Tuesday, 13 May 2025
POLITICS

'โฆษกรัฐบาล' เผย รายงานภาวะเศรษฐกิจกันยายน 64  โชว์จัดเก็บภาษีขยายตัวที่ร้อยละ 14.8 ต่อปี ภาษี VAT ขยายตัวที่ร้อยละ 8.6 นทท. ต่างชาติเข้าประเทศกว่า 1.2 หมื่นคน  เชื่อเศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วในปี 2565

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย รายงานภาวะเศรษฐกิจเดือนกันยายน เปิดเผยตัวเลข สะท้อนภาพเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น อาทิ ด้านการท่องเที่ยว โดยในเดือน ก.ย. 64 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศจำนวน 12,237 คน ขยายตัวที่ร้อยละ 100.0 ต่อปี  ทั้งนี้ รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ (หลังหักจัดสรรให้ อปท.) ในเดือน ก.ย. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 14.8 ต่อปี ขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐบาลจัดเก็บได้ ณ ระดับราคาคงที่ในเดือน ก.ย. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 8.6 ต่อปี   ภาคการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในปี 2564 ขยายตัวที่ร้อยละ 16.3 ต่อปี ด้านภาคการเกษตร ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรมในเดือน ก.ย. 64 ขยายตัวที่ร้อยละ 4.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลังยังคาดการณ์ว่าปี 2565   เศรษฐกิจไทยในจะขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ในช่วงร้อยละ 4.0 ต่อปี โดยคาดว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 7 ล้านคน ในขณะที่การส่งออกสินค้าคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.8 ต่อปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ การจ้างงาน และการบริโภคภายในประเทศ 

“รองโฆษกรัฐบาล” ชี้ ดัชนีความเชื่อมั่นจชต.ขยับดี เร่ง การค้าชายแดนเปิดด่านเพิ่ม คู่เดินหน้าแผนบูรณาการสร้างสังคมพหุวัฒนธรรม

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์ภาคใต้ ว่า ความเชื่อมั่นจังหวัดชายแดนใต้ปรับตัวสูงขึ้น เช่นเดียวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยสำนักงานโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่าดัชนีความเชื่อมั่นจังหวัดชายแดนใต้ไตรมาสที่ 3 ปี 2564 จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ประมาณ 34,000 คน ในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล ความเชื่อมั่นอยู่ที่ระดับ 51.87 ปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ 50.90 จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจและด้านสังคมที่มีมากขึ้น

น.ส.รัชดา กล่าวว่า นายกฯยินดีกับผลการสำรวจดังกล่าว เนื่องจากผลการดำเนินนโยบายรัฐ ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ มุ่งเน้นทุกหน่วยงานบูรณาการการทำงานร่วมกัน ทั้งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)และ สำนักงานโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ตลอดจนหน่วยงานด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน เพื่อดำเนินงานตามแผนบูรณาการที่หนุนเสริมใน 2 มิติ คือ 1.การพัฒนาตามศักยภาพพื้นที่ ในระดับฐานราก 290 ตำบล 

มุ่งเน้นการแก้ปัญหาความยากจนตามฐานข้อมูล คือ ด้านสุขภาพ ,ความเป็นอยู่ ,การศึกษา,รายได้ และด้านการเข้าถึงบริการภาครัฐ เพื่อให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน 2.การพัฒนาเสริมสร้างความมั่นคง มุ่งเน้น 3 ด้าน คือ ด้านการสร้างความเข้มแข็งสังคมพหุวัฒนธรรม ส่งเสริมให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการดำเนินชีวิตตามหลักความเชื่อ ศาสนา การประกอบศาสนกิจ การจัดงานประเพณีวัฒนธรรมต่าง และสร้างความเป็นธรรมและความเท่าเทียม ด้านการเยียวยา มุ่งเน้นเยียวยาทั้งร่างกาย จิตใจ และความสูญเสียทางทรัพย์สินต่อผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบอย่างทั่วถึงเป็นธรรม และด้านการเสริมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนทั้งในและนอกพื้นที่ รวมถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ในการสร้างความร่วมมืออันดีจากองค์กรต่าง ๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ

'นิพนธ์' ย้ำ! ไม่ผิด ปม ป.ป.ช.ชี้มูล157 เดินหน้า ยื่นศาลปกครองเพิกถอนคำสั่ง บอก มีหลักฐานชัดเอกชนฮั้วประมูล มั่นใจ! ไม่กระทบคุณสมบัติรัฐมนตรี

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย กล่าวถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด มาตรา 157 คดีไม่เบิกจ่ายเงินค่ารถอเนกประสงค์ 2 คัน 50 ล้านบาทให้แก่เอกชนก่อนหน้านี้ และถูกยื่นคำร้องต่อองค์กรอิสระให้ตรวจสอบคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี ว่า ย้ำว่าเรื่องดังกล่าวขณะนี้เรื่องทางแพ่งอยู่ที่ศาลปกครองสูงสุด ยังไม่มีมีการตัดสินและคดีอาญาที่ป.ป.ช  ชี้มูลว่าผิดมาตรา 157 ละเว้นการจ่ายเงินให้เอกชน ที่ภายหลังทราบว่ามีการฮั้วกันนั้น ตอนนี้ยังอยู่ที่อัยการและยังไม่ได้ฟ้องคดีต่อศาล และทราบว่ายังมีการตั้งข้อไม่สมบูรณ์16หน้ากระดาษ มีข้อบกพร่องในสำนวนอยู่หลายประเด็นมาก และเมื่อคดีหลักยังไม่ตัดสิน คดีปลายจะไปได้อย่างไร 

นายนิพนธ์ กล่าวว่า ทั้งนี้ตนจึงต้องไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางให้ช่วยถอนคำสั่ง เพราะว่าไม่ได้มีการกระทำความผิดใดๆ และการที่ไม่เซ็นก็เป็นการรักษาผลประโยชน์ด้านงบประมาณของจังหวัด ซึ่งจนถึงวันนี้เงิน 51 ล้าน ยังอยู่ที่ อบจ. สงขลา ยังไม่มีการจ่ายเงินสักบาท ขณะเดียวกัน สภ.เมืองสงขลามีคำสั่งฟ้องและส่งฟ้องมาที่กองบังคับการปราบปราม ขณะนี้กองปราบฯ พิจารณาสำนวนและยืนยันสั่งฟ้องบริษัทเอกชนและพวกแล้ว

เมื่อถามว่า ในเมื่อตำรวจสั่งฟ้องว่าบริษัทเอกชนว่าฮั้วประมูลแล้ว แต่ป.ป.ช.กลับชี้มูลความผิดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ นายนิพนธ์ กล่าวว่า"อันนี้แหละที่เป็นเหตุให้ไปฟ้องศาลปกครองกลางให้เพิกถอนคำสั่ง ด้วยเหตุผลที่ผมไม่ได้ทำผิด และลงโทษทางวินัยผมโดยไม่ตั้งคณะกรรมการและป.ป.ช.ไม่ได้ชี้ผมว่าทุจริต ดังนั้นการจะลงโทษทางวินัยก็ต้องตั้งกรรมการมาสอบผมก่อน นอกจากนี้ ตามกฎหมาย อบจ.ถ้าจะลงโทษผม ต้องลงโทษภายใน2ปีนับจากวันที่ผมครบวาระ ผมเป็นนายกอบจ. ปี56 ครบวาระปี 60 ถ้าจะลงโทษผมก็ต้องภายในปี62 แต่นี่มาลงโทษปี64  ด้วยเหตุทั้งหมดนี้ ผมจึงต้องฟ้องศาลปกครองกลางให้เพิกถอนคำสี่งนี้เพราะเป็นคำสั่งโดยมิชอบ"

“นายก” เร่ง ช่วยปชช.ขยายเวลา พักหนี้กทบ.ออกไปอีก 1 ปี ชี้ สมาชิกเกือบ 14 ล้านคน คลายภาระการเงิน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม มอบนโยบายให้ทุกกลไกของรัฐบาล เร่งช่วยบรรเทาความเดือนประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ(กทบ.) มีมติให้พักชำระหนี้ หรือลดภาระหนี้ เงินกองทุนฯให้กับสมาชิกที่มีความเดือดร้อนตามความเหมาะสม โดยพักชำระเงินต้นในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี  เพื่อผ่อนคลายภาระการชำระหนี้ที่มีต่อกองทุนฯบรรเทาความเดือดร้อน ลดหนี้นอกระบบ เพราะสมาชิกฯ สามารถนำเงินที่เหลือจากการส่งกองทุนฯ ไปเป็นทุนประกอบอาชีพ สร้างรายได้ในช่วงการแพร่ระบาด โดยได้มีหนังสือแจ้งไปยังคณะกรรมการกองทุนฯระดับจังหวัดตั้งแต่วันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้รับทราบและดำเนินงานตามมติต่อไป

นายธนกร กล่าวว่า สมาชิกกองทุนฯที่อยู่ในข่ายได้รับการพิจารณาชำระหนี้ ควรสมัครใจเข้าร่วมโครงการ มีประวัติชำระหนี้ดีและต้องการเข้าร่วมโครงการเพื่อลดภาระทางการเงินที่จะต้องชำระเงินต้นกับกองทุนหมู่บ้านหรือกองทุนชุมชนเมือง แต่ในกรณีที่มีประวัติผิดชำระหนี้ สามารถเข้าร่วมโครงการได้ หากปรากฏว่ามีเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดโดยสุจริต คณะกรรมการกองทุนฯจะมีอำนาจพิจารณาการเข้าร่วมโครงการเป็นรายบุคคล  โดยอาจพิจารณาจากผลประกอบอาชีพของสมาชิก สภาพทางเศรษฐกิจหรือรายได้อื่นของสมาชิกและครอบครัว การค้ำประกัน รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้คืน ของสมาชิกแต่ละราย โดยเป็นการพักชำระหนี้ ควรให้พักชำระหนี้เงินต้นในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี ให้ส่งเฉพาะดอกเพื่อให้กองทุนสามารถนำรายได้จากดอกเบี้ยมาใช้ในบริหารจัดการกองทุนรวมถึงสวัสดิการให้สมาชิกรวมถึงประชาชนในหมู่บ้านและชุมชนต่อไป เมื่อเข้าร่วมโครงการดังกล่าว สมาชิกจะต้องจัดทำแผนการออมเงินและแผนในการฟื้นฟูศักยภาพการประกอบอาชีพเสริม เช่น การเข้าร่วมโครงการกองทุนต้นไม่ร่วมพัฒนา การปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต การพัฒนาศักยภาพการประกอบอาชีพ ด้วย

‘เสกสกล’ ฟาด ‘ทักษิณ’ เผยสันดานที่แท้จริงชอบเล่นละครลิงตบตาประชาชน ซัดระวังลูกหลานจะไม่มีแผ่นดินอยู่เหมือนตัวเอง

4 พฤศจิกายน นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี ที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีคดีอยู่ต่างประเทศ ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก ว่า  2-3 วันนี้ได้ฟังดราม่าเกี่ยวกับเรื่องมาตรา 112 จากทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในการที่จะแก้ไขหรือยกเลิก ผมขอแสดงความคิดเห็นในฐานะที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีมา และผ่านการปรึกษาในเรื่องมาตรา 112 มาหลายครั้ง รวมถึงตอนท้าย นายทักษิณ ยังได้บอกอีกว่า ก่อนที่จะบอกว่ายกเลิกมาตรา 112 เพราะอารมณ์โกรธ จากอารมณ์โกรธ หรือบางคนก็ต้องการจะยกเลิกโดยไม่มีเหตุผล หรือไม่ยกเลิกมาตรา 112 ไม่เอาเด็ดขาด ซึ่งแน่นอนมันมี Yes and No แต่ขณะเดียวกันนั้น การพูดคุยกันน่าจะดีกว่า และการจัดระเบียบให้เป็นระเบียบเสียจะดีกว่า วันนี้บ้านเมืองเหมือนกับอยู่ในภาวะที่ไม่มีการจัดการ ไม่มีการบริหาร คงเลือกใช้แต่ Law and Order ซึ่งมันเป็นการขัดหลักที่จะให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคีไม่แตกแยก 

นายเสกสกล ระบุว่า การออกมาเขียนเฟซบุ๊ก ของนายทักษิณครั้งนี้ ยิ่งแสดงให้เห็นธาตุแท้ของนายทักษิณว่า เป็นคนสับปลับ เชื่อถือไม่ได้ เพราะ หลังจากที่นายชัยเกษม นิติสิริ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย ได้ออกแถลงการณ์ ในการที่จะนำเอาเรื่องการแก้ไข กฎหมายอาญามาตรา 112 และ มาตรา 116 เข้าสู่สภา  ตามสิ่งที่บรรดาม็อบ 3 กีบ เรียกร้องมาโดยตลอดนั้น ต้องถามกลับไปยังนายทักษิณว่า นายชัยเกษม คิดเอง ทำเองอย่างนั้นหรือ ซึ่งไม่มีทางที่นายชัยเกษม จะกล้าทำอย่างนั้น เพราะทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าพรรคเพื่อไทย ถูกกำกับ โดยนายทักษิณ มาโดยตลอดมิใช่หรือ?

ทูตสิงคโปร์เข้าพบ "กรณ์" หารือการพัฒนาระบบราชการด้วยเทคโนโลยี พร้อมชิมข้าวมันไก่สูตรไทย 

กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ให้การต้อนรับทูตสิงคโปร์ นายเควิน ฉ็อก ที่เดินทางมาเยี่ยมที่พรรคกล้า ถนนรัชดา เพื่อแลกเปลี่ยนหารือเรื่องการพัฒนาระบบราชการด้วยเทคโนโลยี (Govtech) 

โดยหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวภายหลังการหารือว่า เราได้ความรู้มากมาย โดยเฉพาะจากการทดลองใช้ Digital IC หรือบัตรประจำตัวดิจิตอล ซึ่งเพิ่งมีการเริ่มใช้ที่สิงคโปร์เมื่อต้นเดือนนี้ พรรคกล้ามองว่าการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในระบบราชการเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดเรื่องหนึ่งในการพัฒนาประเทศไทยเรา

ผู้สื่อข่าวรายงาน การเข้าพบในครั้งนี้ ทางพรรคกล้าโดยเชฟเอ ได้ทำข้าวมันไก่พร้อมน้ำจิ้มแบบไทยให้ท่านทูตได้ลองชิม ซึ่งเป็นการดัดแปลงสูตรไหหลำของสิงคโปร์ตามรสนิยมแต้จิ๋วของคนจีนส่วนใหญ่ในไทย  และภรรยา ของคุณกรณ์ ก็ได้ทำน้ำจิ้มสูตรของที่บ้านมาสมทบด้วย ซึ่งคุณกรณ์ได้ย้อนความให้ฟังว่า เวลาใครไปสิงคโปร์ ก็จะต้องทานข้าวมันไก่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็น Boon Tong Kee และสมัยตนเด็กๆ พ่อแม่จะพาไปทานที่คาเฟ่ในโรงแรมแมนดาริน

'เสี่ยหนู'ยัน 'สภาล่ม' ไม่เกี่ยว 'พรรคภูมิใจไทย'

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีที่การเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันแรก แล้วสภาฯ ล่มทันที พรรคร่วมรัฐบาลต้องกำชับอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ ว่า ไม่ใช่พรรคภท. แต่คุยกันอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า พรรค ภท. อยู่ครบหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า "อยู่ๆ พรรคภท. อยู่กันเกือบครบ"

‘ภูมิใจไทย’ ดัน นโยบายกัญชา สุดตัว ยกระดับจากสิ่งผิดกม. ให้เป็นพืชเศรษฐกิจ

ถึงจะโดนเรื่องโควิด-19 กลบ จนเรื่องกัญชา ต้องหายเงียบ แต่ในความเงียบ กลับมีความเคลื่อนไหว ที่สะท้อนความคืบหน้าในนโยบายกัญชา ซึ่งเป็นเดิมพันสำคัญของพรรค “ภูมิใจไทย”

รู้หรือไม่ ??? จากในอดีตที่กัญชา มีสถานะเป็น “สิ่งเสพติด” หากแม้นมีการครอบครอง ไปจนถึงนำมาใช้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดล้วน “ผิดกฎหมาย” เป็นผู้ร้ายตลอดกาล ปัจจุบัน ประเทศไทยคลายล็อกให้สามารถปลูกกัญชาได้อย่างถูกกฎหมายแล้ว กัญชากำลังค่อยๆ เปลี่ยนบทบาทให้กลายเป็น “พระเอก” มากยิ่งขึ้น จนไทยได้ชื่อว่ามีความก้าวหน้าในเรื่องการนำกัญชามาใช้ ที่ก้าวหน้าที่สุดในอาเซียน

รู้หรือไม่ ? วันนี้ ประชาชนสามารถเข้าถึงการปลูกกัญชาได้อย่างถูกกฎหมายแล้วกว่า 1.6 ล้านตารางเมตร

รู้หรือไม่ ? ในปี 2564 เพียงปีเดียวสินค้าที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม มีมูลค่าในตลาดสูงถึงกว่า 7 พันล้านบาท

รู้หรือไม่ ? ประเทศไทย มีคลินิกกัญชาแล้วใน 760 โรงพยาบาลทั่วประเทศ

รู้หรือไม่ ? มีประชาชนกว่า 7.6 หมื่นคน ใช้บริการคลินิกกัญชา เป็นทางออกในการรักษาโรค

เหล่านี้คือปรากฏการณ์ ที่เกิดขึ้นแล้ว ในประเทศไทย และเป็นเครื่องยืนยันความคืบหน้าของนโยบายกัญชาเสรี

เป็นผลจากการทุ่มกาย เทพลัง ตลอด 2 ปีเศษ ที่พรรคภูมิใจไทย “ต้อง” ผลักดันนโยบายกัญชาทางการแพทย์ให้ไปข้างหน้า เนื่องเพราะเป็นนโยบายสำคัญที่ทำให้พรรคโกยคะแนนเลือกตั้ง กระทั่งได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล และหัวหน้าพรรคอย่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อผลักดันให้นโยบาย เกิดความเป็นรูปธรรม ตามแผนบันได 3 ขั้น เริ่มจากแก้กฎหมาย ให้กลายเป็นพืชสมุนไพร ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ไปจนถึงเป็นพืชเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้องประชาชน

ซึ่งการก้าวขึ้นบันไดแต่ละขั้นนั้น ไม่ใช่เรื่องหมู ต้องฝ่าฟัน “ความเชื่อ” จากสังคมไทย จำนวนไม่น้อย ที่ยังปฏิเสธกัญชา ขณะที่กฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ ก็เป็นดั่งกำแพงที่ยากจะปีนข้าม มีเพียงการค่อยแก้กฎหมายทีละชั้นอย่างละเอียดรอบคอบที่สุด ถึงจะสามารถคลายล็อกกัญชาได้

ข้อเท็จจริงคือ ประเทศไทยอยู่ภายใต้อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 แก้ไขโดยพิธีสาร ค.ศ. 1972 และอนุสัญญาว่าด้วยวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1971 ซึ่งอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับนี้ยินยอมให้ใช้กัญชาทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ได้ แต่รัฐบาลต้องคำนึงถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพและการป้องกันการรั่วไหลไปยังตลาดมืด ซึ่งรัฐบาลต้องมีการข้อกำหนดที่ชัดเจนในการอนุญาตให้ผลิตปลูกหรือใช้กัญชาทางการแพทย์ที่จะต้องดำเนินการโดยมีระบบใบอนุญาต (Licensing System) เพื่อให้มั่นใจว่าตลาดกัญชาของรัฐนั้น ๆ จะไม่เกินความต้องการใช้ทางการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์”

โดยมีคณะกรรมการการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศจะเป็นหน่วยงานที่เป็นกลไกกำกับดูแลการปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ ประเทศภาคีสมาชิกจะต้องรายงานให้ทราบเกี่ยวกับการดำเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทที่ผิดกฎหมาย

นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ประเทศไทย ต้องนำเรื่อง “การแพทย์” มานำร่องเรื่องกัญชา เป็นไฟต์บังคับ ที่นายอนุทิน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขทราบดี ซึ่งนายอนุทิน ค่อย ๆ ขยับแก้กฎหมายไปทีละขยัก ผ่านอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เริ่มจากวันที่ 6 สิงหาคม ปี 2562 ได้ ลงนามระเบียบกระทรวงสาธารณสุข รับรองสถานะหมอพื้นบ้าน เปิดช่องให้หมอพื้นบ้านใช้กัญชา เป็นส่วนผสมในตำรับยา 

ขณะเดียวกัน ยังได้ผลักดันให้ “วิสาหกิจชุมชน” ทั่วประเทศ ปลูกกัญชา สำหรับส่งไปยังโรงพยาบาลสำหรับใช้ผลิตยา เพื่อเตรียมใช้ในคลินิกกัญชา ที่จะเกิดขึ้นในปีเดียวกัน พร้อมไปกับการปลดล็อกให้สารสกัดจากกัญชา ทั้ง THC และ CBD ไม่เป็นยาเสพติด ตามเงื่อนไขที่กำหนด เหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อให้สามารถนำกัญชาไปในทางการแพทย์ได้ โดยมีเงื่อนไขน้อยที่สุด ขณะที่แหล่งผลิต ที่เกิดขึ้นจะกลายมาเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบในเชิงเศรษฐกิจด้วย

ซึ่งการเปลี่ยนร่างกัญชาจากพืชสมุนไพร สู่พืชเศรษฐกิจนั้น ต้องย้อนกลับไป ในวันที่ นายอนุทิน นำกระทรวงสาธารณสุขออกประกาศกระทรวง เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 (ฉบับที่ 2) เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2563 ให้บางส่วนของต้นกัญชาและกัญชงไม่จัดเป็นยาเสพติด

ส่วนต่าง ๆ ของกัญชาที่ไม่จัดเป็นยาเสพติด ได้แก่ เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่งก้าน ราก ใบ ซึ่งไม่มียอดหรือช่อดอกติดมาด้วย สารสกัด CBD ที่มี THC ไม่เกินร้อยละ 0.2% และกากที่เหลือจากการสกัดกัญชา ซึ่งต้องมี THC ไม่เกิน 0.2%

ประชาชน เอกชน สามารถใช้ประโยชน์จากส่วนเหล่านี้ได้ แต่มีข้อกำหนดว่าต้องได้มาจากสถานที่ปลูกหรือผลิตในประเทศ ซึ่งได้รับอนุญาตแล้วเท่านั้น

เมื่อสามารถนำส่วนต่าง ๆ ของกัญชามาใช้ประโยชน์ได้ทั่วไปแล้ว จึงเห็นร้านค้าจำนวนมาก นำวัตถุดิบจากกัญชามาใช้เพิ่มมูลค่าในผลิตภัณฑ์ ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องสำอาง สร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการเป็นจำนวนมหาศาล จนกัญชาได้ชื่อว่าเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับคนไทยจำนวนไม่น้อย จากที่กัญชาต้องหลบเร้นอยู่ในมุมมืด การแก้กฎหมายที่ผ่านมา ทำให้เราได้มีโอกาสทานบราวนี่กัญชา ชาที่ทำมาจากกัญชา ข้าวผัดกัญชา พิซซ่ากัญชา ไปจนถึงใช้เครื่องสำอาง ที่มามีส่วนผสมของกัญชาประกอบอยู่

'เท่าพิภพ' ซัด 'อัศวิน' สั่งเทเหล้าทิ้งหลัง 3 ทุ่ม จวก คิดได้แค่นี้ ไม่เหมาะเป็นผู้ว่า กทม.

จากกรณีที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ให้สัมภาษณ์ ยืนยันว่า การดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารจะต้องเป็นร้านที่ได้มาตรฐาน SHA และขายได้ถึงเวลา 21.00 น. เท่านั้น จะไม่มีการขยายเวลา หากดื่มไม่หมดก็เททิ้งไป

นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า หลังจากได้เห็นคำสัมภาษณ์ของผู้ว่าฯ อัศวินแล้วรู้สึกสลดใจและเห็นใจคนกลางคืนเป็นอย่างยิ่ง ที่มีผู้ว่าฯ ซึ่งไม่สนใจและไม่เข้าใจธุรกิจกลางคืนหรือคนกลางคืนแม้แต่นิดเดียว สาเหตุอาจเพราะการไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เป็นตำรวจมาทั้งชีวิตจึงเคยชินแต่การใช้คำสั่ง ถึงเวลาก็มีเงินเดือนมา ดีไม่ดีปีใหม่ สงกรานต์ ลอยกระทงก็ไม่รู้ว่ามีกระเช้ามาให้ด้วยหรือเปล่า ชินกับการรับ กระทั่งตำแหน่งผู้ว่าฯ ก็รับมาจากการแต่งตั้งของผู้มีอำนาจ ไม่ได้มาจากประชาชน จึงไม่เข้าใจปัญหาของคนทำมาหากินเลย

"การเปิดร้านแต่ละวันแต่ละคืน เจ้าของร้านและลูกจ้างต้องมีภาระมากแค่ไหนท่านรู้หรือไม่ สมัยผมทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ในร้านอาหารเวลาเริ่มงานคือ 16.00 น. - 01.00 น. คือ 9 ชั่วโมง ได้ค่าจ้างวันละ 500 บาท ลองคิดดูถ้าเลิก 21.00 น. เวลาทำงานจะเหลือเพียง 5 ชั่วโมง รายได้ก็ต้องลดตามชั่วโมงงาน แต่ค่ารถมาทำงานยังเท่าเดิม มันคุ้มกับเขาหรือไม่ ยังไม่นับธุรกิจกลางคืนที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดก็ขาดรายได้มานาน

ในมุมของเจ้าของร้านยิ่งแล้วใหญ่ หากเปิดร้าน 16.00 น. กว่าจะมีลูกค้าเข้าจริงคือหลังเลิกงานก็ประมาณ 18.30 เป็นต้นไป แต่ประมาณ 2 ทุ่มก็ต้องบอกลูกค้าว่าจะสั่งเครื่องดื่มเป็นรอบสุดท้ายไหม ต้องหยุดก่อนสามทุ่ม ตกลงได้ขายจริงก็แค่ราว 1 ชั่วโมงครึ่ง เปิดแบบนี้ก็เหมือนไม่เปิด เป็นนโยบายที่ไม่เข้าใจคนทำธุรกิจว่าวันสิ้นเดือนคือที่ตัดสินว่าตัวเขาและธุรกิจจะสิ้นใจหรือไม่"

“สงคราม” หวั่นคลัสเตอร์โรงเรียนหลังเปิดเทอมทำคุมเชื้อโควิดยาก อัดรัฐเมินป้องชีวิตเด็กเปิดเรียนบนความเสี่ยงไร้ชุดตรวจATKให้โรงเรียน  

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์  เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลกำหนดให้เปิดเทอมใหม่ ให้นักเรียนเรียนภายในห้องเรียนพร้อมกันทั่วประเทศ เป็นนโยบายที่น่าเป็นห่วงมากเพราะมีเด็กนักเรียนจำนวนมาก  ไปอยู่ในที่เดียวกันการป้องกันการแพร่เชื้อโควิด โรงเรียนจะมีความพร้อมมากแค่ไหน 

ในส่วนของการจัดหาชุดตรวจ ATK ให้กับด็กนักเรียนนั้น รัฐบาลเลือกที่จะโยนภาระให้เขตพื้นที่การศึกษา หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดหาในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งเป็นการไปเบียดบังงบประมาณของท้องถิ่น ทั้งๆที่รัฐบาลมีงบประมาณมหาศาล แต่กลับไม่นำออกมาปกป้องชีวิตเยาวชน  นอกจากนี้งบประมาณที่องค์กรปกครองท้องถิ่นเตรียมไว้ใช้ในงานอื่น แต่รัฐยังคับให้หน่วยงานเหล่านั้น นำงบประมาณทีมีอยู่ไปจัดหาชุดตรวจATK ให้กับโรงเรียนในพื้นที่ ซึ่งจะมีการการตรวจทุกๆสัปดาห์ ทั้งๆที่ผู้ปกปครองอยากให้มีการตรวจทุกวันแต่ติดที่ไม่มีงบประมาณมากพอ

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้บางพื้นที่มีการจัดชุดตรวจบางพื้นที่ให้ แต่บางพื้นที่ไม่มีการตรวจ อ้างว่ามีคนติดเชื้อน้อย ก็เลยไม่ตรวจ ซึ่งผลการดำเนินการของรัฐบาลมันย้อนแย้งกันและรัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับสุขๆอนามัยและความปลอดภัยของเด็กนักเรียน ทั้งๆที่เด็กเหล่านี้มีอัตราเสี่ยงสูงมาก ดังนั้นการเปิดเรียนในโรงเรียนคือการเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงมาก และจะกลายเป็นคสัสเตอร์ใหญ่ในอนาคต หากไม่มีการดำเนินการที่มีแนวทางที่ชัดเจน

‘อ.แพท’ ยกนิ้ว ‘บิ๊กตู่’ พูดได้ดีบนเวทีโลก ชี้! ผู้นำ ‘อ่านสคริปต์ - ใช้ภาษาถิ่น’ ไม่ใช่เรื่องแปลก

คุณพัฒนพงศ์ (แพท) แสงธรรม อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ (ภาควิชาภาษาอังกฤษ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีคนวิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โชว์วิสัยทัศน์บนเวที COP 26 ที่ผ่านมา ว่า เบื่อกระบือ!! 
อันนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง เป็นความรู้เรื่อง public speaking

การพูดในระดับ keynote ปาถกฐา หรือสุนทรพจน์ คือ การพูดอย่างเป็นทางการ ไม่มีหลักการว่าต้องพูดปากเปล่า ย้ำว่า "ไม่มี" เพราะความแม่นยำถูกต้องในเนื้อหา ระดับภาษาเหมาะสม และมีวัจนลีลา จำเป็นต้องมีสคริปต์ที่ร่างมาเป็นอย่างดี การอ่านจากสคริปต์ จึงเป็นที่ยอมรับและปฏิบัติกันทั่วไป

ถ้าไม่ก้มหน้าอ่านจากสคริปต์ สามารถอ่านได้จาก teleprompter ซึ่งเป็นจอใส ที่จัดวางไว้ตรงหน้าโพเดียม หรือตรงเล็นส์กล้อง หรือ ด้านซ้ายและขวา เช่นในงาน COP26

ผู้พูดที่อ่าน teleprompter ไม่ถนัด ก็เลือกอ่านจากสคริปต์ตรงหน้า ใช้มือเปิดสคริปต์อ่านไปตามปกติ Boris Johnson นายกฯ อังกฤษ ก็ก้มหน้าอ่าน Alok Sharma ประธานงาน COP26 ก็ก้มหน้าอ่าน เลขาธิการสหประชาชาติก็ก้มหน้าอ่าน Patricia Espinosa เลขานุการบริหารของ UN ก็ก้มหน้าอ่าน และอื่น ๆ อีกหลายท่าน

ผู้ที่ใช้ teleprompter คล่อง จะมองด้านซ้ายที ขวาที เพราะมีจออ่านทั้งสองฟากของโพเดียม ไม่หันหน้าไปมุมอื่น มองเฉพาะจุดที่มีจอ เช่น ปธน. ไบเดน และเซอร์ ริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์

‘ทักษิณ’ ชี้ ‘ม.112’ ไม่เป็นปัญหา แนะคนเห็นต่างพูดคุยกัน ยุติดราม่า

เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 64 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thaksin Shinawatra ต่อกรณีการเสนอให้แก้ไขหรือยกเลิก กฎหมายอาญามาตรา 112 โดยระบุว่า

“2-3 วันนี้ได้ฟังดราม่าเกี่ยวกับเรื่องมาตรา 112 จากทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในการที่จะแก้ไขหรือยกเลิก ผมขอแสดงความคิดเห็นในฐานะที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีมา และผ่านการปรึกษาในเรื่องมาตรา 112 มาหลายครั้ง

ผมขอเล่าเป็นประสบการณ์ มาตรา 112 มีมานานตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ น่าจะประมาณปี 2500 ตัวกฎหมายเองไม่เคยเป็นปัญหา แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ มันเกิดจากการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่าบุคคลในกระบวนการยุติธรรมอาจจะเกิดจากความกลัวหรืออาจจะเกิดจากความอยากแสดงความจงรักภักดีโดยไม่ยึดหลักนิติธรรม แล้วเกิดการใช้อำนาจในทางที่ผิดหรือ Abuse of Power เพื่อหวังผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางรัฐบาล เพื่อหวังผลทางการเมือง เลยทำให้เกิดความไม่พอใจ และยิ่งใช้มากก็ยิ่งเกิดความไม่พอใจมาก ซึ่งในสมัยก่อน สนง.ตำรวจแห่งชาติ จะมีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องที่ร้องเรียนขึ้นมาว่าเป็นเรื่องของการจงใจที่จะละเมิดมาตรา 112 จริงหรือเปล่า และจำนวนคดีก็มีน้อย และทุกอย่างก็เป็นไปตามกระบวนการพิจารณาทางอาญา (Due Process of Law)

ฉะนั้นปัญหาก็น้อย แต่ช่วงนี้ปัญหาเยอะมาก ยิ่งใช้อีกฝ่ายหนึ่งก็มีความโกรธเคืองแล้วก็ไปโทษกันต่าง ๆ นานา ซึ่งผมเคยบอกแล้วว่า รัฐบาลน่าจะจับเข่าคุยกับกลุ่มเยาวชนที่เห็นต่างในทุกวันนี้ เราก็จะได้แนวทางที่อยู่ร่วมกันระหว่างคนในวัยที่ต่างกัน ถ้าจะเริ่มติดกระดุมใหม่ที่ติดผิดเม็ด ก็โดยการที่ปรับกระบวนการในการดำเนินคดีของ 112 เสียใหม่ ให้เหมือนในอดีตที่ทำอย่างเป็นระบบระเบียบ ไม่กลั่นแกล้ง ไม่หาเรื่อง แล้วก็ปล่อยผู้ถูกกล่าวหาให้ได้รับการประกันและใช้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาและดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญาไป และพูดคุยกับเด็ก ๆ จะได้เข้าใจตรงกัน เราจะอยู่ร่วมกันต้องมีกติกา กติกาอะไรที่มันยอมรับกันได้ทุกฝ่ายเป็นเรื่องสำคัญ

'อัษฎางค์' วิเคราะห์ปมยกเลิก ม.112 ยก 12 ข้อเท็จจริง หมดเวลาปั่นล้มล้างสถาบันฯ

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า 12 ข้อ ม.112 หมดเวลาบิดเบือน

หมดเวลาปั่นราษฎร์ล้มล้างสถาบันฯ ด้วยการเรียกร้องให้ยกเลิก ม.112 เพื่อจะหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย ของพรรคเพื่อดูไบและก้าวไม่ไปไหนไกล

• 1 มาตรา 112 เป็นเครื่องมือในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐ ไม่ใช่เครื่องมือในการกำจัดคู่ต่อสู้ทางการเมือง

• 2 กฎหมายคุ้มครองประมุขของรัฐนั้นไม่ได้มีเฉพาะประเทศไทย แต่มีใช้ในทุกประเทศ ทั้งที่ปกครองแบบราชอาณาจักรที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือปกครองแบบสาธารณรัฐ ที่มีประธานาธิบดี ก็ล้วนมีกฎหมายคุ้มครองประมุขของรัฐทั้งนั้น

• 3 โดยเฉพาะสถาบันพระมหาพระมหากษัตริย์ จะไม่สามารถไปดำเนินคดีกับใครได้ จึงต้องมีกฎหมายที่ไม่ให้ใครล่วงละเมิดสถาบันฯ

• 4 พระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง คือ พระองค์ท่านไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่นักการเมืองไปดึงท่านให้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ด้วยการให้ร้ายป้ายสี

• 5 ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทยเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ คนไทยหรือคนต่างด้าวไม่ว่ากระทำในหรือนอกราชอาณาจักรก็ต้องรับโทษ

• 6 จะยกเลิก ม.112 แล้วให้พระมหากษัตริย์ไปใช้กฎหมายหมิ่นประมาทเหมือนประชาชนทั่วไปไม่ได้ เนื่องจากพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ไม่ใช่บุคคลธรรมดา

“บิ๊กป้อม”  สั่งกรมประมงเร่งเยียวยาเรือประมงออกนอกระบบ เข้มข้นมุ่งความยั่งยืนแก้ปัญหา IUU อย่างเป็นระบบมากกว่าที่เป็นอยู่

พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติครั้งที่ 4 ณ ห้องประชุม 301 ทำเนียบรัฐบาล เพื่อติดตามขับเคลื่อนแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ( IUU ) และผลกระทบสภาพแวดล้อมทางทะเล 

ที่ประชุมรับทราบและติดตามขับเคลื่อนการแก้ปัญหาผลกระทบของการทำประมงต่อสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม และการแก้ปัญหานำเรือประมงออกนอกระบบ โดยเฉพาะการเยียวยา กลุ่มเรือประมงสีขาว (ไม่เคยทำผิดกฎหมาย ) จำนวน 75 ลำ วงเงินช่วยเหลือ  490.8 ล้านบาท 

รวมทั้งการดำเนินงานบังคับใช้กฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายโดยเฉพาะ มาตรการเร่งรัดการดำเนินคดีตามกฏหมายว่าด้วยการประมง และการอุดหนุนประมง ( Fisheries subsidies ) ภายใต้องค์การการค้าโลก ( WTO ) ซึ่งเป็นการให้ความช่วยเหลือทางการเงินโดยรัฐ แก่ผู้ประกอบการ ธุรกิจ หรือ กลุ่มอุตสาหกรรม กับกลุ่มที่ทำประมงถูกกฎหมาย โดยร่วมกันกำหนดท่าทีการเจรจาของไทยที่เหมาะสมกับการอุดหนุนประมงดังกล่าว ต่อจากนั้นได้เห็นชอบ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายและคณะอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขปัญหาการทำประมงและแรงงานในภาคประมง เพื่อติดตามเร่งรัดแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายรวมทั้งความเดือดร้อนของผู้ปกครองการประมงในทุกภาคส่วน

ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร ได้ย้ำนโยบายด้านการประมงของไทย มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนแก่ภาคการประมง ทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปภาคการประมงโดยมีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการประมงภายใต้แผนบริหารจัดการประมงทะเลไทย โดยไม่สนับสนุนและต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย 

พรรคพลังประชารัฐ ปรับแผนส่งผู้สมัครชิงผู้ว่ากทม. โยน 3 ชื่อ 'บิ๊กเนม' ให้ 'บิ๊กป้อม' ตัดสินใจ

‘บิ๊กป้อม’ เรียกก๊วน ‘ธรรมนัส -วิรัช’ ถกด่วนเคลียร์ปมกดดัน ‘บิ๊กแป๊ะ’ จนถอนตัวชิงผู้ว่าฯ กทม. เผยชงแผนใหม่ตื้อหาผู้สมัครในนามพรรคส่งลงสนามสู้กับ ‘ชัชชาติ’ พร้อมโยนตัวเลือกใหม่ 3 ชื่อบิ๊กเนม ‘พีระพันธุ์ - ดร.เอ้-ผู้ว่าฯ หมูป่า’ ให้หัวหน้าตัดสินใจ

3 พ.ย. 64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมา ภายหลังการประชุมพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งมี ส.ส. และสมาชิกหลายคนได้เดินทางกลับไปหมดแล้ว เช่นเดียวกับขบวนรถของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. ที่ได้ออกจากพรรคตั้งแต่เวลา 16.00 น. แต่หลังจากนั้นไม่นาน ปรากฏว่า ขบวนรถของ พล.อ.ประวิตร ได้กลับเข้ามาในพรรคอีกครั้ง พร้อมเรียกแกนนำ และ ส.ส. บางคน เข้าหารือ

สำหรับ ส.ส. ส่วนใหญ่ที่เข้าหารือเป็น ส.ส. ในกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และ เลขาธิการพรรค และ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค อาทิ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิพรรค, นายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร และรองเลขาธิการพรรค, นายสุชาติ อุตสาหะ ส.ส.เพชรบุรี, นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ ส.ส.นราธิวาส, นายบุญสิงห์ วรินทรรักษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรค, นายจิรเดช ศรีวิราช ส.ส.พะเยา, นายณัฏฐพล จรัสรพีพงษ์ ส.ส.สุรินทร์, นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม และ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง โดยใช้เวลาในการหารือกว่า 1 ชั่วโมง

ข่าวแจ้งว่า สำหรับประเด็นที่ได้มีการหารือครั้งนี้ ได้พูดถึงการถอนตัวไม่ลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ของพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา โดยมีการยืนยันกับ พล.อ.ประวิตร ว่า ไม่ได้มีการบีบหรือกดดัน พล.ต.อ.จักรทิพย์ แต่ได้มีการเสนอว่าสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ควรจะต้องส่งในนาม พปชร. เพราะ ส.ก. กับ ส.ส. ต้องเป็นเนื้อเดียวกัน ถือว่ามีบทบาทสำคัญในสนามเลือกตั้ง ส.ส. ด้วยเหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่มี ส.ก. ของพรรคเช่นเดียวกัน และถึงเวลาที่คัดสรรบุคคลลงแต่ละพื้นที่ได้แล้ว ส่วนผู้สมัคร ส.ก. 50 คน ในทีมของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ หลังจากที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ถอนตัวแล้ว ก็สามารถกลับมาร่วมงานกับ พปชร.ได้

อย่างไรก็ตามการส่ง ส.ก. ในนาม พปชร. ยังติดขัดข้อกฎหมายที่ห้ามมิให้ข้าราชการการเมือง หรือ ส.ส. ใช้ตำแหน่งหน้าที่ให้คุณให้โทษกับผู้สมัครหรือเลือกตั้งท้องถิ่น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top