Monday, 20 May 2024
POLITICS

“บิ๊กตู่” ปลื้มข่าวดี ซาอุดีอาระเบียยกเลิกข้อห้ามคนซาอุดีฯ เดินทางเข้าไทย อนุญาตคนไทยเข้าซาอุดีฯ ได้ และยกเลิกข้อห้ามนำเข้าสินค้าสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกจากไทย เชื่อมั่นต่อยอดสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจมหาศาล

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบข่าวที่น่ายินดีว่า รัฐบาลซาอุดีอาระเบียประกาศยกเลิกการห้ามบุคคลสัญชาติซาอุดีฯ เดินทางเข้าไทย ซึ่งเป็นข้อห้ามที่มีมายาวนานกว่า 30 ปี รวมทั้งอนุญาตให้บุคคลสัญชาติไทยเดินทางเข้าซาอุดีฯ ได้ ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ มีเอกลักษณ์สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวซาอุดีฯ ได้แน่นอน โดย ททท. ตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวซาอุฯ ให้มาเที่ยวไทย 200,000 คน โดยเน้นกลุ่มครอบครัว คนรุ่นใหม่ วัยทำงาน กลุ่มคนรักสุขภาพ และกลุ่มคู่รักฮันนีมูน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เป็นกลุ่มที่ค่าใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่าหลาย ๆ ชาติ และเป็นกลุ่มที่ยังไม่เคยเดินทางมาไทย 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจากนี้ อีกหนึ่งข่าวที่น่ายินดี คือทางการซาอุดีฯ พิจารณายกเลิกห้ามนำเข้าสินค้าสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกจากประเทศไทย ซึ่งไทยถูกระงับและห้ามการนำเข้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 โดยมีสถานประกอบการส่งออกของไทยที่ได้รับอนุญาตขึ้นทะเบียนกว่า 11 แห่ง ถือเป็นข่าวดีด้านการส่งออกปศุสัตว์ไทย โดยเฉพาะในการเสริมสร้างบทบาทของไทยในฐานะครัวโลก เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารของซาอุดีอาระเบีย เนื่องจากซาอุดีฯ ถือเป็นประเทศผู้นำเข้าเนื้อสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์แปรรูปรายใหญ่ของโลก ปัจจุบัน ซาอุดีอาระเบีย มีการนำเข้าไก่ปีละ 5.9 แสนตัน ถือเป็นตลาดใหญ่ที่น่าสนใจ สามารถสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ

“ข่าวที่น่ายินดีทั้งสองข่าวดังกล่าว เป็นผลมาจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ที่เป็นไปตามลำดับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ภายหลังนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นการเยือนในระดับผู้นำรัฐบาลระหว่างสองประเทศเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี”นายธนกรกล่าว

‘ครม.’ ไฟเขียว 3.45 หมื่นล้าน ให้ ‘สปสช.’ นำจ่ายสถานพยาบาลเป็นค่าบริการสาธารณสุขโควิด-19 ช่วง ธ.ค.64 – ก.พ.65  พร้อม อนุมัติ งบกลาง 172 ล้านบาท สงเคราะห์ค่าทำศพผู้สูงอายุรายละ 3พัน กว่า 5.74 หมื่นคน 

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติโครงการค่าบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปี 2565 รอบที่ 2 วงเงิน 34,528 ล้านบาท ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อเป็นค่าบริการสาธารณสุขโรคโควิด-19 และบริการอื่นที่เกี่ยวข้องของหน่วยบริการหรือสถานพยาบาลที่ให้บริการแล้วระหว่างเดือนธันวาคม 2564 - กุมภาพันธ์ 2565 โดยใช้งบประมาณจากพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 ซึ่งโครงการนี้มีกลุ่มเป้าหมาย คือ ประชาชนทุกคนที่อาศัยอยู่ในไทย หน่วยบริการหรือสถานพยาบาลที่จัดบริการสาธารณสุขทั้งภาครัฐและเอกชนและผู้ให้บริการสาธารณสุขทั่วประเทศ

น.ส.รัชดา กล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้ สปสช. ประมาณการค่าบริการสาธารณสุขในช่วงเดือนมีนาคม - กันยายน 2565 เพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ UCEP Plus และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมทั้งตรวจสอบเอกสารการเบิกจ่ายค่าบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการให้สอดคล้องกับการรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เกิดขึ้นจริง และเร่งประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินการตามหลักเกณฑ์ UCEP Plus ให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจ ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 16 มีนาคมนี้ 

นอกจากนี้ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติงบประมาณปี 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 172.36 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินสงเคราะห์ค่าทำศพผู้สูงอายุตามประเพณี รายละ 3,000 บาท ในปี 2564 เพิ่มเติม จำนวน 57,455 คน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ เนื่องจากในปี 2564 ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 มีจำนวนผู้สูงอายุเสียชีวิตสูงถึง 127,168 คน ซึ่งมากกว่าจากที่คาดการณ์ไว้ที่ 69,713 คน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จึงมีความจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนงบดังกล่าว

ครม.ไฟเขียว ต่ออายุแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ที่จะครบวาระทำงานปี 65 ออกไปอีก 2 ปี

ที่ทำเนียบ รัฐมนตรี นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม.เห็นชอบ การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ ได้แก่ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทำงานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน ภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยการจ้างงาน ในปี 2561 ที่จะครบวาระการจ้างงาน 4 ปี ในระหว่างวันที่ 1 ม.ค. 2565 ถึง 31 ธ.ค. 2565ให้ขออนุญาตทำงานหรือขอต่ออายุใบทำงานและขอรับการตรวจอนุญาต เป็นการชั่วคราวต่อไปได้ ไม่เกิน 2 ปี โดยไม่ต้องเดินทางกลับออกไป

นายธนกร กล่าวว่า การต่ออายุดังกล่าวเพื่อแก้ไขปัญหา คนต่างด้าวไม่สามารถเดินทางเข้าและออกประเทศไทยได้สะดวกเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และตอบสนองต่อนายจ้าง หรือผู้ประกอบการ ที่ยังมีความต้องการแรงงานที่เป็นคนต่างด้าว เพื่อให้ภาคธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ และสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ

'ธัญวัจน์' อ้าง!! ต่างชาติกังขา ครม.เตะถ่วงร่างกม.สมรสเท่าเทียม จี้!! กรมองค์กรระหว่างประเทศ เผยการแถลงที่เจนีวา

14 มี.ค. 65 ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ สัดส่วนผู้มีความหลากหลายทางเพศ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ( ปพพ.1448 ) หรือที่เรียกกันว่า ร่างกฎหมาย #สมรสเท่าเทียม กล่าวว่า ตนได้มีโอกาสรายงานสถานการณ์ประเด็น #สมรสเท่าเทียม ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (Foreign Correspondents’ Club of Thailand : FCCT) ซึ่งมีเครือข่ายภาคประชาชนความหลากหลายทางเพศ #YoungPrideClub #ภาคีสีรุ้งเพื่อสมรสเท่าเทียม #1448forAll ร่วมอภิปรายด้วย จึงขอขอบคุณภาคีเครือข่าย อาทิ  Phil Robertson และ FCCT ที่เปิดพื้นที่สื่อต่างประเทศประเด็นสมรสเท่าเทียม

"นี่เป็นประเด็นหนึ่งของความเสมอภาคที่ทั่วโลกเองก็จับตามอง น่าเสียดายที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยได้เชิญกรมคุ้มครองสิทธิ์ให้มาเป็นผู้ร่วมอภิปรายในฐานะฝ่ายรัฐ แต่ทางกรมคุ้มครองสิทธิ์ไม่สามารถมาร่วมได้" 

ธัญวัจน์ กล่าวต่อไปว่า นักข่าวและกลุ่มคนผู้มีความหลากหลายทางเพศที่มาร่วมฟังการอภิปราย ต่างสะท้อนว่าไม่เข้าใจถึงขั้นตอนที่นำกฎหมายไปพิจารณา 60 วันก่อนรับหลักการวาระ 1 ว่าทำไมจึงต้องนำกฎหมายสมรสเท่าเทียมไปพิจารณาอีก เพราะเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน 

"มีคำถามถึงประเด็นดังกล่าวว่าจะตีเป็นเรื่องของการเมืองได้หรือไม่ เพราะกฎหมายสมรสเท่าเทียมถูกเสนอโดยฝ่ายค้าน แต่ก็มีทางออก 2 ทางคือ ฝ่ายรัฐบาลก็ต้องร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมด้วยหลักการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์เพื่อประกบกับพรรคก้าวไกล เพราะร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิตไม่สามารถประกบกับสมรสเท่าเทียมได้ เพราะเป็นคนละเรื่อง และแยกพิจารณาสมรสเท่าเทียมกับคู่ชีวิตคนละวาระกันไป และอีกทางหนึ่งคือผลักคู่ชีวิตให้เป็นกฎหมายสำหรับทุกเพศเช่นเดียวกัน ซึ่งอาจจะนิยามความสัมพันธ์แบบ "เพื่อน" หรือแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่การสมรส เพราะอย่างไรก็ตามคณะรัฐมนตรีไม่มีความจำเป็นต้องผ่านกฎหมายใดกฎหมายหนึ่งเท่านั้น"

ครม.เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณปี 66 กว่า 3.18 ล้านล้านบาท ไทม์ไลน์ส่งสภาร่างพรบ.งบประมาณ พ.ค. พร้อม เห็นชอบไทยเข้าเป็นสมาชิก FATF เพิ่มบทบาทการป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน เสริมภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือการค้าการลงทุน

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565 ว่า ครม.เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 จำนวน 3,185,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ.2565 จำนวน 85,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.74 และเห็นชอบแนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ซึ่งหน่วยงานรับงบประมาณจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนจัดทำงบประมาณ กล่าวคือ เดือนมีนาคม 2565 เป็นขั้นตอนการพิจารณาปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณ เดือนเมษายน 2565 เปิดรับฟังความคิดเห็น รับทราบผลการรับฟังความคิดเห็น จัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติงประมาณฯ พ.ศ.2566 และเอกสารประกอบ เดือนพฤษภาคม 2565 เสนอร่างพระราชบัญญัติงประมาณฯ พ.ศ.2566 ให้ ครม.พิจารณาก่อนส่งสภาผู้แทนราษฎกรต่อไป

สำหรับโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ที่ครม.อนุมัติ มีรายละเอียดดังนี้ 

1.รายจ่ายประจำ จำนวน 2,396,942.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ.2565 จำนวน 23,932.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.01  

2.รายจ่ายลงทุน จำนวน 695,077.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 83,144 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.59 

3.รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 100,000 ล้านบาท เท่ากับปีงบประมาณ พ.ศ.2565

“บิ๊กตู่” ยันให้เกียรติ ส.ส.ทุกพรรค ไม่สนข้อเสนอพรรคเล็กขอโควต้า รมต.1 เก้าอี้

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนากร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนแทนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ที่ได้มอบหมาย โดยเมื่อถามถึงความชัดเจนหลังจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ส่งสัญญาณเรื่องการยุบสภา หลังเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปก นายธนกร กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงว่า เป็นความเห็นส่วนตัวของพล.อ.ประวิตร ซึ่งได้มีการชี้แจงไปแล้ว สำหรับเรื่องการยุบสภานายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ตัดสินในสถานการณ์ที่เหมาะสม

เมื่อถามว่าการที่พล.อ.ประวิตรเข้ามาดูแลพรรคการเมืองขนาดเล็กเอง ทำให้นายกฯ สบายใจขึ้นหรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว นายกรัฐมนตรีให้เกียรติกับ ส.ส.ทุกคน ที่ได้รับเลือกมาจากประชาชนไม่ว่าจะเป็นพรรคใหญ่หรือพรรคเล็ก

'โบว์ ณัฏฐา' ชี้ ในการทำงาน จำเป็นต้องมี Flexibility หรือความยืดหยุ่น เช่นเดียวกับทักษะการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

จากกรณีที่นิสิตจากม.ดัง ได้ไปฝึกงานกับโรงแรมแห่งหนึ่ง ก่อนถูกส่งตัวกลับ เพราะก้าวร้าวใส่ผู้บริหาร อีกทั้งทางคณะต้นสังกัดของนิสิตดังกล่าว ดูจะไม่ช่วยอะไรนัก จนอาจทำให้จบไม่ทันเพื่อน และเสียเวลาไปฟรีๆ 1 ปีนั้น ได้ทำให้เกิดการแชร์และถกกันถึงดรามานี้ โดยมีชาวเน็ตแห่มาให้ความเห็นและทำให้เกิดข้อถกเถียง เสียงแตกเป็น 2 ฝั่ง

กรณีดังกล่าว ‘คุณโบว์ - ณัฏฐา มหัทธนา’ ก็ได้ให้ความเห็นผ่านรายการ MEET THE STATES TIMES เดอะ ดีเบต ไว้อย่างน่าสนใจด้วยเช่นกันว่า..

จากการติดตามของโบว์ ในกรณีดังกล่าว ตัวนักศึกษาฝึกงานเองก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าตัวเองไม่ผิดในกรณีนี้ แต่ตำหนิคณะที่ไม่ส่งไปฝึกงานในที่ใหม่ที่เขาหามาเลย เพื่อที่เขาจะได้ฝึกเสร็จทันในปีนี้ เหมือนกับคนอื่นๆ ไม่ต้องรอไปปีการศึกษาหน้า แต่ขณะเดียวกันทางคณะก็มีเหตุผลของไทม์ไลน์ และขั้นตอนการส่งเอกสาร ว่าทำไมถึงทำให้ในเทอมนี้ไม่ได้

แต่ว่าประเด็นที่กลายเป็นที่ถกเถียงพูดคุยกันในสังคม ก็คือคำถามว่า ‘ผิดหรือไม่’ ที่มีการใช้งานที่นอกเหนือ Job Description เราจะต้องยอมทำให้หรือ ถ้าเกิดทำงานนอกเวลาเราต้องยอมรึเปล่า 

ซึ่งตรงนี้เป็นประเด็นขยายไปไม่ได้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงในเคสดังกล่าวแล้ว แต่เป็นประเด็นที่คนรู้สึกว่า เวลาไปทำงานเราต้องทำตาม Job Description หรือว่าเราต้องยืดหยุ่นไปทำงานนอกเหนือจากนั้น มันเป็นสิทธิของเราหรือไม่ถ้าเราจะปฏิเสธ อันนี้คือข้อถกเถียง 

ประชุมผบ.เหล่าทัพ พร้อมจัดเตรียมกำลังรองรับภารกิจการต่อต้านการก่อการร้ายและการก่อเหตุร้ายภายในประเทศ ผนึกกำลังทุกเหล่าทัพ เพื่อเตรียมความพร้อมในภาวะปกติ

เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ (บก.ทร.) จัดการประชุม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 3 ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคยิด-19  ของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) โดยมี พล.อ.เฉลิมพล  ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นประธาน พร้อมด้วย ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม

โดยกองบัญชาการกองทัพไทย ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ได้จัดเตรียมกำลังเพื่อรองรับภารกิจการต่อต้านการก่อการร้ายและการก่อเหตุร้ายภายในประเทศ โดยผนึกกำลังร่วมกับกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมตั้งแต่ในภาวะปกติ โดยมีการป้องกัน รับมือ และลดผลกระทบจากภัยคุกคามทุกรูปแบบ 

กองทัพบก ได้รายงานผลการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน ฝุ่นละอองภาคเหนือ การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของกองทัพบก และผลการปฏิบัติภารกิจของกองกำลังป้องกันชายแดนให้ที่ประชุมได้รับทราบ

กองทัพเรือ ได้นำเสนอแนวคิดในการเสริมสร้างขีดความสามารถของกองทัพเรือที่ว่า “สองฝั่งมหาสมุทรและสามพื้นที่ปฏิบัติการ” หรือ “Two Oceans and Three Areas (OOAAA/Double O Triple A) เพื่อให้สามารถใช้กำลังทางเรือได้พร้อมกันทั้งสองฝั่งทะเล และสามพื้นที่ปฏิบัติการทัพเรือภาคอย่างสมดุล

กองทัพอากาศ ได้นำเสนอแนวทางการเชื่อมโยงและช่วยเหลือประชาชน (Quality Civic Actions) ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลัก 6 ด้านของผู้บัญชาการทหารอากาศ โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ ได้ระดมสรรพกำลังทั้งปวงเพื่อเตรียมพร้อมและตอบสนองภารกิจด้านบรรเทาสาธารณภัยทั้งในมิติของการป้องกัน การให้ความช่วยเหลือ การฟื้นฟู และการนำเทคโนโลยีทางทหารมาใช้ในการวางแผนป้องกันสาธารณภัยและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันเหตุการณ์

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงโครงการสร้างโรงงานผลิตกระสุนในศูนย์ฝึกอบรมตำรวจทั่วประเทศ จำนวน 12 แห่ง ในปีงบประมาณ พ.ศ.2565 และขยายเพิ่มแห่งที่ 13 ในปีงบประมาณ พ.ศ.2566 เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนกระสุนปืนสำหรับการปฏิบัติงานและการฝึกอบรมหลักสูตรต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณรายจ่ายแผ่นดินในการจัดซื้อกระสุนปืน และสนับสนุนให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถพึ่งพาตนเองได้

“อนุทิน” ปัดวิจารณ์ ยุบสภาฯปลายปี  ชี้ เป็นอำนาจ”นายกฯ”ลั่น “ภท.”ร่วมวงดินเนอร์ 17 มี.ค. เชื่อ 30 เสียง “พรรคเล็ก-เศรษฐกิจไทย” ไม่ใช่ปัญหา 

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ถึงกรณีที่มีข่าวพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวกับพรรคร่วมขนาดเล็ก ว่าจะมีการยุบสภาฯช่วงปลายปีนี้ ว่า อ่านจากข่าวเหมือนกัน และเคยพูดมาแล้วว่าผู้ที่จะยุบสภาฯได้ คือ นายกฯต้องไปถามนายกฯ ส่วนเรื่องนี้พล.อ.ประวิตร ก็ไม่เคยพูดในที่ประชุมครม.ต่อหน้าพรรคร่วมรัฐบาล โดยพรรคภูมิใจไทยเตรียมการเลือกตั้งทุกวันมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เลือกตั้งปี2562เสร็จ ต้องพร้อมตลอด  แต่ตอนนี้อยากให้สนใจการรักษาเสถียรภาพให้บ้านเมือง ให้กับประเทศไทย ไม่ใช่สนใจเฉพาะเสถียรภาพรัฐบาล 

ผู้สื่อข่าวถามว่าวันที่ 17 มี.ค. นี้พรรคภูมิใจไทย ได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม กับพรรคร่วมขนาดเล็กหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ได้รับคำเชิญแล้ว โดย เสธฯทหารของนายกฯประสานมา เมื่อวันที่ 14 มี.ค.ระหว่างเปิดสนามบินเบตง ส่วนนายกฯก็แจ้งให้ไปรับประทานอาหารด้วยก็ต้องไปด้วย รวมทั้งนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ในฐานะเลขาธิการพรรค และคิดว่างานเลี้ยงดังกล่าวจะเชิญเฉพาะแกนนำของพรรคร่วมรัฐบาลไป เพื่อให้เกิดความร่วมมือ ไม่ให้เกิดความขัดแย้ง 

เมื่อถามว่าพรรคภูมิใจไทย คาดหวังอะไรกับการทานข้าวดังกล่าว นายอนุทิน หัวเราะก่อนกล่าวว่า ไม่มีอะไรหรอก คิดว่าเป็นการไปพูดคุยระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อหาวิธีแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาของบ้านเมืองทุกวันนี้ให้ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว รวมถึงสร้างความมั่นใจให้ประชาชน  ไม่ควรมากังวล เสียอารมณ์ ว่าพรรคร่วมรัฐบาลตีกันหรือไม่ ยืนยันว่ารัฐบาลยังสามารถบริหารประเทศได้แน่นอน เรื่องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ปัญหาในสภาฯไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน ถ้าทุกคนทุกกระทรวง บริหารราชการแผ่นดิน โดยสำนึกในหน้าที่ ซื่อสัตย์สุจริต อย่าไปกังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้นในสภาฯ 

“บิ๊กป้อม” รับ แจงยุบสภาปลายปี เหตุ รัฐบาลว่างภารกิจ โยน “นายกฯ” ตัดสินใจ โว พรรคร่วมฯ หนุนรัฐบาล ย้ำ 17 มี.ค. เชิญทุกพรรค เว้น “เศรษฐกิจไทย” ยังไม่มีหัวหน้าพรรค โวยสื่อเสี้ยม “บิ๊กตู่” ชน “ธรรมนัส”

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงการพูดคุยกับพรรคเล็กที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัดเมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งได้หารือถึงการยุบสภาหลังการประชุมเอเปค ช่วงปลายปี 2565 ว่า "เรื่องการยุบสภา ผมพูดเอง ผมพูดว่า พอจบเอเปคแล้ว รัฐบาลก็ว่างแล้ว ถ้าจะยุบก็ยุบได้ตอนนั้น ส่วนจะยุบหรือไม่ยุบ ก็ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ว่าผมจะต้องไปถามใครมา นี่เป็นความคิดของผมเอง"

เมื่อถามว่าจังหวะเวลานั้น ถือว่าเหมาะสมที่จะยุบสภาใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "เออ ใครอยากที่จะให้ยุบ ก็ยุบได้" เมื่อถามย้ำว่าจะต้องดูเรื่องความได้เปรียบเสียเปรียบก่อนหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ต้องดู ผู้สื่อข่าวถามว่าการจะประคับประคองพรรคร่วมรัฐบาลให้ไปได้ถึงเวลานั้นจะยากลำบากหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ยากลำบาก ทุกคนโอเค และให้การสนับสนุนรัฐบาลกันหมด 

เมื่อถามว่าการพูดคุยกับพรรคเล็ก บรรยากาศเป็นอย่างไรบ้าง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ไม่มีอะไร เขาก็แล้วแต่ผมและในวันที่ 17 มี.ค.นี้ ทุกพรรคก็จะไปร่วมกันหมด เพราะเชิญทุกพรรคไปร่วมงาน ส่วนพรรคเศรษฐกิจไทย ยังไม่ได้เป็นพรรค ยังไม่มีหัวหน้าพรรค แต่งานเลี้ยงเขาเชิญหัวหน้าพรรค แต่เมื่อเขาตั้งพรรคเสร็จแล้ว ต่อไปก็จะเชิญ" 

'จุรินทร์' บอก ปชป. ส่งเลขาฯพรรคไปร่วม ดินเนอร์ค่ำ 17 มีค. ชี้ ยุบสภาขึ้นอยู่กับสถานการณ์ คาดล่วงหน้าไม่ได้ ในอดีต เป็นอุบัติเหตุทางการเมือง-เงื่อนไขอื่นๆ

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีเชิญพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคเล็กที่สนับสนุนรัฐบาล รับประทานอาหารค่ำในวันที่ 17 มีนาคมนี้ ว่า ตนได้รับทราบแล้ว และถือเป็นเรื่องที่ดี และตนสนับสนุนมาตั้งแต่ต้น เพราะพรรคร่วมรัฐบาล หรือแม้แต่พรรคที่สนับสนุนรัฐบาลก็ตาม ที่มารวมกันเป็นรัฐบาลล้วนแต่มีความสำคัญทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเล็ก กลาง ใหญ่ 

อย่างไรก็ตามขนาดเป็นเรื่องของขนาด แต่ความสัมพันธ์ทุกพรรคมีความสำคัญที่มีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล หากเสถียรภาพรัฐบาลมั่นคงแข็งแรง ก็มีผลต่อการแก้ปัญหาให้กับประชาชนต่อไป แต่ถ้าเสถียรภาพรัฐบาลง่อนแง่น ทิศทางอะไรที่กำหนดออกไปก็ดูไร้น้ำหนัก หรืออาจจะขาดน้ำหนักไป แต่ถ้าเสถียรภาพรัฐบาลเข้มแข็งการแก้ปัญหาก็จะลุล่วงง่ายต่อประชาชน อย่างไรก็ตามในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ตนมอบ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นตัวแทนพรรคไปร่วม ส่วนตนได้เรียนนายกรัฐมนตรีไปแล้วว่าติดภารกิจที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เลี่ยงไม่ได้เนื่องจากได้นัดเกษตรกรจำนวนมากและมีกำหนดก่อนหน้านี้นานแล้ว

'หมอวรงค์' ชวนจับตาการเปลี่ยนแปลงในเมืองไทย อยู่แบบโกง ให้บางตระกูลร่ำรวย หรือปราบโกงเพื่อ 'แก้จน'

วันที่ 15 มีนาคม 2565 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ประเด็น ลมตะวันตก ว่า ก่อนหน้านี้ มีลมตะวันออกพัดมาสู่ไทยเรา สังคมไทยเพียงแค่พูดถึงนั่นคือ นโยบายปราบโกงของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ที่สะเทือนไปทั้งภูมิภาค และสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงให้แก่ประเทศจีน จนกลายเป็นมหาอำนาจของโลก

ล่าสุดลมตะวันตกกำลังพัดมา นั่นคือ พรรค AAP ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็นพรรคปราบโกงของอินเดีย เพิ่งชนะการเลือกตั้งที่ รัฐปัญจาบ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้ พรรคปราบโกงของอินเดีย เคยชนะการเลือกตั้งที่เดลลี (Delhi) มาแล้ว ทั้งๆ ที่พรรค AAP เป็นพรรคการเมืองเล็ก

“เลขา พปชร.” ยัน ส่งผู้สมัครฯสก.ครบ 50 เขต รูดซิป “บิ๊กป้อม” ส่งซิก ยุบสภาปลายปี

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง กล่าวก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ถึงการส่งสมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร(สก.)ว่า พรรคจะส่งผู้สมัครครบทั้ง 50 เขต ขณะนี้พิจารณาบุคคลเกือบครบแล้ว และจะมีการประชุมพรรคก่อนที่จะเปิดตัวผู้สมัครต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรค พปชร.มีแนวทางที่จะสนับสนุนผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.คนไหนหรือไม่ นายสันติ กล่าวว่า ต้องเข้าที่ประชุมก่อน

"ชัยวุฒิ" รับ​ รัฐบาลอยากบริหารให้จบเอเปคก่อน

เมื่อเวลา​ 08.50​ น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวว่าระหว่างการนัดรับประทานอาหารมื้อค่ำ ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐกับพรรคร่วมรัฐบาลขนาดเล็ก 

"วราวุธ" บอก​ 17​ มี.ค.นี้ถ้านายกฯเชิญไปทานอาหารค่ำอีกก็ไป ขณะที่ "เอนก" คอนเฟิร์มควงเลขาฯพรรคไปดินเนอร์ ไม่มีปัญหา

ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก)  ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยบรรยากาศเป็นไปตามปกติ บรรดาคณะรัฐมนตรีเดินทาวเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

ก่อนการประชุมเมื่อเวลา​ 08.45 น.​ ที่ทำเนียบรัฐบาล​ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา​ (ชทพ.)​ กล่าวเพียงสั้นๆก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี​ (ครม.)​ ถึงกรณีนายกรัฐมนตรีนัดรับประทานอาหารค่ำพรรคเล็กร่วมรัฐบาลในวันที่​ 17​ มี.ค.ว่า ยังไม่แน่ใจเชิญทุกพรรคหรือเปล่า ถ้าเชิญมาก็ไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top