Monday, 28 April 2025
CRIMES

เพจสายไหมต้องรอด พาญาติสาวผูกคอตายเข้าร้องเรียน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หาสาเหตุที่แท้จริง หลังติดใจการเสียชีวิต

วันนี้ (13 ก.พ.66) เวลาประมาณ 09.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้เดินทางมารับเรื่องร้องเรียนจาก นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ แอดมินเพจสายไหมต้องรอด ที่สมาคมพนักงานสอบสวน สโมสรตำรวจ โดยพา นายเกรียงศักดิ์ ริ้วกลาง ผู้ร้องซึ่งเป็นพี่ชาย ของน.ส.วัน (นามสมมติ)อายุ 31 ปี ซึ่งเสียชีวิตด้วยการผูกคอตาย เชื่อว่าการเสียชีวิตชีวิตของ น.ส.วัน น้องสาวนั้น มีความผิดปกติน่าสงสัย อาจเสียชีวิตจากเหตุฆาตกรรม ก่อนหน้านี้ผู้ตายได้คบหากับชายชาวต่างชาติคนนึง ที่รู้จักกันในสถานบันเทิงและได้คบหากันมาประมาณ 4-5 เดือน สัปดาห์ที่แล้วผู้เสียชีวิต ได้ปรึกษาพี่ชาย ว่าถูกฝ่ายชายทำร้ายร่างกาย และได้หลบหนีออกมา พี่ชายจึงแนะนำให้ไปแจ้งความ โดยลงประจำวันไว้เป็นหลักฐาน

ต่อมา ผู้ตายยังปรึกษาพี่ชายเรื่อย ๆ ว่า ถูกบังคับให้เสพยา เช่น กัญชา โคเคน และมีการถ่ายคลิป ถ่ายภาพที่ไม่เหมาะสมไว้และขู่ว่าจะเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตหากไม่ยินยอม ทางพี่ชายของผู้ตาย ได้พยายามหาทางช่วยเหลือผู้ตาย แต่ได้รับแจ้งว่าผู้ตายได้เสียชีวิตด้วยการผูกคอ โดยคนที่อยู่ในเหตุการณ์อ้างว่านำตัวลงมาปั๊มหัวใจ แต่ช่วยไว้ไม่ได้ ก่อนจะนำส่งไปที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เพื่อชันสูตรการเสียชีวิต

ตำรวจไซเบอร์ เตือนภัยบัตรเครดิตถูกหักเงินชำระค่าโฆษณาสื่อสังคมออนไลน์โดยไม่ทราบสาเหตุ

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ขอประชาสัมพันธ์ เตือนภัยบัตรเครดิตถูกหักเงินชำระค่าโฆษณาสื่อสังคมออนไลน์โดยไม่ทราบสาเหตุ ดังนี้

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ มีผู้เสียหายหลายรายแจ้งว่าบัตรเครดิตของตนถูกหักเงินไปชำระค่าโฆษณาสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ยกตัวอย่าง เช่น กรณีของผู้เสียหายรายหนึ่งถูกหักเงินจากบัตรเครดิตไปชำระค่าโฆษณาของแอปพลิเคชัน TikTok กว่า 7,000 บาท หรือผู้เสียหายอีกกรณีถูกหักเงินจากบัตรเครดิตไปชำระค่าโฆษณาแอปพลิเคชัน Facebook กว่า 18,000 บาท เป็นต้น ซึ่งทั้งสองกรณีผู้เสียหายยืนยันว่าไม่ได้ทำธุรกรรมดังกล่าว ไม่เคยผูกบัตรเครดิตไว้กับแอปพลิเคชันใด ๆ และในการถูกหักเงินออกจากบัตรเครดิตก็ไม่ได้รับรหัส OTP เพื่อยืนยันการทำธุรกรรม รวมไปถึงไม่พบการพยายามเข้าถึงระบบ (Login) ของแอปพลิเคชันดังกล่าวด้วย นั้น

ที่ผ่านมา กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ตอท.) ได้ทำการสนับสนุนตรวจสอบหาสาเหตุของการหลอกลวงในรูปแบบดังกล่าวในอีกหลายรูปแบบ เช่น กรณีมิจฉาชีพอ้างเป็นสถาบันการเงินหลอกให้กดลิงก์อัปเดตข้อมูล ทำให้เงินในบัญชีผู้เสียหายสูญหายไป และยังเป็นหนี้บัตรเครดิตอีกจำนวนมาก หรือกรณีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นพนักงาน บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต โทรศัพท์แจ้งผู้เสียหายว่าได้รับค่าสินไหมทดแทนจากการติดเชื้อโควิด-19 ขอข้อมูลเพื่อยืนยันตัวตน เช่น หมายเลขบัญชีธนาคาร รหัส OTP เป็นต้น

โดยจากการตรวจสอบ และวิเคราะห์พบว่ามักจะเกิดได้จาก 2 กรณีหลัก คือ กรณีแรกเกิดจากการที่ผู้เสียหายเผลอให้ข้อมูลบัตรกับมิจฉาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการถูกหลอกลวงให้เข้าไปกรอกข้อมูลทางการเงินผ่านเว็บไซต์ปลอม หรือแอปพลิเคชันปลอม หรือการให้บัตรเครดิตไปกับผู้อื่นเพื่อทำธุรกรรมการเงินในชีวิตประจำวัน แล้วบุคคลนั้นนำข้อมูลที่ได้ไปใช้แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เป็นต้น กรณีที่สองอาจจะเกิดจากการที่ผู้เสียหายกดลิงก์ติดตั้งแอปพลิเคชันปลอม หรือลิงก์โฆษณาต่างๆ ที่ฝังมัลแวร์ดักรับข้อมูลของมิจฉาชีพ ทั้งนี้ต้องนำโทรศัพท์ของผู้เสียหายแต่ละรายมาตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากสาเหตุใด เช่น ตรวจสอบการใช้งานโทรศัพท์ว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายได้ทำธุรกรรมใดหรือไม่ หรือผู้เสียหายติดตั้งแอปพลิเคชันใดบ้าง เป็นต้น

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบงานในด้านการป้องกันปราบปราม ได้ให้ความสำคัญ และมีความห่วงใยต่อภัยการหลอกลวงประชาชนผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการชักชวนหลอกลวงลงทุนออนไลน์ การระดมทุนที่ผิดกฎหมาย โดยได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งวางมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง และจริงจัง

ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบ มุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 269/5 ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการ  ที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากมีการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ก็จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือความผิดตามกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ตำรวจ ปส. รวบเครือข่ายลอบขนยาภาคใต้ ยึดของกลาง 'ยาบ้า' ได้รวมกว่า 4 แสนเม็ด

ตำรวจ ปส. เดินหน้าปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด อย่างต่อเนื่อง ทุกมิติ ทั้งการสกัดกั้นการลำเลียง ขยายผลจับกุมกลุ่มเครือข่าย ยึดและอายัดทรัพย์ ตั้งแต่ผู้ลำเลียง จนถึงผู้สั่งการ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., และภายใต้การสั่งการของ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ ผอ.ศอ.ปส.ตร. , พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส.และ พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4 ได้ตระหนักถึงโทษและปัญหาที่จะตามมา จึงได้สั่งการให้มีการสืบสวน สอบสวน และขยายผลของเครือข่ายสำคัญจนนำมาสู่การจับกุม

โดยเจ้าหน้าที่ กก.2 บก.ปส.4 พร้อมเจ้าหน้าที่ ด่านตรวจยานพาหนะชุมพร ร่วมกันจับกุม 4 ผู้ต้องหา คือ 1.) นายสุพจน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี  2.) นายภูวดล (สงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี 3.) นายสุวิทย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 46 ปี และ 4.) น.ส.นิตยานาถ (สงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี  ได้ที่บริเวณด่านตรวจยานพาหนะชุมพร ถนนเพชรเกษม (กรุงเทพฯ-ชุมพร) ต่อเนื่องที่บริเวณริม ถ.เพชรเกษม เยื้องร้านบาสซิ่งการยาง ต.ขุนกระทิง อ.เมือง จว.ชุมพร พร้อมของกลางยาบ้า 400,000 เม็ด รถยนต์ 2 คัน ทองรูปพรรณและทรัพย์สินอื่น ๆ 13 รายการ มูลค่าประมาณ 616,000 บาท

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ เครือซีพี รวมพลังแฉกลโกงมิจฉาชีพออนไลน์ หวังต้านอาชญากรรมไซเบอร์

วันที่ 10 ก.พ. 66 เวลา 15.00 น. ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารฝึกอบรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้แทนลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ ว่าด้วยการประชาสัมพันธ์สื่อสร้างภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยมีนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นผู้แทนลงนาม ทั้งนี้มีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้แทนบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ เข้าร่วมพิธีฯ 

สำหรับการลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ สืบเนื่องจากสถานการณ์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรืออาชญากรรมไซเบอร์ในปัจจุบันมีสถิติที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีประชาชนเป็นจำนวนมากที่หลงกลตกเป็นเหยื่อจนได้รับความเดือดร้อน สูญเสียทรัพย์สิน ซึ่งในบางรายถึงกับต้องสูญเสียชีวิต ซึ่งจากสถิติการรับแจ้งความออนไลน์ตั้งแต่ 1 มี.ค. 2565 – 6 ก.พ. 2566  มีการรับแจ้งความอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จำนวนทั้งสิ้น 192,031 คดี รวมมูลค่าความเสียหาย 29,546,732,805 บาท สามารถติดตามอายัดบัญชี  65,872 บัญชี อายัดได้ทัน 445,265,908 บาท

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ตระหนักถึงความสำคัญ และห่วงใยประชาชน จึงบูรณาการความร่วมมือระหว่างองค์กรทั้งในส่วนของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน (Public Private Partnership (PPP) เพื่อร่วมเป็นเครือข่ายในการยับยั้ง ป้องกัน และสร้างภูมิคุ้มกัน (Cyber Vaccine) แก่ประชาชนเพื่อให้รู้เท่าทันกลโกงรูปแบบต่างๆ ของมิจฉาชีพ ซึ่งตลอดระยะเวลาการดำเนินงานได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกภาคส่วน เพื่อร่วมประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ไปยังประชาชน 

ด้านนายศุภชัย เจียรวนนท์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่อาชญากรรมไซเบอร์ได้พัฒนารูปแบบกลลวงอย่างหลากหลายและรุนแรงมากขึ้น จนกลายเป็นปัญหาความมั่นคงระดับชาติ เพราะส่งผลกระทบทั้งต่อการดำเนินชีวิตของคนไทย และความมั่นคงของประเทศ นอกจากนี้ในการประชุม World Economic Forum 2023 ได้จัดให้ 'ภัยคุกคามไซเบอร์' เป็น 1 ใน 5 ความเสี่ยงที่สำคัญระดับโลก โดยมีการคาดการณ์ว่าผลกระทบจากการโจมตีทางไซเบอร์ จะสูงถึง 10.5 ล้านล้านเหรียญภายในปี 2025 นั้น เครือเจริญโภคภัณฑ์และกลุ่มบริษัทในเครือฯ ในฐานะของผู้นำธุรกิจภาคเอกชน จึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำร่องด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับกลโกงต่างๆ ของอาชญากรรมไซเบอร์เป็นองค์กรแรก เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันไซเบอร์วัคซีนให้ประชาชนชาวไทยมีความรู้เท่าทันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในรูปแบบต่างๆ ซึ่งการร่วมสร้างความตื่นรู้ให้สังคมไทยในครั้งนี้ สอดคล้องกับค่านิยม 3 ประโยชน์ที่เครือฯ ยึดมั่นในการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน สร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชนเป็นสำคัญ

โดยเครือฯ ได้ระดมสรรพกำลังของกลุ่มธุรกิจในเครือ เพื่อร่วมประชาสัมพันธ์กลโกงของอาชญกรรมไซเบอร์ในทุกช่องทางการสื่อสารอย่างเต็มศักยภาพรวมระยะเวลา 2 ปี ทั้งจากกลุ่มโทรคมนาคมและร้านค้าปลีกค้าส่ง คือการส่ง SMS เตือนภัยผ่านเครือข่ายทรูมูฟ เอช ซึ่งมีผู้ใช้บริการรวม 37 ล้านเลขหมาย ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปแล้วในเดือนมกราคมที่ผ่านมา การเผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อภายในลักษณะต่างๆ ในร้านเซเว่น – อีเลฟเว่นกว่า 13,000 สาขาประเทศ ซึ่งมีจำนวนลูกค้าเข้าใช้บริการ 11,404,314 คนต่อวัน ในแม็คโคร 152 สาขา และโลตัสมากกว่า 2,000 สาขา การประชาสัมพันธ์รายการในสถานีข่าว TNN16 และช่อง True4U การจัดกิจกรรมแฮกกาธอนในกลุ่มเยาวชน คิดค้นไอเดียรับมือกลโกง รวมถึงการกระจายข่าวสารผ่านพนักงานกว่า 361,570 คนทั่วประเทศ ซึ่งความหลากหลายทางธุรกิจฯ ของเครือ จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ข่าวสารเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง และทำให้ประชาชนรู้เท่าทันกลโกงรูปแบบต่างๆ ของมิจฉาชีพได้อย่างรวดเร็ว เพื่อลดความสูญเสียทั้งต่อประชาชนและประเทศชาติที่อาจเกิดขึ้นต่อไป

นอกจากนี้ ภายในงานได้มีการจัดการเสวนา “จุดกระแส On Stage” ดำเนินรายการโดย คุณกรรชัย  กำเนิดพลอย ในหัวข้อ “แฉสารพัดกลโกงมิจฉาชีพหลอกเหยื่อบนโลกออนไลน์” ซึ่งมีผู้ร่วมแชร์ประสบการณ์ ได้แก่ คุณมยุรา เศวตศิลา นักแสดงชื่อดัง, คุณภาณุพงศ์  หอมวันทา ยูทูปเบอร์เจ้าของช่อง Epic Time,  ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในผู้ร่วมกระบวนการกลโกง Call Center  และผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเคยตกเป็นเหยื่อกลโกงแอพออนไลน์ดูดเงินโดยแอบอ้างสรรพากร โดยมีความคิดเห็นในทิศทางเดียวกันว่าโครงการความร่วมมือครั้งนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อคนไทย เพราะความรู้ผ่านสื่อต่างๆ จะช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการถูกมิจฉาชีพออนไลน์หลอกลวง และจากที่เคยตกอยู่ในสถานะของเหยื่อมาแล้วนั้น ทำให้มั่นใจมากว่า ถ้ารู้ทันกลโกงก่อนจะไม่ตกเป็นเหยื่ออย่างที่ผ่านมา และหวังว่าการสื่อสารประชาสัมพันธ์ถึงกลโกงผ่านช่องทางที่หลากหลาย จะเข้าถึงคนไทยทุกกลุ่มทั่วประเทศได้ รวมถึง “ความร่วมมือของภาคเอกชน ต้านภัยออนไลน์ด้วยวัคซีนไซเบอร์” โดย พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รองผู้บัญชาการ กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผู้บังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหาร ยุทธศาสตร์ข้อมูลและการสื่อสาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และคุณศิริพร  เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) 

ยุทธการกวาดล้างมังกรซ่อนกาย

กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ทำการสืบสวนคนต่างด้าวที่มีหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติขึ้นไป โดยได้ตรวจสอบข้อมูลในระบบสารสนเทศ สตม. พบว่ามีคนต่างด้าวที่ถือหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติ เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยในประเทศไทย จำนวน 117 ราย จากนั้นกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ได้ประสานไปยังสถานทูตตามหนังสือเดินทางของคนต่างด้าวเหล่านั้น เพื่อขอทำการตรวจสอบประวัติ จากการตรวจสอบประวัติของคนต่างด้าวดังกล่าวทั้ง 117 ราย พบว่า เป็นบุคคลที่รัฐบาลต่างประเทศได้มีการออกหมายจับไว้ที่ประเทศต้นทาง จำนวน 17 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นคดีเกี่ยวกับ แชร์ลูกโซ่ และ ฉ้อโกง ซึ่งทั้ง 17 ราย ได้หลบหนีและเข้ามาพำนักในประเทศไทย  

กองบังคับการสืบสวนสอบสวน จึงได้นำข้อมูลคนต่างด้าวทั้ง 17 ราย มาตรวจสอบโดยละเอียดรวมทั้งขอหนังสือยืนยันและสำเนาหมายจับจากสถานทูตเพื่อนำมาประกอบการขออนุมัติเพิกถอนการอยู่ในราชอาณาจักรไทย โดยในระหว่างการประสานข้อมูลกับสถานทูตนั้น ได้มีคนต่างด้าวบางส่วนได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปแล้ว คงเหลืออยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียง 3 ราย เมื่อได้รับการยืนยันและสำเนาหมายจับจากสถานทูต กองบังคับการสืบสวนสอบสวนจึงได้ทำการอนุมัติเพิกถอนการอยู่ในราชอาณาจักรไทย ของคนต่างด้าวทั้ง 3 ราย ดังกล่าว และได้ออกสืบสวนติดตามคนต่างด้าวทั้ง 3 ราย เพื่อนำตัวมาผลักดันส่งออกนอกราชอาณาจักรไทย  

นอกจากนี้ จากการสืบสวนยังพบว่า คนต่างด้าว ใน 117 ราย ที่ถือหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติ และยังไม่ได้เดินทางออกไปจากราชอาณาจักไทย เป็นผู้ที่อยู่ในราชอาณาจักรเกินกำหนดอนุญาต (Overstay) อีกจำนวน 58 ราย  

ต่อมาวันที่ 9 ก.พ. 2566 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จึงได้สั่งการให้กองบังคับการสืบสวนสอบสวน เปิดปฏิบัติการ ยุทธการกวาดล้างมังกรซ่อนกาย ขึ้น โดยได้ทำการจับกุม คนต่างด้าวที่ถือหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติ และมีหมายจับของประเทศอื่น ซึ่งกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ได้ทำการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยไปแล้ว ได้จำนวน 3 ราย ซึ่ง คนต่างด้าวทั้ง 3 รายนี้ เป็นผู้ที่หลบหนีการกระทำผิดมาพำนักและอยู่ในประเทศไทย โดยมีรายละเอียด ดังนี้  

1.) นาย เสี่ยว (นามสมมุติ) อายุ 40 ปี มีหมายจับสาธารณรัฐประชาชนจีน ข้อหา ความผิดเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ จับกุมได้ที่คอนโดหรูย่านพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
2.) นาย ลี (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี มีหมายจับสาธารณรัฐประชาชนจีน ข้อหา ฉ้อโกง จับกุมได้ที่บ้านพักย่านพัฒนาการ เขตสานหลวง กรุงเทพฯ  
3.) นางสาว เฉิน (นามสมมุติ) อายุ 34 ปี มีหมายจับสาธารณรัฐประชาชนจีน ข้อหา ฉ้อโกง จับกุมได้ที่หน้าร้านอาหารย่านสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 

ผบ.ตร. สั่งตรวจสอบทุกประเด็นของดิวอริสรา พร้อมให้ความช่วยเหลือ และให้ความเป็นธรรม ส่วนสารวัตรซัว ให้หน่วยเร่งตรวจสอบแล้ว หากมีมูลให้ดำเนินการทางวินัย อาญา อย่างเด็ดขาด

วันที่ 9 ก.พ.66 พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณี ประเด็นสังคมที่เกี่ยวข้องกับ ดิว อริสรา ดารานักแสดง และ สารวัตรซัวที่ถูกพาดพิงว่า “พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในทุกเรื่อง ทุกประเด็นที่เกี่ยวข้อง ทั้งการพนันออนไลน์ ได้มีการดำเนินการตรวจค้น จับกุม ออกหมายจับ และทลายเครือข่ายกลุ่มผู้กระทำผิด ขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผล เพื่อดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องทุกราย รวมทั้งประเด็นการทำร้ายร่างกาย หรือความผิดอาญาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้เห็นว่า ทุกคนในสังคมต้องอยู่ในกฎ กติกา และกรอบของกฎหมาย หากมีการทำผิดต้องมีการรับโทษตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน โดยหากคุณดิวอริสรา มีความประสงค์จะแจ้งความดำเนินคดีในประเด็นใดเพิ่มเติม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมจะดูแลอำนวยความสะดวกในทุกๆเรื่อง พร้อมให้ความเป็นธรรม และทำคดีอย่างตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐาน เพื่อเอาผิดกับผู้ที่ละเมิดกฎหมายทุกคนที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด 

ระวัง!!มิจฉาชีพสวมรอย‘ธ.ก.ส.’หลอกโหลดแอป-กดลิงก์ ดูดเงินเกลี้ยง

‘ผู้ช่วยฯสมพงษ์-ศปอส.ตร.’เตือนระวังมิจฉาชีพสวมรอย‘ธ.ก.ส.’หลอกโหลดแอป-กดลิงก์ ดูดเงินเกลี้ยง

9 กุมภาพันธ์ 2566 พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) หัวหน้าอำนวยการด้านประชาสัมพันธ์ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) , พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สพฐ./หัวหน้าด้านข่าวสารและประชาสัมพันธ์ , พล.ต.ต.อรุษ แสงจันทร์ รอง ผบช.ศปก.ตร./หัวหน้าฝ่ายแถลงข่าวและประสานงานสื่อมวลชน ศปอส.ตร. , พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ฯ ปฏิบัติหน้าที่ ศปอส.ตร. และ พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก./รองหัวหน้าฝ่ายแถลงข่าวและประสานงานสื่อมวลชน ร่วมกันเปิดเผยว่า ขณะนี้มีกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. หลอกลวงประชาชน

สำหรับรูปแบบ คือ มิจฉาชีพมักจะอ้างว่าต้องตรวจสอบข้อมูลบัญชีธนาคารและตรวจสอบการชำระภาษี หรือเสนอเงินกู้ผ่านแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กหรือแอปพลิเคชันไลน์ หลังจากนั้นมิจฉาชีพส่งลิงก์ให้คลิกและติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมที่แฝงมากับมัลแวร์ ผ่านทาง SMS และสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งหากเราหลงเชื่อคลิกลิงก์ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้มิจฉาชีพสามารถเข้ามาควบคุมโทรศัพท์ของเราได้ และสามารถดูดเงินออกจากบัญชีได้ เพราะฉะนั้นขอเตือนว่าอย่าคลิกลิงก์หรือโหลดแอปพลิเคชันจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ

'ชูวิทย์' แฉยับ ตำรวจทำ 'พนันออนไลน์' เสียเอง เตือน!! ผบ.ตร. ต้องกล้าฟัน ยังมีเว็บพนันเอี่ยว ตร. อีก

(9 ก.พ. 66) ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า ‘มาเก๊า 888’ ตายเพราะนารีพิฆาต ไม่ใช่ตำรวจ เว็บพนันออนไลน์เฟื่องฟู รายได้มากมายมหาศาลมีสารพัดเว็บ แค่เปิดดูในเน็ตก็เจอแล้วว่าเว็บพนันไหนยอดนิยม

มาเก๊า 888 เป็นเว็บที่มีเงินหมุนเวียน 5,000 ล้าน มีครอบครัวพี่น้องชายล้วน 4 คน เกี่ยวข้อง คนแรกชื่อ เบนซ์ (แฟนเก่าดิว) คนรอง บอส, บิ๊ก และไบร์ทที่เป็นตำรวจ

หาก ผบ.ตร. จะจัดการ ‘พนันออนไลน์’ ง่ายมาก ทุกวันนี้ตำรวจเป็นคนทำเองเสียส่วนมาก พวกนี้งานตำรวจไม่ทำ ขับรถซุปเปอร์คาร์ร่อนไปมา แต่ปรากฏว่า ‘มาเก๊า 888’ ของ 4 พี่น้อง ไม่ได้โดนตำรวจจับ แต่ดันไปโดน ‘นารีพิฆาต’ เข้าให้

ดิวออกมาแฉ เพราะโดนทำร้ายหน้าแหกตอนเป็นแฟนต่อหน้าคนในครอบครัว ไม่มีใครห้าม เลยอดไม่ไหว เมื่อเลิกกันแล้ว แค้น 10 ปี ยังไม่สาย ออกมาแฉทีเดียวพังเป็นแถบ ตำรวจจึงต้องขยับตามนารี ไล่จับ ไล่กดดัน ทั้งๆ ที่รู้อยู่ รับส่วยกันประจำ แล้วดันให้เวลา 4 พี่น้อง หนีไป

ตำรวจ ปส. เสริมเขี้ยวเล็บ จัดอบรมสืบสวนสอบสวนธุรกรรมทางการเงินเครือข่ายยาเสพติด

เมื่อวานนี้ (8 ก.พ.66) ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด(บช.ปส.) ได้จัดอบรมการสืบสวนสอบสวนธุรกรรมทางการเงินเครือข่ายยาเสพติด ณ ห้องประชุมพรหมนอก ชั้น 2 บช.ปส. โดยมี พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. เป็นประธานเปิดอบรมให้กับผู้บังคับบัญชาระดับ ผบก., รอง ผบก., ผกก. และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติติงาน รวมจำนวน 60 นาย โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์การทำงาน จากสำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกา หรือ DEA นำทีม โดยนายไคล์ เอ. เดนท์ หัวหน้าฝ่ายสืบสวนทางการเงิน นายวิลเลียม จอห์นสตัล เจ้าหน้าที่ผู้ประสานงานฝ่ายสืบสวน และเจ้าหน้าที่ DEA ประจำประเทศไทย เพื่อเสริมศักยภาพ พัฒนาองค์ความรู้ และเทคนิค ต่าง ๆ ในการสืบสวนเส้นทางทางการเงิน การฟอกเงิน ของกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด ที่ในปัจจุบันมักใช้บัญชีของผู้อื่น หรือ บัญชีม้า ทำธุรกรรมแทน ทำให้ยากต่อการสืบสวนสอบสวน และนำตัวบุคคลที่เป็นเครือข่ายจริง มาดำเนินคดี 

ผบ.ตร.สั่งด่วน ไล่ล่าโจรโหดยิงสายตรวจ สภ.ปากช่อง ให้ได้โดยเร็ว กำชับดูแลสวัสดิการ สิทธิประโยชน์ครอบครัวตำรวจกล้าเต็มที่

(8 ก.พ. 66) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณี เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สภ.ปากช่อง ถูกคนร้ายยิงเสียขณะปฏิบัติหน้าที่ ว่า “เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 7 ก.พ.2566 เวลาประมาณ 21.10 น. ขณะที่ ส.ต.ต.อรรถพล บุญมี ตำแหน่ง ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ปากช่อง จว.นครราชสีมา อายุ 29 ปี ปฏิบัติหน้าที่ออกสายตรวจ บริเวณถนนปากช่อง – หนองมะค่า (เทศบาล 5) บ้านหนองน้อย ม.12 ต.ปากช่อง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา พบรถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ สีน้ำเงินต้องสงสัย ดัดแปลงท่อเสียงดัง จึงเรียกตรวจสอบ แต่คนร้ายไม่หยุด จึงขับไล่ติดตาม ระหว่างขับไล่ติดตามนั้นคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่บริเวณหน้า ส.ต.ต.อรรถพลฯ จนรถจักรยานยนต์สายตรวจล้มลง คนร้ายหลบหนีไป เจ้าหน้าที่พยายามปฐมพยาบาลเบื้องต้น แล้วนำตัว ส.ต.ต.อรรถพลฯ ส่ง รพ.ปากช่องนานา และเสียชีวิตในเวลาต่อมา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top