Saturday, 17 May 2025
POLITICS

‘อี้ แทนคุณ’ ชี้ ก้าวไกล ตัดหาง ‘หยก’  ปัดให้พ้นตัว ไร้สามัญสำนึกทางสิทธิมนุษยชน

ดร.แทนคุณ จิตต์อิสระ  ประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี  พรรคก้าวไกลแถลงข่าวไม่เกี่ยวทั้งที่กรณี "หยก"  สาเหตุมาจากนโยบายพรรคก้าวไกลที่พยายามปลุกปั่นให้ยกเลิก ชุดนักเรียน เลิกวัฒนธรรมการเคารพครูบาอาจารย์ เลิกเคารพกฎกติกาที่ตนไม่ชอบ จน"หยก" จากเยาวชนบริสุทธิ์กลายเป็น"เหยื่อ"ของความเชื่ออย่างก้าวร้าวสุดโต่งและเมื่อหยกพยายามทำตามสิ่งที่พรรคก้าวไกลได้ปลุกปั่นไว้โดยมีว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกลออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนทั้งการไปถือป้ายที่หน้าโรงเรียนดังกล่าวรวมทั้งการแสดงความคิดเห็นสนับสนุนอย่างเต็มที่แต่พอสังคมสนับสนุนโรงเรียนให้ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดและเท่าเทียมกันโดยตนได้ฟังความคิดเห็นของผู้ปกครองในเรื่องการคงให้ใส่ชุดนักเรียนขึ้นกับความพร้อมแต่ละครอบครัว บางคนห่วงเรื่องความเหลื่อมล้ำ เพราะเด็กไทยชอบถูกเปรียบเทียบ อวดแข่งกันเรื่องยี่ห้อ เรื่องแบรนด์เนม (เห็นและได้ยินกับตัวเองเรื่องการแข่งกันเรื่องยี่ห้อรองเท้า เสื้อผ้า ฯลฯ)   บางคนห่วงเรื่องความปลอดภัย จะแยกแยะอย่างไรคนไหนนักเรียนคนไหนคนนอกโรงเรียนที่เข้ามาปะปนหรือตอนออกนอกโรงเรียน บางคนห่วงเรื่องโฟกัส สมาธิต้องมาคิดทุกวันจะแต่งตัวยังไง.ชุดจะซ้ำกันไหมจะมีรสนิยมไหม ตลกไหม สวยไหม  อายเพื่อนไหม แมชกันไหม เพื่อนล้อไหม

พอหยก โดนสังคมตำหนิมากเข้าเรียกว่า "กระแสตีกลับ" จึงต้องกลับมาดูสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำคือ การแถลงการณ์ว่าพรรคตนไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องของ "หยก" เหมือนกับคนมีความสัมพันธ์กันจนมีลูก พอมีลูก ลูกทำผิดตามที่พ่อแม่สอนมา  คนเป็นพ่อแม่กลับตัดห้างทิ้ง และประกาศไม่ใช่ลูกตนเอง

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ในช่วงเลือกตั้งพรรคก้าวไกลรณรงค์เรื่องนี้และกำหนดเป็นนโยบายพรรคอย่างจริงจังและมีการสนับสนุนแกนนำผู้ชุมนุมจนต่อเนื่องมาถึง การกระทำของ "หยก"  ดังนั้นการกระทำของพรรคก้าวไกลจึงถือเป็นการกระทำที่ไร้สามัญสำนึกไร้ความรับผิดชอบต่อเยาวชนและสังคม สะท้อนถึงการกระทำที่เป็นภัยคุกคามต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพอย่างแท้จริง กล่าวคือ มีการปลุกปั่นหลอกลวง ให้หลงเชื่อ และเมื่อเกิดผลกระทบต่อชีวิตเยาวชนที่หลงเชื่อจเป็นเหตุให้ละเมิดกฎหมายบ้านเมืองในหลายเรื่อง  ทั้งมาตรา 112 และกฎหมายอื่นๆ  อันจะกลายเป็นสาเหตุที่บ้านเมืองวุ่นวาย ครอบครัวแตกแยก  เยาวชนก้าวร้าวรุนแรงสุดโต่ง โดยถือว่าสิ่งเหล่านี้คือส่วนขยายของลัทธิคลั่งเสรีภาพที่ก้าวร้าวแบบสุดโต่งนั่นเอง
 

‘หมอวรงค์’ เผยอนาคตการเมือง ไม่ลงเลือกตั้ง  ยอมรับสู้ไม่ได้ เน้นไปเคลื่อนไหวในเวทีประชาชนแทน

18 มิ.ย. 2566 – นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี ให้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรก หลังการเลือกตั้งเมื่อ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งพรรคไทยภักดีไม่มีที่นั่งส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร แม้แต่คนเดียว และหลังจากนั้น นพ.วรงค์ ก็เก็บตัวเงียบมาตลอด จนแวดวงการเมืองสงสัยหายไปไหนและจะวางมือทางการเมืองหรือไม่


โดยนพ.วรงค์ กล่าวว่าพรรคไทยภักดียังคงอยู่ และจะอยู่บนถนนการเมืองต่อไป แต่หากกติกาและบริบทการเลือกตั้งยังคงเป็นแบบที่เป็นตอนเลือกตั้งที่ผ่านมา ก็ตัดสินใจแล้วว่าหากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นตนเองและพรรคไทยภักดี คงไม่ลงเลือกตั้ง แต่จะหันไปเคลื่อนไหวการเมืองภาคประชาชนแทนเพื่อต่อสู้ทางความคิดในเวทีประชาชนแทน

นพ.วรงค์ กล่าวต่อว่า หลังเลือกตั้งได้มีการถอดบทเรียนและประเมินผลเลือกตั้งที่ออกมา จนสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นได้ว่า หนึ่ง รัฐบาลล้มเหลว เราต้องยอมรับก่อน ซึ่งผมรู้อยู่แก่ใจแล้ว แต่ในสถานการณ์ช่วงก่อนการเลือกตั้ง มันไม่เหมาะที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์ ถามว่าเขาล้มเหลวอะไรบ้าง เห็นว่า รัฐบาลปัจจุบันล้มเหลวสี่เรื่อง

หนึ่ง เขาไปแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราและนำไปสู่การแก้ไขพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ที่แก้ไข เปลี่ยนระบบการเลือกตั้งจากตอนเลือกตั้งปี 2562 ที่ใช้บัตรใบเดียว ทุกคะแนนเสียงไม่ตกน้ำ ก็ไปแก้เป็น บัตรสองใบ -หาร 100 จนฝ่ายค้านเวลานั้น ประกาศทันที จะชนะเลือกตั้งแลนด์สไลด์ ทั้งที่พรรคไทยภักดีเคยเตือนแต่แรกว่า หากแก้ไขจะนำไปสู่ปัญหาของประเทศในอนาคต และฝ่ายรัฐบาลจะแพ้ทั้งกระดาน แต่เขาไม่ฟัง

ประเด็นที่สอง พรรคและคนในฝ่ายรัฐบาลมาแตกกันเอง แล้วแยกออกมาอยู่กันคนละพรรค ทำให้คนยิ่งเบื่อ เรื่องที่สาม เอื้อทุจริตและเอื้อทุนผูกขาด ที่ไทยภักดีก็ออกมาต่อต้านเรื่องพวกนี้ ทั้งเรื่องพลังงาน การสื่อสารผ่านดาวเทียม เป็นต้น และสุดท้ายที่พลาดมากๆ ทั้งที่เป็นหน้าที่ซึ่งต้องทำ และนำไปสู่ความพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่ คือฝ่ายรัฐบาลไม่ต่อสู้ทางความคิด พรรคฝ่ายค้านเดิมเขาต่อสู้ทางความคิด โดยบิดเบือนหมด แต่ฝ่ายรัฐบาลไม่เอาความจริงมาสู้ ไม่เคยออกมาต่อสู้ทางความคิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง 112 เรื่องสถาบันฯ อาจมีบ้างแต่ก็หยุมหยิม ไม่ได้ออกมาแบบสร้างชุดความคิดสู้ เลยทำให้คนเบื่อ เพราะพื้นฐานการที่่ฝ่ายรัฐบาลอยู่มาแปดปีกว่า คนเบื่ออยู่แล้ว มันก็เลยยิ่งสวิงมากขึ้น และมันก็มีผลกระทบกับพรรคไทยภักดีตามมา เพราะไทยภักดี คนมองว่าเป็นพรรคการเมืองที่เหมือนกับสนับสนุนรัฐบาล ทั้งที่อะไรที่ดีเราก็เชียร์ แต่อะไรไม่ดี เราก็วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล แต่แน่นอน มันหนีไม่พ้น พรรคไทยภักดี ย่อมได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้ อันนี้คือภาพที่ทำให้เกิดปัญหา

นพ.วรงค์ กล่าวต่อว่า เมื่อเป็นอย่างที่กล่าวข้างต้น ทำให้การเมืองอีกซีกหนึ่งได้เปรียบ ใช้คำแบบนี้แล้วกัน การต่อสู้ตรงนี้มันเกิดจาก “ไม่ซื้อเสียง ก็ซื้อสื่อ” คำว่าซื้อสื่อ ให้ความหมายครอบคลุม คือผมเชื่อว่าสื่อเกือบ 70-80เปอร์เซ็นต์เป็นของเขา ผมไปออกทุกรายการ เป็นคนของเขาหมด เข้าข้างเขาหมด เวลาเราไปออกรายการ มีข้อมูลจะพูดเพื่อคัดค้านเขา ก็มีความพยายามปิดปากไม่ให้เราพูด รวมถึงสื่อโซเชียลมีเดีย และไอโอ ทำให้การปั่นกระแสของพวกนี้เขาจะได้เปรียบ อย่างผมขอยกตัวอย่าง กรณี”ลุงพล” จากผู้ร้ายทำให้กลายเป็นพระเอกขึ้นมา คือตัวอย่างที่ยกมาให้เห็น การที่พรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งมีเครื่องมือมากในการปั่นกระแสต่างๆ มันจึงทำได้ง่ายมาก และที่สำคัญสิ่งที่ปั่นมันเฟกเยอะ

หัวหน้าพรรคไทยภักดี กล่าวว่า อีกฝ่ายที่ต้องตำหนิคือคณะกรรมการการเลือกตั้ง คือส่วนสำคัญมันก็อาจมาจากเรื่องของรัฐธรรมนูญ ที่ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียม คือการแข่งขันในระบอบประชาธิปไตยมันต้องเท่าเทียม ทุกพรรคต้องได้โอกาสเหมือนกัน ใช้เงินใกล้เคียงกัน แล้วให้ประชาชนไตร่ตรอง แต่สิ่งที่เห็นวันนี้มันไม่ใช่ เรื่องเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งส.ส.ระบบเขตที่ผ่านมา ที่ให้ผู้สมัครส.ส.ระบบเขตแต่ละคนใช้เงินคนละไม่เกินหนึ่งล้านเก้าแสนบาท และบัญชีรายชื่อก็อีกร่วมร้อยกว่าล้านบาท เบ็ดเสร็จต้องหาเงินประมาณเก้าร้อยกว่าล้านบาท แต่ของพรรคไทยภักดี ใช้เงินในการเลือกตั้งที่ผ่านมาน้อยมาก ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่า หากเราไปเอาเงินจากบริษัทใหญ่ สุดท้ายต้องตอบแทน เราไม่ต้องการกระบวนการทุจริตเพื่อเอื้อประโยชน์เกิดขึ้น ตราบใดที่กติกาเป็นแบบนี้ ยังไง เราก็สู้ไม่ได้ ในเมื่อเราปฏิเสธการจะไปทำทุจริตอยู่แล้ว

“ผมคุยกับทีมงานพรรคไทยภักดีแบบตรงไปตรงมาเลยว่า เราต้องยอมรับว่ายังไง เราก็สู้เขาไม่ได้ ประกาศเลยผมสู้เขาไม่ได้ แต่ถ้าเรื่องความคิด ผมไม่แพ้คุณ แต่เพราะเราไม่มีองคาพยพที่จะมาจัดการสิ่งเหล่านี้ เราไม่มีปัญญาหาเงิน หาโครงข่ายที่มีผลประโยชน์ร่วม แม้แต่โครงข่ายจากต่างประเทศ แล้วมาทำสิ่งเหล่านี้ ส่วนทางออกคืออะไร ก็เป็นหน้าที่ของกกต.ในการจัดการเลือกตั้งให้เป็นธรรม ให้เท่าเทียมกันในทุกๆมิติ”นพ.วรงค์ระบุ

เมื่อถามถึงเส้นทางการเมืองต่อจากนี้ ของพรรคไทยภักดี นพ.วรงค์ กล่าวว่า หลังการเลือกตั้ง ได้คุยกับทีมงานของพรรคไทยภักดีว่าเราสู้เขาไม่ได้ ต้องยอมรับ หากกติกายังเป็นแบบนี้อยู่ ผมยอมรับเลยว่าผมพ่ายแพ้ สู้เขาไม่ได้ ยกเว้นมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม ผมจะสู้กับคุณ หัวเด็ดตีนขาด ผมไม่กลัว แต่ตราบใดที่คุณใช้ศักยภาพแบบนี้ ผมไม่มีศักยภาพจะไปหาเงินได้เยอะขนาดนั้น หาโครงข่ายจากต่างประเทศ เพราะผมต่อต้านโครงข่ายต่างประเทศอยู่แล้ว ดังนั้น ยังไง ผมก็สู้พวกคุณไม่ได้ ผมไม่สู้คุณ ในเวทีแบบนี้แล้ว เพราะยังไง ผมสู้พวกคุณไม่ได้ แต่ผมจะสู้กับพวกคุณในเวทีประชาชน

“ผมไม่ทิ้งการเมือง แต่ถ้าตราบใดที่ยังแข่งขันกันในลักษณะแบบนี้อยู่ ผมก็เคยบอกกับทีมงานว่า ถ้าแบบนี้เราสู้เขาไม่ได้ คือเขาใช้ทั้งซื้อเสียงหลายกลุ่ม ซื้อสื่อ แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อ ในเมื่อไทยภักดีต่อต้านการทุจริตอยู่แล้ว ซึ่งการไปรับเงินจากทุนใหญ่ เขาใช้กันเป็นพันล้าน ไม่ใช่แค่หลักร้อยล้านบาท แต่ไทยภักดีเราใช้แค่หลักสิบล้านต้นๆ ไม่มีทางไปเปรียบเทียบได้”

นพ.วรงค์กล่าวต่อว่า ดังนั้นบอกเลย ผมสู้คุณไม่ได้ แต่ทางความคิด ผมสู้คุณได้ ซึ่งถ้ายังจัดการเลือกตั้งในรูปแบบนี้ ความเห็นส่วนตัวผม คือไม่ต้องไปลงแข่งแล้ว ถ้าไทยภักดีจะทำพรรคการเมืองต่อไป ก็เป็นพรรคการเมืองที่ทำการเมืองนอกรัฐสภา ชี้นำประเทศ ชี้นำประชาชนให้เห็นว่าตอนนี้เกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้างในประเทศ เราต้องพยายามชี้นำทางความคิด เพราะวันนี้การต่อสู้ที่รุนแรงคือการต่อสู้ทางความคิด การต่อสู้ด้วยความจริง ข้อเท็จจริง ถ้าสู้แบบนี้ เราสู้เขาได้ และเราจะเห็นบทบาทของพรรคไทยภักดีในบทบาทแบบนี้เด่นชัดขึ้น คือเรายังเป็นนักการเมือง แต่ถ้าตราบใดที่กติกายังเป็นแบบนี้ ใช้เงินซื้อสื่อซื้อเสียงแบบนี้ ผมไม่แข่งกับคุณ พวกคุณไปแข่งกันเลยไป จนประชาชนเบื่อขึ้นมาเมื่อไหร่ ค่อยว่ากันอีกที หรือคนคิดได้ เริ่มมีการคิดเรื่องการทำให้เกิดระบบการแข่งขันมีความเป็นธรรมมากขึ้น เราจะเอาไทยภักดีไปแข่ง แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้ คงไม่แข่งด้วย

หัวหน้าพรรคไทยภักดีกล่าวย้ำว่า สำหรับพรรคไทยภักดียังทำต่อไป ยังเคลื่อนไหวการเมืองต่อ ให้ความรู้ประชาชน สนับสนุนแนวคิดต่างๆ แต่หากกติกาเลือกตั้งยังไม่มีการแก้ไข ยังเป็นอยู่แบบนี้ ที่ไม่แฟร์ ก็ต้องบอกว่า กูไม่สู้มึง กูยอมแพ้ ผมไม่แข่งกับคุณ เรายอมแพ้ แต่ไทยภักดียังอยู่ พรรคจะบอกประชาชน จะชี้นำให้ประชาชนได้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร ชี้นำความถูกต้อง แต่ต้องขอย้ำว่า ผมไม่ได้ปฏิเสธที่จะเล่นการเมือง จะยังคงเล่นการเมืองอยู่ เพียงแต่ถ้ากติกายังเป็นแบบนี้ ผมไม่ลง
ถามถึงกรณี หากมีพรรคการเมืองอื่น มาชวนให้ไปร่วมงานการเมือง ให้ไปอยู่ด้วย จะไปหรือไม่ นพ.วรงค์ กล่าวว่า มีคนเขียนคอมเมนต์ในเพจของผมเยอะมากเรื่องนี้ เขาอาจมองว่า เมื่อมีอุดมการณ์เรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ที่ไปตรงกันกับบางพรรค แต่ผมก็ยังไม่แฮปปี้กับความคิดหลายอย่างของเขา โดยเฉพาะกับการเอื้อประโยชน์ทุนใหญ่ ซึ่งถ้าลดโทนได้ อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะไทยภักดีเอง ก็รู้ว่าการต่อสู้วันนี้มันใช้เงินเยอะมาก ซึ่งตราบใดที่การเลือกตั้งใช้เงินเยอะ ประเทศก็จะยังคงอยู่ในวงจรอุบาทว์ ดังนั้น หากไปอยู่พรรคอื่น เพียงเพื่อขอให้ได้เป็นส.ส. แล้วมันจะได้อะไร ผมก็มานั่งนึก จะให้ไปอยู่กับพรรคการเมืองบางพรรค ที่มีอุดมการณ์ปกป้องสถาบันฯตรงกัน แต่ยังทำการเมืองแบบเก่าๆ อยู่ ก็ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม มันไม่ได้ทำให้ประเทศดีขึ้น

วันนี้ผมยังไม่เห็นพรรคการเมืองที่ผมถูกใจ มันจึงเป็นที่มาที่ทำให้ผมมาตั้งพรรคการเมือง แต่มันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ถ้าพูดภาษาชาวบ้านคือ “กูไปไม่ไหวจริงๆ กับการต่อสู้แบบนี้” แต่ยังสนุกที่จะยังทำงานการเมือง ปกป้องประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน เมื่อมันเป็นแบบนี้ เราก็ไม่ลงเลือกตั้ง ก็ไม่เห็นเป็นไร ประชาชนเขาเห็น เขาก็อาจเชื่อใจ ที่เรายังไม่ลงเลือกตั้งแล้วเคลื่อนไหวทำอะไรเพื่อประชาชนจริงๆ ก็อาจทำให้เราได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากยิ่งขึ้นก็ได้
นพ.วรงค์ กล่าวตอนท้าย ขอย้ำว่าไม่ได้ปฏิเสธการเมือง เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าผมปฏิเสธการเมือง หรือว่าผมจะไม่ลงการเมือง ไม่ลงสมัครส.ส.แล้ว ไม่ใช่แบบนั้น เพียงแต่ในอนาคต หากมีเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้เราเห็นว่าเราลงแล้วสู้ได้ เหมือนกับคุณเล่นกอล์ฟ ถ้าคุณให้แฮนดิแคปเราลงแข่งกับคุณ ถ้าคุณไม่ให้แฮนดิแคป เราคงไม่ลงแข่งกับคุณ ก็เหมือนกันในตอนนี้ เพราะผมว่ากติกาตอนนี้มันไม่แฟร์ การที่ไม่ลงเลือกตั้งก็ไม่เห็นเป็นไร เพราะเราต้องการชี้ให้เห็นถึงความตั้งใจของเราว่าการทำงานการเมือง ไม่ต้องมีตำแหน่งก็ได้ แต่ก็เคลื่อนไหวทำงานการเมืองได้ ผมยังยืนยันว่าผมเป็นนักการเมือง เพียงแต่ถ้ามีการแก้ไขเงื่อนไขอะไรบางอย่าง หรือในอนาคต หากว่าพรรคการเมืองมันลดโทนลง มาคุยกับผม แล้วบอกว่าเรื่องนี้ผมยอม เช่นเรื่องพลังงาน คุยกันแล้วโอเค ก็อาจเป็นไปได้ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว อนาคตก็ไม่แน่

“เรื่องที่ถามถึงโอกาสที่จะย้ายไปอยู่กับพรรคการเมืองอื่น ผมขอใช้คำนี้ดีกว่า คือ ณ วันนี้ เรื่องเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในหัวผม เลยไม่อยากไปคาดการ ยังไม่อยากพูดถึงอนาคต เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมา แต่ ณ วันนี้หลังจากไตร่ตรองมาเป็นเดือน ตั้งแต่หลังเลือกตั้ง 14 พ.ค. ได้คุยกับเพื่อนๆ และทีมงานไทยภักดีแล้ว ก็เห็นว่า ถ้ายังเป็นแบบปัจจุบันนี้ ก็อย่าไปแข่งกับมัน แข่งไปก็แพ้ สู้ไม่ได้ ก็ต้องยอมรับ ส่วนพรรคไทยภักดีก็อาจจะไปเน้นการเคลื่อนไหวนอกสภาฯ ผมว่าวันนี้ประชาชนต้องการคนที่เข้ามาต่อสู้ทางความคิด ซึ่ง ณ วันนี้ ผมดูแล้ว ฝ่ายพรรคการเมืองในสายอนุรักษ์นิยม ไม่มีการต่อสู้ทางความคิดเลย เราจึงมีความจำเป็นต้องยืนอยู่”นพ.วรงค์ระบุ

อย่าเพิ่งทิ้งประเด็น ‘รัฐบาลเสียงข้างน้อย’ ระวัง ‘พีระพันธุ์-ลุงป้อม’ เสียบเงียบๆ

จนถึงวินาทีนี้ สังคมนอกวงจัดตั้งรัฐบาล ไม่มีใครทราบว่า ตกลงตำแหน่งประธานสภา ที่จะต้องเป็นประธานรัฐสภาโดยตำแหน่งนั้น เป็น ใคร เป็นโควต้าพรรคไทย ของก้าวไกล หรือเพื่อไทย

ภูมิธรรม เวชชยชัย เสี่ยอ้วน แห่งเพื่อไทย ไข่ข่าวเล่าแจ้งว่า จนถึงเวลานี้ยังอยู่ในจุดเดิม คือจุดที่เพื่อไทยยืนยัน เมื่อก้าวไกลได้เก้าอี้ประมุขฝ่ายบริหารไปแล้ว กับจำนวน ส.ส.ในมือ 151 เสียง เพื่อไทย 141 เสียง พรรคอันดับสอง จึงควรได้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ

แต่เพื่อความชัวร์ ก้าวไกลในฐานะพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็ยืนยันว่า ประธานสภาต้องเป็นของก้าวไกล ชัวร์ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และการบรรจุระเบียบวาระสำคัญๆต่างๆของรัฐบาล

ที่จะต้องระวังเป็นที่สุด คือ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และคาดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็น ส.ส.แล้ว จะต้องมีคนไปร้องซ้ำ ให้ กกต.พิจารณาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติของพิธาว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือขัดต่อกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่

ถ้าศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณา ประธานสภา ถ้าเป็นของเพื่อไทยจะกล้าบรรจุวาระการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ที่มีชื่อของพิธาจ่อเข้าโหวตอยู่หรือไม่ เพื่อความชัวร์ก้าวไกล จึงต้องได้เก้าอี้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติด้วย

ที่ประชุมของคณะทำงานจัดตั้งรัฐบาลจบลงตรงที่ให้เพื่อไทย และก้าวไกล ไปหารือกันเอง ซึ่งเพื่อไทยก็ยืนยันในข้อเสนอเดิม ก้าวไกลรับไปพิจารณา แต่ไม่มีคำตอบกลับมายังเพื่อไทย “เงียบสนิท”

จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคณะหลอมรวม ไม่รู้มีข้อมลอินไซเดอร์มาจากไหน จึงออกมาฟันธงว่า “พิธา-อุ้งอิ้ง-เศรษฐา” ไม่มีใครได้เป็นนายกฯ ในสถานการณ์ที่พรรคร่วมยังคุยกันไม่ลงตัว
“จตุพร”ฟันธงด้วยว่า น่าจะมีประธานสภาปรองดอง จะชื่อ “สุชาติ ตันเจริญ” อดีตรองประธานสภา ซึ่งพ่อมดดำเป็นชื่อที่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งนี้เพื่อความปรองดอง

ไม่มีใครปฏิเสธว่า สุชาติ เป็นผู้มากบารมี รู้จักนักการเมืองทั้งขั้วประชาธิปไตยและขั้วรัฐบาลเก่า แม้วันนี้ พ่อมดดำจะสังกัดเพื่อไทย แต่ก็มีลูกน้องเก่าอยู่ทั้งพรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย อยู่ไม่น้อย

ประเด็นอยู่ที่ว่า ไม่ว่าใครจะเป็นประธานสภา และบรรจุระเบียบวาระเลือกนายกรัฐมนตรี เข้าสู่การพิจารณา ในสถานการณ์ที่อะไรก็ยังไม่ลงตัว ก้าวไกล เสนอชื่อพิธา ชิงนายกรัฐมนตรี ส่วนซีกรัฐบาลเดิม เช่น พลังประชารัฐ เสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคลงชิง หรือพรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอชื่อ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรค ลงแข่งด้วย ก็อาจจะมีเกมพลิกได้

เกมพลิก เพราะซีกรัฐบาลเดิมมีอยู่ 188 เสียง เมื่อบวกรวมกับ สว.250 เสียง ก็จะมีเสียงรวมกับ 438 เสียง หรือตัดไปสัก 50 เสียง ก็ยังมากพอที่จะชนะโหวตได้ และเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ขอให้ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไว้ก่อน เชื่อว่า จะมี ส.ส.เลื้อยไหลเข้ามาเอง หรือด้วยแรงดูดมากินกล้วย ฝากเลี้ยงไว้ที่บ้านเก่า แต่ป้อนกล้วย ป้อนข้าว ป้อนน้ำให้กิน รัฐบาลเสียงข้างน้อยก็พอจะถูกไถไปได้

การเมืองไทยไม่มีอะไรแน่นอน อย่าได้ประมาทกับคำทำนายของจตุพร โดยเฉพาะประเด็นจะมีงูเห่าเลื้อยเพ่นพ่านเต็มสภา   

เข้าสู่โหมด ‘ด้อมส้ม’ ต้อง ‘ลุ้น’ เก้าอี้นายกฯ ของ ‘พิธา’  ต้องจับตาให้ดี งานนี้อาจจะไปจบที่ ‘ศาล’

หลังเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 จวบจนบัดนี้ก็ล่วงเลยมากว่า 1 เดือน บรรดาผู้ชนะการเลือกตั้งเป็นส.ส. ก็ยังไม่มีใครได้รับการประกาศรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จนทำให้บรรดา “ด้อมส้ม” พรรคก้าวไกล ซึ่งกวาดส.ส.เข้ามาเป็นอันดับที่ 1 ต้องออกมายื่นหนังสือกดดัน กกต.ให้เร่งประกาศรับรองผล เพื่อเปิดทางให้มีการสภาเลือกประธานสภา และประชุมรัฐสภาโหวตนายกฯ จะได้มีรัฐบาลใหม่โดยเร็ว 

แต่ กกต.จะไปเร่งรีบตามที่ฝ่ายอยากเร่งรัดคงไม่ได้ ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ รอบด้าน เพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายกับคำร้องเรียนมากถึง 280 เรื่อง ตามกฎหมายให้อำนาจ กกต. 60 วัน ในการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนเลือกตั้ง ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 13 ก.ค. 2566 นี้ แต่ล่าสุดมีรายงานจาก กกต.ได้พิจารณาครบทั้ง 400 เขตแล้ว เตรียมประชุมประกาศรับรอง 329 คน และแขวนไว้ 71 คนในการประชุมสัปดาห์หน้าวันจันทร์ที่ 19 มิ.ย.นี้  กกต.พร้อมกับพิจารณารับรอง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อไปพร้อมกัน ส.ส.เขตเลือกตั้ง หลังได้พิจารณาไปแล้วว่าทั้ง 400 เขตเลือกตั้ง 

ถ้าดูตามตัวเลขนี้ 329+100 คน = 429 คน ตัวเลขยังไม่ครบ 95% หรือ 480 คน คาดว่า หลังจากนั้น กกต.จะหยิบ 71 คนมาทบทวน และอาจจะประกาศรับรองไปก่อนสอยทีหลัง เพื่อให้งานกิจการสภาเดินหน้าไปได้

โดยคาดว่า กกต.จะประกาศรับรอง ส.ส.ได้วันพุธที่ 21 มิ.ย.นี้  จากนั้นให้ ส.ส.จะทยอยไปรับเอกสารรับรองได้ที่สำนักงาน กกต. และนำเอกสารรับรองมารายงานตัวต่อสภา ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เตรียมสถานที่ไว้พร้อมแล้ว

มีการประมาณกาลว่า ถ้า กกต.รับรองผลการเลือกตั้งได้ครบ 95% แล้ว วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯเปิดประชุมสภา และวันที่ 25 กรกฎาคม จะเป็นการประชุมสภาเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย อดีตประธานสภา ในวัย 85 ปี น่าจะมีอาวุโสสูงสุด (ไม่แน่ใจว่ามีใครอายุมากกว่านายชวนหรือไม่)ทำหน้าที่เป็นประธานสภาชั่วคราว

หลังจากนั้นถึงจะเป็นช่วงเวลาของความระทึกของ “ด้อมส้ม” คือวาระเลือกนายกรัฐมนตรี

อนาคต“พิธา”จบที่ศาลรธน./ศาลอาญา

ต้องโฟกัสไปที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคก้าวไกล ว่าจะไปถึงดวงดาวในตำแหน่งนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทยได้หรือไม่ หลังได้รับการประกาศให้เป็น ส.ส. 

อย่างที่ทราบกันดีว่า พิธา ถูกร้องให้ตรวจสอบคุณสมบัติการลงสมัครรับเลือกตั้งที่อาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ จากกรณีถือหุ้นสื่อ “หุ้นไอทีวี” แม้ว่า กกต.จะไม่รับไว้พิจารณา แต่ กกต.กลับหยิบเอามาตรา 151 ของ พปร.ว่าด้วยการเลือกตั้งขึ้นมาพิจารณา “รู้อยู่แล้วว่า ไม่มีคุณสมบัติ แต่ลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือยินยอมให้พรรคการเมืองส่งลงสมัครในระบอบบัญชีรายชื่อ” ซึ่งถ้ามีมูลก็ต้องฟ้องต่อศาลอาญา ไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญ และมีโทษหนักกว่า ทั้งจำทั้งปรับ ทั้งตัดสิทธิ์ทางการเมือง
อีกประเด็น หาก กกต.รับรองให้เป็น ส.ส.เมื่อไหร่ ก็จะมีคนไปยื่นใหม่ให้ตรวจสอบคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญอีกรอบ

โดยสรุปอนาคตของพิธาจะต้องไปจบที่ศาล ไม่ศาลรัฐธรรมนูญก็ศาลอาญา และจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ขึ้นกับขบวนการขั้นตอนของ กกต.และศาล รวมถึงผลโหวตของสมาชิกรัฐสภาด้วย ที่ต้องเพ่งไปที่สมาชิกวุฒิสภา

นักรัฐศาสตร์ญี่ปุ่น บินมาไทย เพื่อศึกษาการเมืองหลังเลือกตั้ง  โดยมองเป็นกรณีที่น่าวิเคราะห์ เพราะมีความเกี่ยวพันกัน

ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์จากญี่ปุ่น บินตรงมาไทยขอศึกษาเรื่องการเมืองไทยในขณะนี้เพราะสร้างความสับสนให้นักวิเคราะห์มาก

นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ (ต๊ะ) สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับการที่ ท่านศาตราจารย์ Asami ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์จากญี่ปุ่น ที่ได้บินตรงมายังประเทศไทยเพื่อขอศึกษาเรื่องการเมืองไทย โดยระบุว่า ...

ท่านศาสตราจารย์Asami ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์จากญี่ปุ่น บินตรงมาไทยขอศึกษาเรื่องการเมืองไทยในขณะนี้เพราะสร้างความสับสนให้นักวิเคราะห์มาก
การเมืองไทย

1. ใครมีโอกาสเป็นนายกและแกนนำการจัดรัฐบาล?
ตอบ ตอนนี้เราต้องรอการรับรองจาก กกต ว่าพรรคใดจะมี สส มากที่สุด และสูตรการจับขั้วรัฐบาลจะเปลี่ยนไหม แต่ พรรคก้าวไกลได้รับฉันทามติจากประชาชน เราจึงต้องเคารพสิ่งนี้ก่อน อย่างไรก็ดี หัวหน้าพรรคก้าวไกล มีข้อผิดพลาดในเรื่องคุณสมบัติ ทำให้โอกาสพรรคก้าวไกลลดลง และต้องดูผลคำตัดสินว่า จะกระทบถึง ว่าที่ สส ในพรรคก้าวไกลหรือ ไม่ หากมีผล พรรคเพื่อไทยที่ได้อันดับสองก็ยังมีโอกาสมากกว่า

2.กลุ่มอนุรักษ์นิยมมีท่าทีอย่างไร
ตอบ เราสงบ เพื่อเปิดโอกาสให้พรรคที่ได้เสียงมากกว่าจัดตั้งรัฐบาลก่อน 
แม้ว่าจะมี สว ในมือ?
ตอบ ผมเชื่อว่า พวกเราและ สว เคารพเสียงประชาชน แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงอื่นจนไม่สามารถจัดรัฐบาลได้ เราจึงจะพิจารณาทางเลือก

3.นักธุรกิจญี่ปุ่นกังวล เรื่องการประท้วงรุนแรง รวมถึงโอกาสเกิดรัฐประหาร
ตอบ ตลอด 8 ปีกว่าในการบริหารงานท่านนายกประยุทธ์ มีการประท้วงตลอดแต่ไม่รุนแรง และการทำรัฐประหารต้องมีเงื่อนไขที่ชอบธรรม ไม่สามารถอยู่ๆตัดสินใจทำรัฐประหารได้ มิเช่นนั้นประชาชนไม่ยอมรับ 

4.นักธุรกิจญี่ปุ่นชอบประเทศไทยมาก แต่ช่วงหลังมักไปลงทุนที่เวียดนาม และอินโดเนเซียมากกว่า
ตอบ เราเสียเปรียบเรื่องขนาดตลาด โดยในประเทศเรามีประชากรไม่มากเมื่อเทียบกับ เวียดนาม ฟิลลิปินส์ และอินโดเนเซีย รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่สูงส่งผลกระทบการเติบโตชนชั้นกลาง และเรายังมี FTA น้อยฉบับกว่าคู่แข่ง ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงพาณิชย์เร่งทำงานอยู่ คาดว่าจะมีคู่ค้า และกลุ่มประเทศที่ลงนามร่วมกับเราเร็วๆนี้ ส่วนการสร้างกำลังการบริโภค เป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องร่วมกันทำงาน
การเมืองญี่ปุ่น

ถาม ท่าน อาจารย์ ท่านนายกรัฐมนตรี คิชิดะบริหารเป็นอย่างไร
ตอบ ท่านนายก คิชิดะ บริหารงานแบบอนุรักษ์นิยม ประชาชนไม่เกลียด และไม่ได้ชอบท่าน น่าจะมีโอกาสบริหารได้ยาวนาน
ถาม เมื่อเทียบกับท่านนายกคนก่อน ที่ได้รับความนิยมสูงและมีหัวก้าวหน้าเป็นอย่างไร 
ตอบ ท่านนายกคนก่อนได้รับความนิยมสูง แต่ก็มีคนต่อต้านมากจึงไม่สามารถบริหารได้ยาวนาน
ถาม ประเทศญี่ปุ่นเคยเป็นผู้นำโลกด้านนวัตกรรม ด้านการค้า ตอนนี้พลังเศรษฐกิจของญี่ปุ่นถดถอยไปมาก ผมเกิดมาในยุค 90 ตอนนั้นญี่ปุ่นเป็นเจ้าโลก แต่วันนี้ถดถอยมาก เราจะมีโอกาสเห็นญี่ปุ่นกลับมาหรือไม่
ตอบ ตอนนี้ประเทศญี่ปุ่นติดกับความเป็นอนุรักษ์นิยมจนแก้ไขยากมาก ผู้นำ ผู้บริหารรุ่นใหม่ ในบริษัทขนาดยักษ์ยากที่จะขึ้นมาเป็น CEO ยกเว้น StartUp ใหม่ๆ แม้กระทั่งวงการเมืองก็ยากที่ รัฐมนตรีหรือ นายกจะมีอายุน้อย ที่หัวก้าวหน้า
ถาม ท่านนายก Koizumi เป็นคนหัวก้าวหน้าและปฎิรูปญี่ปุ่นจนพ้นจากกับดักการเติบโต ท่านยัง Privatize Japan Post bank สำเร็จ ญี่ปุ่นมีโอกาสจะได้ผู้นำเช่นนี้ไหม รวมถึงลูกชายท่านที่มีบทบาทได้เป็นรัฐมนตรีตั้งแต่อายุยังน้อย
ตอบ ท่าน Koizumi คงเป็นคนสุดท้ายที่จะเป็นผู้นำที่มีหัวก้าวหน้าและเปลี่ยนญี่ปุ่นที่ได้รับการยอมรับจนอนุรักษ์นิยม ส่วน J post bank แม้จะปฏิรูปแล้วแต่การบริหารยังยึดกับรูปแบบเดิมๆ ยังไม่ทันสมัยเท่าที่ควร ส่วนลูกชายท่าน Koizumi เพิ่งจะ 40 กว่าคงต้องรออย่างน้อย 10กว่าปีถึงจะได้ขึ้นมา
ถาม โลกยุคใหม่การเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ภาคสภาบันการเงิน การค้าปลีก บริษัทการค้า(โชโกะ โชชา) ได้รับผลกระทบมาก ตอนนี้ Apple มี บริการธนาคารแล้วจะกระทบกับญี่ปุ่นมากขนาดไหน
ตอบ ญี่ปุ่นเป็นประเทศสูงอายุประชาชนอนุรักษ์นิยมมาก ขนาดบริการธนาคารยังต้องมีสมุดบัญชี ประชาชนยากที่จะเปลี่ยนแปลง ขนาดตลาดภายในยังมีที่ในบริษัทการค้าในประเทศ แต่ถ้าแข่งขันต่างประเทศต้องคิดหนักทีเดียว
ต๊ะ พลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์
สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ
อดีตเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

‘ปริญญา ฤกษ์หร่าย’ ว่าที่ ส.ส.กำแพงเพชร เดินหน้า  สานงานต่อในสภาฯเต็มที่ หวังยกระดับคุณภาพชีวิต ให้เกษตรกร

นายปริญญา ฤกษ์หร่าย ว่าที่ ส.ส.เขต 4 จ.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงปัญหาของประชาชนในจังหวัดกำแพงเพชรที่ต้องเร่งดำเนินการช่วยเหลือยังคงเป็นเรื่องของน้ำ โดยเฉพาะการช่วยเหลือเกษตร ในการเดินหน้าประสานงานกับกรมชลประทาน และกรมเจ้าท่า เพื่อให้มีการซ่อมบำรุง ฝายกั้นแม่น้ำปิง( ฝายวังบัว)   ที่มีอายุการใช้งานมาอย่างยาวนาน เกิดการชำรุด และมีรอยร้าว จึงเป็นห่วง เรื่องของปริมาณน้ำที่อยู่ในช่วงฤดูมรสุม หากมีน้ำมาก  และอาจทำให้ฝายกั้นน้ำพังได้ ส่งผลกระทบต่อการกักเก็บน้ำในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งเชื่อว่าจะมีความคืบหน้าในการดำเนินโครงการซ่อมบำรุงได้เร็วๆนี้

นายปริญญา กล่าวต่อถึงปัญหาที่ทำกินว่า ต้องผลักดันอย่างต่อเนื่อง ประสานกับหน่วยงาน เพื่อให้สามารถออกโฉนดในการถือครองกรรมสิทธิ์ ที่ดิน เหมือนจังหวัดอื่นๆ เพราะประชากรในพื้นที่ส่วนใหญ่ ยังประกอบอาชีพทางการเกษตร ให้เป็นไปตามนโยบายของพรรค ต้องการให้ชาวบ้านมีสิทธิ์ในที่ดินโดยโฉนดเป็นของตนเอง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต

นายปริญญา ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ตนขอบคุณประชาชนในพื้นที่ทุกคนสำหรับทุกๆ คะแนนเสียง ทุกๆ ความไว้วางใจที่มอบให้ตนได้เข้าไปทำหน้าที่ตัวแทนในสภาอีก 1 สมัย ซึ่งตนจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อนำการพัฒนามาสู่จังหวัดกำแพงเพชรบ้านของพวกเรา รวมถึงการแก้ไขปัญหาให้กับชาวกำแพงเพชรทุกคนด้วย

‘จตุพร’ ฟันธง!! ‘พิธา-อุ๊งอิ๊ง-เศรษฐา’ ไม่ใช่นายกฯ คนที่ 30 เชื่อ งูเห่าผุด เตือน!! ฝ่ายหนุน ‘ลุงป้อม’ มวลชนต้านเต็มถนน

‘จตุพร’ เย้ย ‘ทักษิณ’ อย่าเอาแต่พูดขายหัวเราะ บี้กลับบ้าน 26 ก.ค. ฟันธง ‘พิธา-อุ๊งอิ๊ง-เศรษฐา’ ไม่ได้เป็นนายกฯ เห็นตำตางูเห่าฝูงใหญ่เลื้อยหนี 8 พรรค เตือนฝ่ายหนุน ‘ลุงป้อม’ มวลชนต้านเต็มถนน

(16 มิ.ย. 66)  นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ชัดมาก?” โดยแนะให้ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านตามสัญญาประกาศมาก่อนวันเกิดใน ก.ค. นี้ และเมื่อถึงไทยก็อย่าคิดมาก ต้องปลงใจ ปล่อยวางเดินเข้าคุกให้สง่างาม จะได้มีเวลาอยู่เลี้ยงหลาน 7 คนตามประสาคนแก่ออกแบบชีวิตในยามสูงวัย

นายจตุพร กล่าวถึงอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ยืนกรานทักษิณ ยังจะกลับบ้านใน ก.ค.นี้ ว่า อุ๊งอิ๊งพูดเป็นการโยนภาระให้ทักษิณตัดสินใจเอง ถึงที่สุดแล้ว เมื่อเข้ามาไทยต้องถูกนำตัวไปเข้าคุกตามกฎหมาย ซึ่งจะมีความสง่างามอย่างยิ่ง

อีกทั้ง ระบุว่า แต่ทักษิณต้องการกลับไทยแบบไม่ต้องเข้าคุก เพราะทำให้ตัวเองเท่ เหนือคนอื่น ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้คงเป็นไปไม่ได้ จึงขอให้ทักษิณ ทำใจให้นิ่งสงบ ปล่อยวางเมื่อกลับมาก็เดินเข้าคุก และอย่าได้ระแวงกังวลใดๆ เพราะในคุกมีระบบรักษาความปลอดภัยชั้นเยี่ยม จะได้รับการดูแลอย่างดียิ่ง ขอเพียงพยายามปรับตัว นอนให้หลับจะได้มีเวลาออกมาเลี้ยงหลาน 7 คนตามประสาคนแก่อายุมากแล้ว

“พูดกลับบ้านมา 17 ปีแล้ว ก็ยังไม่กลับ ไม่เบื่อพูดบ้างหรืออย่างไร ก็รีบตัดสินใจกลับมา คนอื่นยังกล้าติดคุกเต็มไปหมด แล้ววันนี้ยังพูดกลับบ้านอีก ถึงที่สุดที่บอกว่า จะกลับมาก่อนวันที่ 26 ก.ค.นี้ (วันเกิดทักษิณ) ก็ยังอยู่ในการตัดสินใจของทักษิณเหมือนเดิม” นายจตุพร ระบุ

นายจตุพร กล่าวว่า หวังว่าถ้าคำพูดของตนเผื่อได้ยินถึงทักษิณแล้ว ขอให้ปลงใจและรู้จักพอเสียบ้าง ละวางใจให้ได้ แล้วตัดสินใจกลับมาเดินเข้าคุก ซึ่งไม่มีอะไรน่ากลัว ตนติดมา 5 ครั้งแล้ว คุกไม่น่ากลัวเลย ที่น่ากลัวก็คือ ใจของตัวเองที่ขลาดกลัว หวาดระแวงจะถูกกระทำเหมือนที่เคยกระทำกับคนอื่นไว้

“ดังนั้น จึงหวังว่าทักษิณจะตัดสินใจกลับมาในวันที่ 26 ก.ค.นี้ ตามที่ประกาศไว้ ถ้าไม่มาแล้วคนจะหัวเราะเอาได้ ซึ่งอย่าได้พูดกลับบ้านอีก เพราะคนไม่เชื่อ และจะกลายเป็นตำนานคนเลี้ยงแกะมาขายหัวเราะอีก” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวถึงการตั้งรัฐบาลว่า ถ้า 3 ฝ่าย คือ ฝ่าย 8 พรรค 312 เสียง กับพวกอำนาจเดิม 188 เสียง และ ส.ว. 250 ไม่โหวตให้ฝ่ายใดเลย หากทุกฝ่ายแสดงความเป็นคนจริงก็ย่อมตั้งรัฐบาลไม่ได้ แต่ขณะนี้กลับมีคนไม่จริง คือ พูดอย่างทำอย่าง แม้พรรคไม่เปลี่ยนข้าง แต่คนของพรรคก็จะเปลี่ยนใจไปโหวตให้อีกฝ่าย ซึ่งคาดได้เห็นร่องรอยปรากฎตั้งแต่วันเลือกประธานสภาแล้ว

ทั้งนี้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ นั้น คงหนีการหยุดปฎิบัติหน้าที่ไปไม่พ้น เมื่อถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นมีคุณสมบัติต้องห้ามสมัคร ส.ส. แต่จะลามถึงหยุดปฏิบัติหน้าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ อยู่ที่ กกต. จะเสนอต่อศาลหรือไม่ ส่วนตนคิดว่า อยากให้นายพิธาได้มีโอกาสหลุดไปถึงวันโหวตเลือกนายกฯ เพื่อจะได้เห็นภาพตำตาตัวเองว่า ใครหักหลังและทรยศทางการเมืองกันบ้าง

อย่างไรก็ตาม ถ้านายพิธาไม่มีโอกาสได้เข้าไปโหวตเลือกนายกฯ แล้ว เมื่ออารมณ์ระอุไม่พอใจกับการถูกกลั่นแกล้ง มวลชนจะออกมาชุมนุมบนถนนหรือไม่ แต่ไม่ว่าอารมณ์แบบไหนก็หนีการชุมนุมไม่พ้น ดังนั้น ถ้าให้พิธา พิสูจน์ตัวเองก่อน ก็จะได้สะสางความคลางแคลงใจของสังคมให้เบาบางลง สิ่งสำคัญนายพิธา จะได้รู้ว่าตัวเองก็ผิดด้วยที่ไม่ล้างหุ้นไอทีวีจำนวน 4.2 หมื่นหุ้น ออกจากตัวเองก่อนไปสมัคร ส.ส. ยกเว้นคนออกแบบเกมต้องการไม่ให้นายพิธาพิสูจน์ตัวเอง ให้ไปต่อสู้ทางกฎหมาย จึงเป็นการคิดทางการเมืองให้เกิดชนวนการชุมนุมขึ้น

“ถึงที่สุดแล้วนายพิธา อุ๊งอิ๊ง และนายเศรษฐา ทวีสิน คงใม่ได้เป็นนายกฯ เพราะจะมีงูเห่าจำนวนมากเลื้อยแตกรังออกไปหนุนฝ่าย 188 เสียงตั้งรัฐบาล ดังนั้น คนเป็นนายกฯ คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคพลังประชารัฐ แต่จะปกครองยาก เพราะคนจะออกมาชุมนุมเต็มบ้านเมือง คนคิดเกมออกแบบดัน พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ ช่วยรอเวลาอีกสักนิด และให้โอกาสนายพิธาได้เข้าประชุมโหวตนายกฯ ด้วย เพราะนายพิธาไม่มีทางได้เป็นนายกฯ อยู่แล้ว เพราะไม่ได้เสียง ส.ว. อย่างไรก็ตาม การให้โอกาสนายพิธา เท่ากับลดแรงชิงชังของมวลชนลงได้อย่างมาก”

ส่วน กกต. แขวน ส.ส. 71 คนเพื่อรอการตรวจสอบนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ทางการเมืองเพ่งเล็งไปที่การทำงานอย่างโปร่งใส ยุติธรรมของ กกต. แต่ในจำนวน 71 คน จะต้องมีคนรอดและได้รับรอง ส.ส. จนครบ 475 คนหรือ 95% จากจำนวน 500 คน ก็สามารถเปิดสภาได้แน่ อีกทั้งขณะนี้ กกต. เอาแต่รำมวยไปเรื่อยๆ ให้ครบเวลา 60 วันตามที่กฎหมายให้สิทธิไว้ (จะครบ 13 ก.ค.นี้) จึงถูกหลายฝ่ายเร่งรัดให้รีบรับรองผลการเลือกตั้ง

‘อนันต์’ ว่าที่ ส.ส.พปชร. เดินหน้าแก้ปัญหาคุณภาพดิน พร้อมดันเรื่องเข้าสภาฯ ช่วยเกษตรกรหลุดพ้นความยากจน

(16 มิ.ย. 66) นายอนันต์ ผลอำนวย ว่าที่ ส.ส.เขต 3 จังหวัดกำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า 4 ปีที่ผ่านมาตนทำงานอย่างต่อเนื่อง ไม่เคยทิ้งพื้นที่ ตั้งใจทำเพื่อพี่น้องประชาชนมาตลอด ทั้งงานในสภาฯ และนอกสภาฯ เช่นเดียวกับในครั้งนี้ที่ประชาชนได้มอบโอกาสให้ตน ซึ่งยังมีแผนงานที่ต้องเข้าไปสานต่อให้กับเกษตรกรในกำแพงเพชรอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาดิน เพราะพื้นดินในประเทศไทยถูกใช้งานเกษตรมานาน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ ให้ดินอยู่ในสภาพที่จะใช้ปลูกพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการแก้ปัญหานี้จะต้องใช้งบกรมพัฒนาที่ดินในการจัดการ ซึ่งตนก็จะผลักดันในสภาฯ เพื่อแก้ปัญหานี้ให้ได้รับการแก้ไข เพราะคุณภาพดินจะต้องดีขึ้นให้ได้ ถ้าฐานไม่แข็งแรง อย่างอื่นก็จะไปได้ยาก

นายอนันต์ กล่าวต่อว่า ประชาชนในประเทศไทยรวมถึงจังหวัดกำแพงเพชร ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกร ซึ่งปัญหาที่มีมาอย่างยาวนานก็คือความยากจน ดังนั้นเราต้องแก้ปัญหาที่ต้นน้ำ นั่นก็คือ การบริหารจัดการน้ำ ไม่ว่าจะเป็น การดูแลลำคลอง การทำโครงการแก้มลิง เหล่านี้เป็นหัวใจของ ส.ส.ที่ต้องเร่งทำให้กับประชาชนให้เร็วที่สุด เพราะเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องลดรายได้ เพิ่มรายจ่ายให้เกษตรกร เพราะถ้าผลผลิตที่ได้มีจำนวนต่ำ ทำไปก็ไม่พ้นความยากจน ทั้งนี้ การแก้ปัญหาจะต้องมีการประสานกับหลายหน่วยงาน เช่น กรมทรัพยากรน้ำ, กรมอุทยานแห่งชาติ, สปก., กรมชลประทาน, กรมทรัพยากรน้ำ เพื่อการแก้ไขแบบบูรณาการ เพราะถ้าไม่เร่งทำ โอกาสทางรอดของเกษตรกรจะยากมาก

ทั้งนี้ นายอนันต์ ยังฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ว่า นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะต้องทำให้ครบวงจร ไม่ใช่แค่ให้เงินกับประชาชน แต่ต้องมีการฝึกอาชีพให้ และสามารถทำได้จริง เพราะการดำเนินการตามนี้จะสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน รวมถึงในอนาคตจะสามารถแก้ปัญหาการเมืองได้ด้วย

‘กกต.’ จ่อประกาศรับรองผล ส.ส.ยกเซ็ตสัปดาห์หน้า รัฐฯ เตรียมกุมขมับ หลัง ‘ก้าวไกล’ เดินสายซ้อมมวลชน

(16 มิ.ย. 66) เลียบการเมือง สุดสัปดาห์ ‘เล็ก  เลียบด่วน’ ขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับบรรดาว่าที่ ส.ส. อย่างน้อย 475 คนที่จะได้รับการรับรองผลจาก กกต. เอาหนังสือรับรองผลไปรายงานตัวที่สภาฯ เปิดหน้าเปิดตาเตรียมคำพูดหล่อๆ สวยๆ แสดงกึ๋นกับนักข่าวกันให้เต็มที่… ตามรายงานข่าวคาดว่าอย่างเร็วหมุดหมายอยู่ที่วันพุธที่ 21 มิ.ย.หรืออย่างช้าวันที่ 28 มิ.ย.ที่วางไว้แต่เดิม

มีแนวโน้มสูงว่า การรับรองผลจะปล่อยผ่าน หรือรับรองทั้ง 500 คน หรืออย่างน้อยก็ 475 คน หรือ 95% ของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพื่อให้สามารถเดินหน้าเปิดรัฐพิธีประชุมรัฐสภาได้

ดังนั้น ว่าที่ ส.ส.เขต 71 คนที่อยู่ในลิสต์ของ กกต.ว่าถูกร้องเรียนคัดค้านนั้น ในชั้นนี้ขอให้สบายใจได้ว่า ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากจะมีการ ‘สอย’ เกิดขึ้น โดนใบส้ม ใบแดง ก็อีกนาน… ตอนนี้รับรองไปก่อน แล้วจะสอยไม่สอย ค่อยว่ากันทีหลัง

ทั้งนี้ โดยหลังรับรองผลเรียบร้อยต้องเปิดสมัยประชุมสภาใน 15 วัน เพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเป็นประธานรัฐสภาโดยตำแหน่ง ชะตากรรมโฉมหน้าบ้านเมือง ก็มองเห็นกันตั้งแต่ตำแหน่งประธานสภาฯแล้ว… ดังนั้น รวมความแล้วไม่เกินกลางเดือน ก.ค.ก็จะเข้าเขตคิลลิ่งโซน เดิมพันอนาคตบ้านเมือง เช่นนี้แล้ว ใครที่แหกปากร้องเช้าเย็น ว่าพวกอนุรักษ์นิยมยื้อเกมลากเกมเพื่ออยู่ในอำนาจให้นานยาวนั้น ได้โปรดเข้าใจเสียใหม่ว่า ไทม์ไลน์การประกาศการรับรองผลเลือกตั้งปีนี้เร็วกว่าปี 2562 ประมาณ 15 - 20 วัน

จะว่าไป กกต.ชุดนี้ก็ดำเนินการต่างๆ เรียบร้อยพอสมควรทีเดียว จุดอ่อนก็คือ การไม่สื่อสารกับประชาชนให้เป็นระบบ ชอบอ้ำอึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดา ‘7 เสือ กกต.’ ที่ชาวบ้านชาวช่องแทบไม่รู้จักหน้าตาและผลงาน

พูดถึง กกต.ก็ต้องต่อยอดขยายความอีกเล็กน้อย เมื่อต้นสัปดาห์ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ได้รายงานไปเบื้องต้นแล้วว่า มีสมาชิกวุฒิสภาสายทหาร รุ่นบิ๊กตู่คือ เตรียมทหาร 12 กำลังจับจ้องมอง กกต.ว่าที่สุดแล้ว กกต.จะใช้ช่องรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคท้ายร้องศาลรัฐธรรมนูญ กรณีคุณสมบัติของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือไม่ ถ้าไม่พวกเขาอาจดำเนินการฟ้องร้องกกต.ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ส.ว.ตัวตึงอย่างนายสมชาย แสวงการ ก็ออกมาสำทับมาอีกคนว่าจะร่วมขบวนด้วยคน

บรรทัดนี้ เล็ก เลียบด่วน ขอทำตัวเป็นสายลับกระซิบเบาๆ ให้บรรดาท่าน ส.ว.ทราบว่า กกต.คงไม่ละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรอก ยื่นร้องให้ศาลพิจารณาแน่ แต่มันต้องผ่านขั้นตอนรับรองผล ส.ส.ก่อน… ปัญหามีอยู่ว่ากว่า กกต.จะยื่นร้องและกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณารับไม่รับ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีโดยที่ประชุมรัฐสภาจะมาถึงก่อนหรือไม่… ถ้าโหวตก่อนศาลมีคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่กรณีมีมูลก็จะกลายเป็นว่า กกต.ยืมดาบ ส.ว.เชือดพิธาแทนที่ ส.ว.จะได้ยืมดาบ กกต.!!?

เอาเหอะ… ใครจะยืมดาบใครเชือดก็ว่ากันไป แต่การข่าวของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ยังเชื่อว่าถ้านายพิธาได้รับการโหวต นายพิธาจะได้คะแนนไม่เกินครึ่งของรัฐสภา คือ 376 เสียง ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งที่ใครต่อใครหวั่นใจกันลึกๆ โดยเฉพาะหน่วยงานด้านความมั่นคงก็คือ สถานการณ์หลังจากนั้นจะเป็น อย่างไร อะไรจะเกิดขึ้น?

ฟังมาว่า หน่วยงานด้านการข่าวที่ตามไปเก็บทุกคำพูดทุกบรรยากาศที่นายพิธากับคณะพรรคก้าวไกลผสมคณะก้าวหน้า เดินสายไปขอบคุณประชาชนในจังหวัดที่ก้าวไกลแลนด์สไลด์แล้ว… ได้ข้อสรุปว่า มันเป็นอะไรที่มากกว่า ‘การบ่มเพาะมวลชน’ หรือ ‘ซ้อมมวลชน’ … แต่ยากที่จะบอกว่าเป็นปรากฏการณ์อะไร เพียงแต่น่าจะคาดหมายได้ว่า ถ้านายพิธาวืดเก้าอี้นายกฯ ความวุ่นวายและยุ่งเหยิงรออยู่เบื้องหน้าแบบเห็นๆ… ม็อบด้อมส้มและคนที่เลือก 8 พรรค คงลงถนน  และถ้าสถานการณ์เลยธงม็อบอีกฝ่ายก็อาจจะออกมาเหมือนกัน

สถานการณ์บ้านเมืองรอบนี้ นอกจากช่วยกันยืนกรานหลักนิติรัฐนิติธรรมแล้ว เห็นที่จะต้องช่วยกันขอพรจากพระสยามเทวาธิราชเป็นกรณีพิเศษ!!

‘อัคร’ ว่าที่ ส.ส.พปชร. เร่งพัฒนาการเกษตร-ผลักดันผลิตภัณฑ์ กระตุ้น ศก. ลั่น!! ขอทุ่มเทเพื่อชาวเพชรบูรณ์ เพราะที่นี่คือบ้าน

(16 มิ.ย. 66) นายอัคร ทองใจสด ว่าที่ ส.ส.เขต 6 จังหวัดเพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงการทำหน้าที่ในช่วงนี้ว่า ตนยังลงพื้นที่ต่อเนื่อง เพื่อพูดคุยกับพี่น้องประชาชนถึงปัญหาในพื้นที่ ซึ่งพื้นที่อำเภอวิเชียรบุรี และอำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ยังมีปัญหาเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องแก้ไขอีกหลายจุด โดยต้องเร่งสำรวจว่า มีจุดไหนบ้างที่ต้องประสานกับหน่วยงานให้เข้ามาดูแลซ่อมบำรุง โดยเฉพาะเรื่องของถนน ที่ทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการสัญจร และไม่มีความปลอดภัย

นายอัคร กล่าวต่อว่า อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญก็คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะในเรื่องการผลักดันผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีชื่อเสียงของวิเชียรบุรี และศรีเทพ นอกจากขึ้นชื่อเรื่องของไก่ย่างวิเชียรบุรี ที่เป็นที่รู้จักแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ชูเป็นสินค้าเด่น ทั้งผ้าไหมทอ ซึ่งจำเป็นต้องสร้างตลาด เชื่อมกับแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากเส้นทางวิเชียรบุรี และศรีเทพ เป็นเส้นทางก่อน เข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวเขาค้อ ต้องมีการประสานงานกับหน่วยงานจังหวัด เพื่อดำเนินการจัดสร้างศูนย์จัดจำหน่ายของทีระลึก เพื่อเป็นแหล่งศูนย์ร่วมให้ชาวบ้านมาวางจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยว ทำให้เกิดการสร้างรายได้ ให้กับประชาชนได้อีกทางหนึ่ง และรักษาวัฒนธรรมของท้องถิ่น

นายอัคร ยังกล่าวต่อว่า เรื่องน้ำก็เป็นปัญหาที่สำคัญที่ต้องประสานกับหน่วยงาน จัดสร้างแหล่งน้ำ อ่างเก็บน้ำ หรือฝาย เพื่อกั้นน้ำ ใช้ทางการเกษตร ประชากรส่วนใหญ่กว่า 50% ประกอบอาชีพทางการเกษตร เนื่องจากพื้นที่ของ อ.วิเชียรและศรีเทพ เป็นพื้นที่ลาดชัน ทำให้ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ตลอดทั้งปี ซึ่งเรายังมีแนวทางที่จะส่งเสริมให้ภาคเกษตร เป็นเกษตรสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูกอ้อย ข้าว ข้าวโพด ในการนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์การบริหารจัดการเพาะปลูก เพื่อให้สามารถคาดการณ์ปริมาณการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำ รวมถึงต้นทุนของการเพาะปลูกทั้งในเรื่อง การใช้ปุ๋ย เพื่อการวางเป้าหมายและผลลัพธ์ทางการเกษตรที่จะเกิดขึ้น ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างแท้จริง

“ผมพร้อมทุ่มเททั้งแรงกาย และแรงใจเพื่อชาวเพชรบูรณ์อย่างเต็มที่ เพราะที่นี้คือบ้านของผม สำหรับผมการเมืองคือ ประชาชน การสร้างตัวตนหรือภาพลักษณ์คือ เรื่องรอง สิ่งแรกที่ต้องทำคือเข้าถึงให้จริง รู้จักจริงๆ ทำความเข้าใจปัญหา และนำสิ่งนั้นมาศึกษาเพื่อนำไปแก้ไขอย่างตรงจุด” นายอัคร กล่าว

‘วัน อยู่บำรุง’ โพสต์แจง หลัง ‘รักชนก’ โดนกกต.แขวน ลั่นอย่ามากล่าวหากัน เผยมีหลักฐานในมือ ยังไม่ร้องเลย

หลัง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ประกาศผลการเลือกตั้งส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง (ครั้งที่ 1) ปรากฎว่า มีว่าที่ส.ส.ที่ประกาศผลรับรอง 329 คน ขณะที่มี 71 เขตที่มีเรื่องร้องคัดค้านโดยในส่วนของ กทม. มีเพียงเขตเดียวที่ยังไม่รับรอง ได้แก่ เขต 28 น.ส.รักชนก ศรีนอก จากพรรคก้าวไกล

ด้าน น.ส.รักชนก ให้สัมภาษณ์ว่า ยังงงๆ เพราะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องร้องเรียนเรื่องอะไร ต้องปรึกษาพรรคก้าวไกลด้วยว่าต้องทำอย่างไร แต่ไม่มีปัญหา พร้อมชี้แจงทุกประเด็นอยู่แล้ว

ต่อมามีการตั้งคำถามว่าผู้ร้องเรียน น.ส.รักชนก อาจเป็น นายวัน อยู่บำรุง อดีต ส.ส.เจ้าของพื้นที่จากพรรคเพื่อไทย ที่แพ้ให้กับ รักชนก ในการเลือกตั้งครั้งนี้

ทำให้ในเวลาต่อมาเจ้าตัวออกมาโพสต์ข้อความชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก Wan Ubumrung ความว่า ผมไม่ได้ร้องเรียนใครนะ อย่ามากล่าวหากัน

ก่อนชี้แจงในคอมเมนต์อีกว่า มีผู้สมัครอีก 2 คน ติดป้ายหาเสียงเกินจำนวนที่กกต.กำหนด ผมมีหลักฐานครบถ้วนอยู่ในมือ ซึ่งมีโทษอาญาทั้งจำทั้งปรับ ผมยังไม่ร้องเรียนกกต.เลย

‘ธนกร’ มั่นใจ ว่าที่ส.ส. รวมไทยสร้างชาติ ชี้แจง กกต.ได้  เผย ‘ลุงตู่’ ย้ำ รมต.ทุกคน ให้ทำงานเต็มที่ จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่

วันนี้ (15 มิ.ย. 2566) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีรายงานข่าวว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่รับรอง ว่าที่ส.ส.ของพรรค จำนวน 3 เขตว่า ยังเป็นเพียงรายงานข่าว ซึ่งต้องรอให้ กกต.เปิดเผยการรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการก่อน คาดว่าจะทราบผลตามกรอบ 60 วัน และเชื่อว่าจะทราบผลเร็วกว่ากำหนดตามที่ประธาน กกต.ได้กล่าวไว้

“มั่นใจว่า ว่าที่ ส.ส.ของพรรคที่ถูกร้องเรียนนั้น มีหลักฐานพร้อมชี้เแจงต่อ กกต.ได้อย่างแน่นอน โดยฝ่ายกฎหมายของพรรคก็ให้คำปรึกษา ดูในข้อกฎหมายอย่างเต็มที่ ซึ่งเมื่อทราบข่าว พรรคให้ฝ่ายกฎหมายสอบถามไปยังว่าที่ส.ส.ที่มีรายชื่อถูกร้องเรียนทั้ง 3 เขตแล้ว และให้เตรียมพยานหลักฐานต่าง ๆ ไว้ให้พร้อมชี้แจงต่อ กกต.มั่นใจว่า สามารถชี้แจงได้ทุกข้อ” รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติกล่าว

นายธนกร กล่าวว่า ในช่วงที่ยังรอจัดตั้งรัฐบาลใหม่นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้กำชับรัฐมนตรีทุกกระทรวง เร่งมือทำงานที่ยังค้างอยู่ โดยเฉพาะการช่วยเหลือแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างเต็มที่ถึงที่สุด จนกว่าจะมีรัฐบาลและครม.ชุดใหม่อย่างเป็นทางการ เข้ามาบริหารบ้านเมืองต่อไป

“ชื่ออาคาร OAI Tower ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ชื่อนี้มีที่มาจาก โอ๊ค เอม อิ๊งค์ Oak Aim Ing เป็นตัวย่อ คุณพ่อคิดตั้งแต่สมัย 30 ปีก่อน”

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร (อุ๊งอิ๊ง)
หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
ให้สัมภาษณ์ในรายการ 'พรรคนี้เป็นไงบ้าง?' 
ดำเนินรายการโดย คุณฟาโรส ยูทูบเบอร์ชื่อดัง

‘เปลว สีเงิน’ ชี้!! ไม่มีใครขวางจัดตั้ง รบ. ทุกอย่างทำตามขั้นตอน แนะ ‘ติ่งส้ม’ ดูกลเกม ‘พท.’ เป็นตัวอย่าง อย่ามัวแต่พล่ามไปเรื่อย

วันที่ (14 มิ.ย. 66) ‘เปลว สีเงิน’ นักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์ชื่อดัง ได้นำเสนอบทความ ในหัวข้อ “พล่านกันเอง "จนพัง" โดยระบุว่า…

ท่านว่าที่นายกฯ พิธาครับ

หมู่นี้ ท่านไม่ซ่าเหมือนโซดาเปิดขวดใหม่ๆ เลยนะครับ

ไม่เอาน่า… โซดาตายไม่ดีหรอก แฟน ๆ ‘สุราเสรี’ เขาจะเซ็ง เพราะเติมลงไป ปร่าเหมือนน้ำล้างตีน!!

‘ก้าวไกล’ เป็นพรรคตรวจสอบมิใช่หรือ เห็นตรวจสอบดะ (ไม่เลือก) ไม่เว้นแม้กระทั่งงบประมาณ ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’ ที่เว้นตรวจสอบ เห็นมีแต่คดี ‘แม่สมพร-ธนาธร-พี่สาว’ รุกป่าสงวน กับคดีน้องชายว่าด้วย ‘สินบน 20 ล้าน’ เจ้าพนักงานทุจริตที่ดินทรัพย์สินฯ เท่านั้น

น่าจะส่ง ‘แอลคาโปน-วิโรจน์’ ไปตรวจสอบตำรวจหรืออัยการดูหน่อยนะว่า “มันติดอยู่ขั้นตอนไหน จะสิบปีแล้ว คดีจึงยังไม่ไปถึงศาล?”

ทีคดี ‘เอ๋-ปารีณา’ รุกป่าละก็ แหม… แจ้งปุ๊บ จับปั๊บ ฟันฉับทันที พ้นสภาพ ส.ส. ถูกตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิต คดีอาญาว่าด้วยโทษคุกตามมาเป็นพรวน

หรือกับ นายกฯ พลเอกประยุทธ์ ตอนเป็นรัฐบาลอำนาจเต็ม ถ้าจับแก้ผ้าตรวจได้ ก้าวไกลคงทำไปแล้ว เพราะช่วงนั้น เห็นทั้งตรวจ ทั้งสอบทุกอิริยาบถ กระทั่งจะตด ก็แทบเอาเครื่องมาตรวจจับว่า ‘สร้างมลพิษภาวะ’ เข้าข่ายผิดมาตราไหน?
.
ตรวจแค่นายกฯ ไม่พอ ยังลามปามไปถึงบิดาท่านด้วยซ้ำ!!
.
แล้วนี่ พิธา แค่เห็น ‘เงาเนื้อในน้ำ’ เที่ยวเดินสายโอ่อวดตัวเองไปทั่วบ้าน-ทั่วเมือง “ผมนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย”

แต่พอถูกตรวจสอบเรื่อง ‘ถือหุ้นสื่อไอทีวี’ เข้าหน่อยเท่านั้น เป็นไงล่ะ… แรก ๆ ยังปากแจ๋ว สื่อ, นักวิชาการ, อาจารย์มหาวิทยาลัยช่วยกันอุ้มไข่พ่อส้ม อุ้มไป-อุ้มมา ชักหนัก เพราะเป็นไข่ไส้เลื่อน

เมื่ออุ้มไม่ไหว… ขบวนการ ‘ออกลาย-ออกสันดานโจร’ ทันที

ไอ้ตาปลาดุก เจ้าของแผนชั่วร้าย ‘ปฏิวัติชนิดขุดราก-ถอนโคน’ ขู่ฟอด

ถ้าพิธา-ก้าวไกล ไม่ได้เป็นนายกฯ ไฟจาก ‘เหนือจรดใต้’ จะลุกพรึ่บ!! เหนือ-อีสานบอก ดี กูจะได้เผาข้าวหลาม ใต้บอก ไม่ต้องก็ได้ ไฟบ้านกู ลุกทุกวันอยู่แล้ว

เมื่อขู่ไม่มีใครสน ก็ไปเค้น กกต.ให้รีบประกาศรับรอง ส.ส. อยากเข้าไปเป็นรัฐบาลไว ๆ ความเจริญจะได้กระจายกลิ่นฟุ้ง กกต. (ไม่ได้บอก) ก้าวไกล มี ส.ส. 151 มิใช่หรือ?

งั้นเอาอาญา ‘มาตรา 151’ โทษคุก 1-10 ปี เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี เป็นออเดิร์ฟไปก่อน

โทษฐาน “ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทําหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ”

เท่านั้นแหละ พระเอกยี่เก ‘มุดเข้าฉาก’ เงียบฉี่!! มีแต่ ติ่งส้ม สื่อ นักวิชาการ อาจารย์ สาวกส้ม ประเภท 3 โลร้อย ออกมาสร้างกระแสเบี่ยง มีขบวนการ ‘ล้มพิธา’ ไม่ให้เป็นนายกฯ บ้าง มีการ ‘ปลุกผี ITV’ ขึ้นมาใหม่บ้าง

ตอนนี้ ‘ก้าวหน้า-ก้าวไกล’ ไปถึงขั้นปลุกกระแสว่า ‘ขั้วอำนาจเก่า’ ชักใย-วางยา หวังชิงความเป็นรัฐบาล!!

โถ โถ เจ้าหนูน้อยเอ๊ย…

เม็ดพริกเจ้ายังจ้อย คิดได้-ทำได้ ตามประสา ‘เด็กมีปัญหา’ เท่านี้แหละ ตรวจสอบคนอื่นได้ พอถูกตรวจสอบบ้าง ร้องเอ๋ง โทษคนโน้นแกล้ง คนนี้วางยา แล้วคลิปกระจอก ๆ นั่นน่ะ มันช่วยฟอกผู้ร้ายให้กลายเป็นพระเอกไม่ได้หรอก บอกให้ด้วยเวทนา!!

ITV น่ะนะ อย่าปลุกผีขึ้นมาเชียว ขอร้อง ไม่ใช่อะไรหรอก ฟื้นวันไหน ก็ต้องยุบ ‘ไทย-พีบีเอส’ ไปวันนั้นน่ะซิ

แล้วแก๊งส้ม แก๊งเอ็นจีโอ แก๊งนอนกิน แก๊งปฏิวัติแบบขุดราก-ถอนโคน จะไปอาศัยสิงอยู่ที่ไหนกันล่ะ?

เพราะ ITV เป็น ‘เชื้อเกิด’ ของ ไทย-พีบีเอส สมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ยึดสัมปทานไอทีวี แล้วให้กำเนิด ไทย-พีบีเอส ขึ้นมาแทน เป็นหน่วยงานของรัฐ มีสถานะเป็นนิติบุคคลมหาชน จัดตั้งตาม พ.ร.บ. องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ใช้ ‘งบประมาณประจำปี’ จากการจัดเก็บภาษีเหล้าและบุหรี่ โดยไม่เกินปีละ 2,000 ล้านบาท

เนี่ย…

ถ้า ITV ฟื้น กลับเป็นของ ‘บริษัทไอทีวี’ ตามเดิมได้ รัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินปีละ 2,000 ล้าน ให้มีสถานีโทรทัศน์ของรัฐฯ คอยจิก-คอยกัดรัฐฯ สร้างทัศนคติโน้มน้าวให้คนเกลียดชังรัฐฯ อีกต่อไป เพราะ ITV เมื่อฟื้นมา เขาก็อาจทำหน้าที่นั้นแทนได้ โดยรัฐบาลไม่ต้องจ่ายค่าชังชาติให้ 2,000 ล้าน/ปี ตรงกันข้าม จะได้ค่าสัมปทานเข้ารัฐแทนด้วยซ้ำ!!

นี่พูดเล่นใน ‘เรื่องจริง’ หรอกนะ แต่สำนึกกันบ้างก็ดี พวกจิตคดไม่ต้องกลัว ยังไงๆ รัฐบาลเขาก็ไม่ ‘ทุบหม้อข้าว’ ใบนี้แน่

ในความดูเหมือนบ้านเมืองตอนนี้สับสนอลหม่าน คล้ายว่า รัฐบาล 8 พรรคที่มี ‘ก้าวไกล-พิธา’ เป็นแกนนำ มีปัญหาจนเกิดมลพิษภาวะทางการเมือง เผิน ๆ ก็ประมาณนั้น แต่ถ้าเรามีสติ ถอยห่างจากข่าวสารบิดเบี้ยวและเลอะเทอะจากพวกปัญญาเชิงปฏิบัติสักนิด จากนั้น ใช้สายตาด้วย ‘กฎเกณฑ์-กติกา’ มองกลับเข้าไป ก็จะเห็นว่า มันไม่มีอะไรที่เป็นอุปสรรค-ปัญหาเลย!!

เอ้าดู… เลือกตั้ง 14 พฤษภาคม รุ่งขึ้นก็รู้คร่าวๆ แล้ว ก้าวไกล ได้รับเลือกตั้งมากสุด 151 เสียง ทุกพรรค ‘ทั้งหมด’ ไม่มีใครเกี่ยงงอน ไม่มีใครขี้แพ้ชวนตี ไม่มีใครออกมาพูดจากวนตีนพรรคชนะอันดับ 1 ก้าวไกล ประกาศเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลได้ราบรื่น เพื่อไทย พรรคอันดับ 2 ด้วยเสียง 141 เมื่อก้าวไกลชวนร่วม 8 พรรคตั้งรัฐบาล ก็พับเพียบรับสนอง มีข้อแม้เพียงว่า “ร่วมด้วย แต่ไม่ขอร่วมในการพูดจาดำเนินการอะไรกับการทำหน้าที่จัดตั้ง”

ฝ่ายรัฐบาลเดิม คือ รัฐบาลประยุทธ์ ทั้งพลังประชารัฐ ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา รวมไทยสร้างชาติ เข้าแถว-เปิดทาง ผายมือให้ก้าวไกล

“เชิญจัดตั้งได้ตามสบาย ไม่เกี่ยงงอน ไม่เล่นแง่ ไม่ยื่นแข้งขัดขา ด้วยประการทั้งปวง”

สรุป ทุกอย่างราบเรียบ ทางเปิดโล่งให้ก้าวไกลตั้งรัฐบาล มีเพียงเสียง ‘จิ้งจกทัก’ เท่านั้น นายเรืองไกร เขาทำหน้าที่ตรวจสอบตามวิถีของเขา พบหลักฐาน ‘พิธาถือหุ้นสื่อไอทีวี’ จึงไปร้องให้ กกต. ตรวจสอบ!!

เท่านั้นแหละ… ทั้งพรรคส้ม ทั้งติ่งส้ม พล่านกันเอง ประหนึ่งสิ่งมีชีวิตแต่ไร้สมอง เช่น ราเมือก พ่นพิษตลบกลบเมือง แล้วก็พาโลไปถึง กกต.ว่าประกาศช้าบ้าง จะฟ้อง-จะปลด กกต. บ้าง ต่าง ๆ นานา ทั้งที่มีกติกาเป็นกรอบให้ กกต. ทำงานอยู่แล้ว 2 เดือน คือ หลังเลือกตั้ง ภายใน 2 เดือน เมื่อตรวจสอบผลได้ ส.ส. ถึง 95% แล้ว ให้ประกาศรับรองไปก่อน เพื่อเปิดประชุมสภา

แล้วนี่กี่วันล่ะ? วันนี้ 14 มิ.ย. ก็ 1 เดือนพอดี!! ไม่ถือว่าช้า ยังเหลือเวลาอีกตั้งเป็นเดือนด้วยซ้ำ แต่ กกต. ก็บอกแล้ว ว่าจะประกาศรับรองภายใน มิ.ย. นี้

เอ้า… แล้วบอกสิ ตรงไหน-ใคร ‘จัดฉาก’ หวังไม่ให้พิธาเป็นนายกฯ และตรงไหน ที่ว่า ‘ขั้วอำนาจเก่า’ เดินเกม หวังชิงส้มหล่น?

ไม่เห็นมี มีแต่ก้าวไกลและพวกเดียวกันเองนั่นแหละ ที่ ‘ร้อนตัว-ร้อนท้อง’ เรื่องหุ้นสื่อ แล้วเที่ยวพล่าน พาลโทษคนโน้น-คนนี้ ถึงขั้นปลุกระดม ‘ลงถนน’

พูดถึง ‘ส้มหล่น’ จะสอนให้… ไอ้หนู

ดูและศึกษากลเกม ‘เพื่อไทย’ เขาโน่น เห็นมั้ย พิธาจะแถลงอะไร เพื่อไทยเออออตามไปทุกเรื่อง เพื่อไทย 141 เสียงน่ะหรือ เขาจะมากินน้ำใต้ศอกเด็กวานซืน?

โธ่เอ๊ย เจ้าเด็กน้อย…

รู้ไหม? ทำไมเพื่อไทยจึงเล่นบท ‘พี่ชายที่แสนดี’ เพราะเขารู้น่ะสิ ว่ารายการนี้ ‘นอนรอ’ ได้เลย เดี๋ยว ‘ส้มก็หล่น’ เข้าปากเอง!!

กอ.รมน.ภาค4 โฟกัสฟ้อง 3 กลุ่ม ประชามติ.. แยกดินแดนปาตานี

วันนี้ขอเลียบการเมืองไปที่แนวรบด้านความมั่นคงที่กำลังร้อนฉ่าอยู่ที่ปลายด้ามขวานสักหน่อย  กองทัพภาคที่ 4 แถลงชัดเจนแล้วว่าอีกไม่เกิน 2 สัปดาห์ก็จะดำเนินการฟ้องคดีเอาผิดกับบุคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมทำประชามติจำลองแยกปาตานีเป็นเอกราช..ในงานเสวนา “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง (Selt Determination) กับสันติภาพปาตานี” เมื่อวันที่ 7มิ.ย.ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี..

ยังไม่รู้ว่ากองทัพภาคที่ 4 จะฟ้องร้องกล่าวโทษกี่คนและเป็นใครบ้าง  “เล็ก  เลียบด่วน” ฟังพล.ต.ปราโมทย์ พรหมอินทร์  รองแม่ทัพภาคที่ 4 ให้สัมภาษณ์ทางรายการ “รู้ทันข่าว92.5” ของกรมประชาสัมพันธ์ท่านบอกกว้าง ๆ เพียงว่ามีอยู่ 3 กลุ่ม  คือ

1)กลุ่มที่จัดกิจกรรม  

2)คนที่มาร่วมงาน และ

3)ผู้ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง..

พล.ต.ปราโมทย์ให้ข้อมูลว่า  ก่อนหน้านี้ก็เคยมีการทำไประชามติจำลอง แต่เป็นการทำประชามติเรื่อง” การกำหนดใจตนเอง” เท่านั้น ไม่เลยธงเหมือนในครั้งนี้ที่ถึงขั้นถามว่าเห็นด้วยกับการแยกตัวเป็นเอกราชหรือไม่..ครั้งนี้จึงเป็นการยกระดับการเคลื่อนไหว  ที่พยายามขยายผลต่อยอดเรื่อง “สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง” ตามข้อมติสหประชาชาติที่ 1514 ออกในปี ค.ศ. 1960  ซึ่งแม้ไทยจะร่วมรับรองแต่เราก็สงวนสิทธิเรื่องการแบ่งแยกดินแดนไว้อย่างชดเจนว่าทำไม่ได้..

ที่น่าสนใจกว่านั้น ฟังแล้วไม่สบายใจเอามากๆ คือ พล.ต.ปราโมทย์.. สถานการณ์ปลายด้ามขวานวันนี้กลุ่มบีอาร์เอ็นยังคงปฏิบัติการทางการทหารเพื่อหล่อเลี้ยงสถานการณ์  ช่วงเดือนรอมฎอนที่ผ่านมาเป็น “รอมฎอนเดือด”ที่สุดในรอบ 10ปี  แต่ที่น่ากลัวไปมากกว่านั้นคือความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ได้ชำแรกแทรกซึมความคิดไปยังกลุ่มต่างๆ ทั้งองค์กรสิทธิมนุษยชน   เยาวชนนักศึกษา  นักการเมืองและพรรคการเมือง..ซึ่งสนับสนุนแนวคิดในลักษณะเลยธง..

ครับ...ก็น่าลุ้นกันด้วยความระทึกใจว่า..ใครบ้างที่จะถูกฟ้องร้องกล่าวโทษ และในข้อหาอะไร  แน่นอนเป็นคดีความมั่นคง แต่จะหนักหนาสาหัสแค่ไหน...และมีใครจาก3พรรคการเมืองโดนด้วยหรือไม่

3 พรรคที่ว่าคือ พรรคเป็นธรรม  พรรคประชาชาติ ที่มีตัวแทนไปเป็นวิทยากรเสวนา  และพรรคก้าวไกลที่มีรูปโฆษณาเด่นหรากว่าใครเพื่อนอย่าง นายรอมฎอน  ปันจอร์ ว่าที่ ส.ส. บัญชีรายชื่อ  แต่ยกเลิกกะทันหันเหมือนนกรู้...

รายงานข่าวแจ้งว่า กอ.รมน. ภาค4 ส่วนหน้าได้จัดประชุมทีมกฎหมาย นักวิชาการ อัยการ ทหาร ตำรวจมาแล้ว 3 ครั้งเพื่อสรุปรูปคดี  ขณะที่ฝ่ายข่าวกอ.รมน.ภาค4 นั้นได้สรุปข้อมูลย้อนหลังโยงใยมาจนถึงวันจัดงานก็รู้แจ้งเห็นชัดว่าใครเป็นใคร ใครคิดอะไร..โดยเฉพาะพฤติการณ์ของนักการเมืองและพรรคการเมืองบางคนบางพรรค ที่ปลุกระดมความคิดการปกครองตนเอง  ความเป็นเอกราชมาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง และโหมหนักช่วงเลือกตั้งด้วยหวังผลคะแนนเสียงเข้าข่ายที่จะดำเนินการกล่าวโทษให้ยุบพรรคในข้อหาล้มล้างการปกครองได้ แต่ประเด็นนี้ทางกองทัพหรือทหารจะไม่ดำเนินการ...ปล่อยให้เอกชนหรือภาคประชาชนอาศัยช่องทางรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ไปดำเนินการกันตามความเหมาะควรกันเอง...

แม้ว่านาทีนี้  บรรดาว่าที่ ส.ส. และนักการเมืองจาก 3 พรรคตั้งการ์ดสูงเวลาให้สัมภาษณ์จนบรรดาแนวร่วมเกิดอาการหมั่นไส้รำคาญกันเอง ก็ไม่ได้ทำให้พฤติการณ์ที่บรรดาว่าที่ ส.ส. และพรรคการเมืองดังกล่าวมาลบหายไปได้...  

เล็ก  เลียบด่วน เชื่อว่าถึงที่สุดวันใดวันหนึ่งคงมีคนไปฟ้องร้องกล่าวโทษให้มีการยุบพรรคแน่นอน..เพราะมาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญบัญญัติชัดเจนว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกัน  จะแบ่งแยกมิได้”..


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top