Thursday, 25 April 2024
POLITICS

“สงคราม” เชื่อยอดติดเชื่อพุ่งเกินหมื่นนอนรอความตายที่บ้านหลักพัน อัด “บิ๊กตู่” ทอดทิ้งประชาชนปล่อยนายทุนหาประโยชน์จากวิกฤตโควิด

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติและอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันมีประชาชนจำนวนมาก ต้องนอนรอที่วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน ข้ามวันข้ามคืน เพื่อตรวจหาเชื้อเพราะสามารถตรวจได้เพียงจุดล่ะ 300-400 คนต่อวันในขณะที่มีคนจำนวนนับพันไปรอการตรวจหาเชื้อ แต่รัฐบาลกลับไม่มีมาตราการที่จะอำนวยความสะดวกให้ประชาชนไม่มีแม้แต่เจ้าหน้าที่จะมาดูแลประชาชน

นอกจากนี้บางพื้นที่มีรายงานข่าวเข้ามาว่า เอกชนบางราย นำชุดตรวจหาโควิดไปให้บริการประชาชน หากจะตรวจต้องมีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ 800-1,000 บาท ต่อคน ทั้งๆที่รัฐบาลต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัตไว้ชัดว่า ประชาชนต้องเข้าถึงการบริหารทางการแพทย์โดยไม่ค่าใช้จ่าย แต่รัฐกลับปล่อยให้มีการหาประโยชน์จากการบริหารทางการแพทย์ของรัฐ

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า มาตรการล็อกดาวน์ 14 วัน คงไม่เกิดประโยชน์ เพราะรัฐบาลทำผิดพลาดมาตั้งแต่การปิดแคมป์คนงานส่งผลมีการนำเชื้อออกไปในพื้นที่ต่างๆทั้วประเทศ ในขณะเดียวกันรัฐบาลไม่มีกาป้องกันการระบาดในพื้นที่ต่างจังหวัด พบว่าหลายจังหวัดตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงขึ้น เพราะนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลส่งผลให้ประชาชนทุกพื้นที่ต้องรับความเสี่ยงไปด้วย
“การบริหารงานที่ผิดพลาด ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ประเทศไทยต้องประสบปัญหาหลายด้าน และล้มเหลวทุกด้าน พลเอกประยุทธ์ทำให้ระบบสาธารณสุขของไทยจากวิกฤตเป็นหายนะ ทั้งนี้เชื่อว่าหากมีการตรวจเชิงรุกจะพบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 10,000 คนอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกันมีจำนวนผู้ติดเชื้นอนความตายอยู่ที่บ้านมากกว่า 1,000 คน พลเอกประยุทธ์ไม่รู้สึกผิด หรือ ไม่สนใจในความเป็นความตายของพี่น้องประชาชน”นายสงครามกล่าว

“องอาจ” ขอบคุณ ครม. ช่วยต่อลมหายใจให้ผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ล็อกดาวน์

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ล็อกดาวน์ว่า ต้องขอขอบคุณคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีมาตรการเยียวยา ล่าสุดเพิ่มเติมรวม 9 สาขาอาชีพที่ได้รับผลกระทบโดยตรง มีรูปแบบการช่วยเหลือที่หลากหลายครอบคลุมกลุ่มบุคคลที่ได้รับผลกระทบมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการลดค่าน้ำค่าไฟที่กระจายไปยังประชาชนและภาคธุรกิจทั่วประเทศ อีกทั้งยังให้สถานศึกษาภาครัฐให้ความช่วยเหลือในการให้ส่วนลดเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ปกครองและนักเรียน นักศึกษาได้อย่างมาก

หลังจากนี้จะได้ติดตามตรวจสอบต่อไปว่า มาตรการเยียวยาที่ออกมาจะปฏิบัติจริงได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร โดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือด้านการพักชำระหนี้ให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าของสถาบันการเงิน

นอกจากนี้ขอฝากประเด็นที่ควรออกเป็นมาตรการเยียวยาเพิ่มเติมดังนี้
1. ควรงดเว้น หรือลดการเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ ของภาครัฐจากผู้ประกอบการ SME
2. กระทรวงการคลังควรหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารพาณิชย์เรื่องการให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการรายย่อย หรือซอฟท์โลนเกิดขึ้นได้จริง
3. ควรมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ทั่วประเทศให้เดินหน้าต่อได้ จนกว่าภาครัฐจะทำให้สถานการณ์โควิดแพร่ระบาดคลี่คลาย

อย่างไรก็ดียังมีกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากล็อกดาวน์คือ กลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น กลุ่มแรงงานนอกระบบ ที่อยู่นอกระบบประกันสังคม ซึ่งมาตรการเยียวยาล่าสุดจะมีมาตรการดึงแรงงานกลุ่มนี้ให้เข้ามาขึ้นทะเบียนประกันสังคมภายในเดือนกรกฎาคมนี้ แล้วจะได้เงินช่วยเหลือต่างๆ ตามที่กำหนด 

แต่ในความเป็นจริงอาจจะมีแรงงานนอกระบบ หรือกลุ่มอาชีพอิสระจำนวนไม่น้อยที่ไม่ประสงค์จะขึ้นทะเบียนประกันสังคมก็ควรได้รับการเยียวยา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากล็อกดาวน์ครั้งนี้เช่นกัน 

นายองอาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการแพร่ระบาดของโควิดระลอกสามจนนำมาสู่การล็อกดาวน์ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากได้รับผลกระทบ การที่ ครม. ออกมาตรการเยียวยาล่าสุดนี้จะช่วยต่อลมหายใจของผู้ได้รับผลกระทบให้สามารถมีกำลังกายกำลังใจที่จะต่อสู้กับปัญหาโควิด ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ต่อไปจนกว่าสถานการณ์โควิดจะคลี่คลายไปในที่สุด 

ราเมศ แจง ปชช อย่ากังวล สื่อสารได้ตามปกติ ยึดหลักสุจริต “ไม่บิดเบือน”

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึง ข้อห้ามที่กำหนดไว้ในประกาศข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 27) ในเรื่อง มาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ว่า

หลักการสำคัญของเรื่องนี้ คือการออกข้อกำหนดมามีเจตนารมณ์เพื่อป้องกันไม่ให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ข้อกำหนดในข้อ 11 จึงระบุข้อความมีสาระสำคัญคือ

"มาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิด ในสถานการณ์ฉุกเฉิน การข่าวหรือการทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิด ความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั่วราชอาณาจักรนั้น เป็นความผิดตามมาตรา 9 (3) แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548" 

จากข้อความดังกล่าว มีความชัดแจ้งอยู่ในตัวคือ มาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิด ในสถานการณ์ฉุกเฉิน หากมีการบิดเบือนด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จก็มีความผิด การนำข่าวสารที่ถูกต้องแน่ไปทำการบิดเบือนก็มีความผิด เช่นรัฐบาลประกาศตัวเลขผู้ติดเชื้อ จำนวนหนึ่ง แต่ไปบิดเบือนขยายต่อว่าผู้ติดเชื้อมีจำนวนมากเสียชีวิตมากกว่าที่รายงานกล่าวหาว่ารัฐบาลปกปิดจำนวนที่แท้จริง อันนี้ชัดเจนผิดแน่นอน ภาพข่าวมีคนเดินๆอยู่แล้วเป็นลมล้มเสียชีวิต แต่มาบิดเบือนว่าเกิดจากเพราะการฉีดวัคซีน อันนี้ก็ผิดอยู่แล้ว ไม่มีข้อกำหนดนี้ก็อาจจะผิดตามกฎหมายอื่น

นายราเมศ กล่าวว่า ไม่อยากให้ประชาชนวิตกกังวลจนเกินไป ไม่มีข้อความใดในข้อกำหนดว่าห้ามโพสต์สร้างความหวาดกลัว แม้เป็นความจริง ขอให้ทุกคนยึดหลักสุจริต สื่อสารด้วยความจริง ไม่บิดเบือน จะเป็นเกราะคุ้มกันได้ดีที่สุด 
คนที่ออกมาบิดเบือนข้อกำหนดนี้ที่พยายามบิดเบือนทำให้สังคมหวาดกลัวโดยบอกว่าห้ามโพสต์สร้างความหวาดกลัว แม้เป็นความจริง น่าจะเป็นคนนำร่องผิดข้อกำหนดนี้เป็นคนแรก เพราะบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร นำไปสู่การทำให้เกิดความเข้าใจผิด ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ข้อเท็จจริงยุติว่าข้อความดังกล่าวทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิด ความเข้าใจผิด ก็ต้องระมัดระวัง

นายราเมศ กล่าวตอนท้ายว่า หากสื่อสารด้วยความจริง สุจริต ไม่บิดเบือน ไม่ได้สร้างความสับสนให้สังคมเข้าใจผิด แล้วถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดี ให้แจ้งมาตนจะว่าความทำคดีให้ด้วยตนเอง

"บิ๊กตู่"ย้ำจำเป็นยกระดับมาตรการหลังเดลตาระบาดหนักทั่วโลก กำชับคุมราคาวัคซีนทางเลือก-ชุดตรวจไว Antigen Test Kit ต้องไม่แพงไม่ และเป็นภาระปชช. “ปลื้ม”ข่าวดีไทยผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ได้เอง เตรียมเร่งกระจายสถานพยาบาล-รพ.สนามทั่วประเทศ ยันไม่สต๊อกที่ส่วนกลาง 

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามแทนนายกรัฐมนตรี หลังการประชุม ครม.ถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์​การณ์แก้ปัญหาโควิด-19 ที่ค่อนข้างหนักหน่วงในเวลานี้ จนเกิดกระแสเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ลาออกเปิดทางให้คนอื่นมาแก้ปัญหาแทน ว่า เนื่องจากปัจจุบันการแพร่ระบาดโควิด มีสายพันธุ์เดลตาที่มีความรุนแรงและติดต่อได้ง่ายกว่าที่ผ่านมา ทำให้ขณะนี้กลายเป็นปัญหาทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และ4 จังหวัดภาคใต้ จึงมีการออกข้อกำหนด เพื่อลดการแพร่ระบาด ซึ่งการบริหารจัดการของรัฐบาลจำเป็นต้องยกระดับให้มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนและปลดล็อคในหลายเรื่องเพื่อเอาชนะโควิดให้ได้โดยเร็ว

นายอนุชา กล่าวย้ำว่า ในส่วนการจัดหาและฉีดวัคซีนจะจัดหาโดยเร็วและฉีดให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ฉีดไปแล้วมากกว่า 12 ล้านโดสและในปัจจุบัน รัฐบาลจะเร่งกระจายและเร่งฉีด ขณะนี้กระจายไปกว่า 5.4 ล้านโดส เพื่อลดการสูญเสียในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะกรุงเทพฯและปริมณฑลในพื้นที่สีแดงต้องระดมฉีดให้ได้อย่างน้อย 1 ล้านโดส ในช่วง 2 สัปดาห์ต่อจากนี้ไป และจะมีการจำกัดการเคลื่อนย้าย การเข้าออกพื้นที่จะให้สถานการณ์ กลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมได้โดยเร็ว 

นายอนุชา กล่าวว่า ส่วนประสิทธิภาพของวัคซีนมีผลการศึกษา จากการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์กลุ่มตัวอย่างในปัจจุบันประมาณ 7 แสนคนที่ได้รับวัคซีนแล้วทั้งซิโนแวคและแอสตราเซเนกา มีรายงานว่าในจำนวนนี้มีผู้ติดเชื้อ 707 คน คิดเป็น 0.01 % ของบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีนแล้ว มีอาการหนัก 3 รายและเสียชีวิต 2 ราย ซึ่งหากเทียบกับจำนวนผู้เสียชีวิตในภาพรวมของผู้ติดเชื้อทั้งประเทศก็สะท้อนให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนแมวป้องกันการติดเชื้อไม่ได้ 100 % แต่ก็ลดความรุนแรงและลดการเสียชีวิตได้เป็นอย่างมาก

นายอนุชา กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันได้มีการปลดล็อคในเรื่องการตรวจคัดกรอง ทั้งในส่วนการปลดล็อคให้โรงพยาบาลรับการตรวจให้ประชาชน แม้จะไม่มีเตียงรองรับ โดยให้ลงทะเบียนเข้าระบบแยกกับตัวและรักษาต่อไปตามความรุนแรงของอาการ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องปฏิเสธการตรวจโดยทันที นอกจากนี้ยังปลดล็อคการให้ใช้ชุดตรวจไวหรือที่เรียกว่า Antigen Test Kit โดยกระจายให้โรงพยาบาลหรือคลีนิคชุมชนสามารถใช้ได้ทันที พร้อมส่วนกลางที่จะให้ประชาชนซื้อไปใช้เองในระยะต่อไป โดยรัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการเรื่องกฎระเบียบต่างๆเพื่อปลดล็อคให้ได้ และให้ประชาชนสามารถไปใช้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป รวมถึงเรื่องการควบคุมราคา โดยนายกฯ ได้กำชับว่าราคาต้องไม่แพงและประชาชนต้องไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งในส่วนของวัคซีนทางเลือกและชุดตรวจไวหรือAntigen Test Kit ซึ่งย้ำว่ารัฐบาลไม่ได้เก็บภาษีนำเข้าในส่วนเหล่านี้

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า นอกจากนี้ในด้านการรักษา นอกจากมีการเพิ่มจำนวนเตียงเช่นที่รพ.บุษราคัม ที่เพิ่มเตียง จำนวน 1,000-2,500 เตียง ทำให้มีเตียงไม่ต่ำกว่า 3,000 - 4,000 เตียงแล้ว และยังได้เปิดศูนย์พักคอยอีก 17 แห่ง รองรับผู้ป่วย 2,560 เตียง และจะเสริมเป็น 3,000 เตียงต่อไป พร้อมกันนี้อนุมัติการแยกกับตัวที่บ้านหรือ Home isolation หรือการปรับตัวในชุมชนหรือ community isolationมาใช้ สำหรับผู้ติดเชื้อและไม่มีอาการหรืออาการน้อยในเกณฑ์สีเขียว โดยขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์พร้อมการติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างเต็มที่ รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและอาหารทุกมื้อ ไม่ต่างจากการเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลทั่วไป

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า อย่างไรก็ตามขณะนี้มีผู้ป่วยสีเขียวในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลขณะนี้ คิดเป็นร้อยละ 75 ของผู้ป่วยทั้งหมด ซึ่งหากบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วจะมีเตียงเพิ่มขึ้นอีก 40-50 % และจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสาธารณสุข นอกจากนี้มีข่าวดีคือเราสามารถผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ ได้เองและกำลังขึ้นทะเบียนตำรับยาเพื่อนำมาใช้โดยทันทีลดการนำเข้า ซึ่งขณะนี้มีอัตราการผลิตอยู่ที่ 3-5 ล้านเม็ดต่อเดือน โดยจะเร่งกระจายไปยังสถานพยาบาลโรงพยาบาลสนามต่างๆทั่วประเทศอย่างพอเพียงและไม่สต๊อกไว้ที่ส่วนกลาง เพื่อให้ผู้ป่วยได้ใช้ตั้งแต่อาการเริ่มแรกและเพื่อลดผู้ป่วยอาการหนักตั้งแต่ต้น พร้อมการส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยเช่นฟ้าทะลายโจรอย่างจริงจัง สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการน้อยหรือผู้ป่วยที่แยกกับตัวที่บ้าน ควบคู่กับยาหลักตามคำแนะนำของแพทย์ 

รัฐบาล รับส่งมอบวัคซีนอาจมีปัญหา ยันไม่หยุดเจรจานำเข้าให้มากที่สุด ย้ำ"ไฟเซอร์-จอห์นสันฯ-สปุตนิควี"จ่อเพิ่มเติมเข้ามา 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามนายกรัฐมนตรีภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงแผนการส่งมอบหรือแผนการกระจายวัคซีนที่หลายฝ่ายมองว่าไม่เป็นไปตามเป้า ว่า จากการสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงต่อที่ประชุม ครม.ว่า อาจจะมีการส่งมอบวัคซีนที่เป็นการนำเข้ามาซึ่งปัจจุบันหากมีปัญหาทางกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาล ยังมีการเจรจาเพิ่มเติมกับผู้ผลิตรายอื่นๆ รวมทั้งการนำเข้าจากผู้ผลิตทั้ง บริษัทไฟเซอร์ ฯ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันและ สปุตนิก วี (Sputnik V)
ซึ่งจะมีการเพิ่มเติมเข้ามาซึ่งรัฐบาลจะเร่งนำเข้าวัคซีนให้ได้มากที่สุดเพื่อนำมาฉีดให้กับประชาชนให้เร็วที่สุด

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับแผนการกระจายวัคซีน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการเพื่อกระจายตามข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขโดย ศบค. ได้พิจารณาจากการประชุมร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้เสนอต่อที่ประชุม ศบค. เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายตามคำแนะนำของคณะแพทย์ว่าวัคซีนที่นำเข้ามาควรจะฉีดให้กับใครและกระจายไปในพื้นที่จุดใด 

โศกนาฏกรรมโรงเรียนกินนอน​ บาปที่ ‘รัฐบาลแคนาดา’ พยายามโยนให้คริสตจักร

ชวนคิด!! ‘ทรูโด’ เชิญ ‘โป๊ป’ ขอโทษชนพื้นเมือง
เหตุต้องการเบี่ยงประเด็น โศกนาฏกรรมโรงเรียนกินนอนให้พ้นผิดจาก ‘รัฐบาลแคนาดา’
.
NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช
.
โดย อ.ต้อม - กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง
.

.


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กสม. ส่งหนังสือถึงนายกฯ ให้รัฐบาลชะลอเสนอขึ้นทะเบียนป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกก่อน จนกว่าแก้ปมสิทธิกลุ่มชาติพันธุ์กระเหรี่ยงบางกลอยคลี่คลาย

สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) เผยแพร่เอกสารข่าวระบุว่า ตามที่รัฐบาลจะนำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเพื่อรับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 44 ระหว่างวันที่ 16 – 31 ก.ค. 2564 นั้น กสม. โดย น.ส.พรประไพ กาญจนรินทร์ ประธานกสม.ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ลงวันที่ 12 ก.ค.64 เสนอให้รัฐบาลชะลอการเสนอขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติออกไปก่อน จนกว่าปัญหาสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยจะคลี่คลาย

โดยระบุว่า กสม. เห็นถึงคุณค่าของการขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม จากการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์สิทธิมนุษยชนกรณีกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน รวมทั้งที่ได้เคยตรวจสอบกรณีดังกล่าว กสม. มีข้อเสนอเพื่อพิจารณาในประเด็นดังนี้ 1. คณะกรรมการมรดกโลกขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้มีข้อกังวลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน ซึ่งในปัจจุบัน ยังปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหากรณีดังกล่าว อาทิ การโต้แย้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิทธิในพื้นที่ดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอย

2. แม้ภาครัฐได้พยายามแก้ไขปัญหาโดยการจัดสรรพื้นที่ให้กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยที่ถูกย้ายออกจากพื้นที่ดั้งเดิมแล้ว แต่ในทางปฏิบัติกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยยังประสบปัญหาในการใช้ประโยชน์จากที่ดินที่ได้รับการจัดสรรอย่างจำกัด ไม่ครบถ้วน และสภาพดินไม่สามารถทำกินได้อย่างเพียงพอ ต่อมา เมื่อประมาณต้นปี 64 กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยบางส่วนได้กลับเข้าไปทำกินและอยู่อาศัยในพื้นที่ดั้งเดิม ทำให้ถูกจับกุม และเกิดข้อขัดแย้ง กระทั่งได้มีการแก้ไขปัญหาตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 67/2564 ลงวันที่ 16 มี.ค.64 และมีการตั้งคณะอนุกรรมการ 5 ด้านขึ้นมา เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีผลการดำเนินการและข้อสรุปที่เป็นรูปธรรม ในขณะที่กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ซึ่งถูกจับกุมกำลังถูกดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย

3. กสม. ขอเสนอให้รัฐบาลชะลอการเสนอขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติออกไปก่อน จนกว่าปัญหาดังกล่าวจะคลี่คลายและได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วน ทั้งนี้ เมื่อปัญหาต่าง ๆ ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสมแล้ว กสม. พร้อมที่จะสนับสนุนการขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติต่อไป

โดยกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยมีลักษณะเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม ซึ่งควรได้รับการคุ้มครองสิทธิในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูอัตลักษณ์และวิถีชีวิตของตน รวมทั้งมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ตามที่รัฐธรรมนูญ60 และหนังสือสัญญาที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามได้ให้การรับรองไว้

ครม.เว้นค่าธรรมเนียม “สปา-นวด-เสริมงาม”อีก 1ปี ส่วนสถานดูแลผู้สูงอายุ เว้นให้ 2 ปี ลดภาระปชช.ช่วงโควิด

น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพรายปี  แก่ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการสปา กิจการนวดเพื่อสุขภาพหรือเพื่อเสริมความงาม ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 1 ปี  

ตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. 2564- 17 มี.ค. 2565 และยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการแก่การดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงแก่ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้มีภาวะพึ่งพิงเป็นระยะเวลา 2 ปี นับตั้งแต่ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้มีผลบังคับใช้เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาลดภาระและบรรเทาผลกระทบให้ผู้ประกอบการกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)และจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจต่อไป

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับค่าธรรมเนียมกิจการสปาอยู่ที่ปีละ 1,000 บาท กิจการนวดเพื่อสุขภาพหรือเสริมความงามปีละ 500 บาท และกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงโดยมีการพักค้างคืนปีละ 1,000 บาท โดยมีกิจการสปาจำนวน 905 แห่ง กิจการนวดเพื่อสุขภาพและเพื่อเสริมความงาม จำวน  10,934 แห่ง และกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 138 แห่ง ทั้งนี้การเว้นค่าธรรมเนียมในครั้งนี้ รัฐจะเสียรายได้ 6,640,000 บาท 

ประชุม ครม.ถกยาวมาตรการเยียวยา “บิ๊กตู่” ขอสวมบทเตมีย์ใบ้ ปัดตอบคำถามสื่อประเด็นสังคมเรียกร้องลาออก “โยน” โฆษกฯตอบแทน

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีใช้เวลายาวนาน โดยส่วนใหญ่เป็นการหารือถึงมาตรการเยียวยาผลกระทบต่อจาก โควิด-19 ซึ่งสื่อมวลชนยังคงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปปฎิบัติหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ ได้รับการแจ้งจากที่สำนักโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าการแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีวันเดียวกันนี้ทางทีมโฆษกฯประจำสำนักนายกฯ จะมีการแถลงผลการประชุมผ่านทางเอกสาร

ในส่วนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ยังไม่ตอบคำถามสื่อมวลชนที่ได้ส่งคำถามผ่านคณะทำงานไปเช่นเดิม แต่ได้มอบหมายให้นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตอบแทน ซึ่งประเด็นคำถาม แยกเป็น 2 ประเด็น คือ ประเด็นทางการเมือง ซึ่งผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงความเห็นต่อกระแสเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจาก ล้มเหลวในการบริหารงานบริษัทเพราะการแก้ปัญหาการแพร่ระบาด โควิด-19 รวมทั้งถามว่ามีความหวั่นไหวกับกระแสดังกล่าวหรือไม่ รวมทั้ง การตั้งคำถามว่า จะให้เหตุผลอย่างไร รวมทั้งมีวิธีรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร หากยังคงเดินหน้าทำหน้าที่ต่อไป อีกทั้งจะเรียกความเชื่อมั่นของคนไทยกลับคืนมาอย่างไร

นอกจากนี้ยังได้ตั้งคำถามนายกรัฐมนตรี ในประเด็นการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ทั้งแผนการส่งมอบวัคซีน ว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดหรือไม่ แผนการกระจายวัคซีน การปรับสูตร ยกเลิกซิโนแวค 2 เข็ม การสะท้อนภาพซิโนแวคขาดประสิทธิภาพ
รวมทั้งมาตรการเยียวยาของรัฐบาล จากผลกระทบล็อกดาวน์ล่าสุด

อย่าเยียวยาแบบทรราชย์ ‘วิโรจน์’ กระตุกรัฐบาลเร่งออก 6 มาตรการเยียวยา ชี้ ต้องนั่งในใจประชาชน ไม่ใช่แค่โยนเศษเนื้อข้างเขียงมาให้ ย้ำ เมื่อล็อกดาวน์การหารายได้แล้ว ก็ต้องล็อกดาวน์รายจ่ายให้สอดคล้องกันด้วย

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการบริหารสถานการณ์ของรัฐบาลเกี่ยวกับจัดการการเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา2019 ว่า รัฐบาลต้องยอมรับได้แล้วว่า การที่บ้านเมืองที่เข้าสู่ภาวะวิกฤติ ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าที่เกิดขึ้นขณะนี้ ทั้งหมดมาจากการละเลยต่อหน้าที่และมาจากความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล โดย TDRI ก็ได้สรุปและยืนยันไปในทำนองเดียวกัน ทั้งการไม่กระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีน การจัดฉีดวัคซีนล่าช้า ประชาชนจำนวนไม่น้อยถูกเลื่อนฉีดลอยแพ การตรวจเชิงรุกที่จำกัด ไม่ยอมเปิดให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจได้อย่างทั่วถึงกว้างขวาง มีประชาชนต้องนอนริมถนนเพื่อรอตรวจ การจัดสรรเตียงให้กับผู้ป่วยที่ตกค้างจนเกิดปัญหา ประชาชนต้องรอคิวตรวจ รอผลตรวจ รอเตียง รอยา

มีประชาชนหลายคน หลายครอบครัว เสียชีวิตคาบ้านระหว่างที่รอเตียง มีเด็กจำนวนไม่น้อยต้องกำพร้า หลายครอบครัวติดเชื้อยกบ้าน กว่าจะถึงมือหมออาการก็หนัก ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ วันละ 70-90 คน เทียบเท่ากับเหตุเครื่องบินตกที่เกิดขึ้นทุก ๆ 3 วัน

จนในที่สุดรัฐบาล ต้องถูกสถานการณ์ที่ล้มเหลวที่ตนเองสร้างขึ้น บีบให้ตัวเองต้องใช้มาตรการกึ่งล็อกดาวน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มาตรการกึ่งล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้นซึ่งไม่ได้เป็นมาตรการตามยุทธศาสตร์ ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล และคนที่เดือดร้อน ทุกข์ร้อนที่สุด ที่หนีไม่พ้น ก็คือ ประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อย ทั้งที่หาเช้ากินค่ำ และหาค่ำกินเช้า ตลอดผู้ประกอบการ คนทำมาค้าขายรายเล็กรายน้อย ไม่ใช่แค่วันนี้เท่านั้น ผู้ประกอบการหลายราย ต้องหยุดกิจการไปก่อนหน้านี้นานแล้ว นี่คือความเสียหาย 2.5 แสนล้านบาทต่อเดือน ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รู้ดีจากรายงานที่นายอนุทินทำแล้วส่งมาให้ แต่ไม่เคยนำพา ไม่เคยใส่ใจ

“วันนี้จึงต้องเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเยียวยาประชาชนอย่างเป็นธรรม เยียวยาแบบที่เข้าไปนั่งในหัวใจของประชาชน ไม่ใช่เยียวยาแบบผู้ปกครองทรราชย์ ที่ทำแค่โยนเศษเนื้อข้างเขียงมาให้ แล้วก็พูดว่า "ก็ช่วยไปหมดแล้วจะเอาอะไรอีก" ” วิโรจน์ กล่าว

วิโรจน์ย้ำว่า การเยียวยาประชาชนที่จำเป็นต้องสั่งการ ให้รัฐบาลเร่งดำเนินการอย่างเร็วที่สุด ณ ขณะนี้ มีทั้งสิ้น 6 ข้อ ด้วยกัน คือ

1.) การเยียวยาที่สมเหตุสมผล การระบาดในครั้งนี้ รุนแรงกว่าการระบาดระลอกแรก ดังนั้น การเยียวยา จึงไม่ควรต่ำกว่า กรณี "เราไม่ทิ้งกัน" โดยขอสั่งการให้รัฐบาลเยียวยาให้กับประชาชนทั้งที่เป็นแรงงานในระบบ และแรงงานนอกระบบ ที่เป็นเงินสดแบบถ้วนหน้า ผ่านระบบพร้อมเพย์ เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ ในยามที่ประชาชนต้องเผชิญกับมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ของรัฐบาล

2.) มีจุดแจกจ่ายอาหารให้กับประชาชน เพื่อเก็บตกประชาชนกลุ่มเปราะบาง อย่าให้เกิดเหตุการณ์ที่ประชาชนต้องนำเอาข้าวกล่องไปดูแลกันเอง แล้วยังถูกตำรวจจับดำเนินคดีเกิดขึ้นอีก

3.) พิจารณาจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดย่อม โดยพิจารณาจ่ายเป็นร้อยละของรายได้ในเดือนก่อนที่จะมีการระบาดระลอกที่ 3 เพื่อชดเชยภาระในการแบกรับค่าใช้จ่ายคงที่ อาทิ ค่าเช่า และค่าแรงพนักงาน และต้องพิจารณาจ่ายชดเชยย้อนหลังให้กับผู้ประกอบการ ที่ต้องหยุดการประกอบกิจการ จากคำสั่งของรัฐบาลไปก่อนหน้านี้แล้วด้วย

4.) รัฐบาลต้องออกมาตรการช่วยเหลือ ค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ อาทิ ค่าน้ำ ค่าไฟ แก่ประชาชน และผู้ประกอบการรายย่อย

5.) รัฐบาลต้องออกมาตรการในการช่วยเหลือประชาชนที่ต้องจ่ายชำระหนี้แก่ธนาคาร หรือสถาบันการเงิน โดยพิจารณาการยกเว้นการจ่ายดอกเบี้ย และพักการชำระหนี้ ในช่วงมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ ที่กระทบกับการทำมาหากินของประชาชน เพราะในเมื่อรัฐบาลล็อกดาวน์การทำมาหากิน การหารายได้ของประชาชน รัฐบาลก็ต้องออกมาตรการในการล็อกดาวน์ค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ที่สอดคล้องกันด้วย

6.) ให้ประชาชน มีสิทธิ์ในการเบิกชุดตรวจ Rapid Antigen Test มาตรวจตัวเอง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ในจำนวนหนึ่ง ต่อสัปดาห์ เช่น 1 ชุดต่อสัปดาห์ โดยกำหนดให้ประชาชน ต้องรายงานผลตรวจ ให้กลับ สาธารณสุขทราบ หากพบผู้ติดเชื้อ ก็ให้เข้ารับการรักษาตามมาตรการของรัฐต่อไป สำหรับประชาชนที่ต้องการซื้อเพิ่มเติม ให้สามารถ ซื้อได้ในราคาถูก ราคาชุดละ 300-400 บาท ถือเป็นการซ้ำเติมประชาชนในยามยาก จึงต้องสั่งการให้รัฐบาล แก้ไขในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน

“ผมขอให้รัฐบาล เข้าไปนั่งในหัวใจของประชาชนบ้าง ไม่ใช่กดหัวประชาชนไม่ยอมเลิก” วิโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'ดร.พิมพ์รพี' วอนรัฐ บอกให้ชัด ทำอย่างไรกับ ปชช.ที่ฉีดซิโนแวคแล้วสองเข็ม เติมเข็มที่สามให้ หรือให้ดิ้นรนเอาเอง แนะ รัฐคิดไปข้างหน้าแทนตามแก้ปัญหา เร่งสร้างความเชื่อมั่น โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยว วอน หาเจ้าภาพประสานรับตัวส่งต่อผู้ป่วยกลับบ้านเกิด แนะเสนอหล

ดร.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ว่า แม้รัฐบาลจะพยายามออกมาตรการหลายอย่าง แต่ต้องยอมรับความจริงว่ามักจะช้าไปก้าวหนึ่งเสมอ เช่น โฮมควอรันทีน โลคอลควอรันทีน ซึ่งที่จังหวัดกระบี่ เดินหน้าเรื่อง โลคอลควอรันทีนมานานแล้ว นโยบายที่รัฐออกมาจึงช้ากว่าการจัดการของโลก จึงขอถามไปข้างหน้าถึงจังหวัดท่องเที่ยวที่มีโรงแรมมาก ๆ รวมถึงภูเก็ต ในเรื่องความปลอดภัย เพราะแม้จะมีการฉีดซิโนแวคไปสองเข็มแล้ว แต่ล่าสุดภาครัฐยอมรับการฉีดสองเข็มภูมิยังไม่ขึ้น ต้องมีบูทเข็มสาม และยังจะให้มีการฉีดเอสตร้าเซนนิกาด้วย คำถามคือการสร้างความเชื่อมั่นต่อจากนี้จะทำอย่างไร คนที่ฉีดวัคซีนไปสองเข็มแล้วจะได้รับเข็มสามจากภาครัฐจัดหาหรือไม่ หรือต้องเข้าสู่โหมดพึ่งตัวเอง  รัฐบาลต้องคิดไปข้างหน้าและให้คำตอบกับประชาชน ก่อนที่ประชาชนจะให้คำถาม ทุกนโยบายที่ออกมาจึงต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจน ไม่ใช่ตามแก้ในภายหลัง ซึ่งจะยิ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลลง

“ยังมีปัญหานำผู้ป่วยจากกทม.กลับบ้านในต่างจังหวัด ในส่วนกลางยังไม่มีมาตรการเชื่อมโยงกับจังหวัดต่าง ๆ เลย มีแต่แต่ละจังหวัดต้องดิ้นรนกันเอาเองทั้งสิ้น ถ้ามีการดำเนินการอย่างเป็นระบบประสานจากส่วนกลางสู่จังหวัด จะทำให้การเข้าถึงระบบสาธารณสุขของผู้ป่วยทำได้ง่ายขึ้น และยังช่วยกระจายผู้ป่วยเข้าสู่การรักษาในพื้นที่ที่ยังไม่เกิดวิกฤตสาธารณสุข ผ่อนคลายสถานการณ์ภายในกทม.ได้ด้วย เรื่องเหล่านี้ท่านต้องทำอย่างเป็นระบบ แต่ตอนนี้เรายังไม่เห็น ปัญหาใหญ่อีกประเด็นหนึ่งคือการส่งผู้ป่วยกลับบ้านเกิดถ้าระยะทางใกล้ความยุ่งยากน้อย แต่ถ้าระยะทางไกลจะเป็นปัญหามาก เนื่องจากรถที่ใช้รับส่งยังไม่มีการกั้นระว่างคนขับกับผู้โดยสารอย่างเป็นมาตรฐาน ใช้แอร์ร่วมกัน ไม่เพียงคนขับเสี่ยง กู้ภัยที่นั่งไปด้วยเป็นเวลากว่าสิบชั่วโมงก็หนีไม่พ้นความเสี่ยงด้วยเช่นเดียวกัน ตอนนี้ส.ส.ช่วยประสานกันเต็มที่ แต่รัฐควรมีมาตรการที่เป็นระบบและมีหน่วยงานเจ้าภาพในเรื่องนี้ด้วย” ดร.พิมพ์รพี กล่าว

สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า หลายเรื่องที่รัฐบาลดำเนินการขณะนี้เป็นเรื่องดี แต่ช้าไป ไม่ว่าจะเป็นฟ้าทะลายโจร หรือระบบการรักษาทางไกล ให้ผู้ป่วยสีเขียวรักษาตัวที่บ้าน ซึ่งก็ไม่อยากฟื้นฝอยหาตะเข็บว่าเกิดจากปัญหาอะไร แต่อยากให้เป็นบทเรียนที่ต้องตระหนักว่า การออกนโยบายต้องคิดไปข้างหน้า ไม่ใช่ตามแก้หลังเกิดปัญหา จังหวัดกระบี่ตอนนี้พบการติดเชื้อในโรงเรียนปอเนาะถึงหนึ่งพันคน ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ทำงานหนักมาก กรมการแพทย์ควรประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งหลักเกณฑ์ปิดโรงเรียนในพื้นที่เสี่ยงเพราะเมื่อเกิดปัญหาแล้วตามแก้ไขยาก เนื่องจากการระบาดไปไกลและยังเป็นภาระงบประมาณด้วย

'ราเมศ' ย้ำ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นไปตามหลัก ปชต ประชาธิปัตย์ ลุย ช่วย ปชช ก่อน 

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านจะมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า หลักการในการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือหนึ่งในกระบวนการที่สำคัญในการตรวจสอบรัฐบาล เป็นหน้าที่ที่สำคัญของฝ่ายค้าน ตามระบบประชาธิปไตย เชื่อว่าฝ่ายรัฐบาลก็พร้อมชี้แจง รัฐมนตรีคนใดที่ถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจก็มีหน้าที่ต้องชี้แจง ส่วนรัฐมนตรีของพรรค ไม่มีความกังวล เพราะยึดหลักซื่อสัตย์ สุจริต ในการทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ ยิ่งสถานการณ์ขณะนี้ต้องทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ให้สุดความสามารถ มุ่งประโยชน์ของประชาชนและประเทศเป็นที่ตั้ง การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางจะมีรัฐมนตรีคนใดบ้างและยื่นช่วงเวลาใดก็เป็นดุลพินิจของฝ่ายค้าน ไม่สามารถไปก้าวล่วงได้

ศปฉ.ปชป. ช่วยคนแก่ติดเตียงอายุ 104 ปี ติดโควิด ส่งตัวไปรักษาเร่งด่วน ญาติปลื้มหลังช่วยเหลือทันท่วงที 

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้รับผิดชอบประสานข้อมูลผู้ติดเชื้อเพื่อการส่งต่อ ศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด-19 พรรคประชาธิปัตย์ (ศปฉ.ปชป.) เปิดเผยว่าทีมอาสาของศูนย์ฯ ได้ทำงานกันอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยหาเตียงให้กับผู้ป่วย ล่าสุดได้รับแจ้งจากนายชนินทร์ รุ่งแสง อดีต ส.ส. ของพรรค ว่าได้ให้การช่วยเหลือหาเตียงให้กับผู้ป่วยโควิด-19 อายุ 104 ปี เพื่อส่งตัวต่อไปเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลหลังจากทราบผลการตรวจว่าติดเชื้อ และถือเป็นกลุ่มเสี่ยงหากปล่อยให้รอเตียงหลายวันเนื่องจากเป็นผู้สูงอายุ

ทั้งนี้ผู้ติดเชื้อคือนางทองหล่อ อินทร์อ่ำ ข้อมูลจากเพจ CWN News Thailand ระบุว่าน่าจะเป็นคนไทยที่มีอายุเกือบมากสุดที่ติดเชื้อโควิด-19 เนื่องจากมีอายุตามบัตรประจำตัวประชาชน 99 ปี เกิดเมื่อวันที่ 2 ม.ค.  2465 แต่หลานชายซึ่งพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกันระบุว่าคุณยายทองหล่อมีอายุที่แท้จริงคือ 104 ปีแล้ว แต่ตอนทำบัตรประชาชนไม่ได้แก้ไขให้ถูกต้อง โดยนางทองหล่อเป็นผู้ป่วยติดเตียงอยู่บ้าน ซ.สวนผัก 25 ถ.สวนผัก เขตตลิ่งชัน กทม. พร้อมลูกสาว ลูกเขย และหลาน ๆ  ติดรับเชื้อจากลูกเขยที่มาดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำ ได้ไปตรวจเชื้อครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 ก.ค. และตรวจครั้งที่ 2 ที่โรงพยาบาลกลาง เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ผลการตรวจออกมาเมื่อวันที่ 11 ก.ค. พบว่าติดเชื้อโควิด  และเนื่องจากคุณยายทองหล่อ อายุมากถึง 104 ปีแล้ว หลานชายจึงได้ขอความช่วยเหลือเร่งด่วนในวันเดียวกันไปยังนายชนินทร์ รุ่งแสง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ช่วยดูแลในพื้นที่ นายชนินทร์จึงได้มีการเร่งประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนำผู้ป่วยส่งไปยังสนามที่ดูแลโดยโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมืองเป็นผลสำเร็จวานนี้ (12 ก.ค. 64) 

ภายหลังจากนั้นเฟซบุ๊กของ Sirichai Singhajaru ซึ่งเป็นหลานชายของนางทองหล่อ โพสต์ข้อความขอบคุณนายชนินทร์ รุ่งแสงและผู้เกี่ยวข้องที่ช่วยประสานเตียงให้คุณยายด้วยความรวดเร็ว จนถึงมือสถานพยาบาลด้วยความปลอดภัย 

โดยนายชนินทร์ เป็นหนึ่งในทีมอาสาช่วยประสานหาเตียงของพรรคประชาธิปัตย์ มาตั้งแต่การระบาดระลอกใหม่ที่ทำงานอย่างเข้มแข็ง ที่ผ่านมาได้ช่วยประสานเตียงให้ผู้ป่วยไปแล้วหลายราย รวมถึงการแจกจ่ายข้าวกล่อง และการแจกถุงยังชีพให้กับผู้ที่เดือดร้อนต้องกักตัว 

“การประสานเตียงในช่วงนี้จะทำงานได้ยากจากสถานการณ์วิกฤตเตียงผู้ป่วยโควิด-19 ที่ตัวเลขพุ่งสูงขึ้นสวนทางกับจำนวนเตียงที่จะรองรับ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทำให้มีผู้ป่วยรอเตียงตกค้างอยู่ที่บ้านจำนวนมาก ทั้งสีเขียวและสีเหลือง บางรายเข้าข่ายสีแดงที่ต้องเร่งหาเตียงให้อย่างรวดเร็ว แต่ทีมอาสาของพรรคฯ ยังมุ่งมั่นทำงานที่จะให้ความช่วยเหลือ ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่เปิดศูนย์มา มีผู้ร้องขอความช่วยเหลือมามากกว่า 1,000 ราย และช่วยเหลือได้เกิน 80% ถึงแม้ในช่วงนี้บางวันทีมจะหาเตียงให้ได้เพียง 4-5 ราย ก็นับว่าช่วยต่อลมหายใจให้ได้อีกหลายครอบครัว ดีกว่าการอยู่เฉยๆ และไม่ลงมือทำอะไร” นางดรุณวรรณ กล่าว

พท.แนะใช้หอประชุม รร.เป็นที่กักตัวแทนเถียงนา รับช่วย ปชช.จนเงินเดือน ส.ส.หมดทุกเดือน 

นายภาควัต ศรีสุรพล ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า แนวคิดเถียงนาโมเดลของ ศบค.ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น สถานการณ์จริงหลายพื้นที่ในจ.ขอนแก่น ได้มีประชาชนใช้เถียงนาอยู่อาศัยชั่วคราวหลังพบว่าตนเองติดโควิดอยู่แล้ว โดยเฉพาะในอ.สีชมพู ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดคลัสเตอร์ฟันน้ำนม เด็กและครูในสถานรับเลี้ยงเด็กติดเชื้อจำนวนมาก ส่งผลให้พ่อแม่ผู้ปกครองต้องกักตัว แต่ด้วยศักยภาพของเถียงนานั้นไม่สามารถที่จะใช้เป็นสถานที่กักตัวได้ เป็นได้เพียงสถานที่แยกตัวเท่านั้น เนื่องจากเถียงนาไม่มีระบบสาธารณูปโภคเพียงพอต่อการใช้ชีวิต เช่น ห้องน้ำ ไฟฟ้าซึ่งจำเป็นมาก จึงได้ช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในเบื้องต้น โดยได้ร่วมกับผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันจัดทำถุงกำลังใจ ซึ่งมีอาหารแห้งพร้อมรับประทาน รวมถึงของใช้จำเป็นเบื้องต้น ประสานไปยังอำเภอนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้ที่กักตัวและแยกตัวในอ.ภูเวียง อ.เวียงเก่า อ.หนองนาคำ และอ.สีชมพูแล้ว 

นายภาควัต กล่าวต่อว่า เหตุที่จำเป็นต้องเปิดรับบริจาค เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมายอมรับว่าได้ใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัว ที่เป็นเงินเดือนและค่าตอบแทน ส.ส. ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ติดต่อกันหลายเดือนจนหมดแล้ว แม้เงินเดือน ส.ส.อาจจะน้อยเมื่อเทียบกับเงินเดือนของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ ผอ.ศบค.และรัฐมนตรีอีกหลายคนที่สละเงินเดือน 3 เดือน แต่ยืนยันว่าจะทำงานให้คุ้มค่ากับเงินเดือนที่มาจากเงินภาษีของพี่น้องประชาชนที่จ้างมาทำงานให้คุ้มค่าครบทุกบาททุกสตางค์ ทั้งนี้ ประชาชนที่อยู่เถียงนาหลายอำเภอในขอนแก่นค่อนข้างลำบาก ถ้าเป็นไปได้อยากให้รัฐบาลโดย ศบค.จัดโซนนิ่งสถานที่กักตัว โดยใช้สถานที่หอประชุมโรงเรียนที่ปิดการเรียนการสอนมาเป็นสถานที่กักตัว เพราะมีห้องน้ำและเหมาะกับการอยู่อาศัยมากกว่าเถียงนา

รัฐบาล เผย ไทย วิจัยยาฟาวิพิราเวียร์ สำเร็จ อย.จ่อขึ้นทะเบียนตำรับยา หวัง ลดนำเข้า-ส่งขายตปท.

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ติดตามความคืบหน้าการวิจัยและพัฒนาการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ในประเทศ สำหรับต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ BCG (Bio-Circula-Green Economy) ของรัฐบาล โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รายงานว่า ได้มีการลงนามความร่วมมือระหว่าง สวทช. องค์การเภสัชกรรม (อภ.) และ บริษัท ปตท. เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนากระบวนการสังเคราะห์สารตั้งต้น (Active Pharmaceutical Ingredients : API) ของการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ ความเป็นไปได้ในการผลิตเชิงพาณิชย์ เพี่อสร้างความมั่นคงทางยาให้แก่ประเทศไทย โดยความร่วมมือดังกล่าว มีความคืบหน้าอย่างมาก สามารถสังเคราะห์สารตั้งต้นที่มีความบริสุทธิผ่านเกณฑ์มาตรฐาน และยังเป็นการสังเคราะห์จากสารตั้งต้นที่มีราคาถูกโดยไม่ต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันต้องมีการนำเข้ามากถึงร้อยละ 95 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ในเดือนกรกฎาคมนี้ ทางองค์การเภสัชกรรมคาดว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ที่ได้วิจัยและพัฒนาขึ้นนั้น จะได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และจากนั้นจะเป็นการผลิตเชิงพาณิชย์เพื่อให้ผู้ป่วยโควิด-19 เข้าถึงยาอย่างเพียงพอ เมื่อทุกอย่างสำเร็จลุล่วง ประเทศไทยจะสามารถผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ในราคาที่ถูกกว่านำเข้าอย่างมาก 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง สวทช. อภ. และ บริษัท ปตท. ด้วยว่า ครอบคลุมตั้งแต่การทดสอบในระดับห้องปฏิบัติการ (Laboratory scale) การถ่ายทอดเทคโนโลยีจนถึงระดับอุตสาหกรรม (Industrial scale) ตลอดจนการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (Feasibility Study) ที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ จึงถือเป็นอีกหนึ่งโมเดลความร่วมมือรัฐ-เอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมยา ขณะเดียวกันการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยนักวิจัยไทยก็มีความก้าวหน้าไปมากเช่นกัน แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขของไทย ระยะยาวนำไปสู่การลดการนำเข้า และยังเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้ประเทศก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง ซึ่งบุคคลากรมีทั้งความรู้และนำไปต่อยอดเพื่อการผลิตขายต่อไปด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top