Friday, 9 May 2025
อีสานไทม์

กาฬสินธุ์ - รณรงค์อสม.สร้างความเข้าใจชาวบ้าน เร่งฉีดวัคซีนบุคลากรด่านหน้า

“วันเพ็ญ เศรษฐรักษา” ที่ปรึกษารมช.เกษตรและสหกรณ์ เดินสายนำ อสม.เคาะประตูบ้านรณรงค์ให้ความรู้และเชิญชวนประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 ขณะที่สำนักงานสาธารณสุขอำเภอยางตลาดเร่งฉีดวัคซีนบุคลากรปฏิบัติหน้าที่ด่านหน้า

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 ที่หอประชุมเทศบาลตำบลโคกศรี อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์  นางวันเพ็ญ เศรษฐรักษา ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประจักษ์ ภูแลขำ นายกเทศมนตรีตำบลโคกศรี นายสุวิทย์ ภูมิ่งศรี นายกเทศมนตรีตำบลอุ่มเม่า พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอยางตลาด ลงพื้นที่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 กับอสม.และร่วมกันเดินเคาะประตูบ้านประชาชนใน ต.โคกศรี ซึ่งมีทั้งผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว และประชาชนทั่วไป เพื่อรณรงค์เชิญชวนประชาชนลงทะเบียนฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ พร้อมระดมแรงศรัทธาจากหลายภาคส่วนจัดผ้าป่ารับมอบประกันภัยโควิดให้กับอสม.ในพื้นที่ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงาน

จากนั้นนางวันเพ็ญ เศรษฐรักษา ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายสันติ จัตุพันธ์ นายอำเภอยางตลาด นายประสิทธิชัย กัลยาสนธิ สาธารณสุขอำเภอยางตลาด เข้าเยี่ยมการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ด่านหน้า ทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ รพ.สต.เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน และผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ จำนวน 250 คน พร้อมมอบอาหาร และน้ำดื่มให้กับแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ที่คอยอำนวยความสะดวกในการฉีดวัคซีน ที่หอประชุม อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์

นางวันเพ็ญ เศรษฐรักษา ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ร่วมกับ อสม.มาอย่างต่อเนื่องหลายตำบลใน อ.ยางตลาด อ.กมลาไสย และอ.ร่องคำ พบว่า อสม.และประชาชนมีความเข้าใจในประโยชน์ของการฉีดวัคซีน รับทราบถึงความปลอดภัย มีความตื่นตัวต้องการที่จะลงทะเบียนฉีดวัคซีนมากขึ้น หลายคนพร้อมที่จะฉีด เพื่อป้องกัน และสร้างภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19ให้กับตนเอง ซึ่งตนเองพร้อมคณะ รวมทั้งอสม.จะยังคงลงพื้นที่เคาะประตูบ้านรณรงค์กับประชาชนให้ครบทุกตำบลและหมู่บ้านต่อไป เพื่อให้ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนมากที่สุด ตามนโยบายของรัฐบาล และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

ด้านนายสันติ จัตุพันธ์ นายอำเภอยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากร ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ด่านหน้า และมีส่วนสำคัญในการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ อ.ยางตลาด จำนวน 250 คน โดยการฉีดวัคซีนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งนี้ขอเชิญชวนประชาชนทุกครัวเรือน ร่วมลงทะเบียนรับการฉีดวัคซีนโดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อตัวเรา ชุมชนของเรา และประเทศไทยให้รอดพ้นจากสถานการณ์โควิด-19ในครั้งนี้

ขณะที่สถานการณ์โรคโควิด-19 ล่าสุดวันนี้ (20 พ.ค. 64) ศูนย์อำนวยการต้านโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 จ.กาฬสินธุ์ รายงานสถานการณ์พบผู้ป่วยรายใหม่ 2 ราย  รวมมีผู้ป่วยสะสม 102 ราย หายป่วยสะสม 68 ราย ยังคงรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 33 ราย และเสียชีวิต 1 ราย


ภาพ/ข่าว  ณัฐพงษ์ ประชากูล จ.กาฬสินธุ์

ขอนแก่น - เราชนะรอบสอง คึกคักชาวขอนแก่น รูดปี๊ด...ช๊อปปิ้งข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น แน่นทุกร้าน

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 20 พ.ค. 2564 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจการใช้จ่ายตามโครงการเราชนะ รอบที่ 2 ภายหลังจากที่รัฐบาลได้โอนเงินให้กับผู้ที่ได้รับสิทธิ์วันแรกวันนี้พร้อมกันทั้งประเทศ โดยเฉพาะที่ร้านเต็มสิบ ซึ่งตั้งอยู่ ถ.กสิกรทุ่งสร้าง ตรงข้าม มทบ.23 เขตเทศบาลนครขอนแก่น ซึ่งเปิดเป็นร้านจำหน่ายอาหารสด อาหารแห้ง และเข้าร่วมโครงการเราชนะ ตามที่รัฐบาลกำหนด  พบว่ามีประชาชน พ่อค้า แม่ค้า เดินทางมาซื้อหาสินค้ากันอย่างคึกคัก

นางสุกานดา นาคะปักษิณ เจ้าของร้านเต็มสิบ กล่าวว่า วันแรกของการใช้จ่ายตามโครงการเราชนะวันแรกันนี้ในรอบที่ 2 นั้น พบว่าตลอดตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา มีผู้ที่ได้รับสิทธิโครงการเราชนะและได้รับเงินโอนงวดแรก 1,000 บาท ทยอยกันเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง  แตกต่างจากช่วงที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากลูกค้าได้ห่างหายไปนานหลังจากที่เงินตามโครกาเราชนะหมดไปจากรอบแรก

"หลังจากการเงินเราชนะรอบแรกหมดลงประมาณ 1-2 เดือนที่ผ่านมาลูกค้าลดลงอย่างชัดเจน แต่แล้ววันนี้หลังจากที่มีการโอนเงินเข้าลูกค้าที่เคยมาใช้บริการก็ได้กลับมาอีกครั้ง ซึ่งจากการที่สอบถามผู้ที่มาใช้สิทธิทุกคนรู้สึกดีใจ และยิ้มได้ จากการที่ได้รับเงินเยียวยาจากทางรัฐบาลที่จะนำมาใช้จ่ายในการเลือกซื้อสินค้าประเภทต่าง ๆ ในร้านค้าต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ ที่จะสามารถช่วยลดค่าครองชีพจากสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ได้อย่างมาก"

นางสุกานดา กล่าวต่ออีกว่า จากการสังเกตุพบว่าส่วนมากคนมาซื้อของนั้นจะซื้อกลุ่มสินค้าบริโภค ทั้งอาหารสด อาหารแห้ง อาหารแช่แข็ง ข้าวสาร ไข่ไก่ และน้ำมันพืช เป็นหลักเพื่อนำกลับไปปรุงอาหารในครอบครัว แต่ที่ขายดีเป็นพิเศาวันนี้คือกลุ่มอาหารสดแช่เย็นเพราะจะได้เก็บไว้อีกหลายวัน และที่สำคัญการที่รัฐบาลโอนเงินเข้ามาในช่วงวันนี้และเวลานี้เป็นช่วงที่เหมาะสมอย่างมาก เพราะเข้าสุ่ช่วงสิ้นเดือน ที่ทุกคนเงินเดือนเริ่มหมด จึงสามารถนำเงินที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐบาลมาใช้จ่ายได้ในช่วงนี้

นครพนม - ผบ.ร.3 พัน.3 ส่งมอบน้ำใจเพื่อเป็นกำลังใจให้นักรบชุดขาว – อัศวินเสื้อกาวน์ เป็นชุดป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กับ สสอ.เมือง และโรงพยาบาลจังหวัดนครพนมฟรี !!

ที่ค่ายพระยอดเมืองขวาง ตำบลกุรุคุ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากวิกฤตไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย สะท้อนถึงความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ของไทยต้องรับมือกับภาระที่ยิ่งใหญ่กับสถานการณ์ระบาดเพื่อไม่ให้ประเทศไทยต้องสูญเสียไปมากกว่านี้ โดยต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจตรวจรักษา เฝ้าระวัง ตลอดจนควบคุมการระบาดของโรคให้ส่งผลกระทบกับคนไทยให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ความเสียสละ ความอดทนของคุณหมอ พยาบาล 


ในวันนี้นั้น เพื่อเป็นการทำงานอย่างอุทิศตนอย่างหนักของแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ของไทยที่เราได้เห็นได้รับรู้ทุกวัน เพื่อทำหน้าที่ดูแลรักษาพี่น้องประชาชนชาวไทยให้ดีที่สุด ทางด้านกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 นำทีมโดย พันโท ศรณณัฐ  นวลมณี  ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 (ผบ.ร.3 พัน.3) ได้นำนายทหารฝ่ายอำนวยการ เข้ามอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นในการตรวจคัดกรองหาเชื้อ Covid-19 อาทิ ชุด PPE  หน้ากาก N95 ถุงมือยางทางการแพทย์  Face shield  เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว มอบให้กับสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม  (สสอ.เมือง จ.นครพนม) และโรงพยาบาลนครพนม  พร้อมทั้งมอบอาหารปรุงสุกและ เครื่องดื่ม ให้บุคลากรทางการแพทย์  ผู้ซึ่งเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อให้ประชาชนผ่านพ้นวิกฤต Covid-19 อย่างปลอดภัย 
การกระทำครั้งนี้เพื่อส่งมอบน้ำใจเพื่อเป็นกำลังใจให้บุคคลากรทางการแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดนครพนม ที่อุตส่าห์ทำงานหนักตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา รวมถึงในอนาคต ให้ฟันฝ่าวิกฤตนี้ไปให้ได้ และกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 พร้อมยืนเคียงข้างในทุกโอกาส


ภาพ/ข่าว  ขอบพระคุณภาพจาก ร.3 พัน.3 / ไทบ้าน  นิวส์ (พรพิพัฒน์  เพ็ชรสังหาร)
 

กาฬสินธุ์ – ส่งทีมนักรบชุดขาว เสริมทัพโรงพยาบาลบุษราคัมกรุงเทพมหานคร สู้ภัยโควิด

โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ส่งทีมนักรบชุดขาวบุคลากรแพทย์ พยาบาล เข้าเสริมทัพสนับสนุนการปฏิบัติงานรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาลบุษราคัม กรุงเทพมหานคร สู้ภัยโควิด-19 ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์พบผู้ป่วยรายใหม่ 1 ราย  รวมมีผู้ป่วยสะสม 100 ราย หายป่วยกลับบ้านแล้ว 68 ราย
เมื่อเวลา 07.30 น.วันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่บริเวณหน้าอาคารอุบัติเหตุฉุกเฉินหลังเก่า โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ นายเลิศบุศย์ กองทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ นพ.ประมวล ไทยงามศิลป์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ พร้อมด้วย แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ร่วมกันส่งทีมแพทย์ พยาบาล  นักรบชุดขาวโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาลบุษราคัม กรุงเทพมหานคร สู้ภัยโควิด-19


ทั้งนี้ นายเลิศบุศย์ กองทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ นพ.ประมวล ไทยงามศิลป์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ พร้อมด้วยแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ บุคลากรทางการแพทย์ ได้เข้ากราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และร่วมมอบช่อดอกไม้ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ให้กับทีมแพทย์ พยาบาล  นักรบชุดขาวโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ที่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ นำโดยมีนายแพทย์ณัฐพล  สัตย์ซื่อ นายแพทย์ชำนาญการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ เป็นหัวหน้าทีม ในครั้งนี้


นายแพทย์ณัฐพล  สัตย์ซื่อ กล่าวว่า ทีมบุคลากรที่เดินทางไปสนับสนุนการปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลบุษราคัม กรุงเทพมหานคร ช่วยภัยโควิด-19 ครั้งนี้ มีทั้งหมด 6 คน โดยมีทั้งแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งทุกคนต่างเต็มใจและพร้อมที่จะเดินทางไปสนับสนุน การทำงาน เพื่อร่วมคลี่คลายสถานการณ์โรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ให้มีสถานการณ์ดีขึ้นโดยเร็ว โดยยืนยันว่าจะนำความรู้ทั้งหมดที่เรียนมาและประสบการณ์ที่ได้ทำงานที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ไปร่วมกับทุกหน่วยที่โรงพยาบาลบุษราคัม กรุงเทพมหานคร อย่างเต็มความสามารถต่อไป


ด้านนพ.ประมวล ไทยงามศิลป์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ กล่าวว่า บุคลากรของโรงพยาบาล รวมทั้งชาวกาฬสินธุ์จะเป็นกำลังใจ และขอให้ทุกคนที่ไปปฏิบัติหน้าที่ได้มีกำลังใจ ซึ่งการที่เราเข้ามาอยู่ในหน่วยงานสาธารณสุข เราจะต้องเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ขอให้กำลังใจผู้ที่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความเสียสละ ขอให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ ทุกคนทั่วประเทศ เราจะสู้ไปพร้อมกันและเราจะชนะไปพร้อมกัน ทีมกาฬสินธุ์ทุกคนมีขวัญกำลังใจ และมีความพร้อมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างเต็มที่


ขณะที่สถานการณ์โรคโควิด-19 ล่าสุดศูนย์อำนวยการต้านโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 จ.กาฬสินธุ์รายงานสถานการณ์พบผู้ป่วยรายใหม่ 1 ราย  โดยผู้ป่วยเดิม 99 ราย รวมมีผู้ป่วยสะสม 100 ราย หายป่วยวันนี้ 2 ราย หายป่วยสะสม 68 ราย ยังคงรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 31 ราย และ เสียชีวิต 1 ราย โดยทางจังหวัดยังคงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนทุกท่านได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 D-M-H-T-T-A อย่างเคร่งครัด ส่วนผู้ที่เดินทางมาจากจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 4 จังหวัด ได้แก่ กทม. นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ให้กักตัวในที่พำนัก 14 วัน หรือตามระยะเวลาพำนักที่น้อยกว่า และให้รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ (ผอ.รพ.สต./กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน) หรือ อสม.

ขอนแก่น – พล.ร.3 โดย ร.8 แสดงความยินดีกับน้อง ๆ ทหารของหน่วย ที่สามารถผ่านการทดสอบ ผ่านเข้าศึกษา ณ โรงเรียนนายสิบทหารบก (รุ่นที่ 25) ได้สำเร็จ

ที่ค่ายสีหราชเดโชไชย ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่ กรมยุทธศึกษาทหารบก (ยศ.ทบ.) ประกาศการรับสมัครและสอบคัดเลือกบุคคลเข้าเป็น นักเรียนนายสิบทหารบก ประจำปีการศึกษา 2564 (นนส.ทบ.) ประจำปี 2564 นั้น มีกำลังพลของหน่วยกรมทหารราบที่ 8 ได้เข้ารับการทดสอบขั้นที่ 2 (ภาควิชาการ) จำนวน 4 นาย ที่สามารถผ่านการทดสอบผ่านเข้าศึกษา ณโรงเรียนนายสิบทหารบก (รุ่นที่ 25) ค่ายโยธินศึกษามหามงกุฏ จ.ประจวบคีรีขันธ์  


ซึ่งก่อนเดินทางนั้นทางด้านกองพลทหารราบที่ 3 โดย กรมทหารราบที่ 8  พันเอก ณรงค์ วิชญาณวรวุฒิ ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 8(ผบ.ร.8) ได้แสดงความยินดีพร้อมทั้งได้มอบขวัญและกำลังใจให้กับน้อง ๆ ทหารของหน่วย จำนวน 4 นาย ที่สามารถผ่านการทดสอบ ผ่านเข้าศึกษา ณโรงเรียนนายสิบทหารบก (รุ่นที่ 25) และกล่าวให้โอวาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพล โดยได้เน้นย้ำการใช้ความรู้ความสามารถที่หน่วย ไปปรับใช้ในชีวิตการเป็นนักเรียนให้เกิดประโยชน์ การปฏิบัติตัวในการเข้ารับการศึกษาจากโรงเรียนนายสิบทหารบก และตั้งใจศึกษาเรียนรู้ ให้มีมุ่งมั่นพยายามศึกษาหาความรู้ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้สามารถนำความรู้ที่ได้รับการศึกษานำมาต่อยอดความรู้สู่การเป็นกำลังพลหลักในการพัฒนาหน่วยทหารในกองทัพบก สร้างความภาคภูมิ ให้ตนเองและครอบครัว เป็นแบบอย่างความสำเร็จในการสอบคัดเลือกเข้าเป็นนักเรียนนายสิบทหารบกและบรรจุ เป็นนายทหารประทวนสังกัดกองทัพบกของหน่วยต่าง ๆ รวมถึงการรับราชการทหารซึ่งเป็นอาชีพที่มั่นคง ทั้งต่อตัวเอง ครอบครัว ในอนาคตต่อไป


ภาพ/ข่าว  ขอบคุณภาพจาก ร.8 / ไทบ้าน  นิวส์ (พรพิพัฒน์  เพ็ชรสังหาร)
 

กาฬสินธุ์ – ประกาศเขตโรคระบาดทั้งจังหวัด พบสัตว์ป่วยโรค ‘ลัมปีสกิน’ หลายอำเภอ

จังหวัดกาฬสินธุ์ประกาศเป็นพื้นที่เขตโรคระบาด พร้อมห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ หลังพบโคและกระบือป่วยโรคลัมปีสกินหลายอำเภอ ขณะที่ผู้ว่าฯกาฬสินธุ์กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งลงพื้นที่สำรวจและให้การช่วยเหลือเกษตรกร
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564  ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บ้านทุ่งกระเดา หมู่ที่ 5 ต.กุดปลาค้าว อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ หลังจากได้รับแจ้งว่ามีโคและกระบือของเกษตรกรป่วยเป็นโรคลัมปี สกิน ซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่สำหรับประเทศไทย และเป็นกาแพร่ระบาดเป็นครั้งแรกในหมู่บ้าน เบื้องต้นได้พบกับนางสมพร ปาวรี อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่1/1 หมู่ที่ 5 บ้านทุ่งกระเดา ต.กุดปลาค้าว อ.เขาวง  จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเกษตรกรที่เลี้ยงโคและได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคลัมปีสกิน


โดยนางสมพร กล่าวว่า เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน 2564 ที่ผ่านมาเริ่มมีการระบาดของโรคลัมปี สกินในหมู่บ้านข้างเคียง และได้มีการระบาดมายังหมู่บ้านของตน แต่ก็ไม่คาดคิดว่าโรคลัมปี สกิน จะติดต่อมายังวัวของตนเองได้เร็วขนาดนี้  โดยปกติแล้วตัวเองเลี้ยงวัวอยู่ 5 ตัว ปัจจุบันวัวติดโรคลัมปี สกินแล้ว 2 ตัว ซึ่งเป็นแม่ลูกกัน และเป็นโรคลัมปี สกิน มาประมาณ 2-3วันแล้ว หลังจากที่รู้ว่าวัวทั้ง 2 แม่ลูกติดโรคระบาด ก็ได้ทำการแยกออกจากฝูงนำไปเลี้ยงไว้ที่อื่นก่อน เพื่อไม่ให้เกิดการติดไปยังวัวที่เหลือ


นางสมพร กล่าวอีกว่า สำหรับอาการของโรคลัมปี สกินนั้น จะมีตุ่มขึ้นตามตัวของวัว แต่เบื้องต้นมีไม่มาก แต่มีอาการซึม ไม่กินนม ไม่กินหญ้า หรือแม้แต่น้ำก็ไม่กิน อีกทั้งยังมีน้ำตาไหลอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ตัวเองเกิดความวิตกกังวลว่าวัวที่ตัวเองเลี้ยงนั้นจะเสียชีวิตเหมือนกับวัวของคนอื่นที่เคยเป็นข่าว ทั้งนี้เบื้องต้นได้แจ้งไปยังปศุสัตว์อำเภอเขาวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาดูแล เพื่อทำการรักษาแล้ว แต่ปรากฏว่าทางเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์แจ้งว่ายังไม่มีวัคซีนหรือยาที่สามารถรักษาได้โดยตรง ได้แต่เพียงรักษาตามอาการเท่านั้น ตนจึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบช่วยมาให้คำแนะนำหรือช่วยแก้ไขบรรเทาปัญหาให้กับชาวบ้านด้วย เพราะเท่าที่ทราบตอนนี้พื้นที่อำเภอเขาวงได้มีการระบาดของโรคลัมปี สกินในหลายตำบลแล้วเช่น ตำบลกุดปลาค้าว ตำบลคุ้มเก่า  ตำบลสระพัง หรือแม้กระทั่งในอำเภอติดกันอย่างอำเภอนาคู และอำเภอกุฉินารายณ์ก็มีสัตว์ป่วยเป็นโรคนี้จำนวนมาก จึงอยากให้ช่วยนำไปพิจารณาเป็นปัญหาเร่งด่วนด้วย


ขณะที่จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยนายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ ได้ลงนามในประกาศจังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 เรื่องกำหนดเขตโรคระบาด ชนิดโรคลัมปีสกิน ในสัตว์ชนิดโค กระบือ โดยมีเนื้อหาระบุว่า ด้วย จ.กาฬสินธุ์พบว่ามีหรือสงสัยว่ามีโรคระบาดในสัตว์(ชนิด) โคเนื้อป่วยด้วยโรคลัมปีสกิน ซึ่งเป็นโรคระบาดตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 โดยมีแนวโน้มที่จะแพร่ระบาดไปยังจังหวัดอื่นๆได้ จากการเคลื่อนย้ายสัตว์ที่เป็นโรคระบาดหรือพาหะของโรคระบาด


ดังนั้นอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 21 แห่ง พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์จึงออกประกาศไว้ดังนี้ 1.ให้ท้องที่ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอำเภอในจังหวัดกาฬสินธุ์เป็นเขตโรคระบาดชนิดโรคลัมปีสกินในสัตว์ชนิดโค กระบือ 2.ห้ามมิให้ผู้ใดเคลื่อนย้ายสัตว์ ชนิดโค กระบือ หรือซากสัตว์ดังกล่าวเข้า ออก ผ่าน หรือภายในเขตโรคระบาด เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากสัตว์แพทย์ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบประจำเขตนั้นทุกครั้งที่มีการเคลื่อนย้าย ทั้งนี้ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 22 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ


อย่างไรก็ตามล่าสุดทางนายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ ยังได้สั่งการให้สำนักงานปศุสัตว์ และอำเภอทั้ง 18 อำเภอ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สำรวจ ให้ความรู้ และให้การช่วยเหลือเกษตรกรในการดูแลรักษาอย่างเร่งด่วนแล้ว

ขอนแก่น - ผู้ว่าฯขอนแก่น สั่งเข้มทุกมาตรการป้องกันโควิด เรือนจำ-สถานพินิจ-ศูนย์ฝึกอบรมฯ ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ทั้งจังหวัด ตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงชัดเจน นักโทษแรกรับต้องกักกันตัวอย่างเข้มงวด เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องฉีดวัคซีนให้ครบ ขณะที่ผู้คุมขังเริ่มทยอยรับ

 เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 19 พ.ค.2564 นายสมศักดิ์  จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น เปิดเผยว่า ในพื้นที่ 26 อำเภอของจังหวัด มีพื้นที่ที่คุมขังผู้ต้องหาและสถานพินิจฯ รวมไปถึงศูนย์ฝึกอบรม ฯ ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม รวมทั้งหมด 5 แห่ง มีผู้ที่ถูกคุมขังกว่า 7,000 คน ซึ่งขณะนี้ผู้บัญชาการเรือนจำกลางขอนแก่น,ผู้บัญชาการทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่น,ผู้บัญชาการเรือนจำ อ.พล,ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองและเด็กและเยาวชนขอแก่นและศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนเขต 4 ขอนแก่น ได้สรุปรายงานมาตรการคุมเข้มจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อให้คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อได้รับทราบแล้ว และที่สำคัญคณะทำงานได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามและเน้นย้ำในทุกมาตรการที่การ์ดห้ามตกแม้แต่วินาทีเดียวและให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด ซึ่งพบว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติงานอยู่ภายใน 5 หน่วยงานได้รับวัคซีนไปแล้วมากกว่าร้อยละ 80 และมีการปฎิบัติตามมาตรการป้องกันย่างเข้มงวด


 “ จากการระบาดของกลุ่มคัสเตอร์ที่คุมขังนักโทษในหลายจังหวัด ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นพื้นที่ที่มีคนอยู่ร่วมกันจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงของการพักผ่อนยามค่ำคืนที่นอนชิดติดกันเนื่องจากสภาพพื้นที่ที่จำกัด ขณะที่พื้นที่ขอนแก่น มีผู้ที่ถูกคุมขังและถูกควบคุมตัวรวมกว่า 7,000 คน ดังนั้นมาตรการป้องกันและควบคุม ทุกแห่งมีการดำเนินการอย่างเข้มงวด มีการออกคำสั่งให้สวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลา,การเยี่ยมผ่านระบบวิดีโอคอลหรือระบบไลน์ รถส่งสินค้าจากภายนอก จะต้องทำความสะอาดรถด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทั้งเข้าและออกภายในเรือนจำทุกครั้ง โดยไม่อนุญาตให้คนขับจากภายนอกขับรถเข้าไปภายในเด็ดขาดเพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคเข้าไปภายในเรือนจำ และที่สำคัญคือนักโทษแรกรับ จะต้องได้รับการตรวจคัดกรองอย่างเข้มงวด ตามระเบียบที่กรมราชทัณฑ์กำหนดและมีการกักตัวจากเดิม 14 วันเป็น 21 วันตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด”


 ผวจ.ขอนแก่น กล่าวต่ออีกว่า มาตรฐานด้านสุขอนามัยในพื้นที่คุมขัง และสถานที่จัดกิจกรรมต่างๆภายในเรือนจำและสถานที่ควบคุมทั้ง 5 แห่ง ได้เน้นย้ำในเรื่องของความสะอาดและการจัดจุดบริการแอลกอฮอล์ล้างมือและจุดล้างมือ ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ขณะที่แผนเผชิญเหตุรับมือหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นคณะทำงานได้กำหนดแนวทางรับ-ส่งผู้ป่วยแบบเชื่อมโยงกับโรงพยาบาลใกล้กับสถานที่ควบคุมเป็นจุดแรก รวมทั้งการจัดเตรียม รพ.สนาม แห่งที่ 2 พุทธมณฑลอีสานสำหรับการรับมือกับผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตามแม้ขณะนี้ยังคงไม่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในเรือนจำและสถานที่ควบคุมภายในจังหวัด แต่การป้องกันและควบคุมยังคงเป็นไปอย่างรัดกุมและมีการจัดสรรวัคซีนให้กับกลุ่มผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ภายในเรือนจำที่ขณะนี้เริ่มทยอยฉีดวัคซีนไปแล้วบางส่วนอีกด้วย


 

กาฬสินธุ์ – คณะสงฆ์มอบสิ่งของช่วยเหลือ ผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 ตามโครงการจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์

คณะสงฆ์อำเภอสหัสขันธ์ ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรม จ.กาฬสินธุ์ มอบสิ่งของให้กับผู้ได้ที่รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามโครงการจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 
วันที่ 18 พ.ค.64 ที่วัดเวฬุวัน ต.นิคม อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์  พระครูสิทธิวราคม ดร. เจ้าคณะอำเภอสหัสขันธ์ (ธ) ตัวแทนคณะสงฆ์ อ.สหัสขันธ์ พร้อมด้วยสำนักงานวัฒนธรรมจ.กาฬสินธุ์ มอบสิ่งของยังชีพ ข้าวสาร อาหารแห้ง และไข่ไก่สด ให้กับนายตระกูล หนูนิล นายอำเภอสหัสขันธ์  เพื่อนำไปมอบให้กับครอบครัวผู้ยากไร้ ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ซึ่งพื้นที่อ.สหัสขันธ์มี 1 หมู่บ้านที่ต้องกักตัวกว่า 29 ครัวเรือน เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 แบบครอบครัว 5 ราย โดยมีผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมกิจกรรมตามโครงการจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ภายใต้การควบคุมตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 D-M-H-T-T-A  โดยจุดแรกที่นำไปมอบคือพื้นที่ ต.โนนแหลมทอง อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์


พระครูสิทธิวราดม ดร. เจ้าคณะอำเภอสหัสขันธ์ (ธ) กล่าวว่า  เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คณะสงฆ์อำเภอสหัสขันธ์ ร่วมกับ สำนักงานวัฒนธรรม จ.กาฬสินธุ์  ในงบประมาณประจำปี 2564 ภายใต้โครงการบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุฤดูร้อน สามเณร และบวชชีพราหมณ์ ภาคฤดูร้อน เป็นกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ซึ่งได้ทำร่วมกันโดยคณะสงฆ์ทั้ง 2 ฝ่าย ใน 8 ตำบล มีทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง ไข่ไก่สด นม และสาธารณูปโภคอื่น ๆ  เป็นถุงพระทำจำนวน 100 ชุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และสร้างขวัญกำลังใจให้กับชาวบ้าน  และเพื่อเป็นรักษาตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในกิจกรรมต่าง ๆ ของวัดได้จำกัดจำนวนคนที่จะร่วมกิจกรรมไม่เกิน 50 คน มีจุดคัดกรอง ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ มีการเว้นระยะห่าง และการบังคับสวมใส่แมสก์ 100% ภายในบริเวณวัด  ซึ่งประชาชนมีความเข้าใจและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี


สำหรับอำเภอสหัสขันธ์ มี 1หมู่บ้าน 29 ครัวเรือน ที่ยังต้องกักตัว แม้ว่าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 5 ราย จะรักษาหายและกลับมาอาศัยที่บ้าน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนรอบข้าง จึงอยู่ในระหว่างการกักตัวต่ออีก 14 วัน นอกจากนี้ยังมีผู้เดินทางกลับภูมิลำเนาจากพื้นที่สีแดงเข้ม ที่จะต้องกักตัวอีกกว่า 60 ราย  นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยติดเตียง ผู้ยากไร้ฐานะยากจน ที่จะต้องให้การดูแลในระยะนี้


ภาพ/ข่าว  ณัฐพงษ์  ประชากูล จ.กาฬสินธุ์
 

ขอนแก่น - มข. คว้ารางวัล “เหรียญเงิน” ระดับนานาชาติ จาก “อุปกรณ์ปรับแต่งจมูกสำหรับผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่” ณ สมาพันธรัฐสวิสเซอร์แลนด์

“อุปกรณ์ปรับแต่งจมูกสำหรับผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ หรือ Nasal Creator Device” คว้ารางวัล “เหรียญเงิน” ระดับนานาชาติ จากผลงานประกวด 800 ชิ้น กว่า 40 ประเทศ ของการประกวดแข่งขัน Geneva Inventions ในงาน The 48th International Exhibition of Inventions Geneva ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิสเซอร์แลนด์

โดย “อุปกรณ์ปรับแต่งจมูกสำหรับผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ หรือ Nasal Creator Device” เป็นสิ่งประดิษฐ์ ซึ่งเป็นความร่วมมือจากทีมวิจัยสหสาขาวิชาชีพจากคณะทันตแพทยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมี รศ.ดร.ทพ.พูนศักดิ์ ภิเศก เป็นหัวหน้าทีม โดยผลงานดังกล่าว มีจุดเริ่มต้น ในปี พ.ศ. 2561 ในรายวิชาโครงการวิจัยทางทันตกรรม ซึ่งรศ.พูนศักดิ์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย และนักศึกษาทันตแพทย์ชั้นปีที่ 5 ประกอบด้วย นทพ.วนิดา อัครโชติสกุล, นทพ.ชลนภา พัฒนภิรมย์ และนทพ.ธนาภรณ์ นีละกาญจน์ (ปัจจุบันทุกท่านสำเร็จการศึกษารับราชการเป็นทันตแพทย์แล้ว) สนใจออกแบบพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ โดยมี รศ.ดร.สุรสิทธิ์ ปิยะศิลป์ คณะวิศวกรรมศาสตร์, ผศ.นพ.พลากร สุรกุลประภา คณะแพทยศาสตร์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาในลักษณะของทีมสหสาขาวิชาชีพ และต่อยอดด้วยการศึกษาเชิงคลินิกของ ทพญ.สุลาวัลย์ แววสง่า นักศึกษาหลังปริญญาหลักสูตรวุฒิบัตร สาขาทันตกรรมจัดฟัน โครงการวิจัยนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศ “Research Fantasia Season X” จากคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ต่อมาผลงานนี้ได้รับการรับรองจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการใช้งานในผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ ในโรงพยาบาลและสถานบริการทั่วประเทศ โดยเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายอุปกรณ์นี้จาก สปสช.

ในปีพ.ศ. 2562 ผลงานนี้ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านสังคม (National Innovation Awards for Social Contribution 2019) จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

ปี พ.ศ.2563 ได้รับรางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ รางวัลประกาศเกียรติคุณผลงานสิ่งประดิษฐ์คิดค้น จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ปี พ.ศ.2564 ได้รับการคัดเลือกจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติให้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าประกวดแข่งขัน ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิสเซอร์แลนด์ จนคว้ารางวัลระดับนานาชาติในครั้งนี้

รศ.ทพ.ดร. พูนศักดิ์ ภิเศก หัวหน้าทีมผู้คิดค้นอุปกรณ์ปรับแต่งจมูกสำหรับผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า “การออกแบบอุปกรณ์สำหรับผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ ได้ทำการวิจัยร่วมกันในลักษณะสหสาขาวิชาชีพ ซึ่งเริ่มจากนักศึกษาทันตแพทย์ระดับปริญญาตรีได้ทำการศึกษาออกแบบพัฒนาเครื่องมือเป็นตัวต้นแบบ ตามมาด้วยการศึกษาวิจัยต่อยอดทางคลินิกโดยนักศึกษาหลังปริญญาในหลักสูตรทันตแพทย์ประจำบ้านสาขาทันตกรรมจัดฟัน ได้ศึกษาผลของอุปกรณ์นี้ในเชิงคลินิก ซึ่งเป็นการศึกษาต่อเนื่องติดตามผลการใช้งานในผู้ป่วยหลังใช้เครื่องมือนี้ในการผ่าตัดตกแต่งจมูกและริมฝีปาก โดยคณาจารย์จากคณะทันตแพทยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ ได้ร่วมกันเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการวิจัย เดิมทีอุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ ยังไม่มีการผลิตขึ้นมาในประเทศ จึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศในราคาชิ้นละ 3,500 – 4,000 บาท ต่อชิ้น ซึ่งคนไข้ปากแหว่งเพดานโหว่ 1 คนต้องใช้ประมาณ 3 ชิ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายต่อผู้ป่วย 1 คน อยู่ที่ประมาณ 12,000 บาท เมื่ออุปกรณ์นี้สามารถผลิตได้สำเร็จจะทำให้ลดการนำเข้าจากต่างประเทศและต้นทุนการผลิตถูกลง เฉลี่ยชิ้นละ 200-300 บาท ทำให้ค่าอุปกรณ์ในการรักษา ลดลงถึง 10 เท่า สำหรับความสำเร็จในครั้งนี้ ผมขอขอบคุณ ผศ.ทพ. วัชรินทร์ หอวิจิตร ผศ.ดร.ทพ. เอกสิทธิ์ มโนสุดประสิทธิ์ อ.ดร.ทพญ. พุทธธิดา วังศรีมงคลและ คุณสุธีรา ประดับวงศ์ ที่มีส่วนช่วยเหลือในงานวิจัยและเตรียมการประกวดแข่งขัน ขอขอบพระคุณประธานมูลนิธิตะวันฉาย ศ.นพ.บวรศิลป์ เชาวน์ชื่น รศ.(พิเศษ) ดร.ทพญ. สมใจ สาตราวาหะ และท่าน รศ.ดร.ทพญ. วรานุช ปิติพัฒน์ คณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ ที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด”

“อุปกรณ์ปรับแต่งจมูกสำหรับผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ หรือ Nasal Creator Device” เป็นอุปกรณ์ที่ผลิตจากโรงงานผลิตเครื่องมือแพทย์ที่ได้มาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหาร (อย.) เป็นวัสดุที่มีความปลอดภัย และได้มาตรฐาน ซึ่งได้รับการรับรองจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช) จึงอนุมัติให้สถานพยาบาลทั่วทุกประเทศได้ใช้งาน และยังได้ส่งต่อไปในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้แก่ พม่า ลาว และกัมพูชาอีกด้วย

ขอนแก่น - กฟผ.และบริษัทในกลุ่มกฟผ. มอบเงินสนับสนุนซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้โรงพยาบาลในจังหวัดขอนแก่น

วันที่ 18 พฤษภาคม 2564 นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการการจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วย นางจิรประภา ศิริสูงเนิน รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น 
เป็นประธานรับมอบเงินจำนวน 1,900,000 บาท จากนายพิพัทต์ คงสินทวีสุข ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าพลังน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นายไวฑูรย์ เกียรติเฉลิมคุณ ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าน้ำพอง และนายสหชาติ พิลาออน ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 ผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัทในกลุ่ม กฟผ. เพื่อสนับสนุนซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้โรงพยาบาลในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 5 โรงพยาบาล ได้แก่โรงพยาบาลศรีนครินทร์จำนวน 500,000 บาท โรงพยาบาลขอนแก่นจำนวน 500,000 บาท โรงพยาบาลชุมแพจำนวน 300,000 บาท โรงพยาบาลน้ำพองจำนวน 300,000 บาท และโรงพยาบาลสมเด็จพระเด็จพยุพราชกระนวนจำนวน 300,000 บาท 


นอกจากนี้ยังได้มอบเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่กดเจลแอลกอฮอล์แบบเท้าเหยียบพร้อมเจลแอลกอฮอล์ขนาด 450 มล.10 ชุด หน้ากากอนามัย 1,000 ชิ้น หมวกคลุมผม 1,000 ชิ้น ถุงมือยาง 1,000 ชิ้น ชุดกาวน์กันน้ำ 100 ชุด น้ำดื่ม 100 โหล ให้สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น และน้ำดื่ม 100 โหลให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เพื่อใช้ในการออกปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการป้องกันและเฝ้าระวัง การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019

ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ระลอกใหม่นี้ กฟผ.และบริษัทในกลุ่ม กฟผ. ได้แก่ บริษัท ราชกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และบริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ระดมเงินงบประมาณจำนวน 81 ล้านบาท เพื่อร่วมบริจาคให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวน 149 โรงพยาบาล นำไปจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อใช้ป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ของบุคลากรทางการแพทย์ และนับตั้งแต่การเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ตั้งแต่ปี 2563 – 2564 กฟผ.ได้สนับสนุนงบประมาณรวม 400 ล้านบาทในการสนับสนุนการทำ จัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ให้กับโรงพยาบาล 300 โรงพยาบาล และชุมชนกว่า 1,000 ชุมชนทั่วประเทศ เพื่อให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ตามแนวการดำเนินงานว่า กฟผ.เคียงข้างคนไทยทุกวิกฤต


 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top