Tuesday, 29 April 2025
CRIMES

‘ผบ.ตร.’ นำทีมแถลงผลการช่วยเหลือ ‘เหยื่อค้ามนุษย์’ ในต่างประเทศ!!

ในรอบปี พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือผ่านทางสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดีย ว่ามีคนไทยถูกหลอกลวงและตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในต่างประเทศ และได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยราชการไทยและต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง จนสามารถเข้าให้ความช่วยเหลือคนไทยดังกล่าวและเดินทางกลับประเทศไทย ตามที่ทราบแล้ว นั้น

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การช่วยเหลือเหยื่อคนไทยที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ พร้อมทั้งขยายผลถึงเครือข่ายผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการตัดวงจรการกระทำผิดของกลุ่มองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ ที่ได้ใช้โอกาสที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจในช่วงโควิด-19 หลอกลวงคนไทยไปบังคับใช้แรงงานและค้าประเวณีในต่างประเทศ ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าวอาจเข้าข่ายการค้ามนุษย์ กระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปในสังคมในวงกว้าง

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร./ รองผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. ในการดำเนินการประสานงานหน่วยงานและส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กองต่อต้านการค้ามนุษย์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กรมการกงสุล กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งความร่วมมือจากภาคเอกชน เช่น NGO ต่าง ๆ ที่ช่วยให้ข้อมูลของคนไทยที่ร้องขอความช่วยเหลือ จนสามารถช่วยเหลือคนไทยซึ่งถูกหลอกลวงกลับมาได้อย่างปลอดภัยจำนวนทั้งสิ้น 364 คน แบ่งเป็นการช่วยเหลือจากประเทศกัมพูชาจำนวน 361 คน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จำนวน 3 คน นอกจากนี้ยังมีการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในกรณีดังกล่าวได้เป็นจำนวนมาก โดยมีการออกหมายจับผู้กระทำผิดที่หลอกลวงคนไทยไปบังคับใช้แรงงานในกัมพูชาได้ทั้งสิ้น 32 ราย จับกุมแล้ว 15 ราย คงเหลือ 17 ราย และออกหมายจับผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงคนไทยไปค้าประเวณีที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ทั้งสิ้น 25 ราย จับกุมแล้ว 6 ราย คงเหลือ 19 ราย

กรณีผู้เสียหายจากกัมพูชานั้น เป็นกรณีที่ผู้เสียหายได้ถูกหลอกลวงจากข้อมูลการรับสมัครงานทางโซเชียลมีเดียเหมือนปกติทั่วไป ตั้งแต่งานรับจ้างทั่วไป จนถึงงานในคาสิโน โดยมีการใช้ตัวเลขรายได้ที่สูงมาล่อใจ เพื่อให้ผู้เสียหายมีความสนใจสมัครไปทำงานดังกล่าว แต่แท้จริงแล้วได้มีการนำพาผู้เสียหายข้ามชายแดนโดยผิดกฎหมายตามช่องทางธรรมชาติ และมีการยึดหนังสือเดินทาง และบังคับให้ทำงานที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหลอกลวงให้คนไทยลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีอยู่จริง หรือคอลเซ็นเตอร์ สร้างความเสียหายมูลค่าหลายล้านบาท หากใครไม่ยอมทำงานดังกล่าวก็จะถูกบังคับทุบตี ทำร้ายร่างกาย กักขัง และอดอาหาร จะต้องหาทางร้องขอความช่วยเหลือจากทางการไทยเพื่อช่วยเหลือกลับประเทศไทย

 

ตร. สั่งกำชับ!! ตำรวจทั่วประเทศเตรียมพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหา รับมือนักเรียน - นักศึกษา ‘ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ยกพวกตีกัน’!!!

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์ กรณีที่มีกลุ่มนักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาท ยกพวกตีกัน จนสร้างความวุ่นวายและเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชน โดยมีปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมลอกเลียนแบบตามภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง นั้น

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ปป.) ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาฯ อีกทั้งมีความห่วงใย ต่อเด็กและเยาวชน ที่อาจเกิดพฤติกรรมลอกเลียนแบบในการก่อเหตุทะเลาะวิวาท จึงมอบหมายให้ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รองจเรตำรวจแห่งชาติ (ช่วยงาน (ปป.)) เป็นหัวหน้ารับผิดชอบควบคุมกำกับดูแล การป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาท ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ กำหนดให้มีการประชุมการป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน นักศึกษา ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ผ่านระบบวิดีโอทางไกล (VDO Conference) ในวันอังคารที่ 14 ธ.ค. 64 เวลา 10.00 น ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 ตร. โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่าย เข้าร่วมประชุมฯซึ่งการประชุมฯ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1) ให้ทุก บก./ภ.จว. ที่มีสถานการณ์ปัญหา นักเรียน นักศึกษา ก่อเหตุทะเลาะวิวาท วิเคราะห์พื้นที่ปฏิบัติการ (IPB) โดยให้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับพื้นที่ที่มักจะเป็นจุดเสี่ยง จุดล่อแหลม รวมถึงการสำรวจกล้องวงจรปิดบริเวณโดยรอบและการแสวงหาความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ

2) สำหรับ บก./ภ.จว. ที่มีการรับแจ้งเหตุเกิดขึ้นแล้วและมีผู้บาดเจ็บ หรือมีผู้เสียชีวิต รวมทั้งการรับแจ้งเหตุว่าจะมีการรวมตัวกันก่อเหตุและสามารถเข้าไประงับหรือป้องกันเหตุได้ก่อน ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานระดับพื้นที่ขึ้น เพื่อทบทวนบทเรียนหลังจากที่มีการปฏิบัติ (AAR) เพื่อหาจุดแข็ง จุดอ่อน หรือปัญหาอุปสรรค เพื่อทำการแก้ไข ทั้งนี้มุ่งหวังให้มีรูปแบบการปฏิบัติที่เป็นมาตรฐาน (SOP) และมีการออกแผนปฏิบัติการและทำการซักซ้อมแผนเป็นประจำ สำหรับกรณีนักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาทแล้วมีผู้บาดเจ็บถูกส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาล ให้มีแผนเผชิญเหตุและทำการซักซ้อม เพื่อป้องกันการทะเลาะวิวาทต่อเนื่องที่โรงพยาบาลด้วย

3) นำข้อมูลที่ได้จากการรับแจ้งเหตุทางศูนย์วิทยุ 191 มาเป็นข้อมูลในการประชุมงานสายตรวจ เพื่อประกอบการวิเคราะห์และจัดทำแผนการตรวจ ให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาในพื้นที่ หากห้วงเวลาหรือ สถานที่ที่ได้จากการวิเคราะห์ว่ามีแนวโน้มการรวมตัวก่อเหตุ ให้มีมาตรการที่ชัดเจนและสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างแท้จริง

4) การบูรณาการความร่วมกัน ระหว่าง งานป้องกันปราบปราม งานสืบสวน และพนักงานสอบสวน ในระดับ สน./สภ. เมื่อรับแจ้งเหตุว่าจะมีเหตุดังกล่าว จะต้องประสานงานทั้งสายตรวจประเภทต่าง ๆ และทีมสืบสวน เพื่อเข้าไปป้องกันเหตุ หรือคลี่คลายสถานการณ์ หากเป็นเหตุที่จะต้องดำเนินคดีในชั้นพนักงานสอบสวน ฝ่ายสืบสวนจะต้องเร่งพิสูจน์ทราบกลุ่มบุคคล ที่ก่อเหตุ เพื่อดำเนินการด้วยความรวดเร็ว

5) มาตรการประสานงานกับสถาบันการศึกษา นั้น กำชับให้ระดับ ผกก.หัวหน้าสถานี เป็นผู้ประสานงานกับ ผอ.สถาบันการศึกษาที่มีความเสี่ยง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ซึ่งกันและกันโดยตรง

6) พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ในฐานะผู้รับผิดชอบกำกับดูแลการป้องกันและแก้ปัญหานักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลลาะวิวาท ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประสานกับเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อสร้างความร่วมมือ และหาแนวทางในการป้องกันเหตุนักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาทต่อไป

 

ตร.ประจวบฯ โชว์ฟอร์ม!! ‘จับยาบ้า - กัญชา’ มูลค่ารวม 100 ล้านบาท คาด่านห้วยยาง!!

สภ.ห้วยยาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ 7 พล.ต.ต.วันชัย ธารณธรรม ผบก.ภ.จ.ประจวบคีรีขันธ์ พ.ต.อ.นนท์ ภักดีพันธ์ ผกก.สภ.ห้วยยาง นายอำนาจ เหล่ากอที  ผู้อำนวยการสำนักงาน ปปส.ภาค 7 นายพรหมพิริยะ กิจนุสนธิ์ รองผู้ว่าราชการ จ.ประจวบฯ ร่วมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายใหญ่จำนวน 2 คดี ได้ผู้ต้องหา 4 คน พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 1 ล้านเม็ด กัญชาแห้งอัดแท่งหนัก 660 กิโลกรัม (กก.) คิดเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท  

โดยกลางดึกคืนที่ผ่านมา ขณะเจ้าหน้าที่สนธิกำลังตั้งด่านตรวจสิ่งผิดกฎหมายบนถนนเพชรเกษมขาล่องใต้ ด้านหน้า สภ.ห้วยยาง พบรถกระบะยี่ห้อโตโยต้าตอนครึ่งสีบรอนซ์เงิน ทะเบียน บน 9396 ภูเก็ต สภาพเก่าวิ่งมา แต่ก่อนถึงด่านตรวจประมาณ 50 เมตร รถคันดังกล่าวเห็นมีด่านอยุ่ข้างหน้าจึงหักหลบเข้าซอยข้างทาง ตำรวจประจำด่านเห็นผิดสังเกตจึงขับตามจนทันก่อนเรียกให้จอด ทราบชื่อคนขับว่า นางอุทัย หลวงสมบัติ อายุ 46 ปี มี น.ส.จันทนา หลวงสมบัติ อายุ 26 ปี ทั้งคู่เป็นชาว จ.พังงา นั่งคู่มาด้วยท่าทางมีพิรุธ จึงขอตรวจค้นที่กระบะท้ายพบกล่องโฟมปิดผนึกอย่างดีวางรวม 5 กล่อง เมื่อเปิดออกดูถึงกลับตะลึง พบยาบ้ากล่องละ 200,000 เม็ด รวม 1,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่จึงนำตัวมาสอบสวน

เบื้องต้นนางอุทัยรับว่าได้รับการว่าจ้างจากชายคนหนึ่งเป็นเงิน 20,000 บาทแต่ยังไม่ได้รับเงิน ให้ขับรถขนกล่องโฟม 5 ใบโดยบอกว่าภายในเป็นดอกมะลิ จากบริเวณแยกวังมะนาว อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ให้ไปส่งที่ศาลพ่อตาหินช้าง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร และจะมีคนมารับอีกทีหนึ่ง แต่ระหว่างทางถูกจับกุมเสียก่อน เบื้องต้นตำรวจไม่ปักใจเชื่อก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คนไปสอบสวนขยายผลดำเนินคดีตามกฎหมาย

ส่วนอีกราย ขณะเจ้าหน้าที่ตั้งด่านตรวจบนถนนเพชรเกษมขาล่องใต้ ด้านหน้า สภ.ห้วยยาง มีรถกระบะมาสด้า ตอนครึ่ง สีขาว ป้ายทะเบียน ผน 7064 อุดรธานี ขับผ่านมา มีนายเกรียงไกร บุญคำ อายุ 36 ปี ชาว จ.สกลนคร เป็นคนขับ น.ส.กรรณิกา ปาละสิทธิ์ อายุ 33 ปี นั่งคู่มาด้วย ทั้ง 2 คนท่าทางมีพิรุธเมื่อเห็นตำรวจจึงขอตรวจค้น พบกัญชาแห้งอัดแท่งจำนวน 660 แท่ง ๆ ละ 1 กก.รวม 660 กก. ซุกซ่อนอยู่ในถุงปุ๋ยโดยมีกล่องเหล้า กระสอบฟางแห้งปิดทับเพื่อตบตา จึงควบคุมตัวมาสอบสวน

 

‘ผบช.ภ.1’ ปล่อยแถวระดมกวาดล้าง ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์!!

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2564 เวลา 16:00 น. ที่ลานจอดรถ ห้างแม็คโครคลองหลวง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค1 เป็นประธานปล่อยแถวเพื่อระดมกวาดล้างป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ 

โดยมี พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รองผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ชุมพล ชาญชนะโยธิน ผบก.ภ.จว.ปทุมธานีพ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ มิตรปราสาท ผกก.สภ.คลองหลวง ว่าที่ร้อยตรี พิชญะ เพียราช ปลัดอำเภอคลองหลวง นำเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง สาธารณสุขเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคม แรงงานจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด ตำรวจสันติบาลจังหวัดปทุมธานี และตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดปทุมธานี เข้าร่วมปล่อยแถว 



ในเวลาต่อมา พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค1 พร้อมส่วนเกี่ยวข้องได้เข้าตรวจสอบตลาดผลไม้ตลาดไท ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยมี พ.ต.ต.สิรภพ บัวหลวง สว.สส.สภ.คลองหลวง พร้อมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ตลาดไท ให้การต้อนรับและนำตรวจแผงค้าผลไม้และพื้นที่ตลาดไทเนื้อที่กว่า 500 ไร่  

ด้านพล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค1 เปิดเผยว่า ตามนโยบายของรัฐบาลและผบ.ตร.ให้ดูแลเรื่องแรงงานต่างด้าวให้เข้มข้นตลอดระยะเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมามีการเข้มงวดตรวจสอบแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาในพื้นที่ประเทศไทยเข้ามาอย่างถูกต้องหรือไม่ มีการลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าวอย่างผิดกฎหมายหรือไม่การตรวจวันนี้มีการทำพร้อมกันทั้งจังหวัดปทุมธานี ทุกโรงพัก ว่าเป็นแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เข้าเมืองอย่างถูกต้องโดยถูกกฎหมายหรือไม่ 

‘สตม.’ บุกทลาย!! 'ปาร์ตี้ผิวสี' ย่านรามคำแหง ลักลอบมั่วสุมยันหว่างร่วมครึ่งร้อย!! หวั่นแพร่เชื้อโอไมครอน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัย หรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ  นิธินนทเศรษฐ์  ผบก.ตม.1, และ พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ ผกก.สส.บก.ตม.1 พร้อมชุดปฏิบัติการสืบสวนฯ ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ดังนี้ 

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ได้ทราบข้อมูลจากแหล่งข่าวว่าที่ร้านนครบาร์บางกอก ในย่านรามคำแหงจะมีการลักลอบจัดปาร์ตี้สังสรรค์ และจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับกลุ่มลูกค้า โดยมีกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติผิวสี และมีหญิงไทยร่วมด้วย ซึ่งมักมีการนัดรวมตัวเพื่อมั่วสุมดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ร้านดังกล่าวเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้มีการประชุม วางแผนในการเข้าปิดล้อมตรวจสอบร้านดังกล่าว

ต่อมาในวันที่ 13 ธันวาคม 2564 เวลาประมาณ 01.45 น. สตม. โดย กก.สส.บก.ตม.1 ได้สนธิกำลังกับ กก.2 บก.ปส.1 และ สน.หัวหมาก เข้าปิดล้อมตรวจค้นร้านนครบาร์บางกอก ที่เกิดเหตุ พบสภาพภายในร้านมีลักษณะเป็นตู้คอนเทนเนอร์ ตกแต่งภายในโดยมีโต๊ะพูล รวมทั้งมีการจัดโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งรับประทานอาหารและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  มีลูกค้าทั้งคนไทย และคนต่างชาติ กำลังใช้บริการอยู่จำนวนหลายสิบราย

จากการตรวจสอบเอกสารหนังสือเดินทางของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติทั้งหมดในร้าน พบเป็นบุคคลต่างด้าวผิวสีจากประเทศในแถบแอฟริกาเช่น ไนจีเรีย คองโก แคเมอรูน เป็นต้น โดยในจำนวนบุคคลต่างด้าวทั้งหมดนี้ เจ้าหน้าที่พบว่ามีบุคคลต่างด้าวที่ไม่มีหนังสือเดินทาง หรือมีหนังสือเดินทางที่ไม่มีรอยตราประทับจากช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมือง เป็นจำนวนถึง 15 ราย ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อบุคคลต่างด้าวในจำนวนนี้ว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย และไม่ผ่านการตรวจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย” นอกจากนี้ในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังพบนางสาวดา (นามสมมุติ) อายุ 41 ปี สัญชาติไทย แสดงตนเป็นเจ้าของและผู้ดูแลร้าน โดยอ้างกับเจ้าหน้าที่ว่าได้มีการเช่าช่วงจากเจ้าของร้านเดิม ซึ่งร้านดังกล่าวนี้เคยเปิดเป็นร้านจำหน่ายสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง แต่ได้รับผลกระทบจากภาวะโรคระบาดโควิด-19 จนต้องปิดตัวไป     

โดยหลังจากทำการเช่าช่วงร้านดังกล่าว นางสาวดาได้ลักลอบใช้ร้านดังกล่าวเป็นที่นัดรวมตัวมั่วสุมของกลุ่มคนต่างชาติผิวสีเรื่อยมาเป็นเวลากว่า 1 เดือน โดยจะใช้แผ่นเมทัลชีทปิดช่องแสงโดยรอบจนทึบและปิดเสียงดนตรี เพื่อปิดบังอำพรางเจ้าหน้าที่เพื่อให้ยากต่อการตรวจสอบพบ

ซึ่งในส่วนของเจ้าของร้านที่เกิดเหตุนั้น เจ้าหน้าที่ได้จับกุมในข้อหา “จำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยไม่ได้รับอนุญาต และ จำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มโดยร้านไม่ผ่านการประเมินมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยฯ โดยจัดให้มีการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านเกินเวลา อันเป็นการฝ่าฝืนประกาศกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 47 ข้อ 2 ลงวันที่ 29 พ.ย.64” และควบคุมตัวทั้งนางสาวดาฯ และบุคคลต่างด้าวทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน สน.หัวหมากดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

ตร. แนะนำ!! “กำหนดวงเงินบัตร” ให้พอดีกับค่าใช้จ่าย ลดความเสี่ยงถูกสูบเงิน

วันที่ 13 ธ.ค. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ปัจจุบันเทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้า ทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น โดยทุกคนสามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ด้วยระบบอินเทอร์เน็ต ของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อสินค้าและบริการ ที่มีการผูกบัตรเข้ากับเว็บไซต์ของร้านค้าหรือผู้ให้บริการต่าง ๆ เพื่อความสะดวกในการชำระเงิน เป็นจำนวนมาก

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าวต่อไปอีกว่า การทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับพี่น้องประชาชนก็จริง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงในการถูกคนร้ายดักรับข้อมูลหมายเลขหน้าบัตร และหมายเลขรหัส CVV ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในการทำธุรกรรมของคนร้าย ทำให้เจ้าของบัตรมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียทรัพย์สินผ่านช่องทางบัตรดังกล่าว

เพื่อให้รู้เท่าทันมิจฉาชีพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก จึงขอแนะนำพี่น้องประชาชนถึงเทคนิคในการลดความเสี่ยง และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากบัตรเครดิต และบัตรเดบิต ดังนี้

1. ควรกำหนดวงเงินบัตรเครดิต/บัตรเดบิต ให้พอดีกับค่าสินค้าและบริการ เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้น

2. ควรกำหนดวงเงินบัตรเครดิต/บัตรเดบิต ไว้ที่ 0 บาท หรือระงับบัตรชั่วคราวผ่านแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือ แล้วเปิดใช้งานหรือเพิ่มวงเงินเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องใช้บัตรในการชำระเงิน (ทั้งนี้ขึ้นกับเงื่อนไขการให้บริการของแต่ละธนาคาร ซึ่งอาจมีการจำกัดจำนวนครั้งในการปรับวงเงิน หรือระงับบัตรชั่วคราว)

3. ควรยกเลิกบัตรเครดิต/บัตรเดบิต ที่ไม่ได้ใช้งาน โดยให้ถือบัตรเฉพาะเท่าที่จำเป็น เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบยอดธุรกรรมที่ผิดปกติ

4. หากต้องการผูกบัตรเครดิต/บัตรเดบิต กับร้านค้าหรือผู้ให้บริการเพื่อชำระยอดค่าบริการแบบตัดผ่านบัตรอัตโนมัติ ควรเลือกบัตรที่สามารถกำหนดวงเงิน หรือบัตรที่ต้องใช้การเติมเงินเข้าไปในบัตรก่อนจึงจะสามารถใช้ในการชำระเงินได้ เพราะจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายไม่ให้เกิดความจำเป็น

 

ผู้การตำรวจร่วม 3 ฝ่าย แถลงทลายเครือข่ายส่งยาเสพติดทางทะเล ผ่านประเทศที่ 3 เป็นครั้งแรก!!

พล.ต.ต.แวสาแม สาและ  ผบก.ภ.จว.นราธิวาส พล.ต.เฉลิมพร ขำเขียว ผบ.ฉก.นราธิวาส พ.ต.อ.นราวี บินแวอารง ผกก.สภ.ตากใบ และนายกฤษฎา สุขสบาย ปลัด อ.ตากใบ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมแถลงข่าวการจับกุมตัว นายสุภัทร คะทะวะรัตน์ อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 123 หมู่ 2 ต.ภูเขาทอง อ.สุคิริน จ.นราธิวาส และ น.ส.ช่อผกา อภัยสวัสดิ์ อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 64/1 หมู่ 3 ต.น้ำรอบ อ.พุนพิน จ.สุราษฏร์ธานี

ซึ่งทั้ง 2 คน เป็นสามีภรรยา พร้อมของกลางกัญชาแห้งอัดแท่ง ห่อด้วยกระดาษฟลอยด์สีบรอนด์ทอง พันด้วยเทปใส บรรจุอยู่ในกระสอบปุ๋ยสีขาว และห่อหุ้มด้วยถุงพลาสติกทึบแสงสีดำอีกชั้นหนึ่ง จำนวน 34 กระสอบ รวม 94 แท่ง น้ำหนัก 1,680 ก.ก. ซึ่งมีมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท ขณะลักลอบขนย้ายอำพรางมากับรถยนต์เทรลเลอร์ 18 ล้อ ยี่ห้อ HINO สีแดง หมายเลขทะเบียน 87-2674 สระบุรี โดยมีท่อนไม้ยูคาลิปตัสปิดทับไว้ จาก จ.นครพนม ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ ที่บริเวณชายทะเลบ้านกูบู ม.6 ต.ไพรวัน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 8 ธ.ค. 64 ที่ผ่านมา

ด้าน พล.ต.ต.แวสาแม สาและ ผบก.ภ.จว.นราธิวาส เปิดเผยว่า 2 สามีภรรยา ให้การรับสารภาพว่าได้รับจ้างขนยาเสพติดมาจาก จ.นครพนม โดยซักทอดถึงเจ้าของรถยนต์เทรลเลอร์ 18 ล้อ เป็นผู้ว่าจ้าง ให้ขับรถนำกัญชาแห้งอัดแท่งมาส่งชายทะเลบ้านกูบู ม.6 ต.ไพรวัน แล้วจะมีทีมขนถ่ายจากรถยนต์เทรลเลอร์ ไปลงเรือกอและแล้วนำไปส่งให้เรือบรรทุกที่ทอดสมออยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลด้าน อ.ตากใบ ประมาณ 5 ไมล์ทะเล

 

นายกสมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทยเป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมสัมมนา "กลยุทธ์สู่นักข่าวมืออาชีพ" รุ่น 1

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา นายศิโรจน์ มิ่งขวัญ นายกสมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย และเจ้าของเว็บไซด์สื่อออนไลน์ “มหานครข่าว” ให้เกียรติเป็นประธานพิธีเปิดโครงการการฝึกอบรม/สัมมนา “กลยุทธ์สู่นักข่าวมืออาชีพ” รุ่นที่ 1 ณ ศูนย์การค้า THE STREET ชั้น 3 ห้องประชุม WORKWIZE ถนนรัชดาภิเษก ห้วยขวาง กรุงเทพฯ

นายศิโรจน์ มิ่งขวัญ นายกสมาคมฯ ให้เกียรติเป็นวิทยากรบรรยายถ่ายทอดให้ความรู้จากประสบการณ์จริงในการทำข่าวในสนามข่าวจากเหตุการณ์จริง ให้แก่ผู้สื่อข่าวมือใหม่ ผู้สื่อข่าวที่ปฏิบัติงานข่าวอยู่แล้ว และผู้สนใจในอาชีพสื่อมวลชน และผู้สนใจทั่วไป เพื่อเรียนรู้ เพิ่มทักษะ กรณีศึกษา และสูตรสำเร็จ ในการพัฒนาความรู้ความสามารถ

โดยโครงการการฝึกอบรม/สัมมนา “กลยุทธ์สู่นักข่าวมืออาชีพ” รุ่นที่ 1 ในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจาก ดร.พีรวัฒน์ สุรเศรษฐ กรรมการผู้จัดการ ห้างเพชรหลีเสง, L.S. Jewelry Group, ประธาน กต.ตร.กทม.(ภาคประชาชน), ประธาน กต.ตร.บก.น.1, ประธาน กต.ตร.บก.สายตรวจปฏิบัติการพิเศษ191, ประธาน กต.ตร.สน.ชนะสงคราม และประธานที่ปรึกษา กต.ตร.จว.นนทบุรี

โครงการการฝึกอบรม/สัมมนา “กลยุทธ์สู่นักข่าวมืออาชีพ” รุ่นที่ 1 เป็นโครงการร่วมมือสนับสนุนระหว่าง นายสมชาย สวยวิชา ประธานสมาพันธ์สื่อมวลชนและช่างภาพเพื่อประเทศชาติ ซึ่งเป็นประธานโครงการฯ และนางสาวนิภาวรรณ บุตรเขียว รองประธานสมาพันธ์ฯ ซึ่งโครงการนี้จะดำเนินกิจกรรมสร้างนักข่าวสู่มืออาชีพ และสร้างนักข่าวมือใหม่ โดยจะเชิญวิทยากรผู้ที่มีความชำนาญเชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงด้านสื่อสารมวลชนมืออาชีพ มาถ่ายทอดให้ความรู้จากประสบการณ์จริง

ในปี 2564 ทางสมาพันธ์ฯ ได้ดำเนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอีกโครงการหนึ่ง คือ โครงการการฝึกอบรม/สัมมนา “กลยุทธ์สู่นักข่าวมืออาชีพ” เพื่อส่งเสริมสนับสนุนงานด้านสื่อสารมวลชน เพื่อเสริมสร้างผู้สื่อข่าวมือใหม่ ผู้สื่อข่าวป้ายแดง ผู้ต้องการเริ่มต้นเข้าสู่วงการข่าว บางคนไม่รู้จะเริ่มต้นงานข่าวอย่างไร ไม่มีความรู้ ขาดประสบการณ์ ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร ไม่มีพรรคพวก ซึ่งปัญหาอุปสรรคเหล่านี้จะหมดไป โดยจะแนะนำฝึกอบรมให้ปฏิบัติงานข่าวได้จริงอย่างง่ายๆ รวดเร็ว สามารถเริ่มงานข่าวได้ทันที สร้าง/เพิ่มเพื่อนข่าว พันธมิตรข่าว สร้างโอกาส และแหล่งข่าวช่องทางข่าวใหม่ๆ หรืออยากจะทำธุรกิจข่าวก็ได้ โดยเน้นปฏิบัติงานจริงจากสนามข่าวในเหตุการณ์จริง และสูตรสำเร็จ โดยเปิดการฝึกอบรม/สัมมนาแบบเร่งรัดให้แก่ผู้สนใจทั่วไป หรือผู้ที่ปฏิบัติงานข่าวอยู่แล้ว แสวงหา/เพิ่มทักษะการเรียนรู้ ประสบการณ์ความสามารถ สร้าง/เพิ่มเพื่อนข่าว พันธมิตรข่าว สร้างโอกาสและช่องทางข่าวใหม่ๆ ซึ่งต่อไปคาดว่าน่าจะเกิดศูนย์การเรียนรู้ พัฒนาประสบการณ์ ความรู้ความสามารถ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นคนในวงการสื่อสารมวลชนได้ในระดับหนึ่ง และเกิดผู้สื่อข่าวมือใหม่ที่มีคุณภาพอีกเป็นจำนวนมาก อีกทั้งต่อไปจะจัดฝึกอบรม/สัมมนาในหัวข้อหรือประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจ โดยจะเชิญผู้ที่มีความรู้ความสามารถที่มีความชำชาญเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาร่วมสัมมนา เพื่อประโยชน์ต่อสังคม

สมาพันธ์สื่อมวลชนและช่างภาพเพื่อประเทศชาติ ได้ดำเนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ในการจัดมอบโล่รางวัลให้แก่บุคคล องค์กร ธุรกิจตัวอย่างดีเด่น และมอบทุนการศึกษาให้แก่บุตร-ธิดาของผู้สื่อข่าวชั้นนำ มากว่า 5 ปี อย่างต่อเนื่อง

ส่วนทางสมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย ที่ผ่านมาได้ดำเนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมมาโดยตลอด ได้แก่ งานมอบรางวัล “เกียรติยศตำรวจไทย”, รางวัล “ปิดทองหลังพระ”, “นักข่าวป้ายแดง” และอื่นๆ ปัจจุบันได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมนักข่าว วิจัยและพัฒนา และในปี 2565 กำลังจัดตั้งโรงเรียนเตรียมนักข่าว

'ทหาร กกล.สุรศักดิ์มนตรี' สนธิกำลังฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ จับกุม! 'ผู้ค้ากัญชาอัดแท่ง' 2 ราย 704 กก. พร้อมรถยนต์กระบะ 1 คัน

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา พล.ท.สวราชย์  แสงผล แม่ทัพภาคที่ 2  พ.อ.สุคนธรัตน์  ชาวพงษ์  ผู้บังคับการควบคุมกองบังคับการควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ได้รับรายงาน  จะมีการลำเลียงยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามาในราชอาณาจักร  ในพื้นที่ บ้านหว้านใหญ่ อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร จึงได้สั่งการให้ ร.อ.นฤดล  อุตม์สีขันธ์ ผู้บังคับกองร้อยหน่วยเคลื่อนที่เร็ว​(ผบ.ร้อย.QRF) กองบังคับการ ควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี (บก.ควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศัดิ์มนตรี  จัดกำลัง ร่วมกับ ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง อำเภอหว้านใหญ่ ทำการลาดตระเวณ และซุ่มเฝ้าตรวจในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว

จนกระทั่ง เวลาประมาณ 18.45 น. ตรวจพบเรือยนต์หางยาว แล่นมาจากฝั่ง สปป.ลาว เข้ามายังฝั่งไทย ในพื้นที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง บ้านหว้านใหญ่ ต.หว้านใหญ่ อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร และได้โยนสิ่งของที่บรรทุกภายในเรือขึ้นฝั่งก่อนแล่นออกจากฝั่งไป จากนั้นได้มีชายประมาณ 6 คน ได้ช่วยกันแบกสิ่งของนั้นไปยังรถยนต์กระบะที่จอดรออยู่ถนนใกล้ที่เกิดเหตุจนแล้วเสร็จ 

​​​​​​เจ้าหน้าที่ซึ่งดักซุ่มอยู่ จึงแสดงตัวขอตรวจค้นรถกระบะคันดังกล่าว กลุ่มชายที่ขนสิ่งของเมื่อรู้เป็นเจ้าหน้าที่ได้วิ่งหนีและอาศัยความมืดหลบหนีไปได้ นอกจากชาย-หญิง 2 คน ทราบชื่อ บุญสม ขำคำ อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3/15 หมู่ที่ 2 ต.วังผา อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี และน.ส.พลอยชมพู อายุ 18 ปี อยู่บ้านเลขที่ 163/2 ต.ไผ่เขียว อ.สว่างอารมย์ จ.อุทัยธานี  และรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า สีบรอนด์ หมายเลขทะเบียน 2 ฒห 613 กทม.อยู่ในที่เกิดเหตุ 

ตร. เตือน!! กลลวงคอลเซ็นเตอร์ ขอให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบ ย้ำ “หน่วยงานรัฐไม่เคยทำ” ห้ามโอนเด็ดขาด!!!

วันที่ 9 ธ.ค. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนว่ามีกลุ่มคนร้ายมีพฤติการณ์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือ บริษัทขนส่งสินค้า โดยแจ้งว่าบัญชีของท่านหรือพัสดุสิ่งของของท่านที่ส่งไปต่างประเทศมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เช่น ยาเสพติด การค้ามนุษย์ ก่อการร้ายฯลฯ มีการข่มขู่ว่าจะดำเนินคดีในอัตราโทษสูง จะมีการออกหมายจับ ถ้าไม่อยากถูกดำเนินคดี ต้องโอนเงินมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ มิเช่นนั้นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งมีพี่น้องประชาชนได้รับโทรศัพท์ในลักษณะดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ทั้งที่มิได้มีส่วนกับการกระทำความผิดตามที่มิจฉาชีพกล่าวอ้าง นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า ธนาคาร และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องให้เจ้าของบัญชีธนาคารโอนเงินมาให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อทำการตรวจสอบ เพราะหากพบว่าบุคคลใดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด พนักงานสอบสวนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่จะใช้อำนาจตามกฎหมายในการยึด อายัดบัญชีธนาคาร

โดยจะเป็นผู้ติดต่อกับทางธนาคารโดยตรง จึงขอให้พี่น้องประชาชนอย่าหลงเชื่อ และหากมีผู้ใดอ้างว่าต้องให้ท่านโอนเงินเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นมิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะได้เร่งรัดดำเนินการสืบสวนปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างเข้มข้นต่อไป

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top