Friday, 9 May 2025
ภาคกลางไทม์

กรุงเทพฯ - มูลนิธิมาดามแป้ง หนุนสร้างซุ้มพ่นฆ่าเชื้อโควิด ในชุมชนพื้นที่เสี่ยงสีแดงคลองเตย-บ่อนไก่

มูลนิธิมาดามแป้ง หนุนสร้างซุ้มพ่นฆ่าเชื้อโควิด ในชุมชนพื้นที่เสี่ยงสีแดงคลองเตย-บ่อนไก่ 

ทีมอาสากล้าใหม่ มูลนิธิมาดามแป้ง ลงพื้นที่คลองเตยและบ่อนไก่พัฒนา สร้างซุ้มพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 ในจุดเสี่ยงของแต่ละชุมชน

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กระจายไปหลายพื้นที่และทวีความรุนแรงขึ้นในเขตพื้นที่สีแดงของกรุงเทพมหานคร อย่างเขตคลองเตยและเขตปทุมวัน นอกจากให้ความช่วยเหลือด้านอาหารจากครัวมาดาม กล่องน้ำใจแก่ผู้กักตัว การออกฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อในพื้นที่ติดเชื้อต่อเนื่องทุกวันแล้ว ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา มูลนิธิมาดามแป้ง ขอเสริมความมั่นใจให้ชาวบ้านที่ต้องดำเนินชีวิตประจำวันนอกบ้าน ท่ามกลางสถานการณ์ความเสี่ยง ด้วยการมอบหมายให้อาสาที่มีฝีมืองานช่าง ลงพื้นที่สร้างซุ้มพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจุดเข้า-ออก และจุดผ่านสำคัญภายในชุมชน

ด้านมาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ ประธานกรรมการมูลนิธิมาดามแป้ง และ ซีอีโอ บมจ.เมืองไทยประกันภัย กล่าวว่า "เราอยากทำงานแบบบูรณาการตามสถานการณ์ ต้องทำแบบรอบด้านมันถึงจะสำเร็จ เพราะชาวบ้านยังต้องออกมาทำมาหากินเลี้ยงปากท้อง สัญจรผ่านพื้นที่สาธารณะ ดังนั้น อะไรที่จะช่วยบรรเทาปัญหา คลายความวิตกกังวลลงได้ เราก็ส่งทีมอาสาไปทำทันที ซึ่งขณะนี้ติดตั้งซุ้มนี้ครบทุกจุดตามเป้าหมายแล้ว ก็ช่วยให้ทุกคนมั่นใจขึ้นเวลาออกมาทำงานนอกบ้าน"

สำหรับชุมชนที่มูลนิธิได้ติดตั้งซุ้มดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว อาทิ ชุมชนพัฒนาใหม่, ชุมชน 70 ไร่, ชุมชนล็อค 4-5-6, ชุมชนล็อค 1-2-3, ชุมชนวัดคลองเตยใน, ชุมชนร่มเกล้า, ชุมชนโรงหมู, ชุมชนบ่อนไก่พัฒนา, ชุมชนเคหะบ่อนไก่ เป็นต้น โดยซุ้มดังกล่าวจะพ่นน้ำฆ่าเชื้อที่ได้รับมาตรฐานจากกรมอนามัย ที่สามารถสัมผัสกับผิวหนังมนุษย์ได้ มีลักษณะการฉีดพ่นแบบละอองฝอยทำให้น้ำยามีประสิทธิภาพสูงขึ้น 

ทั้งนี้ มูลนิธิมาดามแป้งยังมีแผนดำเนินตั้งซุ้มพ่นฆ่าเชื้อในอีกหลายจุดนอกเหนือจากภายในชุมชน อาทิ จุดตรวจคัดกรองประชาชนที่มีความเสี่ยง และจุดบริการฉีดวัคซีนที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดตั้งอีกด้วย  ประชาชนที่สนใจร่วมบริจาคสมทบทุนได้ที่บัญชี 092-2-61340-0 ธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี มูลนิธิมาดามแป้ง เพื่อโครงการสร้างสังคมแห่งการให้

อยุธยา - สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานอุปกรณ์ทางการแพทย์แก่โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

วันที่ 12 พฤษภาคม 2564 เวลา 19.45 น. นายแพทย์โชคชัย  ลีโทชวลิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา คณะผู้บริหาร ข้าราชการ ประกอบพิธีรับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์พระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี  ประธานในพิธีถวายความเคารพเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพถวายราชสักการะพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  

ตามที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องให้อากาศผสมออกซิเจนอัตราการไหลสูงจำนวน 5 เครื่อง  ผ่านทางกองทุนชัยพัฒนาสู้ภัย covid-19 (และโรคระบาดต่าง ๆ )มูลนิธิชัยพัฒนาให้กับโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยานำไปใช้ประโยชน์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID) ทำให้มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นจำนวนมากและเครื่องให้ออกซิเจนด้วยอัตราการไหลอากาศสูง (high flow oxygen therapy) เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีความจำเป็นและสำคัญในการช่วยชีวิตผู้ป่วยภาวะหายใจล้มเหลวหรือมีภาวะพร่องออกซิเจน จำนวน 5 เครื่อง โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยารู้สึกซาบซึ้ง และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นจนหาที่สุดไม่ได้

ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอพระบรมราชานุญาตถวายพระพรชัยมงคลด้วยความจงรักภักดี  ขออัญเชิญพลานุภาพแห่งพระศรีรัตนตรัย  พระบารมีแห่งพระสยามเทวาธิราช ตลอดจนพระบรมเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกพระองค์ ได้โปรดดลบันดาลอภิบาล และประทานพรให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระเกษมสำราญ พระราชหฤทัยชื่นบาน มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน

พระเกียรติคุณขจรขจายแผ่ไพศาล  สถิตเป็นมิ่งขวัญร่มเกล้า  แก่พสกนิกรชาวไทยตราบกาลนิรันดร์ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้


ภาพ-ข่าว ศูนย์ข่าวสารประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา / สุจินดา อุ่นขาว รายงานจากอยุธยา

ปทุมธานี - ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานีรับมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 25,000 ชิ้น

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 เวลา 11.30 น. ณ ห้องรับรอง ชั้น 4 ตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี อำเภอเมืองจังหวัดปทุมธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.ชยุต มารยาทตร์ ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี พ.ต.อ.นิรุธ

ประสิทธิเมตต์ รอง ผบก.ฯ ร่วมกันเป็นตัวแทนรับมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 25,000 ชิ้น จากนายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค และคณะผู้แทน นศ. หลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข (4ส) รุ่นที่ 11 สถาบันพระปกเกล้า ให้กับข้าราชการตำรวจ ภ.จว. ปทุมธานี และประชาชนทั่วไป เพื่อใช้ในการป้องกันการติดต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 


ภาพ/ข่าว ประภาพรรณ ขาวขำ/รายงาน

ปทุมธานี - ธอส. ทุ่มงบ 2 ล้านบาท สร้างหอผู้ป่วย ICU ความดันลบ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ สู้ภัยโควิด-19

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สนับสนุนงบประมาณ 2 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จัดสร้างหอผู้ป่วยไอซียูความดันลบแบบห้องแยก เพื่อให้บริการผู้ป่วยวิกฤติที่มีอาการรุนแรงได้เข้ารับการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้อย่างเต็มศักยภาพ และเพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร

นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ ในฐานะประธานกรรมการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ได้มอบเงินสนับสนุน จำนวน 2,000,000 บาท ให้แก่ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ท่ามกลางคณะกรรมการธนาคาร พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ที่เข้าร่วมในพิธีส่งมอบดังกล่าว เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (10 พ.ค. 64)

โดยนายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทย ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน 2564 ที่มีการระบาดขยายเป็นวงกว้าง ทำให้พบจำนวนผู้ติดเชื้อ รวมทั้งผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการรุนแรงมากขึ้น ซึ่งโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี นับเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลหลักที่รับส่งต่อตลอดจนดูแลและให้การรักษาผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 มาโดยตลอด ด้วยการจัดตั้งหอผู้ป่วย Cohort หอผู้ป่วยเฝ้าระวัง (PUI) หอผู้ป่วยความดันลบ รวมถึงโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ และเพื่อเป็นการสนับสนุนการดูแลรักษาผู้ป่วย COVID-19 ได้อย่างเต็มศักยภาพ และเพียงพอต่อการรองรับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มสูงขึ้น ธอส.ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ "ทำให้คนไทยมีบ้าน" ได้ตระหนักถึงการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม จึงได้ร่วมสนับสนุนงบประมาณสู้ภัย COVID-19 จำนวนดังกล่าว มอบให้แก่ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ สำหรับจัดสร้างหอผู้ป่วยไอซียูความดันลบแบบห้องแยกที่ใช้รักษาผู้ป่วยวิกฤติที่มีอาการรุนแรง ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนช่วยเหลือสังคมไทยสู้ภัย COVID-19 ที่ธนาคารดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ส่งมอบหน้ากากอนามัย พร้อมสายคล้องหน้ากากอนามัย จำนวน 10,420 ชุด ให้แก่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในชุมชน อีกทั้งในด้านงบสนับสนุนน้ำดื่ม และอาหารกลางวันให้หน่วยงานสำคัญต่างๆ สถานพยาบาล สถานศึกษา และวัด เป็นต้น

ทั้งนี้ ธอส.มีภารกิจหลักในการสนับสนุนสินเชื่อ เพื่อที่อยู่อาศัยแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และปานกลาง ให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาตลอดระยะเวลากว่า 67 ปี ซึ่งทางธนาคารสร้างโอกาสให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้ว มากกว่า 3.7 ล้านครอบครัว ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร ทั้งทางด้านที่อยู่อาศัย การศึกษา สังคม และสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์ ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และการกีฬา โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน และการปลูกจิตอาสาช่วยเหลือสังคมของผู้ปฏิบัติงานภายในองค์กร รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชุมชน และสร้างสังคมไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และเติบโตอย่างยั่งยืน  (สมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย)

ราชบุรี  - เกือบวุ่น พบวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิด EOD ทำลายพบเป็นชุดวัดแรงสั่นสะเทือน

เกือบวุ่นทั้งเมือง!! พบกล่องและวัตถุที่มีการต่อสายไฟต้องสงสัยวางที่พื้นติดฐานโบราณสถานเจดีย์หัก ต.เจดีย์ อ.เมือง จ.ราชบุรี เจ้าหน้าที่ชุด EOD ตรวจสอบใช้วอเตอร์บอมจุดทำลาย ตรวจสอบแล้วเป็นเครื่องมือวัดแรงสั่นสะเทือน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งหน่วยงานใดเป็นเจ้าของให้ไปติดต่อได้ที่ สภ.ราชบุรี

(8 พ.ค.64) ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีประชาชนผู้ที่อยู่อาศัยใกล้ โบราณสถานเจดีย์หัก ต.เจดีย์หัก อ.เมือง จ.ราชบุรี ได้โพสต์ข้อความพร้อมด้วยคลิป รายผ่านสื่อออนไลน์ขอให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบวัตถุต้องสงสัย เป็นกล่องและมีกรวยตั้งอยู่จำนวน 1 คู่ และมีสายกั้นขึ้งไว้ ซึ่งเกรงกลัวว่าจะเป็นวัตถุระเบิด เนื่องจากมีผู้ที่เข้ามาออกกำลังกายและพบเห็นตั้งแต่ช่วงเช้าโดยที่ไม่มีหน่วยงานใดประกาศแจ้ง

จนเวลา 21.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุด EOD 2 นาย ด.ต.เอก วรัตน์ ประทุมนันท์ และ ด.ต.เอก เปรมจิตร์ ฝ่ายเก็บกู้ วัตถุระเบิด ตำรวจภูธรจังหวัดราชบุรี ได้มาทำการเก็บกู้ พร้อมทั้งประสารกำลังเจ้าหน้าที่ มูลนิธิปฐมบรมราชานุสรณ์ราชบุรี นำกำลังมาดูแลและปิดกันการจราจร พร้อมห้ามให้รถสัญจรไปมา

จากนั้น ด.ต.เอก วรัตน์ ประทุมนันท์ เจ้าหน้าที่ EOD ได้เข้าไปตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยดังกล่าว พร้อมทั้งนำเชือกคล้องที่กรวยทางด้านขวามือ และกันให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ออกห่างรัศมี 50 เมตร ก่อนจะให้สัญญาณดึงเชือกจนกรวยดังกล่าวล้มลง ต่อมาเจ้าหน้าที่ EOD ได้เดินเข้าไปตรวจสอบ โดยใช้กล้องจากโทรศัพท์มือถือบันทึกภาพวัตถุต้องสงสัย และนำมาประเมินสถานการณ์ โดยวัตถุที่พบมี 3 ชิ้น โดยชิ้นแรกมีลักษณะเป็นแท่งทรงกลมสูงประมาณ 5 – 7 เซนติเมตร ชิ้นที่ 2 เป็นห่อสีขาว โดยทั้ง 2 วัตถุมีสายต่อเข้าไปยังกล่องซึ่งมีแบตเตอรี่ เจ้าห้าที่ประเมินสถานการณ์แล้ว แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ก่อนจะประกอบ วอเตอร์บอมส์ เพื่อทำลายวัตถุต้องสงสัยดังกล่าว

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำวอเตอร์บอมส์ เข้าไปติดตั้งที่วัตถุต้องสงสัย โดยลากสายไฟห่างมาประมาณ 30 เมตร พร้อมทั้งแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อทำการปิดเส้นทางการจราจร และ กันให้ประชาชน และเจ้าหน้าที่ ออกห่างจากพื้นที่ดังกล่าว ก่อนจะให้สัญญาณและกดสวิทช์ยิงวอเตอร์บอมส์ทำลายวัตถุต้องสงสัย จนแตกกระจายเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ เมื่อสิ้นเสียงระเบิดจากวอเตอร์บอมส์ เจ้าหน้าที่ EOD ได้เข้าไปตรวจสอบโดยไม่ให้ประชาชนหรือสื่อมวลชนเข้าใกล้ เพื่อทำการตรวจสอบอย่างระเอียด เมื่อตรวจสอบเสร็จส่งสัญญาณเคลียร์ พร้อมทั้งแจ้ง รตท.เจริญทรัพย์ โพธิ์พระ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองราชบุรี เข้าตรวจสอบและเก็บหลักฐาน เพื่อติดตามหาเจ้าของชุดอุปกรณ์ดังกล่าวว่าเป็นของใคร

จากการตรวจสอบพบว่าวัตถุต้องสงสัยดังกล่าว เป็นชุดอุปกรณ์ตรวจวัดแรงสั่นสะเทือน ซึ่งจะมีกล่องภายในบรรจุแบตเตอรี่ และเดินสายไปที่กรวย 1 มีชุดแท่งเหล็กทรงกลม และ ถุงทราย และต่อสายมายังชุดตรวจวัดแรงสั่นสะเทือน โดยที่กรวยที่ 2 ภายในกรวยมีโซ่ 1 เส้นต่อสายไฟเช่นเดียวกัน โดยไม่ใช่วัตถุระเบิด หรือ สร้างเป็นการสถานการณ์แต่อย่างไร

เบื้องต้นเจ้าหน้าตำรวจจะได้เก็บชุดอุปกรณ์ดังกล่าวไว้ที่ สภ.เมืองราชบุรี และจะทำการตรวจสอบหาหน่วยงาน หรือ บริษัทเจ้าของชุดอุปกรณ์วัดแรงสั่นสะเทือนว่าเป็นของใคร


ภาพ/ข่าว  ตาเป้

 

สุโขทัย - หนุ่มใหญ่วัย 56 ปี ผันอาชีพช่างตัดผม มาทำฝักและด้ามมีดสร้างรายได้ดี สืบทอดตำนาน

จังหวัดสุโขทัยเรียกได้ว่ามีของดีครบครัน ทั้งเรื่องท่องเที่ยว ของกิน ของใช้ ของตกแต่ง มีทุกหย่อมหญ้า เฉดเช่นเดียวกับที่บ้านของลุงอ๊อก” นายมนตร์ชัย ช่วยเพ็ญ หรือลุงอ๊อก” อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3/2 ม.11 ต.บ้านไร่ อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย เปลี่ยนอาชีพที่เรียนรู้มาหวังสร้างเป็นอาชีพ สร้างตัวเลี่ยงครอบครัวด้วยอาชีพที่เรียนและฝึกฝนมา แต่ชีวิตก็เรียนรู้ไม่เลิก และมาพบอาชีพที่ใจรัก และมีความสุขกับอาชีพและเป็นนายตัวเอง จนสร้างรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน และจะถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นให้คงอยู่สืบต่อไป

นายมนตร์ชัย ช่วยเพ็ญ หรือลุงอ๊อก” ได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ตนเองได้ประกอบอาชีพเป็นช่างตัดผม มีลูกค้ามาใช้บริการเลื่อย ๆ มีรายได้พอกินและพอมีเก็บเลี้ยงดูครอบครัว แต่ไม่รู้เป็นด้วยเพราะอะไรมีลูกค้าโทรจองคิวตัดผมตลอดไม่ว่างเว้น รายได้ต่อวันเกือบ 1,200 บาท สมัยนั้นเงินหลักพันถือว่าเยอะมาก แต่ระหว่างเป็นช่างตัดผม ก็คิดเสมอว่าตนเองไม่ค่อยมีความสุขกับอาชีพนี้เท่าที่ควร เมื่อความรู้สึกมันขัดกับอาชีพเดิมที่ทำทุกวันเรียกว่ามีรายได้ทุกวันไม่ขาดมือ เมื่อว่างจากการตัดผม ก็เลยหาไม้มาทำด้ามมีดกับฝักมีดที่ปู่ได้มอบมีดให้ไว้เป็นมรดกสืบทอดและของที่ปู่รักตกมาสู่ตน ประกอบกับตนเองเป็นคนชอบอะไรที่เกี่ยวกับมีดอยู่แล้ว เมื่อมีเวลาก็จะจับมีดมาชื่นชมมาดูวิเคราะห์และศึกษา ทำฝักมีดเองบ้าง มันเป็นช่วงที่มีความสุขและหายเหนื่อยทันที จนเพื่อนๆที่มาสังสรรค์ที่บ้านและได้เห็นมีดที่ตนเองทำไว้ สวย ใช้ดี และแปลกตา เพื่อนจึงนำมีดมาให้ทำแบบที่ตนเองทำบ้าง นับตั้งแต่วันนั้นด้วยความที่ปากต่อปาก บอกต่อกันไปเรื่อยๆ ตนเองก็เริ่มมีงานทำด้ามมีดและฝักมีดมากขึ้น ลูกค้ามากพอสมควร นอกจากลูกค้าในหลายๆที่ หลายจังหวัด ยังมีลูกค้าจากทั่วประเทศ และลูกค้าจากต่างประเทศก็ให้ความสนใจสั่งทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตอนนี้ก็มีลูกค้าจากประเทศเกาหลี ได้สั่งทำไว้จำนวนมากและต้องเตรียมส่งงานภายในเดือนพฤษภาคมนี้

ตลอดระยะเวลาที่หันมาเอาดีประกอบอาชีพด้านนี้ ก็สร้างรายได้ให้ตนเองและครอบครัวเป็นอย่างมาก ส่วนเวลาในการทำแต่ละชิ้นก็จะใช้เวลา 2–3 วันหรือ 4-5 วัน ก็ได้ชิ้นงาน 1 ชิ้นงานที่สมบูรณ์ และปราณีตตามแบบของเราที่ใส่ใจรายละเอียดให้ลูกค้า เลยทำอาชีพนี้แทนการตัดผมมาตลอด ตอนนี้มีออเดอร์มาต่อเนื่อง ด้วยความที่มีเคล็ดลับบางอย่างเฉพาะตัวในการทำฝักมีดและด้ามมีด จึงได้รับความไว้วางใจและชื่นชอบในการทำชิ้นงานและได้รับความสนใจจากลูกค้า

มีความสุขในครอบครัวและในอาชีพนี้มาก นอกจากนี้ลูกชายก็เริ่มมีฝีมือมาสานต่อคอยช่วยได้อีกแรง จนเขาได้ก่ออาชีพเพิ่มรับงานเสริมทำป้ายไม้ด้วย ป้ายชื่อบ้าน ป้ายชื่อ - นามสกุล ป้ายชื่อตำแหน่ง เป็นต้น นอกจากงานทำฝักมีดและด้ามมีด ในเรื่องราคาของด้ามมีดและฝักมีดผมคิดราคาตายตัว ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นข้าราชการชั้นสูง ๆ หรือลูกค้าทั่วไป ก็คิดราคาตามใบมีด คือ นิ้วละ 100 บาท เช่น ใบมีดยาว 10 นิ้ว ราคาด้ามมีดก็ 1,000 บาท ส่วนเรื่องราคาฝักมีดก็ต้องขึ้นอยู่กับลวดลายและไม้ที่ใช้ทำตามความต้องการของลูกค้าผู้ที่สนใจเข้าชมติดตาม FB : Pronphanomwan Chuaypen  FB : มนตร์ชัย ช่วยเพ็ญ หรือติดต่อ 090-252-8190

ปทุมธานี - ตร.ปทุมฯ สกัดจับพระดัง "หลวงตาหนูที" ขนม้าและหมูใส่รถตู้ ก่อนนำส่งเจ้าคณะอำเภอสึกทันที พบประวัติถูกจับมาแล้วหลายครั้งไม่เข็ด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 7 พ.ค. 64 ตร.สภ.ปากคลองรังสิต จ.ปทุมธานี ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่ามีคนนำม้ามาปล่อยอยู่บริเวณสนามเด็กเล่น ริมถนนซ่อมสร้าง ม.2 ต.บ้านใหม่ อ.เมือง จ.ปทุมธานี จึงให้สายตรวจไปตรวจสอบแต่ไม่พบโดยมีชาวบ้านบอกว่าก่อนตำรวจมาถึงมีพระขับรถตู้มาแล้วนำม้าขึ้นรถหลบหนีไปแล้ว ต่อมามีพลเมืองดีแจ้งว่าพบรถตู้ ยี่ห้ออีซูซุ สีเหลือง หมายเลขประจำตัว ฒว-9319 กรุงเทพมหานคร สภาพเก่าโดยมีพระภิกษุสงฆ์เป็นคนขับและคาดว่าเป็นรถคันเดียวกันกับที่ชาวบ้านแจ้ง กำลังขับมุ่งหน้าไปทางสะพานปทุมธานี2 เจ้าหน้าที่ฯจึงวิทยุสกัดแต่ก็ไม่ทัน แต่ยังมีพลเมืองดีขับตามและโทรศัพท์แจ้งเป็นระยะ

จนกระทั่งต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สภ.คลองหลวง นำโดย พ.ต.ต.สิงหา เฟื่องแก้ว สว.จร และ ร.ต.อ สุระพล  วงศ์วันดี ร้อยเวรจราจร สภ.คลองหลวง พร้อมกำลังสามารถสกัดจับได้บริเวณถนนพกลโยธิน(ขาออก) หน้า ม.ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง โดยพบพระหนูที สุตธัมโม อายุ 72 ปี อ้างอยู่สำนักสงฆ์หินทราย ต.หนองหว้า อ.บัวลาย จ.นครราชสีมา ชื่อตามบัตรประชาชนระบุชื่อนายหนูที ทินราช อยู่บ้านเลขที่ 126/61 ม.4 ต.หนองบัว อ.เมือง จ.อุดรธานี พร้อมด้วยลูกม้าเพศผู้สีเหลืองอ่อน อายุประมาณ 2 ปีเศษ และลูกหมูป่าผสมเพศผู้ สีดำ อายุประมาณ 5 เดือน จึงได้ควบคุมตัวและสอบถามโดยพระดังกล่าวตอบเพียงว่าเพิ่งมาจาก จ.สุพรรณฯ และจะกลับ สักนักสงฆ์ จ.นครราชสีมา ส่วนม้าและหมูญาติโยมถวายมา และเมื่อตรวจสอบเรื่องใบขับขี่รถยนต์ก็ไม่มี ใบสุทธิพระก็ไม่มีแถมรถทะเบียนขาดการต่อภาษีมาแล้วร่วม 6 ปี จึงประสานนายไพรัตน์ รุ่งสว่าง ปศุสัตว์ อ.คลองหลวงมาตรวจสอบพร้อมแจ้งข้อหาเคลื่อนย้ายสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต จากรั้นจึงนิมนต์พระหนูที (หลวงตาหนูที) ไปพบพระแสนพล พลยุโต พระวินยาธิการ อ.คลองหลวง และ พระครูวิจิตร อาภากร เจ้าคณะ อ.คลองหลวง เจ้าอาวาสวัดสว่างภพ เพื่อทำการตรวจสอบในพฤติกรรม

ต่อมาพระหนูที ฯ ยอมรับสารภาพว่านำสัตว์ทั้งหมดที่มีคนมาถวาย ขับรถตระเวนไปตามสถานที่ต่าง ๆ ในหลาย ๆ จังหวัด ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกจับมาแล้วหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นในเขตกรุงเทพฯเขตจังหวัดสระแก้วอรัญประเทศซึ่งตนเคยนำสุนัขมาออกบิณฑบาตพร้อมกับวัวและแพ้แต่ทุกครั้งที่ถูกจับก็จะถูกเจ้าหน้าที่ยึดไปหมด แล้วตนก็ไม่เคยเป็นวาจาลาสิกขาบท  จนกระทั่งมาครั้งนี้ตนไม่มีหนทางไปและไม่รู้จะไปประกอบอาชีพอะไรเพราะอายุมากแล้วเมื่อได้สัตว์มาต้นก็จะห่มผ้าเหลืองแล้วก็ตะเวนไปตามที่ต่าง ๆ โดยได้นำม้า ชื่อ"จิ๋ว" ที่มีความเชื่องและหมู ชื่อ"จู๊ด" มาต่อเวรดึกบิณฑบาตด้วย แล้วเมื่อตนทำไม่ดีครั้งนี้ ก็ขอยอมสึก แต่โดยดี ทางเจ้าคณะอำเภอจึงได้ให้ทำการลาสิกขาบทและเป็นวาจา พร้อมกับนำชุดขาวมาให้สวมใส่ ก่อนที่ จะได้มอบตัวให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามความผิดพ. รบจราจรส่วนทางด้านสัตว์ทั้ง 2 ตัวทางปศุสัตว์ อ.คลองหลวง ได้ยึดไว้ตรวจสอบต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในสังคมออนไลน์ เคยมีการโพสต์ภาพ พระหนูที สุตธัมโมกับ*สมหวัง" สุนัขแสนรู้ที่ช่วยพระภิกษุลากรถเข็นบิณฑบาตทุกเช้า ถูกคนขับรถบรรทุกสิบล้อขโมยหายไป วอนให้ช่วยกันสอดส่องตามหา เจ้าสมหวัง เป็นสุนัขแสนรู้ที่ช่วยลากรถล้อเลื่อนใส่ของที่ได้รับจากการบิณฑบาต เดินนำหน้าพระสงฆ์รูปหนึ่ง จนเป็นที่เอ็นดูของชาวบ้านที่พบเห็น


ภาพ/ข่าว  สมเกียรติ ทรัพย์เฉลิม

กรุงเทพฯ - มูลนิธิมาดามแป้ง รุกฉีดฆ่าเชื้อโควิด ช่วยวิกฤตบ่อนไก่ด่วน หลังพบผู้ติดเชื้อสูง

มูลนิธิมาดามแป้ง ทำงานเชิงรุกรุดลงพื้นที่ชุมชนบ่อนไก่พัฒนา เขตปทุมวัน อาสาฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 ทันทีหลังพบผู้ติดเชื้อสูงจากการตรวจเชิงรุกต่อเนื่อง

วันที่ 7 พฤษภาคม 2564 มูลนิธิมาดามแป้ง โดย มาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ ประธานกรรมการมูลนิธิ และ ซีอีโอ เมืองไทยประกันภัย ซึ่งแม้จะอยู่ในช่วงกักตัว 14 วัน ก็ส่งอาสากล้าใหม่ของมูลนิธิฯ ลุยงานสู้โควิด-19 แบบต่อเนื่องทุกวัน

โดยนอกจากการช่วยชาวชุมชนคลองเตย ขณะนี้ได้ขยายความช่วยเหลือไปยังชุมชนบ่อนไก่พัฒนา เขตปทุมวัน หลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตจากการพบผู้ติดเชื้อในชุมชน 2 วันที่ผ่านมาเกือบ 200 คน ยังไม่รวมกับผู้มีความเสี่ยงสูงต้องกักตัวในบ้านอีกด้วย ด้วยลักษณะชุมชนที่มีความหนาแน่น แออัดคล้ายกับชุมชนคลองเตย

โดยมูลนิธิมาดามแป้ง ได้ร่วมมือกับผู้นำชุมชนเริ่มเข้าฉีดพ่นทันทีหลังได้รับการประสานขอความช่วยเหลือ ซึ่งวางแผนดำเนินการในทุกสัปดาห์เช่นเดียวกับในพื้นที่คลองเตย จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะดีขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจ คลายความวิตกกังวลให้กับประชาชนในพื้นที่สีแดง

นอกจากนี้ ครัวมาดาม ยังได้ให้ความช่วยเหลือด้านวัตถุดิบประกอบอาหารแก่ทีมงานฐานเทพวารินทร์ ซึ่งเป็นอาสาสมัครของชุมชนบ่อนไก่พัฒนาอีกด้วย

สุโขทัย - น่าชื่นชมเด็กชายอายุ 11 ปี วาดภาพบนถุงผ้าขายหารายได้ช่วงปิดเทอม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีเด็กชายอายุ 11 ปี ใช้เวลาว่างช่วงปิดเทอมให้เป็นประโยชน์ ใช้ปากกาเขียนผ้าวาดรูปการ์ตูนลงบนกระเป๋าผ้าดิบ ลงขายบนอินเตอร์เน็ต สร้างรายได้ช่วยเหลือครอบครัวในช่วงปิดเทอม จึงเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 140/2 ม.3 ต.เมืองเก่า อ.เมืองสุโขทัย ได้พบ ด.ช.วัณณุวรรน์ (น้องเนส) เชื้อบัว อายุ 11 ปี เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลสุโขทัย กำลังวาดรูปลงบนกระเป๋าผ้าดิบด้วยความตั้งใจ

ด.ช.วัณณุวรรน์ (น้องเนส) กล่าวว่าช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมอยากมีรายได้พิเศษเพื่อจะแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของพ่อแม่ซึ่งตนเองมีความสามรถวาดรูปจึงได้ลองลงมือวาดรูปบนกระเป๋าผ้าโดยเริ่มจากการใช้ดินสอวาดเป็นแบบก่อนแล้วค่อยนำปากกาเขียนผ้าลงลายอีกครั้งหนึ่งเพื่อความคมชัดสวยงาม โดยลวดลายต่างๆนั้นส่วนใหญ่จะเป็นลายที่ลูกค้าสั่งมาและคิดค้นเขียนเอง แต่ละชิ้นนั้นจะใช้เวลาวาดประมาณชิ้นละ 30 นาที ทั้งนี้ตนมีความภาคภูมิใจที่สามารถหาเงินได้ด้วยตนเอง และยังสามารถช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้ด้วย

นางสุวิมล ยิ้มพิน อายุ 35 ปี แม่ของ ด.ช.วัณณุวรรน์ (น้องเนส) กล่าวว่า น้องเนสเป็นเด็กที่ชอบวาดรูป เห็นผลงานแล้วน่าจะนำมาจำหน่ายได้ จึงได้ซื้อกระเป๋าผ้าดิบมาให้ลองเขียนดู แล้วจึงลองขายกับคนใกล้ตัวในราคาชิ้น 99 บาท พอขายครั้งแรกได้เงินมาน้องก็รู้สึกดีใจ จึงได้ลงทุนซื้อกระเป๋าผ้าและเริ่มเขียนลายแบบต่างๆ ลงขายบนเฟสบุ๊คเพจงานฝีมือต่างๆ และมีลูกค้าสนใจจำนวนมาก สำหรับลูกค้าก็จะเป็นบุคคลทั่วไป และบุคคลที่ต้องการช่วยเด็กที่มีความตั้งใจที่จะใช้เวลาว่างเป็นประโยชน์ สำหรับใครที่สนใจอยากจะอุดหนุนสินค้ากระเป๋าผ้าน้องเนส ติดต่อได้ที่ เบอร์โทร 0877075960


ภาพ/ข่าว  พงศ์เทพ สาคร สุโขทัย

สระบุรี - ประธานผู้บริหาร"สระบุรีวณิชชากร กรุ๊ป" มอบทุนทรัพย์สนับสนุนซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ และสร้างอาคาร ICU ให้กับโรงพยาบาลสระบุรีและโรงพยาบาลพระพุทธบาท มูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท

วันที่ 6 พ.ค.64 เวลา 10.30 น. ณ อาคารสำนักงาน หจก.สระบุรีวณิชชากร ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี ท่านดร.มงคล ศิริพัฒนกุล ประธานบริหาร สระบุรีวณิชชากร กรุ๊ป มอบทุนทรัพย์เพื่อสนับสนุนโครงการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์และสร้างอาคารและห้องแรงดันลบ (Negative Pressure Room) ICU​ คล้ายโรงพยาบาลสนาม​ ของโรงพยาบาลสระบุรี เพื่อให้สามารถใช้รองรับการรักษาผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัส​โค​โร​นา​2019​ ซึ่งแพร่กระจายได้ทางอากาศและผู้ป่วยโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงได้มอบเงินจำนวน 1,000,000 บาท เป็นจุดเริ่มต้นโดยมีนายแพทย์อนันต์ กมลเนตร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสระบุรี พร้อมคณะ เข้ารับมอบโดยมีนายธนาพล จีรเดชภัทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์ พุแค สระบุรี นายสุชนต์ สิงห์เหนี่ยว เลขาฯ ผอ.รพ.สระบุรี ร่วมเป็นเกียรติในพิธีมอบในครั้งนี้

จากนั้น ดร.มงคล ศิริพัฒนกุล ได้มอบทุนทรัพย์สนับสนุนเพื่อนำไปจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จะนำมาให้บริการแก่ประชาชนที่เจ็บป่วยที่มาใช้บริการของโรงพยาบาลพระพุทธบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 500,000 บาทมีนายแพทย์ธงชัย เขมรัตน์ตระกูล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระพุทธบาทพร้อมคณะ เป็นผู้แทนรับมอบมีนายธนาพล จีรเดชภัทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์ พุแค สระบุรี ร่วมมอบด้วย ดร.มงคล​ ศิริพัฒนกุล​ ได้กล่าวว่าเราต้องร่วมช่วยกันในยามที่บ้านเมืองมีวิกฤต​ ในสถานการณ์ปัจจุบัน อุปกรณ์ทางการแพทย์เช่นออกชิเจน​  อาคารICU ที่ขาดแคลนและมีความสำคัญมาก โดยทุกโรงพยาบาลจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่ครบครัน เช่น เครื่องช่วยหายใจ เพื่อใช้ช่วยชีวิตคนไข้ได้อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาและเปลี่ยนคนไข้จากกลุ่มสีแดง ที่มีอาการรุนแรง เพื่อไปยังกลุ่มสีเหลือง ซึ่งมีอาการไม่รุนแรง ให้ผ่านวิกฤตและปลอดภัย จนไปสู่กลุ่มสีเขียว ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อยรวมทั้งเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ขณะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและระหว่างการตรวจรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงต้องนึกถึงความสำคัญของการดูแลบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อจากการดูแลรักษาผู้ป่วยได้อีกด้วย/ดำรงค์ชื่นจินดารายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top