส.ตร./รองประธานอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ให้ดำเนินการตรวจสอบและปราบปรามกรณีดังกล่าว รวมทั้งจัดให้มีการฝึกอบรมความรู้ทางด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประมง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายในการแก้ไขปัญหาการประมง สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในวันที่ 7 มกราคม 2565 นี้ จึงได้ร่วมกับนายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง จัดให้มีการประชุมเพื่อชี้แจงกฎหมายเกี่ยวกับการประมง และการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม(IUU) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการด้านการประมงฯ และเจ้าหน้าที่สืบสวน ศพดส.ตร. ได้มีความรู้ความเข้าใจถึงตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความเป็นมาของปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม(IUU) ซึ่งเป็นปัญหาที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขปัญหา เพื่อยกระดับการต่อต้านการค้ามนุษย์ของประเทศไทย

การทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) เป็นปัญหาระดับโลกซึ่งรัฐบาลได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง โดยออกพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ ประเทศไทยในฐานะส่วนหนึ่งของประชาคมโลกจึงมีความรับผิดชอบ 4 ด้าน ประกอบด้วย

1) ความรับผิดชอบในฐานะรัฐเจ้าของธงเรือ (Flag State)

2) ความรับผิดชอบในฐานะรัฐเจ้าของท่าเทียบเรือ (Port State)

3) ความรับผิดชอบในฐานะรัฐชายฝั่ง (Coastal State)

4) ความรับผิดชอบในฐานะรัฐเจ้าของตลาด (Market State)

ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องจัดการประชุมเพิ่มความเชี่ยวชาญให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติในด้านต่าง ๆ เช่น ที่มาและเนื้อหาของกฎหมาย กระบวนการทำงานควบคุมตรวจสอบเรือประมง ขนถ่ายสัตว์น้ำ และการนำเข้าส่งออกสินค้าประมงตลอดจนกระบวนการดำเนินคดีต่าง ๆ

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า “การทำงานครั้งนี้เป็นการยกระดับประสิทธิภาพการทำงานด้านการตรวจติดตาม ควบคุม เฝ้าระวัง เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำการต่อต้านประมง IUU ในภูมิภาคและปลอดการทำประมง IUU ทั้งระบบ นอกจากนั้นยังมีความเชื่อมโยงกับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ที่มีความสลับซับซ้อน มีเครือข่ายข้ามชาติ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติจึงต้องมีความรอบรู้ในกฎหมายต่าง ๆ อย่างสัมพันธ์กัน เพราะการกระทำความผิดในปัจจุบันไม่อาจบังคับใช้ได้โดยกฎหมายใดกฎหมายหนึ่ง และเพื่อให้เห็นผลการทำงานเป็นรูปธรรมในระยะเวลาอันรวดเร็ว จึงได้แบ่งการทำงานเป็น 4 ชุดปฏิบัติการ ประกอบด้วย

1) ชุดปฏิบัติการด้านการตรวจสอบเพิ่มประสิทธิภาพด่านตรวจประมง มี รศ.ธนพร ศรียากูล กรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการ และมีพล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ ผบก.อธ. เป็นรองหัวหน้าชุด ทำหน้าที่ตรวจสอบการกระทำความผิดตามกฎหมาย และเสนอแนะแนวทางปฏิบัติต่อหน่วยงานต่าง ๆ ในการตรวจติดตาม ควบคุมเฝ้าระวัง ของด่านตรวจประมงทุกแห่ง

2) ชุดปฏิบัติการด้านการตรวจสอบและเพิ่มประสิทธิภาพศูนย์แจ้งเข้าออกเรือประมง (PIPO) มี พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภาค ๑ เป็นหัวหน้าชุด ทำหน้าที่ตรวจสอบการกระทำความผิดตามกฎหมาย และเสนอแนะแนวทางปฏิบัติต่อหน่วยงานต่าง ๆ ในการตรวจติดตาม ควบคุม เฝ้าระวัง ของศูนย์แจ้งเข้าออกเรือประมง (PIPO) ทุกแห่ง

3) ชุดปฏิบัติการด้านการตรวจสอบและเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจกลางทะเล มี ผู้แทนศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) เป็นหัวหน้าชุด และ พ.ต.อ.ชณพล วันขวัญ รอง ผบก.รน. เป็นรองหัวหน้าชุด ทำหน้าที่ตรวจสอบการกระทำความผิดตามกฎหมายในพื้นที่ทะเลทั้งเขตชายฝั่งและนอกเขตชายฝั่ง

4) ชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว มี พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. เป็นหัวหน้าชุด และ พล.ต.ต.สุทธิพงษ์เพชรรัตน์ ผบก.บ.ตร. เป็นรองหัวหน้าชุด ทำหน้าที่ตรวจสอบการกระทำความผิดตามกฎหมายกรณีเร่งด่วน และสนับสนุนการปฏิบัติงานให้กับชุดปฏิบัติการที่ 1 - 3

สตูล - เจ้าหน้าที่ยังเดินหน้าค้นหาร่างเด็กชาย 9 ขวบ พลัดตกน้ำในคลองลำโลน สูญหาย 4 วันยังไม่พบ!!

วันนี้ 6 มกราคม 2565 เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา นายวรศิษฎ์ เลียงประสิทธิ์ สส.จังหวัดสตูล เขต 2 พร้อมด้วยหน่วยรักษาความปลอดภัยทางทะเลกองทัพเรือเกาะหลีเป๊ะ/สถานีเรือละงู จัดกำลังพลพร้อมเรือยาง ร่วมกับ ชุดปฏิบัติการพิเศษ นก.กมต.ศรชล.ภาค 3 และมูลนิธิกู้ภัยร่มไทรจังหวัดสตูล ร่วมกันทำการค้นหาร่างของ ด.ช.พงศพัศ ขำกิ้ม อายุ 9 ปี ที่ประสบเหตุพลัดลื่นตกน้ำสูญหาย เป็นวันที่ 3 โดยดำเนินการดำน้ำค้นหาบริเวณจุดที่คาดว่าผู้สูญหายอาจจะติดอยู่กับโขดหินหรือรากไม้ที่อยู่ใต้น้ำ และลาดตระเวนทางเรือค้นหาผิวน้ำ บ้านวังใน ต.น้ำผุด อ.ละงู จังหวัดสตูล ระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร

ทั้งนี้ เนื่องจากกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวแรง และมีความขุ่น มองเห็นได้เพียงระยะใกล้ ประกอบกับใต้น้ำมีรากไม่และโขดหินจำนวนมาก ทำให้เป็นอุปสรรคต่อทีมงานในการค้นหาอย่างมาก อย่างไรก็ตามทีมค้นหาได้ดำเนินการค้นหาจนถึงเวลาประมาณ 17.30 น. ยังไม่พบผู้สูญหาย จึงได้ยุติการค้นหา และจะดำเนินการค้นหาต่อไปในวันนี้

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top