Monday, 6 May 2024
POLITICS

“ปีย์ มาลากุล” ผู้เคยถูกกล่าวหาวางแผนล้มทักษิณ ปี 49 แชร์โพสต์หมอถึงนายกฯ อย่าเสียเวลายุบสภา เลือกตั้งใหม่ จะทำอะไรก็ทำเลย “ดร.นิว” บี้หนีแล้วใช่ไหม? ข่าวหลุด “ปิยบุตร” บินไปฝรั่งเศส

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “ปีย์ มาลากุล” แชร์โพสต์หมอถึงนายกฯ อย่าเสียเวลายุบสภา เลือกตั้งใหม่ ลั่นจะทำอะไรก็ทำเลย”

โดยเนื้อหาระบุว่า จากกรณี นายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการเครือแปซิฟิก ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ ที่นายกรัฐมนตรีกำลังเป็นเป้าโจมตีของฝ่ายตรงข้าม โดยระบุข้อความว่า ต้องขอบพระคุณ ที่คุณหมอส่งมาครับ อยาก post จริง ๆ ครับ ให้เพื่อน ๆ ลองอ่านดูครับ จากผม คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 83 ปี ทำใจร่ม ๆ น้าาา……

แต่คนไทยบางคน

ไม่ปิดก็อยากให้ปิด..

พอปิดก็บอกว่าจะไม่มีกิน..

พอแจกเงินก็บอกใช้เงินภาษีมั่ว..

พอไม่แจกก็บอกว่าจะเยียวยากันยังไง..

พอไม่หยุดสงกรานต์ ก็บอกว่า ถูกห้ามไม่ให้ไปเยี่ยมญาติ

พอให้เดินทางไปเยี่ยมญาติแต่ต้องกัก 14 วัน ก็โมโห

พอให้อยู่บ้านก็บอกไม่สะดวก ..

พอให้ออกมาได้ก็บอกเราต้องยอมเจ็บแต่จบ

พอไม่มียาก็บอกไม่รู้จักสต๊อกไว้

พอมียาก็บอกแค่นี้จะพอมั้ย

พอออกประกาศเยอะ ก็บอกไม่ชัดเจน สับสน

พอประกาศน้อยก็บอกตกประชาสัมพันธ์

พอตัวเลขคนติดน้อยก็บอกปิดบัง

พอตัวเลขเยอะก็บอกไร้ประสิทธิภาพล้มเหลว

พอจะทำแบบจีน ก็บอกเผด็จการ

พอจะทำแบบอังกฤษก็บอกว่าทำไมไม่ทำแบบจีน

พอมีหน้ากากบอกทำไมต้องใส่

พอบอกต้องใส่บอกไม่มี !!!

พอไม่ให้กักตุนอาหาร ก็อยากกักตุนเพราะกลัวขาดแคลน

พอไม่ห้ามกักตุนก็บอกส่งสัญญาณว่าเอาไม่อยู่เละแน่

สรุป…

#ไม่มีอะไรถูกใจคนไทยจริงๆ …เราติได้ทุกเรื่อง!!!

ประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้ยามประเทศชาติมีปัญหา รัฐบาลและฝ่ายค้านเขาสามัคคีกันร่วมมือแก้ปัญหาเพื่อให้ชาติรอดปลอดภัย แต่ประเทศไทยยามมีปัญหา…เราจะเห็นฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลรุมกันกระทืบรัฐบาลเสียเอง

เราจะเห็นพรรคงูเห่าที่เคยทรยศหักหลังทุกพรรคที่ตนเคยร่วมรัฐบาลกลับกลายสภาพเป็น, #งูเห่าตัวเดิมที่พร้อมจะแว้งฉกกัดรัฐบาลทุกเมื่อ แม้แต่พรรคเก่าแก่ ก็เช่นเดียวกัน ได้จังหวะนายกฯ ดวงตก คนในพรรคก็กระทืบซ้ำหยามหยันทันที #เศร้าใจครับกับระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรในหมู่นักการเมือง…

อย่าเสียเวลายุบสภาแล้วเลือกตั้งให้เปลืองงบประมาณเลยครับ (เพราะจะวนเวียนอยู่ในน้ำเน่าเดิม ๆ ไม่สิ้นสุด) ทำไงก็ทำเถอะครับ เอาเลย…!!!! ขอรับประกันว่าจะแก้ปัญหาโควิดได้ไวขึ้น และประเทศชาติสงบสุขแน่นอน!!!...

สำหรับ “ปีย์ มาลากุล” เคยถูกตั้งข้อสงสัยเมื่อปี 2549 ว่าเป็นคนวางแผนในการยึดอำนาจนายทักษิณ ชินวัตร โดยทักษิณออกมาพูดถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มี.ค. 49 ทักษิณ อยู่ระหว่างหนีโทษจำคุกอยู่ต่างประเทศได้กล่าวปราศรัยผ่านระบบวิดีโอลิงก์กับคนเสื้อแดงที่ จังหวัดเชียงใหม่ ว่า มีกระบวนการวางแผนยึดอำนาจเขาในปี 2549 โดยมีการประชุมวางแผนที่บ้านพักถนนสุขุมวิท ซึ่งทักษิณ อ้างว่า ได้ข้อมูลมาจาก พล.อ.พัลลภ

ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 49 ทักษิณ ปราศรัยผ่านระบบวิดีโอลิงก์กับคนเสื้อแดงอีกครั้งที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ระบุชื่อเจ้าของบ้านที่ถนนสุขุมวิทว่า คือ นายปีย์ มาลากุล โดยเชื่อมโยงขบวนการดังกล่าวไปถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งทักษิณ อ้างว่า เป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญที่ขัดขวางการทำงานของเขาตลอดในช่วงที่เป็นนายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) อ้างว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งก่อนการประชุมหารือกันที่บ้านสุขุมวิท ซึ่งมีตนกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายปีย์ มาลากุล นั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขกภายในบ้าน นายปีย์ ได้ถามตนว่า ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หายไปได้หรือไม่ ตนก็เลยตอบไปว่า ทำไม่ได้ เพราะมี รปภ.จำนวนมากคงจะต้องยิงกันเละจนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก แต่สามารถทำให้ตายได้ ทุกคนก็เงียบไม่พูดอะไร ขณะนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ นิ่งเงียบไม่พูดอะไร เพียงแต่นั่งเฉย ๆ ไม่ได้ออกความเห็นอะไร

พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า การหารือในการล้ม ทักษิณ เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น จะมาพูดเล่น ๆ ได้อย่างไร เพราะมีการกินข้าวหารือกันถึง 7 คน พูดกันว่า จะต้องเล่นทักษิณทางกฎหมาย โดยมีนักกฎหมายเข้ามาร่วมประชุมด้วยในเรื่องของ กกต. ซึ่งเมื่อ กกต. ล้มการเลือกตั้งไม่สำเร็จ ก็มีการพูดถึงการรัฐประหาร

ซึ่งการกล่าวหาของ พล.อ.พัลลภ และทักษิณ ทำให้นายปีย์ต้องออกมาปฏิเสธ เมื่อวันที่ 29 มี.ค. ว่า การเชิญเพื่อนและคนที่มีความสนิทสนมมารับประทานอาหารเย็นที่บ้านเป็นประจำอยู่ ก็เพื่อให้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง เพราะต้องการทันสถานการณ์ เนื่องจากมีอาชีพเป็นนักข่าว

ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสกับตุลาการศาลปกครองสูงสุด และผู้พิพากษาศาลฎีกา เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 49 เกี่ยวกับปัญหาวิกฤตของบ้านเมือง จึงได้เชิญนายอักขราทร ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ รวมทั้ง นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ (ปัจจุบันเป็นองคมนตรี) มารับประทานอาหารที่บ้านในวันที่ 6 พ.ค. 49 เพื่อคุยว่า จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอย่างไร ตามที่ทรงมีพระราชดำรัส จากนั้นได้โทรศัพท์ชวน พล.อ.สุรยุทธ์ พล.อ.พัลลภ และนายปราโมทย์ ซึ่งมีความสนิทสนมกันอยู่แล้ว

ยืนยันว่า ไม่มีการพูดเรื่องปฏิวัติ หรือพูดเรื่องตำแหน่ง ไม่มีทหารอยู่สักคนจะพูดเรื่องปฏิวัติได้อย่างไร และทักษิณ ก็เคยมารับประทานอาหารที่บ้านหลายครั้ง เพราะเคยสนิทสนมกัน ในช่วงก่อนที่จะเป็นนายกฯ ส่วนช่วงเป็นนายกฯ ไม่ได้มา อาจจะเป็นเพราะไม่มีเวลา แต่หลังจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และกลับจากต่างประเทศมา 2 ครั้ง คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ มา 1 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม บทบาทของนายปีย์ ที่ออกมาหนุน พล.อ.ประยุทธ์ ครั้งนี้ ก็ทำให้ประเด็นที่ถูกโจมตีว่า เป็นผู้วางแผนยึดอำนาจทักษิณกลับมามีการพูดถึงอีกครั้ง ซึ่งทีมข่าว THE TRUTH ได้ตั้งข้อสงสัยว่า อาจจะไม่ใช่เรื่องจริง ที่นายปีย์ถูกกล่าวหาเมื่อปี 49 และในการออกมาหนุน พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะแค่อยากออกมามีบทบาทเท่านั้น

ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น ที่มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ นายปิยบุตร แสงกนกกุล โดยได้แชร์โพสต์ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ที่โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ “ปิยบุตรบินไปฝรั่งเศสแล้ว?”

โดยระบุว่า เพื่อนสนิทคนหนึ่งของปิยบุตรที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน เขาเอือมระอากับปิยบุตรมาก ๆ จึงแฉปิยบุตรให้ฟังหลังไมค์

เพื่อนปิยบุตรคนนี้ยอมรับว่า ตัวเองชูสามนิ้ว แต่เขาไม่เคยมองสถาบันฯ ในแง่ร้าย อีกทั้งคนชูสามนิ้วที่ยังรักสถาบันฯ ก็มีมาก แต่ถูกปั่นทางโซเชียลมีเดียให้ดูเป็นล้มเจ้าไปเสียหมด เขารับไม่ได้ที่ปิยบุตรเล่นสกปรก ไม่ว่าอะไรก็โยงไปบิดเบือนให้ร้ายสถาบันฯ อยู่ตลอด จนทำให้สูญเสียทั้งความสร้างสรรค์และแนวร่วมอีกจำนวนมากในการเคลื่อนไหว

ปิยบุตรแค่หลอกใช้คนชูสามนิ้วเพื่อยั่วยุไปสู่การล้มสถาบันฯ แต่เขาไม่เห็นด้วยและมองว่ามันจะไม่มีอะไรดีขึ้นตราบใดที่ไม่แก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมืองโกงทั้งหลาย การดึงสถาบันฯ มาเกี่ยวแบบมั่ว ๆ มีแต่จะทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชนและสงครามกลางเมือง โดยที่ปิยบุตรจอมขี้ขลาดไม่มีวันออกมานำเองแน่ ๆ เพราะปิยบุตรเป็นคนใจปลาซิวมาก เขาย้ำว่า ปิยบุตรเป็นคนใจ...ได้แต่ยั่วยุให้คนอื่นเกลียดชังสถาบันฯ แล้วไม่กล้าลงมือเองเพราะกลัวติดคุกมาก แถมยังมองคนชูสามนิ้วคนอื่น ๆ เป็นเพียงแค่ตัวหมากบนกระดานของเขา

หลาย ๆ ครั้งที่ปิยบุตรโพสต์ชี้นำในลักษณะยั่วยุ แล้วให้เพจใหญ่ ๆ ของม็อบที่ปิยบุตรควบคุมอยู่ปั่นต่อจนกลายเป็นกระแส และมีคนลุกขึ้นมาต่อต้านสถาบันฯ ด้วยการลงมือกระทำผิดกฎหมายจริง ปิยบุตรจะรู้สึกภาคภูมิใจและดูมีความสุขมาก ซึ่งแสดงออกผ่านทางสีหน้า แววตา และรอยยิ้ม

เขากล่าวว่า หลายครั้งที่ม็อบจุดติด ภรรยาชาวฝรั่งเศสของปิยบุตร หรือ เออเชนี เมรีโอ แอบย่องกลับไทยทุกครั้ง โดยเฉพาะช่วงต้นปี 2563 หลังยุบพรรคอนาคตใหม่ ก่อนที่จะรีบกลับออกไป เพราะมีล็อกดาวน์ แล้วภรรยาปิยบุตรก็กลับมาไทยอีกครั้ง ช่วงที่ม็อบราษฎรจุดติดราวเดือนสิงหาคม 2563 จนถึงต้นปี 2564 ช่วงเวลานั้นภรรยาปิยบุตรอยู่ที่ไทยตลอด ก่อนบินออกไปอีกครั้งช่วงเดือนมกราคม 2564

จนเขาเองแอบสงสัยว่า ผู้หญิงคนนี้จริง ๆ แล้วมีบทบาทสำคัญต่อเบื้องหลังของม็อบอย่างไรกันแน่ ซึ่งอันที่จริงเขาก็พอจะรู้อยู่บ้าง เพียงแต่ไม่กล้าฟันธง

ตอนนี้เขาอ้างว่า ปิยบุตรไม่ได้อยู่ในประเทศไทย โดยคาดว่าบินไปฝรั่งเศส เขาไม่แน่ใจว่าปิยบุตรมีแผนชั่วอะไรอีก แต่คงมีความพยายามในการยุยงปลุกปั่นผ่านเครือข่ายโซเชียลมีเดีย เพื่อให้เกิดม็อบแล้วชี้นำไปสู่ความรุนแรงอย่างแน่นอน เพราะปิยบุตรเป็นหนึ่งในคนที่อยู่เบื้องหลังการปลุกม็อบ แล้วคอยชี้นำทิศทางของม็อบไปในทางโจมตีให้ร้ายสถาบันฯ ซึ่งทำให้การชูสามนิ้วล้มเหลว เสียแนวร่วมจำนวนมาก จนไม่สามารถไล่ประยุทธ์ได้สำเร็จ

สุดท้ายเขายังย้ำกับผมว่า ปิยบุตรกับภรรยาคือความล้มเหลวของคนชูสามนิ้ว ถ้าปิยบุตรกับภรรยาไม่โยงสถาบันฯ มาเกี่ยวข้อง ป่านนี้คงล้มประยุทธ์ได้สำเร็จตั้งนานแล้ว เขาบอกว่าเขาพูดความจริงทุกอย่าง ถ้าไม่เชื่อก็ลองเช็กดูได้เลยว่า ตอนนี้ปิยบุตรไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ลองเช็กกันดูเองนะครับว่า ตอนนี้ปิยบุตรบินไปต่างประเทศแล้วจริงหรือไม่?

แน่นอน ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ การที่อยู่ ๆ “ปีย์ มาลากุล” ผู้เคยถูกกล่าวหาวางแผนล้มทักษิณ ปี 49 ก็โผล่ออกมาส่งสัญญาณ อะไรสักอย่าง นัยว่าเป็นการชี้แนะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ตัดสินใจอะไรสักอย่าง

พอเป็นเช่นนี้ ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า หรือบทบาทที่ถูกกล่าวหาในอดีตจะย้อนกลับมาอีกครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ แม้อาจไม่มีอะไรในกอไผ่ก็ตาม

ยิ่งกว่านั้น ต้องยอมรับว่า ปัญหาที่กำลังถาโถมโรมรัน พล.อ.ประยุทธ์ อยู่เวลานี้ เป็นปัญหาวาระซ่อนเร้นมากมาย มิใช่ปัญหาการเมืองปกติ ที่แก้ได้ด้วยการเมือง มิใช่ความไม่พอใจ “ประยุทธ์” ในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่มันสื่อให้เห็นมากกว่านั้น

มิใช่แค่ความต้องการเรียกร้องให้แก้ปัญหาโรคระบาดโควิด-19 ให้สำเร็จโดยเร็ว และเรียกร้องให้รัฐบาลหาวัคซีนที่ดีมาให้ประชาชนอย่างที่กล่าวอ้าง แต่ต้องการโจมตีวัคซีนที่เชื่อว่า มีอภิสิทธิ์ชนผูกขาด

ประชาชนถูกทำสงครามแบ่งแยก สถาบันหลักของประเทศ ถูกทำให้ขัดแย้งกับคนรุ่นใหม่ และชูคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นหนังหน้าไฟ คือ หุ่นเชิดทางออกของประเทศ

ดังนั้น ไม่แปลก และง่ายที่จะโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ ทำอะไรก็ผิด เพราะเป็นผู้รองรับ ไม่มีความหมายในทางยุทธศาสตร์ ทางออกของเรื่องทั้งหมด คือ การเปลี่ยนแปลงตามยุทธศาสตร์การต่อสู้ของคนบางกลุ่ม ตราบใดที่ยังไม่สำเร็จ ตราบนั้นประเทศไทย ก็จะไม่มีทางแก้ปัญหาทางการเมืองได้ นี่คือ ประเด็น

แต่มันไม่ง่ายอย่างแน่นอน ที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์ จะทำอะไรก็ทำ? โดยไม่ต้องยุบสภา เว้นแต่ยอมลาออกแต่โดยดี ไม่เชื่อก็ลองดู!!!


ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9640000068361

https://www.facebook.com/photo?fbid=1161056384406326&set=a.155611208284187


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โฆษกทัพฟ้า แจงปมญาติพลทหารติดโควิด ร้องสื่อ นอนโรงอาหาร ไร้เตียง อาหารไม่เพียงพอ  ชี้ เป็นภาพเก่า ช่วงคัดกรอง ยัน ปรับพื้นที่ ย้ายผู้ป่วย-ผู้ต้องกัก ขึ้นอาคารหน่วยทหาร  พร้อมสั่ง หน.หน่วย เร่งทำความเข้าใจญาติ

พล.อ.ท.ฐานัตถ์ จันทร์อำไพ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ ในฐานะโฆษกกองทัพอากาศ  ชี้แจงกรณี ญาติพลทหารติดโควิด-19 ร้องสื่อ ติดโควิด-19 กักตัวในโรงอาหาร ไม่มีเตียง อาหารไม่เพียงพอว่า  ข้อเท็จจริง ภาพที่แชร์ออกมา เป็นภาพเก่า ช่วงวันที่ 9-10 ก.ค. 2564  ที่กองทัพอากาศได้จัดให้มีการตรวจค้นหาเชิงรุกกับพลทหาร ซึ่งเป็นช่วงของการคัดกรอง และยืนยันว่าขณะนี้ ได้ปรับพื้นที่  และแยกตัวผู้ป่วย กับผู้กักตัว ขึ้นไปยังบนอาคารของหน่วย  มีเตียง และสิ่งอำนวยความสะดวก ครบถ้วน ไม่ใช่ให้นอนที่โรงอาหาร  รวมถึงเรื่องอาหาร เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความเป็นอยู่ ย้ำดูแลอย่างดี 

ส่วนได้ชี้แจงกับญาติ และครอบครัว ของพลทหาร ที่ยังติดใจถึงความเป็นอยู่หรือไม่อย่างไรนั้น  โฆษกกองทัพอากาศ ระบุเป็นเรื่องที่หัวหน้าหน่วยจะได้ประสานชี้แจงกับทางญาติ 

พท.ถามสูตรวัคซีนใหม่ หากผิดพลาดใครรับผิดชอบ ย้ำ ปชช.ไม่ใช่หนูทดลอง จี้รัฐควรเร่งแจก Rapid test

น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีที่รัฐมีแนวคิดฉีดวัคซีนโควิด-19 สลับชนิดเข็มที่ 1 เป็นซิโนแวค เข็มที่ 2 เป็นแอสตราเซเนกาว่า หากรัฐตัดสินใจใช้วิธีการนี้ ถ้ามีผลข้างเคียงเกิดขึ้นกับประชาชนรัฐบาลจะรับผิดชอบอย่างไร  เพราะประชาชนไม่ใช่หนูทดลองของพวกท่าน หากรัฐปรับการฉีดตามวิธีการนี้ เท่ากับว่ารัฐบาลยอมรับว่า วัคซีนซิโนแวคไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะป้องกันเชื้อโควิด -19 ได้ แต่รัฐบาลไม่ระงับการสั่งซื้อ กลับเพิ่มจำนวนวัคซีนดังกล่าวทำให้ประเทศต้องสูญเงินไปอีกกว่า 6 พันล้านบาท ส่วนกรณีที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ประกาศกระทรวงสาธารณสุขให้ประชาชนใช้ชุดตรวจคัดกรองโควิดด้วยตนเอง( Rapid Antigen Test ) ถือเป็นข่าวดีบนข่าวร้ายของประชาชนที่จะสามารถเข้าถึงชุดตรวจได้ แต่ปัจจุบันราคาขายปลีกชุดตรวจดังกล่าวในท้องตลาดสูงมากเกือบชุดละ 500 บาท ประชาชนที่กำลังตกทุกข์ได้ยากซึ่งไม่มีเงินแม้จะประทังชีวิตคงไม่สามารถเข้าถึงได้ จึงอยากให้ ศบค. นำงบประมาณจาก พ.ร.ก.เงินกู้ ในส่วนของการใช้จ่ายเพื่ออุปกรณ์การแพทย์ มาจัดซื้อชุดตรวจโควิดด้วยตนเองและส่งให้ประชาชนถึงบ้าน โดยใช้ระบบการส่งไปรษณีย์ของไทยที่มีเครือข่ายทั่วประเทศ จะช่วยลดความเสี่ยงรับเชื้อจากการต่อคิว เพื่อเข้ารับการตรวจเชื้อตามภาพที่ปรากฏในสื่ออย่างที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้

น.ส.อรุณี กล่าวต่อว่า นอกจากนี้หากรัฐจะอนุญาตให้เอกชนขาย Rapid antigen test ในเชิงพาณิชย์  กระทรวงพาณิชย์ควรใช้กลไกของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ออกประกาศกำหนดเพดานราคาจำหน่ายชุดตรวจเชื้อด้วยตัวเองอย่างเร่งด่วนและให้มีผลทันที หรือลดภาษีการนำเข้าชุดตรวจ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงง่ายได้ในราคาที่เป็นธรรม เอื้อต่อการตรวจหาเชื้อที่ครอบคลุมมากที่สุด โดยอย่าปล่อยให้มีใครฉกฉวยโอกาสนี้หากินบนความเดือดร้อน บนความเป็นความตายของพี่น้องประชาชน อะไรที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็นในยุคพล.อ.ประยุทธ์ วัคซีนถูกตั้งคำถาม ชุดตรวจฟรีเข้าถึงยาก อย่าให้วิกฤตครั้งนี้กลายเป็นโอกาสของการทำนาบนหลังคน สงสารประชาชนเถอะ

“เสกสกล” เย้ย “โทนี่” ไม่มีใครอยากปรึกษานักโทษหนีคดี ถาม ถ้าอยากกลับไทย พร้อมคืนค่าเสียหาย - รับโทษ หรือไม่

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี่ 
วู้ดซัม กล่าวผ่านคลับเฮาส์ ระบุให้นายกรัฐมนตรี โทรหาเพื่อขอคำปรึกษา และหากจะไล่นายกฯให้ไปฟ้องพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รวมถึงคนที่เป็นนักการเมืองจะแคร์ประชาชน คนที่มาจากการปฏิวัติไม่แคร์ประชาชน ว่า คำพูดเหน็บแนมของนายโทนี่ เป็นเพียงเล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง คำปรึกษาคงไม่ได้ประโยชน์เพราะไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ ไม่ได้สัมผัสกับความเดือดร้อนของประชาชน และสถานะคนทำผิดหลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ ไม่สมควรที่จะโทรไปปรึกษากับนักโทษที่มีคดีทุจริตติดตัว คงไม่ได้ประโยชน์อะไร และตอนนี้ทุกภาคส่วน บุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนได้ร่วมมือกันอย่างดี เพื่อให้สถานการณ์โควิด-19คลี่คลายลง จึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอคำแนะนำจากนายโทนี่ หากจะช่วยประเทศชาติในภาวะนี้คือ หยุดพูดสร้างความสับสน เหน็บแนม ด้อยค่าคนอื่นและสร้างความแตกแยกให้คนไทยจะช่วยได้มากที่สุด

นายเสกสกล กล่าวว่า ส่วนที่ระบุว่าคนที่มาจากการปฏิวัติไม่แคร์ประชาชน อย่าเข้าข้างตัวเองเพราะคนที่เอาประชาชนมาอ้าง เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ และทุจริตหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ กฎหมายเอื้อประโยชน์ตัวเอง เป็นเป็นเผด็จการรัฐสภา หรือระบอบทักษิณ เรียกว่าแคร์ประชาชนหรือไม่ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่ไม่แคร์ประชาชน คอยพูดสร้างความสับสนให้ในยามวิกฤตโควิด มากกว่าช่วยเหลือ และคิดแต่จะล้มรัฐบาลกลับมามีอำนาจ ขณะที่บ้านเมืองต้องการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา ยืนยันว่านายกฯจะทำงานแก้ไขปัญหาจนครบเทอม ไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใคร และคงไม่ต้องไปบอกพล.อ.ประวิตรให้ไปบอกนายกฯประยุทธ์ ให้ลาออก

นายเสกสกล กล่าวว่า นายโทนี่พูดแต่ละครั้งไม่มีสาระที่เป็นประโยชน์ แค่อยากมีบทบาทและกลัวคนจะลืม หรือต้องการให้พรรคเพื่อไทย เข้ามามีอำนาจเป็นรัฐบาล จะได้ช่วยเหลือให้พ้นผิดและกลับประเทศ หากแน่จริงขอให้กลับมารับโทษที่ทำผิดไว้โดยไม่ต้องรอเวลา และขอถาม2ข้อว่า ถ้ากลับมาพร้อมที่จะชดใช้ค่าเสียหายคืนให้ประเทศชาติ ประชาชนในโครงการที่เกิดการทุจริตในยุครัฐบาลนายทักษิณและยุครัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือไม่ และพร้อมที่จะกลับเข้ามารับโทษตามกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ หากรับเงื่อนไขสองข้อ คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่คงไม่ขัดข้องที่จะให้กลับได้ถ้า ส่วนจะเดินเข้าทางช่องประตูหน้าหรือประตูหลัง หรือประตูไหน คนไทยส่วนใหญ่ยอมรับได้อย่างแน่นอน

“อนุชา” เผย ชัยนาทเตรียมเปิดรพ.สนามแห่งที่ 2  ลดความแออัดดูแลผู้ป่วยในพื้นที่-จว.ใกล้เคียง

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วประเทศในขณะนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ชัยนาท ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อสะสม รวม 254 ราย และตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันยังมีปริมาณเพิ่มขึ้น จึงมอบหมายผู้ว่าฯชัยนาท นายกองค์การบริหารส่วนชัยนาท ดูแลความเรียบร้อย และคุมเข้มการแพร่ระบาด อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และให้เพิ่มโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 รองรับผู้ป่วยได้ 140 เตียง คาดว่าเพียงพอสำหรับรองรับความเดือดร้อนของชาวชัยนาทและในจังหวัดใกล้เคียง เพื่อลดความแออัดของโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 1 ที่จะดูแลผู้ป่วย เป็นเวลา 10 วัน เมื่ออาการดีขึ้นจะย้ายมารักษาที่โรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 อีกจำนวน 4 วัน ก่อนส่งตัวผู้ป่วยกลับบ้าน

“สงคราม” เชื่อยอดติดเชื่อพุ่งเกินหมื่นนอนรอความตายที่บ้านหลักพัน อัด “บิ๊กตู่” ทอดทิ้งประชาชนปล่อยนายทุนหาประโยชน์จากวิกฤตโควิด

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติและอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันมีประชาชนจำนวนมาก ต้องนอนรอที่วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน ข้ามวันข้ามคืน เพื่อตรวจหาเชื้อเพราะสามารถตรวจได้เพียงจุดล่ะ 300-400 คนต่อวันในขณะที่มีคนจำนวนนับพันไปรอการตรวจหาเชื้อ แต่รัฐบาลกลับไม่มีมาตราการที่จะอำนวยความสะดวกให้ประชาชนไม่มีแม้แต่เจ้าหน้าที่จะมาดูแลประชาชน

นอกจากนี้บางพื้นที่มีรายงานข่าวเข้ามาว่า เอกชนบางราย นำชุดตรวจหาโควิดไปให้บริการประชาชน หากจะตรวจต้องมีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ 800-1,000 บาท ต่อคน ทั้งๆที่รัฐบาลต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัตไว้ชัดว่า ประชาชนต้องเข้าถึงการบริหารทางการแพทย์โดยไม่ค่าใช้จ่าย แต่รัฐกลับปล่อยให้มีการหาประโยชน์จากการบริหารทางการแพทย์ของรัฐ

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า มาตรการล็อกดาวน์ 14 วัน คงไม่เกิดประโยชน์ เพราะรัฐบาลทำผิดพลาดมาตั้งแต่การปิดแคมป์คนงานส่งผลมีการนำเชื้อออกไปในพื้นที่ต่างๆทั้วประเทศ ในขณะเดียวกันรัฐบาลไม่มีกาป้องกันการระบาดในพื้นที่ต่างจังหวัด พบว่าหลายจังหวัดตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงขึ้น เพราะนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลส่งผลให้ประชาชนทุกพื้นที่ต้องรับความเสี่ยงไปด้วย
“การบริหารงานที่ผิดพลาด ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ประเทศไทยต้องประสบปัญหาหลายด้าน และล้มเหลวทุกด้าน พลเอกประยุทธ์ทำให้ระบบสาธารณสุขของไทยจากวิกฤตเป็นหายนะ ทั้งนี้เชื่อว่าหากมีการตรวจเชิงรุกจะพบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 10,000 คนอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกันมีจำนวนผู้ติดเชื้นอนความตายอยู่ที่บ้านมากกว่า 1,000 คน พลเอกประยุทธ์ไม่รู้สึกผิด หรือ ไม่สนใจในความเป็นความตายของพี่น้องประชาชน”นายสงครามกล่าว

“องอาจ” ขอบคุณ ครม. ช่วยต่อลมหายใจให้ผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ล็อกดาวน์

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ล็อกดาวน์ว่า ต้องขอขอบคุณคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีมาตรการเยียวยา ล่าสุดเพิ่มเติมรวม 9 สาขาอาชีพที่ได้รับผลกระทบโดยตรง มีรูปแบบการช่วยเหลือที่หลากหลายครอบคลุมกลุ่มบุคคลที่ได้รับผลกระทบมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการลดค่าน้ำค่าไฟที่กระจายไปยังประชาชนและภาคธุรกิจทั่วประเทศ อีกทั้งยังให้สถานศึกษาภาครัฐให้ความช่วยเหลือในการให้ส่วนลดเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ปกครองและนักเรียน นักศึกษาได้อย่างมาก

หลังจากนี้จะได้ติดตามตรวจสอบต่อไปว่า มาตรการเยียวยาที่ออกมาจะปฏิบัติจริงได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร โดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือด้านการพักชำระหนี้ให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าของสถาบันการเงิน

นอกจากนี้ขอฝากประเด็นที่ควรออกเป็นมาตรการเยียวยาเพิ่มเติมดังนี้
1. ควรงดเว้น หรือลดการเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ ของภาครัฐจากผู้ประกอบการ SME
2. กระทรวงการคลังควรหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารพาณิชย์เรื่องการให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการรายย่อย หรือซอฟท์โลนเกิดขึ้นได้จริง
3. ควรมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ทั่วประเทศให้เดินหน้าต่อได้ จนกว่าภาครัฐจะทำให้สถานการณ์โควิดแพร่ระบาดคลี่คลาย

อย่างไรก็ดียังมีกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากล็อกดาวน์คือ กลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น กลุ่มแรงงานนอกระบบ ที่อยู่นอกระบบประกันสังคม ซึ่งมาตรการเยียวยาล่าสุดจะมีมาตรการดึงแรงงานกลุ่มนี้ให้เข้ามาขึ้นทะเบียนประกันสังคมภายในเดือนกรกฎาคมนี้ แล้วจะได้เงินช่วยเหลือต่างๆ ตามที่กำหนด 

แต่ในความเป็นจริงอาจจะมีแรงงานนอกระบบ หรือกลุ่มอาชีพอิสระจำนวนไม่น้อยที่ไม่ประสงค์จะขึ้นทะเบียนประกันสังคมก็ควรได้รับการเยียวยา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากล็อกดาวน์ครั้งนี้เช่นกัน 

นายองอาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการแพร่ระบาดของโควิดระลอกสามจนนำมาสู่การล็อกดาวน์ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากได้รับผลกระทบ การที่ ครม. ออกมาตรการเยียวยาล่าสุดนี้จะช่วยต่อลมหายใจของผู้ได้รับผลกระทบให้สามารถมีกำลังกายกำลังใจที่จะต่อสู้กับปัญหาโควิด ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ต่อไปจนกว่าสถานการณ์โควิดจะคลี่คลายไปในที่สุด 

ราเมศ แจง ปชช อย่ากังวล สื่อสารได้ตามปกติ ยึดหลักสุจริต “ไม่บิดเบือน”

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึง ข้อห้ามที่กำหนดไว้ในประกาศข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 27) ในเรื่อง มาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ว่า

หลักการสำคัญของเรื่องนี้ คือการออกข้อกำหนดมามีเจตนารมณ์เพื่อป้องกันไม่ให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ข้อกำหนดในข้อ 11 จึงระบุข้อความมีสาระสำคัญคือ

"มาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิด ในสถานการณ์ฉุกเฉิน การข่าวหรือการทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิด ความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั่วราชอาณาจักรนั้น เป็นความผิดตามมาตรา 9 (3) แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548" 

จากข้อความดังกล่าว มีความชัดแจ้งอยู่ในตัวคือ มาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิด ในสถานการณ์ฉุกเฉิน หากมีการบิดเบือนด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จก็มีความผิด การนำข่าวสารที่ถูกต้องแน่ไปทำการบิดเบือนก็มีความผิด เช่นรัฐบาลประกาศตัวเลขผู้ติดเชื้อ จำนวนหนึ่ง แต่ไปบิดเบือนขยายต่อว่าผู้ติดเชื้อมีจำนวนมากเสียชีวิตมากกว่าที่รายงานกล่าวหาว่ารัฐบาลปกปิดจำนวนที่แท้จริง อันนี้ชัดเจนผิดแน่นอน ภาพข่าวมีคนเดินๆอยู่แล้วเป็นลมล้มเสียชีวิต แต่มาบิดเบือนว่าเกิดจากเพราะการฉีดวัคซีน อันนี้ก็ผิดอยู่แล้ว ไม่มีข้อกำหนดนี้ก็อาจจะผิดตามกฎหมายอื่น

นายราเมศ กล่าวว่า ไม่อยากให้ประชาชนวิตกกังวลจนเกินไป ไม่มีข้อความใดในข้อกำหนดว่าห้ามโพสต์สร้างความหวาดกลัว แม้เป็นความจริง ขอให้ทุกคนยึดหลักสุจริต สื่อสารด้วยความจริง ไม่บิดเบือน จะเป็นเกราะคุ้มกันได้ดีที่สุด 
คนที่ออกมาบิดเบือนข้อกำหนดนี้ที่พยายามบิดเบือนทำให้สังคมหวาดกลัวโดยบอกว่าห้ามโพสต์สร้างความหวาดกลัว แม้เป็นความจริง น่าจะเป็นคนนำร่องผิดข้อกำหนดนี้เป็นคนแรก เพราะบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร นำไปสู่การทำให้เกิดความเข้าใจผิด ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ข้อเท็จจริงยุติว่าข้อความดังกล่าวทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิด ความเข้าใจผิด ก็ต้องระมัดระวัง

นายราเมศ กล่าวตอนท้ายว่า หากสื่อสารด้วยความจริง สุจริต ไม่บิดเบือน ไม่ได้สร้างความสับสนให้สังคมเข้าใจผิด แล้วถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดี ให้แจ้งมาตนจะว่าความทำคดีให้ด้วยตนเอง

"บิ๊กตู่"ย้ำจำเป็นยกระดับมาตรการหลังเดลตาระบาดหนักทั่วโลก กำชับคุมราคาวัคซีนทางเลือก-ชุดตรวจไว Antigen Test Kit ต้องไม่แพงไม่ และเป็นภาระปชช. “ปลื้ม”ข่าวดีไทยผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ได้เอง เตรียมเร่งกระจายสถานพยาบาล-รพ.สนามทั่วประเทศ ยันไม่สต๊อกที่ส่วนกลาง 

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามแทนนายกรัฐมนตรี หลังการประชุม ครม.ถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์​การณ์แก้ปัญหาโควิด-19 ที่ค่อนข้างหนักหน่วงในเวลานี้ จนเกิดกระแสเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ลาออกเปิดทางให้คนอื่นมาแก้ปัญหาแทน ว่า เนื่องจากปัจจุบันการแพร่ระบาดโควิด มีสายพันธุ์เดลตาที่มีความรุนแรงและติดต่อได้ง่ายกว่าที่ผ่านมา ทำให้ขณะนี้กลายเป็นปัญหาทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และ4 จังหวัดภาคใต้ จึงมีการออกข้อกำหนด เพื่อลดการแพร่ระบาด ซึ่งการบริหารจัดการของรัฐบาลจำเป็นต้องยกระดับให้มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนและปลดล็อคในหลายเรื่องเพื่อเอาชนะโควิดให้ได้โดยเร็ว

นายอนุชา กล่าวย้ำว่า ในส่วนการจัดหาและฉีดวัคซีนจะจัดหาโดยเร็วและฉีดให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ฉีดไปแล้วมากกว่า 12 ล้านโดสและในปัจจุบัน รัฐบาลจะเร่งกระจายและเร่งฉีด ขณะนี้กระจายไปกว่า 5.4 ล้านโดส เพื่อลดการสูญเสียในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะกรุงเทพฯและปริมณฑลในพื้นที่สีแดงต้องระดมฉีดให้ได้อย่างน้อย 1 ล้านโดส ในช่วง 2 สัปดาห์ต่อจากนี้ไป และจะมีการจำกัดการเคลื่อนย้าย การเข้าออกพื้นที่จะให้สถานการณ์ กลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมได้โดยเร็ว 

นายอนุชา กล่าวว่า ส่วนประสิทธิภาพของวัคซีนมีผลการศึกษา จากการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์กลุ่มตัวอย่างในปัจจุบันประมาณ 7 แสนคนที่ได้รับวัคซีนแล้วทั้งซิโนแวคและแอสตราเซเนกา มีรายงานว่าในจำนวนนี้มีผู้ติดเชื้อ 707 คน คิดเป็น 0.01 % ของบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีนแล้ว มีอาการหนัก 3 รายและเสียชีวิต 2 ราย ซึ่งหากเทียบกับจำนวนผู้เสียชีวิตในภาพรวมของผู้ติดเชื้อทั้งประเทศก็สะท้อนให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนแมวป้องกันการติดเชื้อไม่ได้ 100 % แต่ก็ลดความรุนแรงและลดการเสียชีวิตได้เป็นอย่างมาก

นายอนุชา กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันได้มีการปลดล็อคในเรื่องการตรวจคัดกรอง ทั้งในส่วนการปลดล็อคให้โรงพยาบาลรับการตรวจให้ประชาชน แม้จะไม่มีเตียงรองรับ โดยให้ลงทะเบียนเข้าระบบแยกกับตัวและรักษาต่อไปตามความรุนแรงของอาการ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องปฏิเสธการตรวจโดยทันที นอกจากนี้ยังปลดล็อคการให้ใช้ชุดตรวจไวหรือที่เรียกว่า Antigen Test Kit โดยกระจายให้โรงพยาบาลหรือคลีนิคชุมชนสามารถใช้ได้ทันที พร้อมส่วนกลางที่จะให้ประชาชนซื้อไปใช้เองในระยะต่อไป โดยรัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการเรื่องกฎระเบียบต่างๆเพื่อปลดล็อคให้ได้ และให้ประชาชนสามารถไปใช้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป รวมถึงเรื่องการควบคุมราคา โดยนายกฯ ได้กำชับว่าราคาต้องไม่แพงและประชาชนต้องไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งในส่วนของวัคซีนทางเลือกและชุดตรวจไวหรือAntigen Test Kit ซึ่งย้ำว่ารัฐบาลไม่ได้เก็บภาษีนำเข้าในส่วนเหล่านี้

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า นอกจากนี้ในด้านการรักษา นอกจากมีการเพิ่มจำนวนเตียงเช่นที่รพ.บุษราคัม ที่เพิ่มเตียง จำนวน 1,000-2,500 เตียง ทำให้มีเตียงไม่ต่ำกว่า 3,000 - 4,000 เตียงแล้ว และยังได้เปิดศูนย์พักคอยอีก 17 แห่ง รองรับผู้ป่วย 2,560 เตียง และจะเสริมเป็น 3,000 เตียงต่อไป พร้อมกันนี้อนุมัติการแยกกับตัวที่บ้านหรือ Home isolation หรือการปรับตัวในชุมชนหรือ community isolationมาใช้ สำหรับผู้ติดเชื้อและไม่มีอาการหรืออาการน้อยในเกณฑ์สีเขียว โดยขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์พร้อมการติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างเต็มที่ รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและอาหารทุกมื้อ ไม่ต่างจากการเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลทั่วไป

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า อย่างไรก็ตามขณะนี้มีผู้ป่วยสีเขียวในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลขณะนี้ คิดเป็นร้อยละ 75 ของผู้ป่วยทั้งหมด ซึ่งหากบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วจะมีเตียงเพิ่มขึ้นอีก 40-50 % และจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสาธารณสุข นอกจากนี้มีข่าวดีคือเราสามารถผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ ได้เองและกำลังขึ้นทะเบียนตำรับยาเพื่อนำมาใช้โดยทันทีลดการนำเข้า ซึ่งขณะนี้มีอัตราการผลิตอยู่ที่ 3-5 ล้านเม็ดต่อเดือน โดยจะเร่งกระจายไปยังสถานพยาบาลโรงพยาบาลสนามต่างๆทั่วประเทศอย่างพอเพียงและไม่สต๊อกไว้ที่ส่วนกลาง เพื่อให้ผู้ป่วยได้ใช้ตั้งแต่อาการเริ่มแรกและเพื่อลดผู้ป่วยอาการหนักตั้งแต่ต้น พร้อมการส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยเช่นฟ้าทะลายโจรอย่างจริงจัง สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการน้อยหรือผู้ป่วยที่แยกกับตัวที่บ้าน ควบคู่กับยาหลักตามคำแนะนำของแพทย์ 

รัฐบาล รับส่งมอบวัคซีนอาจมีปัญหา ยันไม่หยุดเจรจานำเข้าให้มากที่สุด ย้ำ"ไฟเซอร์-จอห์นสันฯ-สปุตนิควี"จ่อเพิ่มเติมเข้ามา 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามนายกรัฐมนตรีภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงแผนการส่งมอบหรือแผนการกระจายวัคซีนที่หลายฝ่ายมองว่าไม่เป็นไปตามเป้า ว่า จากการสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงต่อที่ประชุม ครม.ว่า อาจจะมีการส่งมอบวัคซีนที่เป็นการนำเข้ามาซึ่งปัจจุบันหากมีปัญหาทางกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาล ยังมีการเจรจาเพิ่มเติมกับผู้ผลิตรายอื่นๆ รวมทั้งการนำเข้าจากผู้ผลิตทั้ง บริษัทไฟเซอร์ ฯ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันและ สปุตนิก วี (Sputnik V)
ซึ่งจะมีการเพิ่มเติมเข้ามาซึ่งรัฐบาลจะเร่งนำเข้าวัคซีนให้ได้มากที่สุดเพื่อนำมาฉีดให้กับประชาชนให้เร็วที่สุด

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับแผนการกระจายวัคซีน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการเพื่อกระจายตามข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขโดย ศบค. ได้พิจารณาจากการประชุมร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้เสนอต่อที่ประชุม ศบค. เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายตามคำแนะนำของคณะแพทย์ว่าวัคซีนที่นำเข้ามาควรจะฉีดให้กับใครและกระจายไปในพื้นที่จุดใด 

โศกนาฏกรรมโรงเรียนกินนอน​ บาปที่ ‘รัฐบาลแคนาดา’ พยายามโยนให้คริสตจักร

ชวนคิด!! ‘ทรูโด’ เชิญ ‘โป๊ป’ ขอโทษชนพื้นเมือง
เหตุต้องการเบี่ยงประเด็น โศกนาฏกรรมโรงเรียนกินนอนให้พ้นผิดจาก ‘รัฐบาลแคนาดา’
.
NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช
.
โดย อ.ต้อม - กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง
.

.


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กสม. ส่งหนังสือถึงนายกฯ ให้รัฐบาลชะลอเสนอขึ้นทะเบียนป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกก่อน จนกว่าแก้ปมสิทธิกลุ่มชาติพันธุ์กระเหรี่ยงบางกลอยคลี่คลาย

สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) เผยแพร่เอกสารข่าวระบุว่า ตามที่รัฐบาลจะนำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเพื่อรับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 44 ระหว่างวันที่ 16 – 31 ก.ค. 2564 นั้น กสม. โดย น.ส.พรประไพ กาญจนรินทร์ ประธานกสม.ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ลงวันที่ 12 ก.ค.64 เสนอให้รัฐบาลชะลอการเสนอขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติออกไปก่อน จนกว่าปัญหาสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยจะคลี่คลาย

โดยระบุว่า กสม. เห็นถึงคุณค่าของการขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม จากการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์สิทธิมนุษยชนกรณีกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน รวมทั้งที่ได้เคยตรวจสอบกรณีดังกล่าว กสม. มีข้อเสนอเพื่อพิจารณาในประเด็นดังนี้ 1. คณะกรรมการมรดกโลกขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้มีข้อกังวลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน ซึ่งในปัจจุบัน ยังปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหากรณีดังกล่าว อาทิ การโต้แย้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิทธิในพื้นที่ดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอย

2. แม้ภาครัฐได้พยายามแก้ไขปัญหาโดยการจัดสรรพื้นที่ให้กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยที่ถูกย้ายออกจากพื้นที่ดั้งเดิมแล้ว แต่ในทางปฏิบัติกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยยังประสบปัญหาในการใช้ประโยชน์จากที่ดินที่ได้รับการจัดสรรอย่างจำกัด ไม่ครบถ้วน และสภาพดินไม่สามารถทำกินได้อย่างเพียงพอ ต่อมา เมื่อประมาณต้นปี 64 กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยบางส่วนได้กลับเข้าไปทำกินและอยู่อาศัยในพื้นที่ดั้งเดิม ทำให้ถูกจับกุม และเกิดข้อขัดแย้ง กระทั่งได้มีการแก้ไขปัญหาตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 67/2564 ลงวันที่ 16 มี.ค.64 และมีการตั้งคณะอนุกรรมการ 5 ด้านขึ้นมา เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีผลการดำเนินการและข้อสรุปที่เป็นรูปธรรม ในขณะที่กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ซึ่งถูกจับกุมกำลังถูกดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย

3. กสม. ขอเสนอให้รัฐบาลชะลอการเสนอขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติออกไปก่อน จนกว่าปัญหาดังกล่าวจะคลี่คลายและได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วน ทั้งนี้ เมื่อปัญหาต่าง ๆ ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสมแล้ว กสม. พร้อมที่จะสนับสนุนการขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติต่อไป

โดยกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยมีลักษณะเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม ซึ่งควรได้รับการคุ้มครองสิทธิในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูอัตลักษณ์และวิถีชีวิตของตน รวมทั้งมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ตามที่รัฐธรรมนูญ60 และหนังสือสัญญาที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามได้ให้การรับรองไว้

ครม.เว้นค่าธรรมเนียม “สปา-นวด-เสริมงาม”อีก 1ปี ส่วนสถานดูแลผู้สูงอายุ เว้นให้ 2 ปี ลดภาระปชช.ช่วงโควิด

น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพรายปี  แก่ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการสปา กิจการนวดเพื่อสุขภาพหรือเพื่อเสริมความงาม ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 1 ปี  

ตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. 2564- 17 มี.ค. 2565 และยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการแก่การดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงแก่ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้มีภาวะพึ่งพิงเป็นระยะเวลา 2 ปี นับตั้งแต่ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้มีผลบังคับใช้เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาลดภาระและบรรเทาผลกระทบให้ผู้ประกอบการกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)และจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจต่อไป

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับค่าธรรมเนียมกิจการสปาอยู่ที่ปีละ 1,000 บาท กิจการนวดเพื่อสุขภาพหรือเสริมความงามปีละ 500 บาท และกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงโดยมีการพักค้างคืนปีละ 1,000 บาท โดยมีกิจการสปาจำนวน 905 แห่ง กิจการนวดเพื่อสุขภาพและเพื่อเสริมความงาม จำวน  10,934 แห่ง และกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 138 แห่ง ทั้งนี้การเว้นค่าธรรมเนียมในครั้งนี้ รัฐจะเสียรายได้ 6,640,000 บาท 

ประชุม ครม.ถกยาวมาตรการเยียวยา “บิ๊กตู่” ขอสวมบทเตมีย์ใบ้ ปัดตอบคำถามสื่อประเด็นสังคมเรียกร้องลาออก “โยน” โฆษกฯตอบแทน

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีใช้เวลายาวนาน โดยส่วนใหญ่เป็นการหารือถึงมาตรการเยียวยาผลกระทบต่อจาก โควิด-19 ซึ่งสื่อมวลชนยังคงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปปฎิบัติหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ ได้รับการแจ้งจากที่สำนักโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าการแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีวันเดียวกันนี้ทางทีมโฆษกฯประจำสำนักนายกฯ จะมีการแถลงผลการประชุมผ่านทางเอกสาร

ในส่วนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ยังไม่ตอบคำถามสื่อมวลชนที่ได้ส่งคำถามผ่านคณะทำงานไปเช่นเดิม แต่ได้มอบหมายให้นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตอบแทน ซึ่งประเด็นคำถาม แยกเป็น 2 ประเด็น คือ ประเด็นทางการเมือง ซึ่งผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงความเห็นต่อกระแสเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจาก ล้มเหลวในการบริหารงานบริษัทเพราะการแก้ปัญหาการแพร่ระบาด โควิด-19 รวมทั้งถามว่ามีความหวั่นไหวกับกระแสดังกล่าวหรือไม่ รวมทั้ง การตั้งคำถามว่า จะให้เหตุผลอย่างไร รวมทั้งมีวิธีรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร หากยังคงเดินหน้าทำหน้าที่ต่อไป อีกทั้งจะเรียกความเชื่อมั่นของคนไทยกลับคืนมาอย่างไร

นอกจากนี้ยังได้ตั้งคำถามนายกรัฐมนตรี ในประเด็นการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ทั้งแผนการส่งมอบวัคซีน ว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดหรือไม่ แผนการกระจายวัคซีน การปรับสูตร ยกเลิกซิโนแวค 2 เข็ม การสะท้อนภาพซิโนแวคขาดประสิทธิภาพ
รวมทั้งมาตรการเยียวยาของรัฐบาล จากผลกระทบล็อกดาวน์ล่าสุด

อย่าเยียวยาแบบทรราชย์ ‘วิโรจน์’ กระตุกรัฐบาลเร่งออก 6 มาตรการเยียวยา ชี้ ต้องนั่งในใจประชาชน ไม่ใช่แค่โยนเศษเนื้อข้างเขียงมาให้ ย้ำ เมื่อล็อกดาวน์การหารายได้แล้ว ก็ต้องล็อกดาวน์รายจ่ายให้สอดคล้องกันด้วย

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการบริหารสถานการณ์ของรัฐบาลเกี่ยวกับจัดการการเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา2019 ว่า รัฐบาลต้องยอมรับได้แล้วว่า การที่บ้านเมืองที่เข้าสู่ภาวะวิกฤติ ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าที่เกิดขึ้นขณะนี้ ทั้งหมดมาจากการละเลยต่อหน้าที่และมาจากความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล โดย TDRI ก็ได้สรุปและยืนยันไปในทำนองเดียวกัน ทั้งการไม่กระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีน การจัดฉีดวัคซีนล่าช้า ประชาชนจำนวนไม่น้อยถูกเลื่อนฉีดลอยแพ การตรวจเชิงรุกที่จำกัด ไม่ยอมเปิดให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจได้อย่างทั่วถึงกว้างขวาง มีประชาชนต้องนอนริมถนนเพื่อรอตรวจ การจัดสรรเตียงให้กับผู้ป่วยที่ตกค้างจนเกิดปัญหา ประชาชนต้องรอคิวตรวจ รอผลตรวจ รอเตียง รอยา

มีประชาชนหลายคน หลายครอบครัว เสียชีวิตคาบ้านระหว่างที่รอเตียง มีเด็กจำนวนไม่น้อยต้องกำพร้า หลายครอบครัวติดเชื้อยกบ้าน กว่าจะถึงมือหมออาการก็หนัก ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ วันละ 70-90 คน เทียบเท่ากับเหตุเครื่องบินตกที่เกิดขึ้นทุก ๆ 3 วัน

จนในที่สุดรัฐบาล ต้องถูกสถานการณ์ที่ล้มเหลวที่ตนเองสร้างขึ้น บีบให้ตัวเองต้องใช้มาตรการกึ่งล็อกดาวน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มาตรการกึ่งล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้นซึ่งไม่ได้เป็นมาตรการตามยุทธศาสตร์ ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล และคนที่เดือดร้อน ทุกข์ร้อนที่สุด ที่หนีไม่พ้น ก็คือ ประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อย ทั้งที่หาเช้ากินค่ำ และหาค่ำกินเช้า ตลอดผู้ประกอบการ คนทำมาค้าขายรายเล็กรายน้อย ไม่ใช่แค่วันนี้เท่านั้น ผู้ประกอบการหลายราย ต้องหยุดกิจการไปก่อนหน้านี้นานแล้ว นี่คือความเสียหาย 2.5 แสนล้านบาทต่อเดือน ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รู้ดีจากรายงานที่นายอนุทินทำแล้วส่งมาให้ แต่ไม่เคยนำพา ไม่เคยใส่ใจ

“วันนี้จึงต้องเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเยียวยาประชาชนอย่างเป็นธรรม เยียวยาแบบที่เข้าไปนั่งในหัวใจของประชาชน ไม่ใช่เยียวยาแบบผู้ปกครองทรราชย์ ที่ทำแค่โยนเศษเนื้อข้างเขียงมาให้ แล้วก็พูดว่า "ก็ช่วยไปหมดแล้วจะเอาอะไรอีก" ” วิโรจน์ กล่าว

วิโรจน์ย้ำว่า การเยียวยาประชาชนที่จำเป็นต้องสั่งการ ให้รัฐบาลเร่งดำเนินการอย่างเร็วที่สุด ณ ขณะนี้ มีทั้งสิ้น 6 ข้อ ด้วยกัน คือ

1.) การเยียวยาที่สมเหตุสมผล การระบาดในครั้งนี้ รุนแรงกว่าการระบาดระลอกแรก ดังนั้น การเยียวยา จึงไม่ควรต่ำกว่า กรณี "เราไม่ทิ้งกัน" โดยขอสั่งการให้รัฐบาลเยียวยาให้กับประชาชนทั้งที่เป็นแรงงานในระบบ และแรงงานนอกระบบ ที่เป็นเงินสดแบบถ้วนหน้า ผ่านระบบพร้อมเพย์ เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ ในยามที่ประชาชนต้องเผชิญกับมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ของรัฐบาล

2.) มีจุดแจกจ่ายอาหารให้กับประชาชน เพื่อเก็บตกประชาชนกลุ่มเปราะบาง อย่าให้เกิดเหตุการณ์ที่ประชาชนต้องนำเอาข้าวกล่องไปดูแลกันเอง แล้วยังถูกตำรวจจับดำเนินคดีเกิดขึ้นอีก

3.) พิจารณาจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดย่อม โดยพิจารณาจ่ายเป็นร้อยละของรายได้ในเดือนก่อนที่จะมีการระบาดระลอกที่ 3 เพื่อชดเชยภาระในการแบกรับค่าใช้จ่ายคงที่ อาทิ ค่าเช่า และค่าแรงพนักงาน และต้องพิจารณาจ่ายชดเชยย้อนหลังให้กับผู้ประกอบการ ที่ต้องหยุดการประกอบกิจการ จากคำสั่งของรัฐบาลไปก่อนหน้านี้แล้วด้วย

4.) รัฐบาลต้องออกมาตรการช่วยเหลือ ค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ อาทิ ค่าน้ำ ค่าไฟ แก่ประชาชน และผู้ประกอบการรายย่อย

5.) รัฐบาลต้องออกมาตรการในการช่วยเหลือประชาชนที่ต้องจ่ายชำระหนี้แก่ธนาคาร หรือสถาบันการเงิน โดยพิจารณาการยกเว้นการจ่ายดอกเบี้ย และพักการชำระหนี้ ในช่วงมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ ที่กระทบกับการทำมาหากินของประชาชน เพราะในเมื่อรัฐบาลล็อกดาวน์การทำมาหากิน การหารายได้ของประชาชน รัฐบาลก็ต้องออกมาตรการในการล็อกดาวน์ค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ที่สอดคล้องกันด้วย

6.) ให้ประชาชน มีสิทธิ์ในการเบิกชุดตรวจ Rapid Antigen Test มาตรวจตัวเอง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ในจำนวนหนึ่ง ต่อสัปดาห์ เช่น 1 ชุดต่อสัปดาห์ โดยกำหนดให้ประชาชน ต้องรายงานผลตรวจ ให้กลับ สาธารณสุขทราบ หากพบผู้ติดเชื้อ ก็ให้เข้ารับการรักษาตามมาตรการของรัฐต่อไป สำหรับประชาชนที่ต้องการซื้อเพิ่มเติม ให้สามารถ ซื้อได้ในราคาถูก ราคาชุดละ 300-400 บาท ถือเป็นการซ้ำเติมประชาชนในยามยาก จึงต้องสั่งการให้รัฐบาล แก้ไขในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน

“ผมขอให้รัฐบาล เข้าไปนั่งในหัวใจของประชาชนบ้าง ไม่ใช่กดหัวประชาชนไม่ยอมเลิก” วิโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top