Monday, 20 May 2024
POLITICS

“บิ๊กตู่” สั่งเกษตร-พาณิชย์คุมด่วนราคาปุ๋ย-อาหารสัตว์

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แสดงความเป็นห่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ได้ส่งผลต่อระบบการค้าโลกแล้ว โดยราคาน้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์และสินแร่ที่มีการซื้อขายระหว่างประเทศพุ่งสูงขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว และหากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อ จะยิ่งทำให้การค้าโลกมีข้อจำกัดมากยิ่งขึ้น
 
โดยเฉพาะปุ๋ยและวัตถุดิบอาหารสัตว์ อาทิ ข้าวสาลี และข้าวโพด จะมีราคาเพิ่มขึ้นอีกเพราะรัสเซียและยูเครนเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญ ขณะที่ ไทยยังต้องนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์และปุ๋ยจากต่างประเทศเป็นหลัก ประกอบกับราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญในการขนส่งสินค้าปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปุ๋ยในประเทศมีราคาแพงตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 ถึงปี 2565  

'หมอวรงค์' รู้ทัน!! เหตุ ‘โทนี่’ ป้วนเปี้ยนใกล้ไทย หวังปลุกกระแสดันลูกสาวนั่งนายกฯ พาตนกลับบ้าน

นพ.วรงค์ เดชวิกรม หัวหน้าไทยภักดี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เคลื่อนไหวป้วนเปี้ยนแถวสิงคโปร์ ระบุว่า…

#สิ่งที่นายทักษิณต้องตระหนัก

นายทักษิณต้องรู้ตัวว่า ตนเองคือนักโทษที่หลบหนีคดีอาญา ที่ศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งนักการเมือง เคยมีคำพิพากษา ตัดสินจำคุกแต่หนีคดีไม่ยอมรับโทษ

ในอดีตมีคำพิพากษาที่จำคุกไปแล้ว 4 คดี รวมทั้งหมด 12 ปี มีเพียงคดีที่ดินรัชดา ที่ศาลตัดสินจำคุก 2 ปี และคดีหมดอายุความ จึงเหลือคดี ที่ต้องจำคุก 3 คดี รวมเวลา 10 ปี ยังไม่นับคดีที่รอ ป.ป.ช. ชี้มูล

การที่นายทักษิณ มาป้วนเปี้ยนแถวสิงคโปร์ พยายามปลุกระดม ผ่านคลับเฮาส์ ว่าจะกลับบ้าน พ.ศ.นี้ ก็เป็นส่วนของการหวังผล สร้างกระแสให้ลูกสาวมาชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อพาตนเองกลับบ้าน

“ปชป.”หนุนประชาชนเป็นสมาชิกพรรค ไม่ต้องเสียเงิน ชี้ไม่ควรเอากการฉ้อฉลของบางพรรค มาปิดกั้นการมีส่วนร่วม 

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์  กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ฉบับที่.. พ.ศ…. พิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง  ได้หยิบยกในประเด็นเงินค่าบำรุงพรรคการเมืองว่า หลักการมีส่วนร่วมในทางการเมือง สิทธิขั้นพื้นฐานคือประชาชนสามารถเข้าร่วมดำเนินกิจกรรมกับพรรคการเมืองได้อย่างกว้างขวางและเต็มที่ โดยเฉพาะการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ไม่ควรมีจำนวนเงินมาขวางกั้นการเข้าเป็นสมาชิกพรรค ไม่ว่าประชาชนจะมีฐานะร่ำรวยหรือไม่มีฐานะ ก็จะต้องเกิดความเท่าเทียมกันในการเข้ามามีส่วนร่วมกับพรรคการเมืองโดยการเป็นสมาชิกพรรค เงินจำนวน 100 บาท หรือ 2,000 บาทกรณีรายปี อาจจะดูไม่มากสำหรับคนที่มีฐานะ แต่สำหรับชาวบ้านถือว่าจำนวนเงินเป็นอุปสรรคต่อการเข้าเป็นสมาชิกพรรคอย่างแน่นอน

นายราเมศกล่าวต่อว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนที่จะมีการยกเลิกสมาชิกหากไม่มีการยืนยันสมัย คสช เคยมีสมาชิกมากที่สุดกว่า 3 ล้านคน โดยกฎหมายที่ผ่านมามีทั้งเก็บเงินค่าบำรุงและไม่มีการเก็บค่าบำรุง แต่กรณีไม่เก็บเงินค่าบำรุงพรรค ประชาชนจะให้ความสนใจเข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุด การเข้ามามีส่วนร่วมในหลายเรื่องมีค่ามากกว่าเงิน 100 บาท เช่น การนำเสนอแนวนโยบาย การช่วยประชาสัมพันธ์กิจกรรมและผลงานของพรรค รวมถึงการร่วมในการดำเนินกิจกรรมกับพรรคในรูปแบบอื่นๆมากมาย อาจจะมีการอ้างว่าเพื่อป้องกันการระดมใช้วิธีการฉ้อฉลของพรรคการเมืองที่จะไปนำเอาสำเนาบัตรประชาชนแล้วมาปลอมการสมัคร ในประเด็นนี้คิดว่า ไม่ควรตั้งหลักการฉ้อฉลของพรรคการเมืองบางพรรค มาปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่ควรหาวิธีการป้องกันสิ่งเหล่านี้อย่างรัดกุมและจริงจัง 

“ที่จริงแล้วกฎหมายพรรคการเมืองในปัจจุบัน มาตรา 30 ได้กำหนดห้ามมิให้พรรคการเมืองหรือผู้ใดให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อมเพื่อจูงใจให้บุคคลหนึ่งบุคคลใด สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค และในส่วนของประชาชนก็ระบุไว้ชัดในมาตรา 31 ว่าห้ามมิให้ เรียก รับ หรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด จากพรรคการเมืองหรือจากผู้ใดเพื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิก

โฆษก ทอ.เผย การจัดหาเครื่องบินขับไล่ ต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี นำไปสู่การพึ่งพาตนเอง และการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

เมื่อวันที่ 11 มี.ค.พล.อ.ต. ประภาส  สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์การใช้งานเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน เพื่อรองรับภารกิจการบินรบในอากาศ การโจมตีทางอากาศ การปฏิบัติการเชิงรุกที่ก่อให้เกิดความได้เปรียบต่อฝ่ายตรงข้าม และการปฏิบัติการรวมทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงบูรณาการความร่วมมือในการป้องกันประเทศ และรักษาผลประโยชน์แห่งชาติกับเหล่าทัพอื่น 

โดยคณะกรรมการศึกษาและจัดทำความต้องการเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน ได้กำหนดแนวทางการถ่ายทอดเทคโนโลยีเบื้องต้นที่ควรได้รับจากการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน ประกอบด้วย

1. มีข้อเสนอให้ทุนการศึกษาแก่ประเทศไทยในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท จำนวนที่เหมาะสม เพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่สำคัญ และส่งเสริมการพัฒนาประเทศในภาพรวม 

2. บุคลากรของกองทัพอากาศควรได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Offset Scholarship) เพื่อการพัฒนาด้านต่าง ๆ บนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ตลอดจนมีขีดความสามารถในการทดสอบการใช้งาน การติดตามผลการใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง และการรับรองมาตรฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล 

3. การถ่ายทอดเทคโนโลยีในส่วนของการออกแบบอากาศยานที่สามารถซ่อนพรางจากการตรวจจับด้วยสัญญาณเรดาร์ (Stealth) ทั้งในส่วนการออกแบบอากาศยาน (Aircraft Design) การออกแบบพื้นผิววัสดุของอากาศยาน (Material Design) และการซ่อมบำรุงการซ่อนพราง 

4. การถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการประยุกต์ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) นำองค์ความรู้มาประยุกต์ใช้ในระบบบัญชาการและควบคุม ในการพิจารณาภัยคุกคาม (Threat Assessment & Analysis) เพื่อให้ระบบบัญชาการและควบคุม มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

5. การถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านงานส่งกำลังบำรุงแบบบูรณาการในการติดตามระบบส่งกำลังบำรุง ระบบการจัดการ, การซ่อมบำรุงพัสดุ ในแบบ Realtime และสามารถนำมาพิจารณาแนวโน้มความต้องการพัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมบำรุงรักษาได้ 

6. การถ่ายทอดเทคโนโลยีองค์ความรู้ด้านการบินทดสอบอากาศยานที่ทันสมัย และการบินทดสอบอากาศยานไร้คนขับในลักษณะ Manned-Unmanned Teaming (MUM-T) ให้แก่นักบินของกองทัพอากาศ ซึ่งทำหน้าที่ทดสอบสมรรถนะ หรือการทำงานของอากาศยาน 

7. การถ่ายทอดเทคโนโลยีองค์ความรู้ในด้านวิเคราะห์และเลือกใช้อาวุธ (Target Weaponeering) 

และ 8. การถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Warfare) รวมถึงการได้รับการเข้าถึงบัญชีความถี่ (EW Library) 

กล่าวได้ว่าการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทนพร้อมระบบที่เกี่ยวข้องในครั้งนี้ ได้กำหนดแนวทางการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อนำไปสู่การพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต โดยคำนึงถึงคุณภาพของกำลังทางอากาศและขีดความสามารถในการปฏิบัติการทางอากาศ เพื่อปกป้องผลประโยชน์และรักษาความมั่นคงของชาติ 

“กองทัพอากาศยังคงดำรงเจตนารมณ์เช่นเดิมในเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยี แต่การดำเนินการที่เกี่ยวข้องในรายละเอียดทั้งหมดจะอยู่ในขั้นตอนต่อไป ภายหลังจากการเจรจากับประเทศผู้ขาย (ขอเวลาให้ คณะกรรมการฯ ดำเนินการ พิจารณาเลือกแบบเครื่องบินที่เหมาะสม ดำเนินการด้วยความรอบคอบก่อน)”พล.อ.ต.ประภาส กล่าว และว่า 

“บิ๊กตู่” พร้อมเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ ท่าอากาศยานเบตง จันทร์ที่ 14 มี.ค. นี้รองรับตลาดการท่องเที่ยว การพาณิชย์ เพื่อการลงทุนภายในประเทศและต่างประเทศ

เมื่อวันที่ 11 มี.ค.นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดการเป็นประธานเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์  ท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา ในวันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565  ที่อาคารที่พักผู้โดยสาร ท่าอากาศยานเบตง ตำบลยะรม อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ทั้งนี้ สนามบินเบตง เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2560 แล้วเสร็จเมื่อปี 2562 อาคารที่พักผู้โดยสาร มีพื้นที่ประมาณ 7,000 ตารางเมตร รองรับผู้โดยสารในชั่วโมงเร่งด่วนได้ประมาณ 300 คนต่อชั่วโมง และรองรับผู้โดยสารได้ 876,000 คนต่อปี ทางวิ่งหรือรันเวย์มีขนาดความยาว 1,800 เมตร รองรับได้เฉพาะอากาศยานขนาดเล็ก เช่น เครื่องบินแบบใบพัด ATR 70-80 ที่นั่ง สำหรับเส้นทางบินและการขึ้นลงของอากาศยาน จะอยู่ในน่านฟ้าของประเทศไทยเท่านั้น ไม่มีล้ำเข้าไปในน่านฟ้าของประเทศเพื่อนบ้าน เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อแก้ปัญหาการเดินทางสู่อำเภอเบตงที่มีสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงชันไม่สะดวกต่อการเดินทางให้สัญจรไปมาได้สะดวก ปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่

‘ไพศาล’ ฟันฉับ! พปชร. หนุน ‘สกลธี’ ลงสู้ศึกเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. เต็มร้อย

เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2565 นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า พปชร. สนับสนุนคุณสกลธี ในการสมัครผู้ว่ากทม. เต็มร้อย อัศวินขาลอย

สกลธี นี่แหละลูกเลิฟตัวจริงของลุงป้อม เป็นบุตรชายของพลเอกวินัย อดีตเลขาธิการสมช. ทีมงานความมั่นคงคู่ใจของลุงจิ๋ว ซึ่งคุณโทนี่พยายามจะปลดจากตำแหน่งถึง 3 ครั้ง แต่ได้ลุงจิ๋วขวางไว้ จึงดำรงตำแหน่งได้ตลอดรอดฝั่ง และ พลเอกวินัยก็คือ ผู้เป็นกาวใจ ระหว่างลุงป้อมกับบิ๊กบัง และทำให้บิ๊กบังใส่ชื่อ ทั้งลุงป้อม และ ท่านพัชรวาทเป็นสนช.

'บิ๊กตู่' พอใจ ศธ.แก้ไขปัญหาหนี้สินครูคืบหน้า ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการรอบแรก กว่า 2.9 หมื่นราย  

เมื่อวันที่ 11 มี.ค.นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญและติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งน.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้สนองนโยบายในการช่วยแก้ไขปัญหาหนี้สินครูมาอย่างต่อเนื่อง และสานต่อนโยบายของนายกรัฐมนตรีไปสู่การปฏิบัติ โดยได้ตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาในระดับกระทรวงขึ้น เร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินครูภายใต้แนวทางการลดภาระหนี้โดยรวมของครูให้น้อยลง ให้ครูมีรายได้ต่อเดือนเหลือไม่น้อยกว่า 30% ของเงินเดือน พร้อมกำหนดแนวทางขับเคลื่อนในเฟสแรกด้วยการลดดอกเบี้ย เปิดโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู ให้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูซึ่งเป็นเจ้าหนี้ครูรายใหญ่เข้าร่วม ขณะนี้มีสหกรณ์ออมทรัพย์ครู 70 แห่ง จากทั้งหมด 108 แห่ง เข้าร่วมปรับอัตราดอกเบี้ยแล้ว ซึ่งจะปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงตั้งแต่ 0.05-1.0% และมีสหกรณ์ 11 แห่ง สามารถปรับลดดอกเบี้ยให้ลงเหลือต่ำกว่า 5% มีครูได้รับประโยชน์ทันทีกว่า 460,000 คน และ ศธ. จะเร่งขยายผลให้ครอบคลุมทั่วประเทศในเฟสถัดไป โดยล่าสุดได้จัดตั้งสถานีแก้หนี้ครูระดับเขตพื้นที่การศึกษาและหน่วยงานทางการศึกษา จำนวน 481 แห่ง ระดับจังหวัด 77 จังหวัด รวม 558 สถานีทั่วประเทศ

นายธนกร กล่าวว่า ศธ. ได้เปิดโครงการ “สร้างโอกาสใหม่ให้ครูไทย” เมื่อ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา เปิดให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้ามาลงทะเบียนผ่านออนไลน์ที่เว็บไซต์ https://td.moe.go.th เพื่อแจ้งความประสงค์เข้าสู่ขั้นตอนกระบวนการเพื่อการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ในรอบแรกเปิดลงทะเบียนระหว่าง 14 ก.พ. - 14 มี.ค. 65 ซึ่งขณะนี้ (10 มี.ค. 65) มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมแล้วจำนวน 29,817 ราย ซึ่ง ศธ. จะส่งต่อให้เขตพื้นที่ฯ เร่งดำเนินการช่วยเหลือ ขณะเดียวกันจะเดินหน้าหาแนวทางแก้ไขที่หลากหลาย รวมถึงดำเนินการเกี่ยวกับกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดและเพื่อแบ่งเบาการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู ซึ่งจะช่วยทำให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เป็นหนี้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อันจะส่งผลต่อคุณภาพทางการศึกษาให้ดีขึ้นตามไปด้วย  

โฆษกรัฐฯเผย “บิ๊กตู่” ห่วงวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ ทำปุ๋ยแลอาหารสัตว์ราคาแพง กำชับพาณิชย์  เกษตรฯ ติดตามระดับราคาซื้อ-ขายในประเทศ กระจายแหล่งนำเข้าวัตถุดิบปุ๋ยและอาหารสัตว์   บรรเทาภาระผู้ประกอบการ เกษตรกรและประชาชน

เมื่อวันที่ 11 มี.ค.นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  มีความเป็นห่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลต่อระบบการค้าโลกแล้ว โดยราคาน้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์และสินแร่ที่มีการซื้อขายระหว่างประเทศพุ่งสูงขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว และหากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อ จะยิ่งทำให้การค้าโลกมีข้อจำกัดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะปุ๋ยและวัตถุดิบอาหารสัตว์ อาทิ ข้าวสาลี และข้าวโพด จะมีราคาเพิ่มขึ้นอีกเพราะรัสเซียและยูเครนเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญ ขณะที่ ไทยยังต้องนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์และปุ๋ยจากต่างประเทศเป็นหลัก 

ประกอบกับราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญในการขนส่งสินค้าปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปุ๋ยในประเทศมีราคาแพงตั้งแต่ช่วงปลายปี 64 ถึงปี 65  ซึ่งขณะนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  เร่งแก้ปัญหา ทั้งติดตามระดับราคาอาหารสัตว์และปุ๋ยให้ขึ้น-ลงสอดคล้องกับสัดส่วนต้นทุนที่แท้จริง  ไม่ให้มีการกักตุน ฉวยโอกาสขึ้นราคา ขณะเดียวกันก็ให้เร่งกระจายการนำเข้าวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยและอาหารสัตว์จากแหล่งนำเข้าอื่นๆ เพิ่มเติม รวมทั้งใช้มาตรการอื่นในการอำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหา ลดอุปสรรคการผลิต การนำเข้า เพื่อลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรด้วย

นายธนกร กล่าวว่า ในปี 2564 ไทยนำเข้าปุ๋ยเคมีจาก 45 ประเทศ ปริมาณ  5,520,883 ตัน คิดเป็นมูลค่า 70,103 ล้านบาท โดย 5 ประเทศที่ไทยนำเข้าปุ๋ยเคมีมากที่สุด ได้แก่ 1. จีน นำเข้า 1.25 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 16,997 ล้านบาท สัดส่วน 22.75% 2. ซาอุดีอาระเบีย   นำเข้า 8.4 แสนตัน คิดเป็นมูลค่า 10,707  ล้านบาท สัดส่วน 15.3 % 3. รัสเซีย นำเข้า 4.4 แสนตัน คิดเป็นมูลค่า 5,604 ล้านบาท สัดส่วน 8.06% 4. โอมาน นำเข้า 3.6 แสนตัน คิดเป็นมูลค่า 4,381 ล้านบาท สัดส่วน 6.64% 5.เกาหลีใต้ นำเข้า 3.3 แสนตัน คิดเป็นมูลค่า 3,417 สัดส่วน 6.14%  ทั้งนี้  ปุ๋ยเคมี และอาหารสัตว์ เป็นสินค้าควบคุมตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ หากจะมีการปรับราคา กระทรวงพาณิชย์จะต้องพิจารณาคำร้องของผู้ประกอบการก่อน ซึ่งขณะนี้ กระทรวงพาณิชน์แจ้งว่า ยังไม่มีใครทำเรื่องขอปรับราคาอย่างเป็นทางการ 

‘ปิยบุตร’ โหนแนวคิด ‘อานันท์’ ชี้ คดีม.112 มีเยอะ ต้องแก้ด้วยการนิรโทษกรรม

นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ระบุว่า ...

ถึงเวลาหรือยัง "เจตจำนงการเมือง" นิรโทษคดี ม.112? - หวังฝ่าย "รอยัลลิสต์" ออกมาเตือนสติสังคมก่อนจะสาย!

ในรายการ "เอาปากกามาวง" ตอนล่าสุด ได้พูดถึงเรื่องสำคัญหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นั่นก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับ "ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112" หรือ "ป.อาญา ม.112" หรือที่วันนี้เรามักจะเรียกกันสั้นๆ แต่เข้าใจตรงกันว่า "ม.112"

มี 3 กรณีของบุคคลที่ต้องกลายเป็นผู้ต้องหา และ 1 กรณีของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้ที่ชัดเจนว่าเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม ซึ่งได้ออกมาเตือนสติสังคมเรื่องการใช้กฎหมายมาตรานี้

แม้จะพูดไปในรายการแล้ว แต่เห็นว่ามีบางช่วงบางตอนซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่อยากจะชี้ให้เห็น จึงขอนำมาบอกกล่าวเป็นข้อเขียนตรงนี้อีกครั้งแบบสรุปรวบยอด ดังนี้

เริ่มที่ 3 กรณี ของเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ต้องกลายเป็นผู้ต้องหาคดี ม.112

***กรณีแอดมินเพจ 'กูKult' ต้องไม่ตีความรวม "วัตถุสิ่งของ"***

กรณีแรก คือกรณีของ นรินทร์ กุลพงศธร แอดมินเพจ 'กูKult' ซึ่งไปติดสติกเกอร์บนพระบรมสาทิสลักษณ์ รัชกาลที่ 10 ในการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2563

มีเรื่องที่อยากชวนคิดหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกระบวนการพิจารณาในศาล ที่จากรายงานของไอลอร์พบว่า ในการสืบพยานมีการแนะนำ แนะแนวเรื่องของการยอมรับผิด ลดโทษต่างๆ กับทางผู้ต้องหา, เรื่องการไม่บันทึกการถามค้านของพยานถึง 5 ประเด็น โดยหนึ่งในนั้นก็คือคำถามเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการทำลายพระบรมสาทิสลักษณ์ว่าเป็นความผิดทางไหน ทำลายทรัพย์สินราชการ หรือเข้าข่ายผิด ป.อาญา ม.112

รวมถึงการตัดพยานผู้เชี่ยวชาญของจำเลยออก โดยศาลให้เหตุผลว่าสามารถพิจารณาได้เอง จนทำให้ในที่สุด คดีนี้ก็มีคำพิพากษาออกมาอย่างรวดเร็วมาก และน่าจะเป็นคดี ม.112 คดีแรกที่เกิดจากการชุมนุม ในช่วงปี 2563-2564 ที่ศาลพิพากษาแล้วว่ามีความผิด ซึ่งจำเลยเตรียมที่จะอุทธรณ์ต่อไป

สิ่งที่อยากชวนพิจารณาคือว่า ในคำอธิบายกฎหมายอาญา ของปรมาจารย์ของผู้พิพากษาทั้งหลายอย่าง ศ.หยุด แสงอุทัย และ ศ.จิตติ ติงศภัทิย์ เขียนตำราระบุคำอธิบายในรายมาตรา 112 โดยอธิบายความหมายของคำว่าหมิ่นประมาทและดูหมิ่น โดยที่คำว่า "หมิ่นประมาท" ก็ให้ไปดูแบบ ม.326 คือให้เป็นแบบหมิ่นประมาทคนธรรมดา, หรือคำว่า "ดูหมิ่น" ก็ให้ตีความคำว่าดูหมิ่น เหมือน ม.134, ม.136, ม.393 เรื่องดูหมิ่นคนธรรมดา เช่นกัน

ตำรากฎหมายของปรมาจารย์ทั้งสองท่านระบุชัดว่า คำว่า "หมิ่นประมาท" กับ "ดูหมิ่น" ที่ปรากฏอยู่ใน ป.อาญา ม.112 ใช้นิยามเดียวกับคนธรรมดา คือต้องกระทำต่อตัวบุคคล จะขยายความกว่านี้ไม่ได้ ยิ่งกฎหมายอาญานั้น การตีความต้องเคร่งครัด

แต่จากกรณีของคุณนรินทร์ เป็นที่น่าสังเกตว่า คำว่า "หมิ่นประมาท" กับ "ดูหมิ่น" นั้น มีแนวโน้มของศาลที่จะขยับไปถึงเรื่องวัตถุสิ่งของด้วย

***วอนศาลพิจารณาอนุญาต ให้ "รวิสรา" ได้ไปเรียนต่อ***

ต่อมา คือกรณีของรวิสรา เอกสกุล บัณฑิตจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในจำเลยของคดี ม.112 จากการชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนีเมื่อ 26 ตุลาคม 2563 ซึ่งเธอเป็นคนอ่านแถลงการณ์เป็นภาษาเยอรมัน โดยต่อมาเธอสอบได้ทุนจาก ศูนย์บริการการแลกเปลี่ยนทางวิชาการเยอรมัน (DAAD) ของรัฐบาลเยอรมัน แต่ติดปัญหาคือ ติดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร

แม้เคยมีคำร้องขออนุญาตศาลมาแล้วครั้งหนึ่งแต่ศาลไม่อนุญาต และล่าสุด ศาลอาญากรุงเทพใต้ก็ยกคำร้องอีกเช่นเคย โดยอธิบายว่า ศาลเห็นว่าจำเลยยังไม่ผ่านการคัดเลือกว่าจะได้รับทุนหรือไม่ ทั้งเงื่อนไขที่จำเลยเสนอมาว่าหากได้รับอนุญาต จำเลยยินดีจะไปรายงานตัวและแสดงที่อยู่ต่อสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยในประเทศเยอรมัน ทุกๆ 30 วัน โดยขอให้อาจารย์ที่ปรึกษาและบิดาเป็นผู้กำกับให้ปฏิบัติตามเงื่อนไข แต่บุคคลทั้ง 2 อยู่ในประเทศไทย แต่จำเลยอยู่ต่างประเทศ จึงเป็นการยากที่จะกำกับให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ จึงไม่เป็นการหนักแน่นเพียงพอ ที่จะแสดงให้เห็นว่า จำเลยจะปฏิบัติตามเงื่อนไขโดยเคร่งครัด

ทั้งที่ เอกสาร หลักฐานที่ใช้ยื่นคำร้องต่อศาลชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นจดหมายเอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศไทย เอกสารรับทุน DAAD แต่ก็ถูกพิจารณาด้วยว่า เพราะว่าการไปอยู่ต่างประเทศดูแลได้ยากที่จะกำกับให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการประกันตัว

นี่คืออนาคตของเยาวชนคนหนึ่ง อนาคตของคนที่จะได้ไปศึกษาหาความรู้ นำความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์กลับมาพัฒนาประเทศไทย

อยากให้ศาลพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เพราะจากประสบการณ์ คนที่ไปเรียนต่างประเทศ ส่วนใหญ่แล้วเวลาปิดภาคการศึกษาก็อยากกลับมาเยี่ยมครอบครัว มาเยี่ยมบ้าน คงไม่มีใครอยู่ดีๆ แล้วอยากหนีคดี

'วิโรจน์-ศิริกัญญา' เปิดนโยบายที่อยู่อาศัยเมืองกรุง หวังเปลี่ยนที่ดินกองทัพ ปรับเป็นที่ดินเพื่อปชช.

ยกแฟลตทหารเทียบ!! 'วิโรจน์-ศิริกัญญา' เดินสำรวจที่อยู่อาศัย 'นายพล' ใจกลางเมือง พร้อมเปิดนโยบายที่อยู่อาศัย 'เพื่อประชาชน'

‘วิโรจน์ ลักขณาอดิศร’ ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ‘ศิริกัญญา ตันสกุล’ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางไปยังแฟลตสวัสดิการข้าราชการกองทัพบก เพื่อเปิดนโยบาย Affordable Housing ที่อยู่อาศัยเพื่อประชาชน 

ทั้งนี้ วิโรจน์ ชี้แจงถึงเหตุผลที่เลือกแฟลตสวัสดิการข้าราชการกองทัพบกเป็นที่เปิดนโยบายนี้ว่า...

“หากเราสามารถสร้างที่อยู่อาศัยใจกลางเมืองให้กับเหล่านายพลได้ เราก็ควรต้องสร้างที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนได้เช่นเดียวกัน”

“แฟลตนี้เป็นตัวอย่างให้กับเราในการพัฒนานโยบายสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อประชาชน แน่นอนว่าเราคงไม่สร้างขนาดใหญ่โตขนาดนี้ เพราะแฟลตแต่ละยูนิตประกอบด้วย ห้องนอน 3 ห้อง ห้องน้ำ 2 ห้อง ห้องนั่งเล่น 1 ห้อง โดยห้องนอนทุกห้องมีระเบียง เราคงสร้างหรูหราขนาดนี้ไม่ได้แน่ๆ”

“แต่ที่เราทำได้คือ ทำเลต้องดีแบบนี้ ขนาดห้อง 35-70 ตร.ม. แล้วแต่ขนาดครอบครัว ค่าเช่าเดือนละ 3,500 - 9,000 บาท แล้วแต่ขนาดห้อง โดยให้เช่าระยะยาว 1 ชั่วอายุคน (30 ปี) วัสดุในการก่อสร้างต้องได้มาตรฐานแบบนี้”

‘เทพไท’ ข้องใจ! รู้ทั้งรู้ ‘ทักษิณ’ อยู่สิงคโปร์ แต่รัฐบาลกลับเมินเฉย ตั้งคำถาม ผิด ม.157 หรือไม่

อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งคำถามแปลกใจ “ทักษิณ” อยู่สิงคโปร์แต่รัฐบาลกลับ เมินเฉย ตั้งคำถาม ผิด ม.157 หรือไม่ จี้อยากเห็น ‘พล.อ.ประยุทธ์’ สะสางปัญหาระบอบทักษิณเด็ดขาด

วันนี้ (10 มี.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนได้เห็นข่าวนายทักษิณ ชินวัตร เดินทางมาพำนักอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ และมีสมาชิกพรรคเพื่อไทยหลายคน เดินทางไปพบกับคุณทักษิณ ตนในฐานะนักการเมืองคนหนึ่ง จึงให้ความสำคัญและได้ติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด เพราะเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกับการเมืองภายในประเทศ อย่างปฏิเสธไม่ได้ รัฐบาลต้องไม่ลืมว่า สถานะของนายทักษิณ คือนักโทษหนีคดี ที่รัฐบาลไทยจะต้องนำตัวมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลทุกชุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาล คสช. ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่พลเอกประยุทธ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ก็ยังไม่เห็นท่าทีของพลเอกประยุทธ์ ในการเร่งรัดบังคับใช้กฎหมายกับนายทักษิณเลย ทั้งที่ประกาศมาโดยตลอดว่า รัฐบาลชุดนี้จะยึดหลักนิติรัฐนิติธรรมอย่างเคร่งครัด

“ประยุทธ์” หารือเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ฯ ยืนยันไทยพร้อมเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายพร้อมสนับสนุนประเด็นด้านการศึกษา และวัฒนธรรม

ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายโจเซฟ แอนโทนี คอตเตอร์ (H.E. Mr. Joseph Anthony Cotter) เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสอำลาพ้นจากหน้าที่

นายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชมบทบาทของเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ฯ ที่ได้ปฏิบัติงานอย่างแข็งขันตลอด 4 ปี โดยได้ผลักดันความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน รวมถึงด้านการศึกษาและวัฒนธรรม เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับไอร์แลนด์ที่ดีต่อกันเสมอมา ซึ่งในอีก 3 ปีข้างหน้าจะเป็นวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – ไอร์แลนด์ พร้อมแสดงความยินดีในโอกาสวันชาติของไอร์แลนด์ (St. Patrick's Day) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 17 มีนาคม 2565 โดยทราบว่าปีที่แล้วได้มีการจัดกิจกรรมเปิดไฟสีเขียวที่วัดอรุณฯ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดี และเชื่อมั่นว่าทั้งสองประเทศจะสานต่อความร่วมมือต่อไปทั้งในระดับทวิภาคี อนุภูมิภาคและภูมิภาค โดยเฉพาะในช่วงการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19

ขณะที่ เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ กล่าวยินดีว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งในตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งในประเทศไทย ขอบคุณรัฐบาลไทย และหน่วยที่เกี่ยวข้องที่ให้การต้อนรับและสนับสนุนความร่วมมือที่ดีเสมอมา โดยยืนยันที่จะกระชับความสัมพันธ์ไทย – ไอร์แลนด์ให้ใกล้ชิดมากขึ้นเพื่อสานต่อความร่วมมือให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งด้านการค้าการลงทุนใน EEC ด้านเทคโนโลยี อาหาร และเกษตรแปรรูป เทคโนโลยีดิจิทัลและสารสนเทศ ตลอดจนอุปกรณ์การแพทย์ และเวชภัณฑ์ รวมทั้งยินดีผลักดันให้ไทยเปิดสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงดับลิน เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในมิติอื่น ๆ ต่อไป

โดยทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องว่า ไทยและไอร์แลนด์ยังมีศักยภาพระหว่างกันในอีกหลายมิติ โดยได้หารือในประเด็นความร่วมมือระหว่างกัน ดังนี้ ด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าไทยพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางด้านการค้า และการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไอร์แลนด์มีศักยภาพด้านดิจิทัล และเป็นแหล่งของบริษัทยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำของโลก จึงขอเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในไทยในสาขานี้เพิ่มเติม

“บิ๊กตู่”สั่งเร่งแก้กฎหมายฟอกเงินเอาผิดเครือข่ายบัญชีม้า สกัดเส้นทางโอนเงินแก๊งค์มิจฉาชีพ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้รับรายงานจากนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางออนไลน์ ว่า ขณะนี้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้เสนอแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ป้องกันและปรามปรามการฟอกเงิน ซึ่งได้กำหนดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดบัญชีม้าหรือบัญชีทางผ่านเพื่อรับโอนเงินระหว่างเหยื่อและมิจฉาชีพ จะต้องมีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน มีทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ ซึ่งหากสามารถแก้ไขปัญหาบัญชีม้าได้จะสกัดเส้นทางการรับและโอนเงินในขบวนการของมิจฉาชีพ

“พล.อ.ประยุทธ์  ได้มีข้อสั่งการให้เร่งรัดกระบวนการแก้ไขกฎหมายให้ได้มีผลบังคับโดยเร็ว เพื่อให้เป็นเครื่องมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปราบปรามการกระทำผิด เนื่องจากขณะนี้อาชญากรรมทางออนไลน์เกิดขึ้นในหลายรูปแบบ นอกจากคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงให้โอนเงินแล้วยังมีรูปแบบอื่นๆ ซึ่งหากแก้ไขปัญหาบัญชีม้าได้ จะลดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากอาชญากรรมเหล่านี้ได้มาก นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กำชับว่านอกจากเพิ่มประสิทธิภาพของกฎหมายแล้ว หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องเร่งให้ความรู้กับประชาชนว่าการรับจ้างเปิดบัญชีม้า รวมถึงพฤติการณ์ใดๆ ที่เป็นการเข้าไปสนับสนุนเพื่อให้มีบัญชีม้านั้นเป็นความผิดตามกฎหมาย เพื่อประชาชนจะได้ไม่ทำความผิดหรือระมัดระวังตัวไม่ให้ถูกหลอกลวงให้กระทำผิด”รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

แบ่งพื้นที่ชัดเจน ! "อนุทิน" เผย รพ.แยกรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ออกจากโรคทั่วไป ขอประชาชนมั่นใจมาตรฐานความปลอดภัย

ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวกับผู้สื่อข่าว ถึงรูปแบบการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด -19 ระบุว่า

ปัจจุบัน ผู้ป่วยที่ ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อนมากๆ ทางกระทรวงการจำแนกให้เป็นผู้ป่วยนอกตามนโยบาย "เจอ แจก จบ" ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมาประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ซึ่งนับเป็นการช่วยกันดูแลระบบสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่เพิ่มภาระให้กับ รพ.และบุลคลากรแพทย์ ทำให้เรามีศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยเกณฑ์สีเหลือง และแดงได้มากขึ้น 

การจะทำให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) เราต้องทำให้คนเข้าใจที่จะอยู่กับโรค เรากำลังเร่งเดินหน้ามาตรการต่างๆ เพื่อให้สามารถอยู่กับโรคได้ และเศรษฐกิจ ก็ต้องไปได้ เช่น วัคซีน เราเร่งการฉีดให้มากขึ้น เพื่อให้อัตราสูญเสียลดลง จนเข้าเกณฑ์โรคประจำถิ่น ที่ต้องมีอัตราเสียชีวิตต่ำกว่า 1 ใน 1,000 ราย หรือ ร้อยละ 0.1

ตั้งแต่ สธ.เปิดให้บริการผู้ติดเชื้อโควิด-19 เกณฑ์สีเขียว เป็นผู้ป่วยนอก ตั้งแต่ วันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ข้อมูล คือ ร้อยละ 60 เป็นสายจากกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 4 มีนาคม จึงเปิดให้บริการเพิ่มเติมใน 14 จังหวัด ที่อยู่รอบๆ กรุงเทพฯ  ได้แก่ นครนายก นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี กาญจนบุรี นครปฐม เพชรบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี จันทบุรี ชลบุรี และ สมุทรปราการ 4 วันที่ผ่านมา ให้บริการสะสมแล้ว 8,000 ราย โดยสัดส่วนของการจ่ายยา คือ การจ่ายยารักษาตามอาการ ร้อยละ 50 ยาฟ้าทะลายโจร ร้อยละ 22 และยาฟาวิพิราเวียร์ ร้อยละ 28

“ราเมศ” ไม่เห็นด้วย แนวคิดรับเงินซื้อเสียง-จัดเลี้ยง ถูกกฎหมาย ย้ำ จุดยื่นปชป.การเมืองสุจริต ต้องไม่มีอะไรมาจูงใจเพื่อให้ลงคะแนน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.นำเสนอแนวคิดรับเงินซื้อเสียงไม่ผิดกฎหมาย สามารถจัดมหรสพ และจัดเลี้ยงได้ว่า ส่วนตัวรับฟังแนวความคิดที่หลากหลาย แต่โดยหลักการและเจตนารมณ์ของกฎหมายปัจจุบันนั้นดีอยู่แล้ว ที่ป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียง ป้องกันการใช้เงินมาเป็นปัจจัยในการจูงใจประชาชนใช้สิทธิเลือกตั้ง การจูงใจประชาชนตามหลักการประชาธิปไตยผู้ที่เสนอตัวเป็นผู้แทนราษฏร ต้องจูงใจด้วยความดี ด้วยความตั้งใจทำงานให้กับพี่น้องประชาชน นำเสนอนโยบายที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ ภาคปฏิบัติในทางการเมืองสำคัญที่สุด การเมืองที่สุจริต ต้องไม่ตกอยู่ภายใต้อามิสสินจ้าง เชื่อว่าทุกคนต้องการส่งเสริมและพัฒนาระบบประชาธิปไตยให้ดีขึ้นในวันข้างหน้า แม้ใช้เวลานานก็ต้องร่วมกันเริ่มต้นทำ 

นายราเมศกล่าวต่อว่า การจะทำให้การป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียง ทำได้หลายกรณี กฎหมายเดิมใช้ได้ดีอยู่แล้ว การป้องปราม องค์กรที่มีหน้าที่ก็ต้องทำงานเชิงรุกมากขึ้น ส่งสายลับสายสืบไปตรวจไปดู การกันประชาชนเป็นพยานเพื่อจัดการกับนักการเมืองที่ซื้อเสียง มีประสิทธิภาพมากกว่าหากจริงจังในการแก้ปัญหาการซื้อเสียง อีกกรณี การที่จะให้จัดมหรสพ จัดเลี้ยงได้นั้น ทุกอย่างต้องมีเงินมาเป็นปัจจัยนำการเมืองสุจริต ซึ่งผิดหลัก แล้วคนดีที่ตั้งใจอาสาเข้ามาทำหน้าที่เพื่อบ้านเมืองจะทำอย่างไร ความไม่เท่าเทียมจะเกิดขึ้น ฉะนั้นหากให้กระทำการกันอย่างอิสระเสรี ทุกอย่างจะปั่นป่วนไปหมด จะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนรับจะไปแจ้ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top