Monday, 28 April 2025
CRIMES

'สุโขทัย' เข้ม!! ระดมพลกวาดล้างอาชญากรรมจากเหล่าทรชน สร้างความมั่นใจทุกมิติช่วงเทศกาลลอยกระทง 2565

เมื่อ (1 พ.ย. 65) ที่ผ่านมา บริเวณหน้าอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย นายสุชาติ ทีคะสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัด รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เป็นประธานเปิดพิธีปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรม ช่วงเทศกาลลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ ประจำปี 2565 เพื่อให้การป้องกันปราบปรามอาชญากรรม การรักษาความสงบเรียบร้อย และการดูแลอำนวยความสะดวกด้านการจราจร การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน 

โดยงานนี้มี พล.ต.ต.อมรศักดิ์ เกษมก์สิริ ผบก.ภ.จว.สุโขทัย, พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ นิลจันทร์ รองผอ.กอ.รมน.สุโขทัย ตำรวจภูธรจังหวัดสุโขทัย ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสุโขทัย, ตำรวจท่องเที่ยว, ตำรวจทางหลวง, ตำรวจตระเวนชายแดน ตำรวจพิสูจน์หลักฐานจังหวัดสุโขทัย, กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุโขทัย, อาสาสมัครรักษาดินแดนจังหวัดสุโขทัย, ป้องกันภัยจังหวัดสุโขทัย, สรรพสามิตจังหวัดสุโขทัย, อาสาสมัครตำรวจบ้าน, หน่วยกู้ภัยในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย และหัวหน้าส่วนราชการ รอรับการปล่อยแถวในครั้งนี้ จำนวน 369 นาย 

'บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก' บุกตรวจผับนอมินีต่างชาติในคืนฮาโลวีน 7 แห่ง คาดโทษตำรวจท้องที่ละเลยบกพร่อง ลงโทษสถานหนัก

เซอร์ไพรส์คืนฮาโลวีน 'บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก' นำกำลัง 200 นาย สุ่มตรวจค้นสถานบันเทิงนายทุนต่างชาติเป็นนอมินี 7 แห่งทั่ว กทม.คาดโทษท้องที่ละเลยบกพร่องต้องรับผิดชอบ

เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 1 พ.ย.พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร.(ปป.) และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. (สส.) พร้อมชุดปฏิบัติการ บช.น., บช.สอท., บช.ปส., บช.สตม. พิสูจน์หลักฐาน และ บช.ทท.กว่า 200 นาย เข้าตรวจค้น ผับ บาร์ สถานบริการซึ่งคาดว่าเป็นของนายทุนต่างชาติ และนอมินีพร้อมกัน 7 จุด ทั่วกรุงเทพมหานคร โดยมีสถานบันเทิงขนาดใหญ่ อาทิ ร้าน แอสการ์ด (Asgard) บาร์โฮส ย่านห้วยขวาง และสถานบันเทิงเบบี้เฟส ย่านเอกมัย โดยใช้เวลาปฏิบัติการประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนที่คณะรอง ผบ.ตร. ทั้ง 2 นาย จะเดินทางมาสรุปผลปฏิบัติการที่ร้านแอสการ์ด บาร์โฮส แยกเหม่งจ๋าย

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า ปฏิบัติการในค่ำคืนนี้เป็นการทำงานร่วมกัน ระหว่างตำรวจฝ่ายป้องกันปราบปรามและตำรวจฝ่ายสืบสวน จากผลการปฏิบัติงาน ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ซึ่งดำเนินการสืบสวนสอบสวนมาตั้งแต่คดีที่พัทยา โดยการทำงานจะเน้นไปที่เรื่องของยาเสพติด อาวุธปืน และ การปล่อยเด็กเข้าใช้บริการ อย่างที่เคยกล่าว ว่า 3 เรื่องนี้ เป็นหน้าที่ของสถานบันเทิงจะต้องเป็นผู้คัดกรองอยู่แล้ว ต้องไม่ให้มีเล็ดลอดเข้าไป หลังจากนี้เรื่องการกวดขันสถานบันเทิง เราจะทำงานบูรณาร่วมกันทั้งฝ่ายป้องกันปราบปรามและฝ่ายสืบสวน ใช้กำลังพลของทุกกองบัญชาการ รวมถึงปัญหาบุคคลต่างชาติที่เข้ามาทำงานในบ้านเรา โดยเฉพาะปัญหามาเฟียต่างชาติ หลาย ๆ แก๊ง

พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ กล่าวอีกว่า ผลการปฏิบัติงานวันนี้ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย มีเพียงผลตรวจปัสสาวะนักท่องเที่ยวที่พบสารเสพติด ซึ่งอาจเป็นการเสพมาจากภายนอกสถานบันเทิง ในวันนี้ที่มี รอง ผบ.ตร.นำกำลังลงพื้นที่ ตรวจตราตามสถานบันเทิงถึง 2 คน ตนถือว่า พวกตนมาเปิดปฏิบัติการให้แล้ว หลังจากนี้ตำรวจท้องที่ก็ต้องทำงานกวดขันตามนโยบายด้วย หากตรวจพบภายหลัง ว่า ละเลยบกพร่อง เจ้าของท้องที่ก็ต้องรับผิดชอบ หากในภายหลังตรวจพบความผิด จำเป็นต้องลงโทษไม่มีการตักเตือน ในส่วนของสถานบันเทิงหากคุณทำผิดต้องปิด 5 ปี แอบเปิดเมื่อไหร่ ก็มีโทษจำคุก เนื่องจากเป็นนโยบายที่ท่าน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.สั่งการเอาไว้แล้ว เข้าใจว่า เราเพิ่งผ่านพ้นสถานการณ์ความลำบากมาจากโควิด 19 การลงตรวจสอบของตำรวจ ย่อมส่งผลกระทบในภาพรวมต่อสถานบันเทิง แต่เมื่อคุณมีอาชีพทำสถานบันเทิง คุณก็ต้องอยู่ในกรอบ ปฏิบัติตามกฎหมาย และช่วยสอดส่องดูแลไม่ให้มีสิ่งผิดกฎหมายด้วย

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า ท่าน ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำและกำชับ ในมาตรการป้องกันและตรวจค้นสารเสพติด อาวุธ และเยาวชน ในสถานบริการอย่างเคร่งครัด วันนี้ก็มีการบูรณาการร่วมกันลงพื้นที่ตรวจค้นประมาณ 7 แห่ง ทั่วกรุงเทพมหานคร โดยใช้กำลังจาก บช.ปส., บช.สตม., บช.น., บช.ทท. และ ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ในแต่ละจุดที่ทำการตรวจค้น มีการนำน้ำยาตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด ลงไปตรวจทดสอบประมาณ 300 ชุด ผลการตรวจสอบมีนักท่องเที่ยวฉี่สีม่วงเพียง 1-2 คน ซึ่งถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดี แต่อาจเป็นเพราะคืนนี้ แม้จะเป็นเทศกาลฮาโลวีน แต่เป็นวันธรรมดา ไม่ใช่วันหยุดทำให้นักท่องเที่ยวน้อยก็เป็นได้ 

ในส่วนของการสืบสวนที่ตนรับผิดชอบ หลังจากนี้ หากพบว่ามีสถานบันเทิงฝ่าฝืนกฎหมายกระทำความผิด ก็จะต้องขยายผลหาตัวเจ้าของกิจการมาดำเนินคดีต่อไป คดีผับศูนย์เหรียญ บ่อนศูนย์เหรียญ ที่ สน.ยานนาวา และ สน. สุทธิสาร ก็ยังต้องดำเนินการต่อคาดว่าภายใน 2-3 วัน จะมีการออกหมายจับ ผู้กระทำความผิดได้เกือบทั้งหมด หลังจากทำการเช็คเส้นทางของเงิน และช่องทางการติดต่อสื่อสารของผู้ร่วมขบวนการ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

รวบ ‘อาหยง’ หัวโจกแก๊งตุ๋นเหยื่อออนไลน์ ลวงคนไทยบังคับเป็น scammer ที่เมียนมา

รวบมังกรจีน หัวหน้าแก๊ง scammer หลอกคนไทยทำงานประเทศเพื่อนบ้าน บีบบังคับให้แชทตุ๋นเหยื่อออนไลน์

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ (31 ต.ค. 65) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผบก.ปคม. พ.ต.อ.สุรพงษ์ ชาติสุทธิ์ รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.แมน เม่นแย้ม รรท.ผกก.4 บก.ปคม. ร่วมกันแถลงจับกุมนายหวง เทียนหยง หรือ อาหยง อายุ 33 ปี สัญชาติจีน ตามหมายจับศาลอาญาที่ 1112/2564 ลงวันที่ 8 ก.ค. 2564 ข้อหา “สมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ฯ และ ร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปหรือโดยสมาชิกองค์อาชญากรรมกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ด้วยการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการบังคับใช้แรงงานฯ” หลังจับกุมตัวได้ที่ลานจอดรถของสนามมวยลุมพินี ถ.รามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ

พล.ต.ท.จิรภพ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงต้นปี 2564 นายหวง ผู้ต้องหา พร้อมกับพวกซึ่งเป็นเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ที่มีทั้งคนจีน ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และพม่า รวม 19 คน ร่วมกันหลอกคนไทยไปทำงาน ด้วยวิธีการลงโฆษณาทางอินเทอร์เน็ต หลอกหาคนไปทำงานที่ชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อมีเหยื่อหลงเชื่อ ก็จะถูกบังคับพาข้ามไปยังฝั่ง จ.เมียวดี ประเทศเมียนมาร์ ผ่านช่องทางธรรมชาติ เมื่อไปถึงก็จะพาไปที่บริษัท JinXin Holdings จำกัด จากนั้นก็บังคับให้ทำงานเป็น Scammer เพื่อหลอกลวงเงินผู้อื่นผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อหลอกให้นำเงินมาลงทุนธุรกิจเงินดิจิทัล หรือ บิทคอยน์ 

‘ตำรวจท่องเที่ยว’ จัดการนักท่องเที่ยวมาเลเซียขับรถซ่า หลังสร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม-ประชาชนโดยรวม

วันนี้ (31 ต.ค. 65) เวลา 09.00 น. ณ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พล.ต.ท. สุคุณ พรหมายน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต. อภิชาติ สุริบุญญา โฆษกกองบัญชาการฯ แจ้งความคืบหน้าต่อสื่อมวลชนกรณีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียทราบชื่อภายหลังว่า MR.ABDUL RAIMI BIN AZMI อายุ 32 ปี เกิดความคึกคะนองดริฟต์รถเก๋งหรู BMW สีน้ำเงิน เป็นวงกลม 3 รอบ บริเวณลานจอดรถสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สร้างความเดือดร้อนให้กับรถยนต์คันอื่น ๆ ที่จอดอยู่บริเวณลานจอดรถดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 65 ที่ผ่านมานั้น

พล.ต.ต. อภิชาติ แจ้งว่าหลังจากได้รับแจ้งเหตุแล้ว พล.ต.ต. กฤษณ์ วาฤทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว 3 ซึ่งควบคุมรับผิดชอบพื้นที่ท่องเที่ยวภาคใต้ทั้งหมดได้สั่งการให้ตำรวจท่องเที่ยวจังหวัดสงขลาตรวจสอบทันที จนกระทั่งวันที่ (29 ต.ค. 65) เวลา 22.00 น. ตำรวจท่องเที่ยวได้พบรถยนต์คันดังกล่าวทะเบียน VGC 2014 บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา จังหวัดสงขลา กำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ จึงเรียกให้หยุดและสอบถาม ซึ่ง Mr.Abdul ผู้ขับขี่ให้ยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ขับรถแบบคึกคะนองในวันที่เกิดเหตุจริง จึงได้เชิญตัวมายังสถานีตำรวจภูธรคอหงส์ พร้อมกับได้เรียกผู้เสียหายทั้งหมดมาเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยกัน 

ผลจากการเจรจาไกล่เกลี่ย Mr.Abdul ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียหายทั้งหมดรวมเป็นเงิน 99,000 บาท นอกจากนี้ เจ้าหน้าตำรวจได้แจ้งข้อหาให้ Mr.Abdul ทราบด้วยว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามกฎหมายของไทย กล่าวคือ “ทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันควรจนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน” ซึ่ง Mr.Abdul ให้การรับสารภาพโดยพนักงานสอบสวนได้สั่งปรับเป็นจำนวนเงิน 1,000 บาท ก่อนจะปล่อยตัวเดินทางกลับประเทศมาเลเซียต่อไป 

พล.ต.ต. อภิชาติ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ขอขอบคุณพลเมืองดีผู้แจ้งเหตุและประชาชนที่ได้ถ่ายภาพและคลิปวิดีโอในครั้งนี้ไว้ได้ ซึ่งใช้เป็นหลักฐานได้อย่างดีในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดและส่งผลให้การไกล่เกลี่ยเกิดประสิทธิภาพเป็นไปด้วยความรวดเร็ว และอยากถือโอกาสนี้ให้คำแนะนำต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติทุกท่านว่า ประเทศไทยนั้นให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่านเสมอด้วยความอบอุ่นและเต็มใจ 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำทีมพิสูจน์ทราบเหตุพบศพชายถูกเผาเสียชีวิต พบมีอาการซึมเศร้าสะสมเป็นเวลานาน

จากกรณีเมื่อวันที่ 10 ต.ค. 65 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ สภ.ประโคนชัย ภ.จว.บุรีรัมย์ ได้รับแจ้งเหตุกรณีพบศพ  นายธนทัต จันทร์แก อายุ 23 ปี สภาพศพนอนคว่ำ ถูกไฟเผาไหม้ทั้งตัว บริเวณที่เกิดเหตุไม่พบร่องรอยการต่อสู้ เบื้องต้นไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิต เหตุเกิดที่บริเวณหลังโรงเรียนบ้านแสลงโทน ต.แสลงโทน อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ รายละเอียดปรากฏตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้วนั้น

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.3 พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ พ.ต.อ.เจตน์สฤษฎิ์ แพ่งศรีสาร ผกก.สภ.ประโคนชัย เร่งดำเนินการตรวจสอบพิสูจน์ทราบสาเหตุการเสียชีวิตจากกรณีดังกล่าวโดยด่วน โดยให้สืบสวนในช่วงเวลาเกิดเหตุโดยละเอียด เนื่องจากเป็นการเสียชีวิตโดยผิดธรรมชาติ จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบรายละเอียดดังนี้

ก่อนเกิดเหตุ ผู้เสียชีวิตเพิ่งเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยพร้อมมารดาเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 65 หลังจากที่ย้ายไปอยู่ที่ประเทศเยอรมันกว่า 3 ปี จากนั้นได้เดินทางไปเที่ยวที่ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ก่อนจะกลับบ้านที่ อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 9 ต.ค.65 ที่ผ่านมา ต่อมาในวันเกิดเหตุ ช่วงเย็นได้มีพยานพบเห็นผู้เสียชีวิตมีอาการเหม่อลอย และเห็นผู้ตายถือขวดเครื่องดื่มซึ่งคาดว่าบรรจุน้ำมันที่ผู้เสียชีวิตไปซื้อมาจากปั๊มน้ำมันแบบหยอดเหรียญซึ่งอยู่ใกล้บ้านของผู้เสียชีวิต จากนั้นผู้เสียชีวิตได้เดินไปที่โรงเรียนที่เกิดเหตุเพียงลำพัง ก่อนจะเกิดเหตุพบศพถูกเผาดังกล่าว

เบื้องต้นผลการชันสูตรพลิกศพของผู้ตาย แพทย์ระบุว่า มีร่องรอยถูกไฟไหม้ตลอดช่วงลำตัว และด้านล่างของศพไม่พบร่องรอยบาดแผลอื่นใดจากการถูกทำร้ายหรือถูกกระแทกจากของแข็งมีคมและไม่มีคมแต่อย่างใด สาเหตุการตาย เกิดจากไฟไหม้หลอดลมจนขาดอากาศหายใจ คาดว่าผู้ตายจะใช้น้ำมันราดตัวเองในท่านั่ง ก่อนจุดไฟเผาตัวเองจนเสียชีวิต

จากการสืบสวนเพิ่มเติมของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า ผู้เสียชีวิตมีปัญหาการป่วยด้วยอาการซึมเศร้ามาเป็นเวลานาน รวมถึงมีอาการทางจิตเนื่องจากผลข้างเคียงจากการใช้ยาเสพติด ต้องมีการไปปรึกษาแพทย์และทานยารักษาอาการ นอกจากนี้ยังมีปัญหากับภรรยาซึ่งเกิดอาการหึงหวงระหว่างคู่รัก และมีความขัดแย้งในครอบครัวเป็นประจำ เนื่องจากถูกพูดถึงเกี่ยวกับอาการป่วย และถูกตักเตือนในเรื่องของการใช้เงินเป็นจำนวนมาก ประกอบกับผู้เสียชีวิตได้มีการโพสต์ข้อความตัดพ้อเกี่ยวกับชีวิตของตนผ่านเฟซบุ๊ก คาดว่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้เสียชีวิตตัดสินใจกระทำอัตวินิบาตกรรมดังกล่าว

'บิ๊กป๋อ' นำทีมชุดปฎิบัติการ ศอ.ปส.ตร. บุกรวบสองหนุ่มชาวสิงคโปร์ ลักลอบ บรรจุ ขนส่ง และจำหน่ายยาเสพติดส่งเอเยนต์ กลุ่มผู้ค้าในพื้นที่กรุงเทพ ซ่อนตัวในไทยกว่า 20 ปี

ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับ สั่งการ และมอบโยบายสำคัญเร่งด่วนให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เร่งระดมกวาดล้าง ปราบปราม ขุดรากถอนโคน ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพ แบบครบวงจร ทั้งขบวนการ อย่างเด็ดขาดและต่อเนื่อง ซึ่งปรากฎตามสื่อที่ผ่านมาหลายครั้งที่ผู้ก่อเหตุมีอาการคลุ้มคลั่งจากการเสพยาเสพติด สร้างความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเป็นการป้องปรามมิให้มีการกระทำความผิดกฎหมายและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2565 เวลาประมาณ 16.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. จึงสั่งการให้ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. , พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. , พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น , พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. , พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ปส. , พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์  บุญยืนอนนต์ ผบก.ปส.1 , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น , พ.ต.อ.วิชัย  สนสกุล  ผกก.1 บก.ปส.1 บช.ปส. พร้อม เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศอ.ปส.ตร. และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปส.1 บช.ปส. ร่วมกันสืบสวนจับกุม

1.นายออง เชา เซียง (Ong Shao Xiong)  อายุ 34 ปี ชาวสิงคโปร์  ทำหน้าที่ส่งยาเสพติด

2. นายโล จิน อัง (LOW GIN ANG) หรือ นายเส้ง อายุ 53 ปี ชาวสิงคโปร์  ทำหน้าที่เป็นลักษณะนักเคมี

พร้อมด้วยของกลาง
     1. เครื่องแพ็กซองยาเสพติด (Vacuum sealer) จำนวน 1 เครื่อง
     2. ซองยาเสพติด ลักษณะคล้ายคลึงกับแบบที่เจ้าหน้าที่ตรวจค้นพบ ณร้านจินหลิง และร้าน Leela จำนวน กว่า 100,000 ซอง 
     3. ลำโพงขนาดใหญ่ จำนวน 3 ตัว เพื่อใช้ในการซุกซ่อนยาเสพติดขณะสั่งซื้อ/ขนส่ง
    4.ไอซ์ ประมาณ 2 กรัม และไฟว์ไฟว์ จำนวน 20 เม็ด (ตรวจค้นได้จาก นายออง เชา เซียง( Ong Shao Xiong) 
    5. ยาไอซ์ 482.5 กรัม 
    6.ไฟว์ไฟว์ 380 เม็ด 
    7. ยาอี 151 ซอง 
    8.ยาบ้า ประมาณ 2,050 เม็ด 
    9.คีตามีน 10 กรัม 
    10.โคเคน จำนวน 1 กรัม 
    11. ยาเสพติด ชนิด แฮปปี้วอเตอร์ (Happy Water) จำนวน 8 ซอง 
    12. อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ จำนวน 1 กระบอก และ กระสุนขนาด 9 มม. และ .22 รวม 84 นัด 
และของกลางอื่นๆ อีกหลายรายการที่ใช้ในการผสม และแพ็กเกจ

สืบเนื่องจากกรณีตรวจค้นและจับกุมเครือข่ายยาเสะติดและกลุ่มนักเสพ นักท่องเที่ยวชาวจีน ณ สถานบริการภายใน ร้านจินหลิง และร้าน Leela ภายในท้องที่ สน.ยานนาวา เมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 ที่ผ่านมานั้น 

ต่อมา พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผู้อำนวยการ ศอ.ปส.ตร. ได้ทำการเกาะติดผู้มีพฤติการต้องสงสัย มีส่วนเกี่ยวข้อง รู้เห็น เร่งรัด ติดตาม สืบสวน ขยายผลเพิ่มเติ่ม

พบว่า มีชาวต่างชาติชื่อว่า “นายเส้ง” สัญชาติสิงคโปร์  มีพฤติกรรมลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ตามสถานบันเทิงต่างๆในพื้นที่  จึงได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการของ ศอ.ปส.ตร. ร่วมบูรณาการปฎิบัติการกับ กก.1 บก.ปส.1 และสืบสวนนครบาลทำการสืบสวนขยายผลจนทราบแหล่งซุกซ่อนยาเสพติดที่ลำเลียงมาจากประเทศเพื่อนบ้าน

จับกุมผู้ต้องหาที่ 1 ได้บริเวณ หน้าห้างบิ๊กซี ลาดพร้าวซอย 9 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ในข้อหา “ครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) โดยไม่ได้รับอนุญาต และครอบครองวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 (ไฟว์ไฟว์) โดยไม่ได้รับอนุญาต” 

และจับกุม ตัวนาย โล จิน อัง (Low Gin Ang) ชาวสิงคโปร์ อายุ 63 ปี ในข้อหา “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์,ยาบ้า,ยาอี) และจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 2 (ไฟว์ไฟว์,คีตามีน)  โดยการขายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและแพร่กระจายในชุมชน , มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นบุคคลต่างด้าวและเดินทางเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” ได้บริเวณ หน้าโรงแรมย่านถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 

ในชั้นจับกุม นายออง เชา เซียง (Ong Shao Xiong) ให้การ รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา  ส่วน นายโล จิน อัง (LOW GIN ANG) หรือ นายเส้ง ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และให้การว่า วิธีของผู้ต้องหาสั่งยามาจากประเทศลาว โดยซุกซ่อนมากับตู้ลำโพง มากับบริษัทขนส่งเอกชนแห่งหนึ่ง โดยผู้ต้องหาจะเดินทางไปรับแถวย่านหัวลำโพง และจะเช่าห้องพักเพื่อเก็บรักษายาเสพติด ซึ่งผู้ต้องหาทั้งสองเข้าพักในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แล้วจะเปลี่ยนที่พัก และเก็บรักษายาเสพติด โดยจะทำการย้ายที่พักและเคลื่อนย้ายสถานที่ยาเสพติดไปเรื่อยๆ

โดยผู้ต้องหาทั้งสองจะร่วมนำยาเสพติดชนิดต่างๆ มาผสมและลำเลียง จำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ  ตามสถานบันเทิงต่างๆ ในพื้นที่ โดยผู้ต้องหาทั้งสองนั้นรับว่าได้หลบหนีเข้าเมืองมาในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมายเป็นเวลานานกว่า 20 ปี

หลังการจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจะได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน พร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายและจะทำการสืบสวน ขยายผล ผู้ร่วมขบวนการและเครือข่ายยาเสพติดรายอื่นๆ 

ตร.โชว์ผลระดมตามนโยบายรัฐบาล เกือบ 10 วัน ยึดยาบ้ากว่า 18 ล้านเม็ด กวาดล้างหมายจับค้างเก่า 3,884 ราย ยาเสพติด 15,710 คดี และอาวุธปืน 3,984 คดี

(27 ต.ค.65) เวลา 18.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เปิดเผยผลการระดมฯ ในห้วงแรก (10–19 ต.ค.65) ภาพรวมการปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีผลการดำเนินการ ดังนี้...

1) บุคคลตามหมายจับคดีอาญาได้ 3,884 หมายจับ 
2) ผู้ต้องหาคดียาเสพติด 15,710 คดี (ผู้ต้องหา 15,866 คน) ของกลางยาบ้า 18,314,853 เม็ด ยาไอซ์ 297,690 กรัม เฮโรอีน 30,735 กรัม ยาอี 6,550 กรัม
3) ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน วัตถุระเบิด และเครื่องกระสุน  ทั้งสิ้น 3,984 คดี ของกลางอาวุธปืนสงคราม 27 กระบอก ปืนไม่มีทะเบียน 2,438 กระบอก มีทะเบียน 452 กระบอก วัตถุระเบิด 600 รายการ และเครื่องกระสุน 16,168 นัด

แบ่งเป็นจับกุมความผิดเกี่ยวกับการจำหน่ายอาวุธปืนฯ โดยผิดกฎหมาย ทั้งโดยทางตรงและทางออนไลน์ จำนวน 97 คดี  ผู้ต้องหา 63 คน) ของกลางอาวุธปืนไม่มีทะเบียน  46 กระบอก มีทะเบียน 12 กระบอก วัตถุระเบิด 156 รายการ เครื่องกระสุน 1,296 นัด และความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนฯ อื่นๆ จำนวน 3,887 คดี (จับกุมผู้ต้องหา 3,864 คน) ของกลาง อาวุธปืนสงคราม 27 กระบอก อาวุธปืน (ไม่มีทะเบียน) 2,392 กระบอก มีทะเบียน 440 กระบอก วัตถุระเบิด 444 รายการ เครื่องกระสุน 14,872 นัด

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้มีมาตรการสำคัญในการแก้ไขปัญหาอาวุธปืนและยาเสพติดที่เป็นรูปธรรม อย่างจริงจัง เน้นย้ำ ให้ทุกบูรณาการร่วมกันแก้ปัญหา นำหน่วยงานในท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหา อย่างต่อเนื่อง เข้มข้น เพื่อให้การปฏิบัติเป็นรูปธรรมชัดเจน ได้กำหนดให้มีการระดมกวาดล้างในห้วงวันที่ 10 ต.ค. – 8 พ.ย.65 โดยผลระดมกวาดล้างในห้วง 10 วันแรก (10 ต.ค.-19 ต.ค.) ทุกหน่วยมีผลการปฏิบัติเป็นที่น่าพอใจ สามารถจับกุมผู้ต้องหาคดีหมายจับค้างเก่า  3,884 หมายจับ จับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด 15,710 คดี และจับกุมความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน  3,984 คดี 

โดยในห้วงการระดมที่เหลือได้กำชับหน่วย เพิ่มความเข้มในการดำเนินการ และเพิ่มมาตรการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดออนไลน์ การสกัดกั้นยาเสพติดจากแนวชายแดน การตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ตรวจค้นบุคคลยานพาหนะให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทุกเส้นทาง การสืบสวนขยายผลไปยังเครือข่ายหรือขบวนการที่กระทำความผิด และดำเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ยุ่งเกี่ยว พัวพันกับการกระทำความผิดกฎหมาย หรือประพฤติไม่เหมาะสม ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อย่างเด็ดขาด ทั้งทางอาญา ทางวินัย และทางปกครองโดยทันที

ตำรวจไซเบอร์ เปิดเผยผลการปฏิบัติระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ห้วง 10-25 ต.ค.65 จับกุมผู้ต้องหาได้กว่า 500 ราย และตรวจยึดของกลางได้เป็นจำนวนมาก

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษกกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ขอเรียนชี้แจงผลการปฏิบัติระดมกวาดล้างจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย เกี่ยวกับอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืน ยาเสพติด บุคคลตามหมายจับ และการรับจ้างเปิดบัญชีม้า ในห้วงวันที่ 10 - 25 ต.ค.65 ดังต่อไปนี้ 

ตามโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติด อาวุธปืน และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยกำชับให้หน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งออกมาตรการควบคุม และปราบปรามอย่างต่อเนื่องให้มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม รวมถึงแก้ไขปัญหาการรับจ้างเปิดบัญชีธนาคารให้มิจฉาชีพนำไปกระทำความผิด

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดเร่งดำเนินการปรามปรามจับกุมผู้กระทำผิดในทุกมิติ รวมถึงขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์  วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลักลอบจำหน่ายยาเสพติด อาวุธปืน บัญชีม้า และสิ่งของผิดกฎหมายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ

โดยในระหว่างวันที่ 10 - 25 ต.ค.2565 กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) มีผลการปฏิบัติระดมกวาดล้างอาชญากรรมประเภทดังกล่าว ดังนี้...

1.ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน จับกุมผู้ต้องหา 43 ราย ตรวจยึดของกลางอาวุธปืน 31 กระบอก และเครื่องกระสุนอีกจำนวนมาก
2.ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จับกุมผู้ต้องหา 100 ราย ตรวจยึดของกลางยาบ้า 94,006 เม็ด ยาไอซ์ 209.5 กรัม ยาอี 2,059 เม็ด
3.บุคคลตามหมายจับ จับกุมผู้ต้องหา 219 ราย
4.ความผิดเกี่ยวกับบุคคลซึ่งเปิดบัญชีให้มิจฉาชีพไปใช้ในการกระทำความผิด (บัญชีม้า) จับกุมผู้ต้องหา 45 ราย
5.ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงออนไลน์อื่นๆ จับกุมผู้ต้องหา 94 ราย

รวมจับกุมผู้ต้องหาทั้งสิ้น 501 ราย

ทั้งนี้การดำเนินการของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ยังคงมุ่งเน้นสนองนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิด มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง ลดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นสำคัญ

โฆษก บช.สอท. กล่าวต่ออีกว่า แม้ว่าที่ผ่านมาทุกภาคส่วนจะร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เเต่ในปัจจุบันยังคงพบเห็นการซื้อขายสิ่งของผิดกฎหมายผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อขายบัญชีธนาคาร หรือบัญชีม้า ไม่ว่าท่านจะถูกหลอกลวง หรือเต็มใจเปิดบัญชีเพื่อเเลกเงินค่าตอบเเทนเล็กน้อย ก็ถือว่าเป็นความผิดในฐานะตัวการร่วมหรือเป็นผู้สนับสนับสนุนการกระทำความผิด และจะถูกดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งขยายผลดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐ 6 ราย เอื้อประโยชน์เอเย่นหลอกผู้หญิงไปบังคับค้าประเวณีดูไบ

จากกรณีเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.64 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล (ยศขณะดำรงตำแหน่ง รอง ผอ.ศพดส.ตร.) ได้เดินทางไปประสานการปฏิบัติร่วมกับ กองบัญชาการตำรวจเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้าช่วยเหลือคนไทยที่ถูกหลอกไปบังคับค้าประเวณี ซึ่งต่อมาได้ทำการขยายผลจนสามารถจับกุมดำเนินคดีกับเครือข่ายขบวนการค้ามนุษย์ ตั้งแต่เอเย่นที่ทำหน้าที่หลอกเหยื่อไปทำงาน และส่งตัวเหยื่อบินไปยังดูไบ ดังที่ปรากฏตามข่าวและสื่อโซเชียลมีเดียแล้ว นั้น

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร./ผอ.ศพดส.ตร. ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการ ศพดส.ตร. ดำเนินการสืบสวนขยายผลจับกุมผู้เกี่ยวข้องรายอื่นๆ เพิ่มเติม รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเอื้อประโยชน์ในการกระทำผิดของเครือข่ายค้ามนุษย์เหล่านี้ และดำเนินคดีตามกฎหมายถึงที่สุดทุกราย

จากการสืบสวนของชุดปฏิบัติการ ศพดส.ตร. ซึ่งได้ดำเนินการจับกุมและดำเนินคดีกับ นางสาวเอ (นามสมมติ) เอเย่นที่ทำหน้าอำนวยความสะดวกในการส่งเหยื่อเพื่อหลีกเลี่ยงจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ภายในสนามบิน และ ส.ต.ท.มงคล ต้นงอ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งช่วยรับตัวเหยื่อผ่านด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางาน โดยจากการขยายผลจากผู้ต้องหาทั้งสองพบว่า ยังมีเอเย่นที่ทำหน้าที่ในลักษณะเดียวกันอยู่อีก โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาได้เพิ่มเติมอีก 4 ราย ประกอบด้วย

1. น.ส.ภัทรินทร์ (ขอสงวนนามสกุล) ทำหน้าที่เป็นเอเย่นหลอกเหยื่อไปทำงาน (จับกุมได้)
2. น.ส.สรินยา (ขอสงวนนามสกุล) ทำหน้าที่เป็นเอเย่นหลอกเหยื่อไปทำงาน (จับกุมได้)
3. น.ส.แสงดาว (ขอสงวนนามสกุล) ทำหน้าที่เป็นเอเย่นรอรับตัวเหยื่อที่ดูไบ (หลบหนีอยู่ ตปท.)
4. นายโฮ จุน ฮาว สัญชาติมาเลเซีย ทำหน้าที่เป็นเอเย่นรอรับตัวเหยื่อที่ดูไบ (หลบหนีอยู่ ตปท.)
โดยผู้ต้องหาทั้ง 4 รายจะถูกดำเนินคดีในความผิดฐานค้ามนุษย์

นอกจากนี้ จากการขยายผลจากเส้นทางการเงินของ นางสาวเอ (นามสมมติ) พบว่า มีการประสานงานอำนวยความสะดวกในการผ่านด่านตรวจคนหางาน โดยมีการจ่ายเงินให้หัวละ 4,000 บาท ซึ่งตัวเอเย่นจะได้ส่วนแบ่งจำนวน 1,000 บาท และอีก 3,000 บาท แบ่งให้กับตัวแทนของด่านตรวจคนหางาน จากการสืบสวนทราบว่า บุคคลดังกล่าวคือ นายสัมพันธุ์ (ขอสงวนนามสกุล) อดีตเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางาน ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้เครือข่ายค้ามนุษย์โดยทำหน้าที่เป็นตัวการหลักในการประสานงานส่งต่อรายชื่อของเหยื่อที่จะเดินทางไปต่างประเทศและรับเงินค่าดำเนินการจากเอเย่น แล้วนำมาแบ่งจ่ายต่อให้กับเจ้าหน้าที่รายอื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบบุลคลนั้นๆ ซึ่งมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าถูกหลอกลวงหรือลักลอบไปทำงานที่ต่างประเทศ โดยหากเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานตรวจพบพฤติกรรมดังกล่าวจะต้องสั่งระงับการเดินทางของบุคคลนั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอหมายเข้าค้นบ้านของนายสัมพันธุ์ฯ เพื่อตรวจสอบเอกสารหลักฐาน รวมทั้งสมุดบัญชีเพื่อนำไปขยายผลต่อไป แต่ในระหว่างการสืบสวนเพื่อขออนุมัติหมายจับ นายสัมพันธุ์ฯ ได้กระทำอัตวินิบาตกรรมเพื่อหลบหนีความผิดไปเสียก่อน เมื่อวันที่ 11 ต.ค.65 ที่ผ่านมา

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรียนชี้แจงความคืบหน้ากรณีคนร้ายลอบวางระเบิดในพื้นที่จังหวัดปัตตานี

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ขอเรียนชี้แจงถึงความคืบหน้ากรณีคนร้ายลอบวางระเบิดขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สภ.ไม้แก่น ได้ออกปฎิบัติหน้าที่บริเวณถนนสายไม้แก่น-ต้นไทร อ.ไม้แก่น จว.ปัตตานี ในเบื้องต้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 1 นาย ได้รับบาดเจ็บ 4 นาย ดังนี้...

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลาประมาณ 19.40 น. ของวันที่ 20 กันยายน 2565 ทาง สภ.ไม้แก่น ได้รับแจ้งเหตุมีคนร้ายไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบจำนวน ลอบวางระเบิด บริเวณบริเวณถนนไม้แก่น-ต้นไทร อ.ไม้แก่น จว.ปัตตานี ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสายตรวจได้ออกปฎิบัติหน้าที่ในพื้นที่รับผิดชอบ ในเบื้องต้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 1 นาย ได้รับบาดเจ็บ 4 นาย ในส่วนของผู้บาดเจ็บได้นำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษา โดยหลังจากเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว พนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน เจ้าหน้าที่ EOD และเจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ เพื่อทำการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด ทำการพิสูจน์ทราบหาตัวคนร้ายเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายในการรักษาความสงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่ภาครัฐและประชาชน ในการสอดส่องดูแลพื้นที่ชุมชนและสร้างเกราะป้องกันให้กับชุมชน รวมถึงหาข้อมูลในเชิงรุกเพื่อเป็นการป้องกันเหตุไปพร้อมกัน หากเกิดสถานการณ์ขึ้นก็ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี และเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ต่อไป 

เพื่อเป็นการสนองนโยบายของนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำชับสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยที่เกี่ยวข้องร่วมปฎิบัติหน้าที่ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง เร่งทำการสืบสวนสอบสวนหาข่าวเชิงรุก เพื่อเป็นการป้องกันเหตุ และเร่งหาตัวผู้กระทำความผิดอย่างเต็มที่ รวมถึงการใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์ในการเข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ การเก็บวัตถุพยานในสถานที่เกิดเหตุ และการตรวจพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งในการสอบสวนยังไม่ตัดประเด็นมูลเหตุจูงใจใดๆ และกำชับให้เจ้าหน้าที่ระมัดระวังในการเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ โดยให้มุ่งเน้นความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขอแสดงความเสียใจต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปฎิบัติหน้าที่ พร้อมได้กำชับสั่งการให้ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดดูแลสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เกี่ยวข้องให้เป็นอย่างดี ในส่วนของความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top