Saturday, 17 May 2025
POLITICS

‘ชมรมแพทย์ชนบท’ ขุดแผนปลุกผี itv โยง ‘ภูมิใจไทย’ ระบุ เป็นการดิ้นรนของขั้วอำนาจเก่า

วันที่ 13 มิ.ย. 2566 – ชมรมแพทย์ชนบท โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก ระบุว่า หรือนี่คือการดิ้นรนของขั้วอำนาจเก่า

ข้อเท็จจริงชัด ๆ คือ

1.ความเกี่ยวโยงของนิกม์กับภูมิใจไทยหลีกกันไม่พ้น
2.ความเกี่ยวโยงของชิโนไทยกับกัลฟ์ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อินทัชที่ถือหุ้นใหญ่ไอทีวีอีกต่อก็เป็นข้อเท็จจริง
3.ทั้งภูมิใจไทยและชิโนไทยมี อนุทิน ชาญวีรกูล ในสมการ
4.หากก้าวไกลสะดุดเรื่องหุ้นไอทีวี พรรคภูมิใจไทยที่ความหวังเหือดแห้งริบหรี่ ก็จะมีโอกาสขึ้นมาในทันที
สังคมคลางแคลงใจ ทฤษฎีสมคบคิดหรือเปล่า? ต้องติดตาม

อนุพงษ์ แจง ปมหนี้รถไฟสายสีเขียว ชี้ ต้องรอรัฐบาลใหม่ เหตุ ครม. พิจารณาไม่ได้ เพราะติดระเบียบ กกต.

(13 มิ.ย. 66) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุถึงกรณีที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เตรียมจ่ายหนี้ 2 หมื่นล้านบาทให้กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘BTSC’ ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ว่า ขณะนี้เป็นเรื่องที่ทาง กทม. พยายามจะหาแนวทางที่จะดูแลเรื่องนี้อยู่หลังจากได้ทำเรื่องมาถึงคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. แต่ทาง ครม. คงไม่สามารถจะพิจารณาได้ตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ซึ่งคงจะต้องรอให้รัฐบาลใหม่พิจารณา

ทั้งนี้ ปัญหาหลักคือ จะทำวิธีใดก็ได้แต่ติดปัญหาเรื่องหนี้สินที่มีอยู่ จะใช้งบประมาณจากที่ไหน ซึ่ง กทม.คงไม่มี เมื่อไม่มีก็เหลือหนทางที่จะทำได้คือ ให้เอกชนทำ แต่ต้องเสนอให้คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) พิจารณา ซึ่งต้องรออีกหลายปีกว่าจะทำได้ และกว่าจะเป็นสมบัติของ กทม. ก็ในปี 2573 ถึงจะเริ่มใช้ได้ และระหว่างนี้หนี้สินในแต่ละปีจะใช้เงินเท่าไหร่ ก็เหลือทางออกทางเดียวคือ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ที่จะพิจารณา

นอกจากนี้ ภาระหนักขณะนี้จึงตกอยู่กับบริษัทฯ เพราะยังต้องเดินรถให้บริการประชาชน ขณะเดียวกัน กทม. ก็ยังไม่มีความสามารถที่จะจ่ายเรื่องหนี้สิน แต่ก็คิดว่าทางผู้ว่าฯ กทม.ต้องมีการหาทางแก้ไขอยู่แล้ว

ทางด้าน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว. กลาโหม ปฏิเสธที่จะตอบคำถามเรื่องการแก้ปัญหาภาระหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยกล่าวเพียงว่า “ให้เป็นเรื่องของหน่วยงานเขาไปแก้ปัญหา”

ทนายรัชพล’ ลุยเอาผิด ‘คิมห์-เรืองไกร’ ปมหุ้นสื่อไอทีวี เข้าข่ายแจ้งความเท็จ-ปลอมเอกสาร ลั่น!! จะฟ้องกลับก็ไม่กลัว

(13 มิ.ย. 66) ที่สน.ทุ่งสองห้อง นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความชื่อดัง เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ต.อนุชิต ชาติชูเหลี่ยม สว.(สอบสวน) สน. ทุ่งสองห้อง เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายคิมห์ สิริทวีชัย และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กรณีบันทึกการประชุมขัดแย้งกับคลิปวิดีโอ เข้าข่ายแจ้งความเท็จ ปลอมเอกสาร เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบหากพบว่ากระทำผิดจริง ขอให้ดำเนินคดีตามกฎหมายเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ

นายรัชพล กล่าวว่า เรื่องนี้มีคนจำนวนมากกล่าวถึงว่าเป็นการกระทำผิดในเรื่องของการปลอมแปลงเอกสาร และความผิดอีกหลายมาตรา จนเป็นข่าวอยู่ตามหน้าสื่อต่างๆ แต่ยังไม่มีผู้ใดเข้าดำเนินการแจ้งความ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ตนในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ขอเป็นตัวแทนเข้าแจ้งความกล่าวโทษ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดี โดยพบพิรุธความผิดปกติอยู่ 3 ประการ ประการแรกคือ คลิปภาพกับเอกสารมีข้อความบางส่วนไม่ตรงกัน ประการที่ 2 ตามที่เพจของคุณจตุรงค์ สุขเอียด ระบุว่า คลิปดังกล่าวได้ลบไฟล์ทิ้ง แต่ต้องตรวจสอบอีกครั้ง และ 3 คือ นายคิมห์ ออกหนังสือให้ตรวจสอบ แต่จริงๆ แล้วตัวนายคิมห์เองต้องเป็นผู้ออกมาชี้แจง เพราะตัวนายคิมห์เป็นประธานในที่ประชุมและเอกสารก็เป็นคนเซ็นเอง ในส่วนนี้มองว่าน่าจะเป็นการถ่วงเวลา โดยออกเอกสาร เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและไม่ได้ระบุเวลาว่าเรื่องราวดังกล่าวจะตรวจสอบเสร็จเมื่อไร

นายรัชพล กล่าวว่าส่วนนายเรืองไกรจะพูดอะไรก็ได้ ถึงแม้จะบอกว่าไม่ได้เป็นคนยื่นเอกสารการประชุมให้ กกต. แต่ความเป็นจริงไม่มีใครรู้ว่ายื่นหรือไม่ เพราะเอกสารอยู่ที่ กกต. ซึ่งส่วนนี้ตำรวจสามารถเรียกเอกสารมาตรวจสอบได้ แต่หากยื่นจริงและ พิสูจน์ได้ว่าเป็นการกลั่นแกล้งยื่นเอกสารอันเป็นเท็จ สามารถดำเนินคดีได้ ในส่วนนี้เดี๋ยวตำรวจต้องสืบสวนต่อไปว่าเข้าข่ายกระทำการกระทำความผิดหรือไม่ ในส่วนที่บางคนอาจจะมองว่าเป็นกระบวนการการกลั่นแกล้ง เท่าที่ดูพยานหลักฐานในตอนนี้อาจจะยังไปไม่ถึง

นายรัชพล กล่าวว่า สำหรับนายเรืองไกร ที่ก่อนหน้านี้บอกว่าไม่ได้ไปยื่นเอกสารบันทึกการประชุมให้กับ กกต. เป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ว่ายื่นหรือไม่ยื่น อยากให้ตำรวจตรวจสอบว่ายื่นจริงหรือไม่ หากมีการยื่นจริง ตนมองว่าเป็นเจตนากลั่นแกล้งให้คนอื่นได้รับโทษหรือไม่ ซึ่งอยากให้ตำรวจตรวจสอบเช่นกัน

ส่วนความผิดที่มาแจ้งความในวันนี้ว่าเป็นการแจ้งความเท็จ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 “ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่น หรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” หรือไม่ และอยากให้ตำรวจตรวจสอบว่าเอกสารบันทึกการประชุมเป็นเท็จหรือไม่ และเข้าข่ายความผิดผู้ที่ทำเอกสารปลอม จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นายรัชพล กล่าวต่อว่า การนำกฎหมายมาใช้กลั่นแกล้งกัน หรือที่การพูดถึงคำว่า ‘นิติสงคราม’ มองว่าตัวกฎหมายก็อยู่ของมัน แต่คนที่ทำผิดต่างหาก คือ คนที่มีจิตใจสกปรกมากกว่า และใช้กฏหมายเป็นเครื่องมือ ทุกคนใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่กฎหมายยังคงอยู่แบบนี้ ใครที่ทำผิดก็ต้องรับโทษตามกฏหมาย

นายรัชพล กล่าวว่า ส่วนหลังจากนี้หากนายคิมห์ หรือนายเรืองไกลจะฟ้องกลับก็ไม่กลัว เพราะเป็นสิทธิ์ของพลเมืองที่พบเห็นสิ่งผิดปกติและอยากมห้มีการตรวจสอบ ส่วนที่ตนไม่ไปยื่นให้ กกต.ตรวจสอบ มองว่าเป็นการทำงานที่ล่าช้าเพราะหาก กกต. ตรวจสอบ พบความผิดก็ต้องมาแจ้งความที่ สน. เช่นกัน
 

‘จตุพร’ ฟันธง กรณีหุ้นไอทีวี แม้มีคลิปเสียงหลุด ‘พิธา’ ก็ไม่ได้นั่งเก้าอี้

วันที่ 13 มิ.ย. 2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ข่าวดี…มาก่อนข่าวร้าย?” โดยเชื่อว่า คลิปเสียงประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวีจงใจหลุดออกมาปฎิบัติการตอกลิ่มขัดแย้งให้พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยที่กำลังช่วงชิงนายกฯ ถึงที่สุดปลายทาง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะคว้านายกฯ ไปครองสำเร็จ

นายจตุพร กล่าวว่า กรณีหุ้นไอทีวี เกี่ยวข้องทั้งทางการเมืองและกฎหมาย โดยไอทีวีเกิดขึ้นในปี 2535 ต้องการให้เป็นสื่อเสรี เป็นช่องทางสาธารณะของประชาชน ไม่อยู่ใต้การครอบงำของรัฐ แต่สามารถดำเนินธุรกิจได้

กระทั่งไอทีวีมาอยู่ในมือของชินคอร์ป แล้วเกิดปัญหากับนักข่าวหลายคน นักข่าวที่มีทัศนคติเป็นปัญหากับเจ้าของก็ถูกสั่งให้ออก เมื่อเกิดปัญหาจ่ายค่าสัมปทานกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) จนถูกฟ้องร้องยกเลิกสัญญาพร้อมเรียกเงินค้างจ่ายค่าสัมปทานระบบ UHF

อย่างไรก็ตาม บริษัทไอทีวีถูกขายต่อกันหลายทอด จนมาอยู่กับบริษัทอินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน โดยบริษัทนี้มีความสัมพันธ์กับบริษัทพลังงาน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับเจ้าของเดิมไอทีวี อีกทั้งได้สัมปทานไฟฟ้า 5,000 เมกะวัตต์ โดยไม่ต้องประมูลแข่งขัน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างในด้านพลังงานในปัจจุบัน แล้วไอทีวี กลายเป็นประเด็นการเมืองและถกเถียงด้านกฎหมายคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.

อีกทั้ง กล่าวว่า ถ้านายพิธา เป็นบุคคลธรรมดา ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง ไม่เป็นนักการเมือง หรือไม่ได้เป็นแคนดิเดตนายกฯ ขอบเขตกฎหมายไม่สามารถเข้าไปจัดการกับการถือหุ้นไอทีวีได้ แต่ความจริงคือ นายพิธา เมื่อเป็นนักการเมือง กฎหมายมีข้อห้ามถือหุ้นสื่อ จึงเกิดรอยปริทางอำนาจขึ้นอย่างเดือดระอุ

นายจตุพร กล่าวว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ปกติมีหน้าที่แจกข่าวดีเป็นส่วนใหญ่ โดยข่าวดีที่แจกแล้ว คือ ยกเลิก 3 คำร้องจากผู้ร้อง 3 คนให้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.ของนายพิธา กรณีถือหุ้นสื่อไอทีวี จากนั้นจึงนำไปไต่สวนตามข้อหาคดีอาญา ม.151 ของ พรป.เลือกตั้ง ส.ส.ปี 2561 เกี่ยวกับการรู้ว่าไม่มีคุณสมบัติแล้วมาสมัครเลือกตั้ง ดังนั้น แสดงว่า คำร้องคุณสมบัติต้องห้ามการถือหุ้นสื่อน่าจะมีมูลพอสมควร จึงต้องไต่สวนหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปดำเนินคดีอาญา

รวมทั้ง กล่าวว่า เส้นทางของ ม.151 แม้มีการสร้างจินตนาการถึงการต่อสู้ได้ยาวนานถึง 3 ศาลกว่าจะผลยุติ แต่เมื่อไต่สวนจนมีความปรากฎ กกต. สามารถใช้ ม.98 (3) ของ รธน. 2560 ยื่นให้ ศาล รธน.วินิจฉัยได้ อีกอย่างผู้ร้อง 3 คนที่ถูกยกคำร้องนั้น ยังสามารถมายื่นใช้สิทธิตาม รธน.ได้ด้วย ซึ่ง กกต. อาจได้ชี้แจงให้ผู้ร้องรับทราบด้วยแล้ว

“ในข่าวดีที่ กกต. แจ้งยกคำร้องการถือหุ้นสื่อนั้น ยังมีข่าวร้ายคือ ทันที่นายพิธา ได้รับการรับรอง ส.ส. ผู้ร้องเดิมทั้ง 3 คนยังร้องต่อไปได้ หรือเมื่อผลจากตั้งกรรมการไต่สวน กกต.ก็ดำเนินการเอง โดยไม่จำเป็นให้แต่ละสภายื่นตรวจสอบคุณสมับัติห้ามถือหุ้นสื่อเลยก็ได้”

นายจตุพร ตั้งข้อสังเกตุว่า มันง่ายไปหรือไม่ที่บริษัทไอทีวีประชุมผู้ถือหุ้นโดยเปิดเผยผ่านช่องทางโชเชียลมีเดีย แล้วมีรายงานการประชุมออกไป ถัดจาดนั้นตามด้วยหลุดคลิปเสียงอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะเสียงในการประชุมกับบันทึกการประชุมไม่ตรงกัน

อย่างร็ตาม ผู้คนไม่สนใจว่า ทางกฎหมายบริษัทไอทีวียังอยู่ และยังไม่ได้ปิดบริษัท หรือจดทะเบียนยกเลิกบริษัท จึงทำให้เกิดอารมณ์แรกที่ชัดเจน คือ การบันทึกรายงานการประชุมกับคลิปเสียงที่ออกไม่ตรงกัน ได้กลายเป็นข่าวดีกล่อมสร้างบรรยากาศดีใจของผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล

“วันนี้ ถ้าเอาอารมณ์ความรู้สึกมาสร้างความชอบธรรมและอธิบายสาธารณะแล้ว ย่อมได้ทางการเมืองแน่นอน แต่ข้อกฎหมายนั้น มันยังดิ้นยากอยู่ เหตุคลิปเสียงนี้ออกมาจะเรียงร้อยทุกเรื่องให้มีนัยยะสำคัญ โดยไม่รู้ใครหย่อนออกมาให้กระจายไปในสาธารณะ และมีเจตนาอะไร แต่ก็เป็นข่าวดีสร้างขวัญกำลังใจให้นายพิธา กับผู้สนับสนุน ถึงที่สุดก็ไม่ใช่ปลายทางของการเมือง”

นายจตุพร กล่าวว่า อีกมุมหนึ่งการหลุดคลิปเสียงนั้น อาจส่งแรงกระเพื่อมและตอกลิ่มให้พรรคการเมืองจำนวน 312 เสียงก็ได้ เพราะคลิปเสียงดูเหมือนทำให้เกิดความรู้สึกว่า เกมพลิกแล้ว และเกิดความชอบธรรมทางการเมืองให้เกิดขึ้นกับนายพิธา ทั้งที่หากไม่มีคลิปเสียง กกต.ก็สามารถปิดเกมถือหุ้นสื่อได้อยู่แล้ว

สิ่งสำคัญ นายจตุพร เชื่อว่า กกต.ได้ปล่อยข่าวดีมาสร้างความชอบธรรมให้พรรคก้าวไกลมาต่อเนื่อง โดยเริ่มยกคำร้องการถือหุ้นสื่อ 3 คำร้อง ตามด้วยยกคำร้องการยุบพรรค 4 คำร้องในเวลากลางวันของวันอาทิตย์ และกระจายสะพัดสาธารณะในช่วงกลางคืนทันที ปรากฎการณ์นี้แสดงถึง กกต.กำลังลดความกดดันทางการเมืองที่ร้อนแรง ซึ่งเริ่มระอุเดือดขึ้นกับพรรคก้าวไกลและผู้สนับสนุน

อีกทั้ง เห็นว่า การสร้างข่าวดี ด้วยการยกคำร้องต่างๆ นั้น ทำให้ กกต.เริ่มกลายเป็นตัวดีในอารมณ์ทางการเมืองที่คุกรุ่นขึ้นของผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล แต่ในปลายทางของการไต่สวน กกต.อาจจะกำไม้เด็ดไว้ในมือ เพื่อจัดการและมุ่งหวังผลในทางการเมืองอย่างเด็ดขาดในสถาการณ์ประทุขึ้นเมื่อปลายทาง

“เมื่อรายงานการประชุมหลุดออกมาในช่วงบรรยายสร้างข่าวดีของ กกต. แล้วเกิดคลิปเสียงหลุดออกมาอีกจากผู้อำนวยการสร้างข่าวดีคนเดิมที่ออกแบบสร้างให้เกิดความขัดแย้งในฝากฝั่งพรรคที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตย และจะยิ่งตอกลิ่มหนักขึ้น เมื่อ กกต. รับรอง ส.ส.ให้เกิน 475 เสียง และที่ไม่รับรองก็จะจัดการเลือกตั้งด่วน อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งหมด แล้วความวุ่นวายจะประทุประเดประดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง”

นายจตุพร กล่าวว่า การคิดอ่านทางการเมืองในรอบนี้ ถึงนายพิธา จะถูกหยุดหรือไม่หยุดการปฏิบัติหน้าที่ หรือไม่มีกรณีถือหุ้นไอทีวีมาเป็นอุปสรรคขวางกั้นก็ตาม ย่อมหาเสียงไม่ได้ถึง 376 เสียงอยู่ดี ดังนั้น แม้มีคลิปเสียงหลุดออกมา นายพิธา ก็ไม่ได้เป็นนายกฯ อยู่ดี

“สิ่งสำคัญ ทางที่กำลังเดินไปสู่ปลายทางนั้น จะเห็นคู่มวยอย่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยกำลังเริ่มตั้งท่าเดือดใส่กันในกรณีเลือกประธานสภา และเลือกนายกฯ ซึ่งฟันธงได้เลยว่า คนเป็นนายกฯ คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคพลังประชารัฐ) ส่วนใครจะโหวตกันบ้าง คอยดูงูเห่าจะเลื้อยเพ่นพ่านในห้องประชุมสองสภาวันโหวตเลือกนายกฯ”

นายจตุพร กล่าวว่า การเมืองครั้งนี้ อะไรที่ดีอย่างผิดปกติ ย่อมไม่ธรรมดา ดังนั้น ร่องรอยเรื่องคลิปหลุดสืบสาวกันไม่ยาก แต่ถึงที่สุดความขัดแย้งก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปลายทางที่กำหนดความต้องการไว้ เพราะการเมืองเป็นกลเกม และในกระดานแห่งอำนาจที่ต้องช่วงชิงกันรอบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบายการออกแบบไว้.

‘ลอรี่ พงศ์พล’ ชี้ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เป็นของคนไทย 66 ล้านคน

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ ลอรี่ นักการเมืองหนุ่มรุ่นใหม่ อดีตผู้สมัครส.ส.มุสลิมหนึ่งเดียวในเขตเลือกตั้งที่ 22 เขตสวนหลวง, เขตประเวศ (เฉพาะแขวงหนองบอน) จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับประเด็น รัฐปาตานี โดยได้แสดงความคิดเห็นไว้ มีใจความว่า ...

แยก 'รัฐปาตานี' 
ฉันทามติของใคร หรือ
เป็นอธิปไตยคนไทยทุกคน?
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวการเมืองสารพัด หลายเรื่องควรปล่อยไปตามคำวินิจฉัยขององค์กรที่เกี่ยวข้อง.. แต่เรื่องหนึ่งที่ผม มิอาจปล่อยได้คือ ความพยายามจัดประชามติ - เคลื่อนไหวลองเชิง เพื่อแบ่งแยกตัวเองของ 3จังหวัดภาคใต้ ภายใต้ชื่อ 'รัฐปาตานี' ที่ร่วมขบวนโดยกลุ่มนักศึกษา และตัวแทนพรรคการเมืองกลุ่มหนึ่ง

จากประชามติ "แยกดินแดน - แยกตัวเป็นเอกราช” ที่ทำกันที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ไปจนถึงการประชุมถกร่วม 8พรรค ของว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล ..เรื่องเหล่านี้ทำให้ผมเป็นห่วง เพราะฟังแล้วออกจะผิดแปลก จากกรอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้”

กลุ่มนักศึกษากลุ่มหนึ่ง อ้างความคิดแบ่งแยกจากจุลสาร "สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง" ซึ่งเขียนโดย ณัฐกฤษตา เมฆา เพื่อขยายความเรื่องสันติภาพที่แท้จริง ซึ่งประชาชนเป็นเจ้าของ

ผมขอถามว่า "ใครคือเจ้าของ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้"

- คนที่ถือโฉนดที่ดิน มีกรรมสิทธิ์ ?
- ผู้อยู่อาศัย ที่มีทะเบียนบ้านในพื้นที่ ?
..ปล่าวเลย
เจ้าของ คือ "ประชาชนคนไทย 66ล้านคน" ที่มีอธิปไตยในประเทศตนเอง

การทำประชามติจากกลุ่มนักศึกษา เรื่องเอกราชของ 3จังหวัดชายแดน นอกจากสุ่มเสี่ยงผิดรัฐธรรมนูญ.. อีกทั้งยังละเมิดเจ้าของพื้นดิน 3จังหวัดภาคใต้ตัวจริง ซึ่งคือประชาชนทุกคนใน 76จังหวัด + 1กรุงเทพ

อยากทำประชามติแบบแฟร์ ต้องทำมันทุกจังหวัดครับ ไม่ใช่พื้นที่ไม่กี่อำเภอในพื้นที่ ..เพราะคนไทยทุกคนเป็นเจ้าของพื้นที่ เสียภาษีเพื่อทำนุบำรุง 3จังหวัดชายแดนภาคใต้มายาวนาน ไม่ใช่ปิดประตู ถามแค่คนในแบบนี้

ถามเอง-ลงมติเอง-แยกเอง "คนไทยทุกคน"เสียหาย จะเดินทางเข้ายะลา, ปัตตานี, นราธิวาส ต้องขออนุญาติ ทำเรื่องวีซ่าเข้า ทั้งที่พื้นที่นี้คือแผ่นดินของคนไทยเราร่วมกัน ใช่หรือไม่

ประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยว ที่จะแบ่งแยกมิได้ นี่ยังไม่ได้ พูดความสามารถในการเลี้ยงดูตัวเองของ 3จังหวัด ที่ยังจัดเก็บภาษีได้น้อย และพึ่งงบประมาณช่วยเหลือต่อปี จากส่วนกลางจำนวนมาก

ปัตตานี จัดเก็บภาษีได้เอง 182ล้านบาท
ยะลา จัดเก็บภาษีได้เอง 215ล้านบาท
นราธิวาส จัดเก็บภาษีได้เอง 128ล้านบาท
(เทียบกับจังหวัดอื่นในปี65 สงขลา 1,074ล้าน, กรุงเทพ 19,748ล้าน, อุบลราชธานี 640ล้าน, เชียงราย 548ล้าน เป็นต้น)

แต่ทั้ง 3 จังหวัดยังต้องพึ่งพา งบจัดสรรทางภาครัฐ + เงินอุดหนุน (Intergovernmental Transfers) รวมทั้งหมดถึง 17,894 ล้านบาท

จำนวนเงินแตกต่างกันมหาศาล จนมีคำถามว่าเมื่อปราศจากเงินภาครัฐส่วนกลาง ทั้ง 3จังหวัดจะมีการบริหารตัวเองอย่างไร?

ความคิดอยากเปลี่ยนแปลง ต้องตั้งอยู่ในสมมุติฐานความเป็นจริง เคารพต่อรัฐธรรมนูญ หลักการประชาธิปไตย ที่ประชาชนไทยทุกคนต้องมีส่วนร่วม, คำนึงถึงความพร้อมด้านเศรษฐกิจ ปากท้อง, ความมั่นคงของประเทศ 

หาใช่เพียงการไม่ยอมรับความแตกต่าง ต่อต้าน และไวต่อแรงยั่วยุของกลุ่มบุคคลไม่หวังดี

ผมยังเชื่อว่าพี่น้อง 3 จังหวัดภาคใต้ ยังสามารถหาทางออกร่วมกับประเทศ อยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม ต่างชาติพันธุ์ ต่างศาสนา

เรามาหาแนวทางพิทักษ์สันติราษฎร์ที่โปร่งใสขึ้น ทุกคนยอมรับได้

อย่างสันติวิธีดีกว่าครับ
 

‘อลงกรณ์’ ฟันธง ‘พิธา’ รอดคดีหุ้นไอทีวี เชื่อ จบในชั้นกกต. ภายใน 45 วัน

นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีและอดีตส.ส.หลายสมัยเขียนเฟซบุ๊กวิเคราะห์คดีหุ้นไอทีวี ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์เรื่อง “กรณีหุ้นไอทีวี จบในชั้น กกต. เรื่องง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อน” โดยสรุปว่านายพิธาไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นไอทีวี จึงไม่เข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา151 และชี้ว่าคดีนี้จะจบลงในชั้น กกต. ภายใน45วันโดยมีข้อความดังนี้

ผมติดตามเรื่องหุ้นไอทีวี และมีความเห็นส่วนตัวในฐานะอดีต ส.ส.และอดีตรัฐมนตรี
จึงขออนุญาตแสดงความเห็นตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงในข้อเขียนสั้นๆเรื่อง
”กรณีหุ้นไอทีวี จบในชั้น กกต. เรื่องง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน” ดังนี้ครับ

“กรณีหุ้นไอทีวี จบในชั้น กกต.
เรื่องง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน”

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีการระบุไว้ในมาตรา 98(3) ซึ่งว่าด้วยคุณสมบัติที่ห้ามลงสมัคร ส.ส. โดยระบุว่า “ห้ามเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ”

ดังนั้นกฎหมายลูกคือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 แก้ไขเพิ่มเติม 2566 จึงบัญญัติมาตรา 151 ความว่า “..ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร …(ลักษณะต้องห้ามเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นสื่อ)

กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ถือครองเป็นเจ้าของหุ้นไอทีวี จะเข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา 151ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 แก้ไขเพิ่มเติม 2566 หรือไม่ เรื่องนี้มีหลายมุมมอง แต่สำหรับผมมีความเห็นดังนี้ครับ

1.ประเด็นหุ้นไอทีวี.ไม่มีอะไรซับซ้อนเพราะมีคำถามเดียวที่ต้องพิสูจน์คือ หุ้นไอทีวี เป็นของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือเป็นของกองมรดกที่นายพิธาเป็นผู้จัดการมรดก เป็นปมสำคัญที่สุด

2.การพิจารณาข้อกฎหมายเรื่องหุ้นไอทีวี ของนายพิธาคือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยเฉพาะ บรรพ 6 ว่าด้วยมรดก

3.จากการประมวลข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบโดยปราศจากอคติจากทุกฝ่ายได้ความว่า นายพิธาถือหุ้นในนามผู้จัดการมรดกไม่ใช่ถือในนามส่วนตัวและในฐานะทายาทได้สละมรดกแล้วซึ่งมีผลว่าไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นตั้งแต่ปี2550 

4.เมื่อพิจารณาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงจึงสรุปได้ว่า นายพิธาไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 151 

5.ดังนั้นประเด็นเรื่องหุ้นไอทีวี จะปิดสำนวนในชั้น กกต. ภายใน 30 วันหรือ 45 วัน
การพิจารณาประเด็นหุ้น ไอทีวี. ต้องยึดหลักความยุติธรรมโปร่งใสเป็นบรรทัดฐานในการวินิจฉัย อย่าทำให้เป็นคดีการเมือง

ผมสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งแข่งขันกับนายพิธาและพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่เป็นหน้าที่ที่เราต้องช่วยผดุงความยุติธรรมเมื่อเห็นว่ามีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นกับใครก็ตามแม้แต่คู่แข่งทางการเมือง เพราะความยุติธรรมที่เที่ยงธรรมจะไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในบ้านเมือง การบริหารประเทศด้วยหลักนิติรัฐและนิติธรรมสำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทยในวันนี้และวันข้างหน้าครับ.
 

‘ศรีสุวรรณ’ บุก กกต. จี้สอบ ‘กัณวีร์-พรรคเป็นธรรม’ ปมใช้นามสกุลตระกูลดังแอบอ้างหาเสียงหรือไม่

วันที่ (12 มิ.ย. 66) ที่สำนักงานการเลือกตั้ง (กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ได้เดินทางมายื่นคำร้องชี้เบาะแสให้ กกต.ตรวจสอบการหาเสียงของนายกัณวีร์ สืบแสง ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคเป็นธรรม ที่ปรากฎเป็นการทั่วไปในการหาเสียงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้และในสื่อต่างๆว่าเป็นหลานปู่ของ นพ.สืบแสง หรือ ‘ขุนเจริญวรเวช’ อดีต ส.ส. ปัตตานี 3 สมัย ช่วงก่อนและหลังปี พ.ศ. 2500 ซึ่งเป็นตระกูลที่สร้างคุณงามความดีให้กับชาวปัตตานีมาอย่างยาวนาน โดยที่ตระกูลดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ในทางเครือญาติหรือสายโลหิตกับนายกัณวีร์แต่อย่างใด เพียงแต่มีนามสกุลพ้องกันเท่านั้น

ทั้งนี้ นพ. เจริญ สืบแสง เคยรับราชการในกรมสาธารณสุข เป็นแพทย์หลวงประจำจังหวัดปัตตานี และยังเปิดคลินิกรับรักษาให้ประชาชนทั่วไปในรูปแบบรักษาให้ฟรีสำหรับผู้คนที่ขาดแคลนส่วนงานด้านการเมืองนั้น เคยเป็นสมาชิกสภาเทศบาลจังหวัดปัตตานี เคยเป็นนายกเทศมนตรีเมืองปัตตานี เคยเป็นประธานสภาเทศบาลจังหวัดปัตตานี และยังเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปัตตานีถึง 3 สมัย อีกด้วย

นอกจากนั้น ยังเคยเป็นประธานกรรมการสันติภาพแห่งประเทศไทย และเคยเรียกร้องสันติภาพ ด้วยการคัดค้านสงครามรุกรานเกาหลี ต่อมาปรากฎว่าถูกจับกุมดำเนินคดีในข้อหา “กบฏสันติภาพ” ส่วนน้องชายคือนายจรูญ สืบแสง เป็นผู้ร่วมก่อตั้งคณะราษฎรสายพลเรือนที่มีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นแกนนำ เคยรับราชการในตำแหน่งด้านการเกษตร กรมเพาะปลูก กระทรวงเกษตราธิการ เคยเป็นอธิบดี กรมศุลกากร อธิบดี กรมชลประทาน และยังได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดปัตตานีอีกด้วย

จะเห็นได้ว่าตระกูลสืบแสงนั้น มีคุณงามความดี และมีผลงานที่สร้างชื่อคุณูปการต่อชาวปัตตานีมาอย่างต่อเนื่องทั้งในงานทางด้านสังคม การแพทย์ และการเมือง จึงเป็นที่เคารพรักใคร่กันของพี่น้องประชาชนชาวปัตตานีและจังหวัดใกล้เคียงมาโดยตลอดและอย่างยาวนาน เพราะถือว่าเป็นตระกูลนักการเมืองที่เคยมีบทบาทสำคัญ และมีคณูปการอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ โดยเฉพาะสังคมในพื้นที่ปาตานี/จังหวัดชายแดนใต้

แต่ทว่านายกัณวีร์กลับใช้กลยุทธ์ในช่วงหาเสียงโดยการกล่าวอ้างว่า นพ.เจริญ สืบแสง เป็นปู่ เป็นบรรพบุรุษ เป็นต้นตระกูลของตนเอง เป็นรุ่นปู่ รุ่นหลาน ตนเองเป็นหลาน หรือมีศักดิ์เป็นหลาน เป็นผู้สืบเชื้อสาย นับศักดิ์เป็นญาติ ปู่เป็นญาติรุ่นเดียวกัน ฯลฯ ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงนั้น ไม่ได้มีส่วนใดในเชิงเครือญาติที่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง แม้ภายหลังถูกเครือญาติของ นพ.สืบแสงออกมาเปิดโปง ก็เพียงแต่ออกมาโพสต์ขอโทษในเฟซบุ๊กส่วนตัวของตนเองหลังจากผ่านพ้นการเลือกตั้งไปแล้วเท่านั้น การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายหลอกลวง หรือจูงใจให้เข้าใจผิด ในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ตาม ม.73 (5) แห่ง พรป.เลือกตั้ง ส.ส. 2561 หรือไม่ องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน จึงต้องนำความพร้อมพยานหลักฐานมายื่นชี้เบาะแสให้ กกต. ตรวจสอบในวันนี้ นายศรีสุวรรณ กล่าว

 

‘สุริยะใส’ ผ่าปมคลิปบันทึกการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ชี้!! ข้อมูลมัดตัวแน่น คลิปและเอกสาร ขัดแย้งกันชัดเจน

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีเอกสารรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2566 ที่ลงนามโดย นายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานในที่ประชุม โดยระบุว่า มีผู้ถือหุ้นรายหนึ่งถามในที่ประชุมว่า “ไอทีวียังประกอบกิจการสื่อหรือไม่?” ซึ่งในบันทึกการประชุมระบุไว้ว่า “ปัจจุบันยังดำเนินกิจการอยู่ ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงิน และยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ”

จนกระทั่ง เมื่อไม่นานนี้ ได้มีการนำเอาคลิปวิดีโอบันทึกการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นไอทีวี ประจำปี 2566 บริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 ออกมาเปิดเผย โดยในคลิปวีดิโอดังกล่าว มีเสียงคำถามที่ถามโดยผู้ถือหุ้นว่า “บริษัท ไอทีวี มีการดำเนินงานเกี่ยวกับสื่อ หรือไม่” โดย นายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานคณะกรรมการบริษัท ในฐานะประธานในที่ประชุม ให้ตอบว่า “ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใดๆ นะครับ ก็รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อนนะครับ”

ซึ่งทำให้ข้อมูลที่ถูกเปิดเผยออกมาล่าสุด มีความขัดแย้งกับเอกสารรายงานการประชุมที่ถูกเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ จนทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อเรื่องดังกล่าวในสังคมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในทวีตเตอร์ ที่ได้มีการพูดถึงประเด็นดังกล่าวอย่างแพร่หลาย และมีการติดแฮชแท็ก #หุ้นitv ไปแล้วมากกว่า 1 แสนทวีต

ล่าสุด วันนี้ (12 มิ.ย. 66) ผศ.ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดี วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ออกมาโพสต์คลิปผ่านสื่อโซเชียลติ๊กต็อกส่วนตัว ชื่อ ‘suriyasai_k’ โดยได้พูดถึงประเด็นดังกล่าวนี้ ว่า…

“เรื่องหุ้นไอทีวีของคุณพิธา นับวันจะยิ่งเป็นมหากาพย์ และได้กลายเป็นมหากาพย์ของการเมืองไทยไปแล้ว และดูเหมือนไม่มีท่าทีจะจบลงง่ายๆ ประเด็นเก่าหลุดไป ก็มีประเด็นใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาอีกตลอดเวลา จนล่าสุดก็ได้มีประเด็นบันทึกการประชุมผู้ถือหุ้นหลุดออกมาเป็นคลิปวิดีโอจากสื่อมวลชนแขนงหนึ่ง และได้มีการแชร์กันอย่างแพร่หลายในโลกออนไลน์ ณ ขณะนี้”

นอกจากนี้ ผศ.ดร. สุริยะใส ยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า คลิปวิดีโอบันทึกการประชุมที่หลุดออกมานั้น มีรายละเอียดคนละอย่างกับที่บันทึกในเอกสาร ซึ่งในบันทึกการประชุมรูปแบบเอกสาร โดยเฉพาะในช่วงคำถามที่ผู้ถือหุ้นถามถึงประเด็นที่ว่า ไอทีวียังประกอบกิจการอยู่หรือไม่นั้น ในเอกสารได้ระบุไว้อย่างชัดเจน ว่า คำตอบคือ ยังประกอบกิจการสื่ออยู่ปกติ แต่ในคลิปวิดีโอที่หลุดออกมาโดยสื่อมวลชนแขนงหนึ่ง ไม่ได้กล่าวแบบนั้น และยังกล่าวตรงกันข้าม ว่า ไม่ได้ดำเนินกิจการอะไร ยังต้องรอศาลปกครองตัดสินในคดีที่เป็นคู่ขัดแย้งกับสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจจะมีคำตัดสินออกมาในปลายเดือน มิ.ย.นี้

คำถามที่ต้องคิดต่อจากนี้ คือ

1.) หากคลิปวิดีโอบันทึกการประชุมนี้เป็นความจริง แสดงว่าเอกสารฉบับนั้น เป็นของปลอม และมีคนไปแก้บันทึกการประชุม ซึ่งตรงนี้ก็ต้องมาไล่เรียงกันว่า ใครบ้าง ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง มีตัวละครเกี่ยวคนที่ต้องดำเนินคดีกันอย่างถึงที่สุด

2.) หากคลิปวิดีโอบันทึกการประชุมนั้นไม่ใช่ของจริง ก็ต้องมาตรวจสอบว่ามีการตัดต่อคลิปวิดีโอหรือไม่ และความจริงหรืออะไร เพราะมีผู้ที่ตั้งข้อสังเกตว่า เสียงและภาพในคลิปวิดีโอบันทึกการประชุมนั้น มีความไม่สอดคล้องกัน ไม่ตรงกัน 100% จึงตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะมีการตัดต่อหรือไม่

ซึ่งก็เป็นเรื่องที่จะต้องมีการตรวจสอบกันต่อไป ว่าคลิปวิดีโอที่ถูกปล่อยออกมานั้น เป็นของจริงหรือผ่านการตัดต่อ และถ้าหากเป็นคลิปวิดีโอจริงที่ไม่ผ่านการตัดต่อ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับเอกสารบันทึกการประชุมก่อนหน้านั้น ซึ่งมีรายละเอียดไม่ตรงกัน

“ประเด็นที่สำคัญที่สุด คือ สมมติว่า บันทึกที่เป็นเอกสารนั้นเป็นของปลอมก็ไปไล่จับผู้ที่ทำการแก้ไขกันต่อไป และหากคลิปวิดีโอที่ปล่อยออกมานั้นเป็นของจริง คดีจะหายไปหรือไม่? อย่าลืมนะครับว่า คดีที่มีการสอบสวนอยู่ ณ ขณะนี้ คือ “คุณพิธาถือหุ้นสื่อไอทีวีอยู่หรือไม่?” คำตอบคือ “ยังถือหุ้นอยู่จริง” และคำถามที่ว่า “ไอทีวี ยังเป็นสื่ออยู่หรือไม่?” ตรงนี้ผมไม่ทราบ แต่ ไอทีวียังไม่ได้แจ้งยกเลิกการประกอบกิจการ ซึ่งหมายความว่า ไอทีวีจะกลับมาประกอบกิจการเมื่อไรก็ได้ เพราะฉะนั้น ในประเด็นนี้ยังไม่สามารถตัดออกไปได้ อาจจะเป็นคนละประเด็นกับคลิปบันทึกการประชุมว่าเป็นของจริงหรือของปลอม แต่คดีการถือหุ้นสื่อนี้ ยังคงอยู่ บางคนอาจจะบอกว่าคดีจะเบาลง แต่ผมว่าก็คงจะเบาลงเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ยังคงต้องติดตามกันต่อไป เพราะเรื่องนี้จะยังไม่จบลงง่ายๆ ครับ” ผศ.ดร.สุริยะใส กล่าวทิ้งท้าย

‘กระแสร์’ ว่าที่ ส.ส.พปชร. เร่งยกระดับการท่องเที่ยวแบบครบวงจร หวังสร้างรายได้ให้ชุมชน พร้อมดันรัฐสวัสดิการเพื่อคนไทยอย่างทั่วถึง

วันที่ (12 มิ.ย. 66) นายกระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ ว่าที่ ส.ส. จังหวัดหนองคาย เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ๆ ตนดูแลอยู่เป็นลักษณะเขตเมือง ได้รับประโยชน์จากโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ทำให้เกิดบรรยากาศความคึกคักของพื้นที่ มีประชาชนที่เดินทางท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก เพื่อเดินทางต่อไปยัง สปป. ลาว ตนมองว่าต้องเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในจังหวัด ทั้งทางวัฒนธรรม ศาสนา ซึ่งมีวัดหลวงพ่อพระใส ที่เป็นนับถือของคนทั้งฝั่งไทยลาว ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชนได้เพิ่มขึ้น จึงต้องเตรียมความพร้อม โดยการประสานหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวจังหวัดหนองคายมากขึ้น

“ในส่วนของการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนนั้น ส่วนใหญ่อยากให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ และยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวหนองคายให้ดีขึ้น ผมก็จะดำเนินการตามนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่ได้หาเสียงไว้ ไม่ว่าพรรคเราจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ผมจะผลักดันเพื่อให้เกิดรัฐสวัสดิการที่ดูแลคนไทยทุกคนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรมให้ได้ และที่สำคัญ เราจะร่วมกันพัฒนาจังหวัดหนองคาย เพราะจังหวัดหนองคายคือบ้านของเรา” นายกระแสร์ กล่าว

นายกระแสร์ ยังกล่าวถึงเกษตรกร จ.หนองคายว่า ถือว่าเป็นโชคดี ที่พื้นที่เกษตรกรตั้งอยู่ติดกับลำน้ำโขง ทำให้ไม่ต้องเผชิญปัญหาภัยแล้ง สามารถทำนาปี และนาปรังได้ตลอดทั้งปี แต่ปัญหาเรื่องของน้ำฤดูมรสุมที่จะมีปริมาณน้ำมาก ทำให้บางพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่ต้องรอการระบายน้ำ ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ เรื่องนี้คงต้องเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ และประสานเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือเป็นการเฉพาะหน้า

‘ปรเมษฐ์ ภู่โต’ ชี้สาระสำคัญคดี ‘พิธา’ ไอทีวี ยังถือว่าเป็นสื่อ ส่วนเรื่องคลิป-รายงานประชุม ต้องไปพิสูจน์กันอีกเรื่อง

นายปรเมษฐ์ ภู่โต นักข่าวสื่อมวลชนอาวุโส และผู้ดำเนินรายการคุยถึงแก่น ซึ่งออกอากาศทางช่อง NBT ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ถึงกรณีการถือครองหุ้นไอทีวี โดยมีใจความว่า ...

คิดเอง จากข่าว....
ถ้าเอาตามที่ นางสดศรี สัตยธรรม อดีต กกต. ออกมาให้ความเห็น สาระสำคัญแห่งคดี น่าจะอยู่ที่ Itv ยังไม่ได้ไปจดเลิกกิจการ หรือเปลี่ยนวัตถุประสงค์ ดังนั้นจึงยังถือว่า เป็นบริษัทที่ยัง "ประกอบกิจการสื่อ" 

ส่วนเรื่องคลิปการประชุมผู้ถือหุ้น ไม่ตรงกับ รายงานการประชุมที่เป็นเอกสารนั้นเป็นคนละประเด็น

ประเด็นสำคัญคือ

1.พิธา ถือหุ้น Itv ณ วันสมัครรับเลือกตั้งจริง

2.บริษัท ItV ยังคงเป็นบริษัท ที่ถือว่าดำเนินการสื่อจริง
แม้ว่าวันนี้จะไม่มีสถานีโทรทัศน์ Itv แพร่ภาพอยู่ก็ตาม แต่ บริษัท ยังคงมีความประสงค์จะประกอบกิจการสื่อ ตามวัตถุประสงค์ ไม่ได้มีการแจ้งยกเลิก

3.พิธา รู้ว่า ตัวเองถือหุ้นสื่อ ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้าม แต่ก็ยังไปสมัคร 

4.ถ้าจะสู้ว่า ก็รู้ว่าถือหุ้น แต่คิดว่าItv ไม่ได้เป็นสื่ออีกแล้ว

ฟังขึ้นหรือไม่ กะอีแค่ให้คนไปคัดเอกสาร ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อมาตรวจสอบให้แน่ใจ มันยากตรงไหน

5.ส่วนคลิปที่ข่าว3มิติ ที่ไม่ตรงกับเอกสารรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น ตัดต่อ หรือ ไม่ เป็นคนละส่วนที่ต้องไปพิสูจน์ความจริง

อาจจะมีผลในแง่สนับสนุนคำกล่าวของพิธาที่ว่า มีขบวนการฟื้นItv เพื่อสกัดไม่ให้เป็นนายกฯ 
แต่ไม่น่าจะมีผลต่อคดี

จบ....สวัสดี
 

เรียกร้องไม่โหวตให้ พรรคที่คิดล้มล้างสถาบัน ด้าน ‘อกนิษฐ์’ ย้ำจุดยืนโหวตนายกฯ ต้องเป็นคนเก่งและดี

วันนี้ (วันที่ 12 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่บริเวณด้านหน้าอาคารรัฐสภา ฝั่งวุฒิสภา เวลา 05.00 น. คณะประชาชนคนรักในหลวง นำโดยนายนายประยูร จิตรเพ็ชร ประธานคณะฯ ส่วนกลาง และมวลชนซึ่งสวมเสื้อสีเหลืองจำนวนมาก รวมตัวเพื่อให้กำลังใจ ส.ว. และยื่นหนังสือขอให้ ส.ว. งดการลงมติให้กับพรรคการเมืองที่ล้มล้างสถาบันเบื้องสูง

ทั้งนี้เวลา 08.00 น. นายประยูร และแกนนำบางส่วนได้เข้าพบกับส.ว. บนตึกวุฒิสภา ชั้น2 โดยเป็นการพบปะแบบส่วนตัว ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ก่อนที่นายประยูร จะกลับมาแจ้งให้มวลชนรับทราบว่า พล.อ. อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ ส.ว. จะเป็นผู้รับยื่นหนังสือ และพามวลชนเข้ามารอที่ด้านในอาคารรัฐสภา บริเวณโถงหน้าพิพิธภัณฑ์รัฐสภา พร้อมยืนยันว่าการรวมตัวของกลุ่มประชาชนคนรักในหลวง ไม่มีประเด็นการเมือง ไม่มีความรุนแรง และต้องการมาให้กำลังใจ ส.ว.เท่านั้น

ต่อมาเวลา 10.15 น. พล.อ.อกนิษฐ์ พร้อมด้วยนายทวีศักดิ์ วัฒนพรมงคล ส.ว. เข้ารับยื่นหนังสือกับแกนนำและตัวแทน โดยนายประยูร กล่าวว่าตนขอให้กำลังใจ ส.ว. และขอเรียกร้องไม่ให้ลงมติให้กับพรรคการเมืองที่คิดล้มล้างสถาบัน ซึ่งการรวมตัวของมวลชนถือเป็นบางส่วนเท่านั้น ทั้งนี้ตนทราบข่าวว่ามีคนคิดจะล้มล้างสถาบัน หากเกิดขึ้นจริง กลุ่มประชาชนคนรักในหลวงจะออกมาชุมนุมเป็นหลักล้านคน

โดย พล.อ. อกนิษฐ์ กล่าวตอบว่า ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา และ ส.ว. หลายคนที่ทำงานร่วมมกันขอให้สัญญาว่า ส.ว. ทุกคนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิมีวุฒิภาวะดี ตนเชื่อว่าทุกคนจะทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อประโยชน์สูงสุดประเทศชาติ และประชาชน ไม่ต้องกลัว ส.ว. มีวุฒิภาวะพอ

พล.อ. อกนิษฐ์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ตนจะดูรายละเอียดของหนังสือที่มายื่นว่าเข้าเงื่อนไขอะไรบ้างและต้องเดินต่ออย่างไร ส่วนที่ถามถึงจุดยืนส่วนตัวในการโหวตเลือกนายกฯ นั้น ตนบอกแล้วว่าทุกคนมีวุฒิภาวะที่ตัดสินใจบนผลประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นหลัก และตอนนี้ยังไม่ชัดเจน คนที่เป็น ส.ส. ขณะนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่รับรอง ดังนั้นเร็วเกินไปที่จะตอบตอนนี้

เมื่อถามว่าส่วนตัวมองสเปคบุคคลที่เหมาะสมจะเป็นนายกฯ ที่จะโหวตให้อย่างไร พล.อ.อกนิษฐ์กล่าวว่า ต้องเป็นคนมีความรู้ ความสามารถ คนเก่ง คนดี และต้องคู่กัน ไม่ใช่ดีแล้วไม่เก่ง หรือ เก่งแล้วไม่ดี ต้องเป็นคนเก่งและคนดี เก่งด้วยดีด้วย และทำงานเพื่อประเทศชาติ ยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ต่อข้อถามว่า ตัวเลข ส.ส. ร่วมรัฐบาลจะเป็นปัจจัยโหวตนายกฯหรือไม่ พล.อ. อกนิษฐ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของฝั่ง ส.ส. เรามีหน้าที่พิจารณาตอนเสนอชื่อใครเป็นนายกฯ เท่านั้น ซึ่งเป็นคนละขั้นตอน

เมื่อถามถึงการกดดันให้ ส.ว. โหวตเลือกนายกฯ เสียงข้างมากตามมติประชาชน โดยให้พรรคอันดับหนึ่งเป็นนายกฯ พล.อ. อกนิษฐ์ กล่าวว่า การที่บอกว่า เสียงอันดับหนึ่งเป็นนายกฯ หลายท่านเข้าใจผิด เสียงส่วนใหญ่กับเสียงส่วนน้อยเป็นอย่างไร เป็นขั้นตอนของการเลือกตั้งแต่ตอนนี้ไม่มีเสียงส่วนใหญ่ ยังไม่รู้ว่าใครเป็นเสียงส่วนใหญ่เป็นแค่การวางแผนกันเท่านั้น เมื่อมีเสียงส่วนใหญ่ต้องมีเสียงส่วนน้อย ตนไม่ได้ฟังเสียงคนที่ได้รับเลือกตั้งมามากเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่

เมื่อถามถึงกรณีทีตัวแทนพรรคก้าวไกลมาพูดคุยส่วนตัวหรือไม่เพื่อให้โหวตนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ พล.อ. อกนิษฐ์ กล่าวว่า ไม่มี ส่วนตัวพร้อมรับฟังทุกพรรค เพราะตนมีเพื่อนอยู่ทุกพรรค ไม่ใช่พรรคใดพรรคหนึ่ง เป็นเพื่อนทุกพรรค ตนรู้จักแกนนำของทุกพรรค

เมื่อถามย้ำว่าปัญหาที่นายพิธา ถูกตรวจสอบไม่ว่าจะเป็นเรื่องหุ้นสื่อ หรือเรื่อง อื่นๆจะเป็นปัจจัยตัดสินตอนโหวตหรือไม่ พล.อ. อกนิษฐ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ เพราะฝ่าย ส.ส. ยังไม่นิ่ง ดังนั้นจึงตัดสินใจอะไรไม่ได้ แต่ตนมีหลักเกณฑ์ง่ายๆ ขอเลือกคนเก่ง คนดี และทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน ยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ผู้สื่อข่าวรายงานถึงเนื้อหาของหนังสือของคณะประชาชนคนรักในหลวง ที่ยื่นต่อส.ว. ตอนหนึ่ง ระบุว่า มวลชนเดินทางมาที่รัฐสภาเพื่อให้กำลังใจและยืนเคียงข้าง ส.ว. ที่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และขอให้ ส.ว. ไม่ยกมือให้กับ ส.ส. ที่คิดจะยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

ทั้งนี้พบว่าในจดหมายที่ยื่นต่อ ส.ว. ยังพบการขอรับการสนับสนุนการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่10 ประจำปี 2566 ที่ จ. ร้อยเอ็ด ระหว่างวันที่ 22- 28 กรกฏาคม จากวุฒิสภา จำนวน 28.7 ล้านบาท ด้วย

ส.ว.’ เพื่อนบิ๊กตู่ งัดไม้เด็ด ม.157 ขู่เตรียมสับ ‘กกต.’ เอาผิดฐานแทงกั๊ก ปมตรวจสอบคุณสมบัติ ‘พิธา’

ถ้าไม่มีอะไรผิดคิว สัปดาห์นี้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ ‘กกต.’ ก็คงจะเริ่มทยอยประกาศรับรองผลเลือกตั้งได้แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องดีที่จะได้ช่วยให้บรรยากาศทางการเมืองให้ผ่อนคลายขึ้น…

แต่สำหรับเรื่องของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แม้จะมีความชัดเจนส่วนหนึ่งแล้ว แต่ดูเหมือนจะยังมีความร้อนแรง และเงื่อนปมความยุ่งเหยิงซุกซ่อนอยู่ไม่น้อย…

มาทำความเข้าใจกันแบบช้าๆ ชัดๆ อีกครั้ง ว่ากันแบบเนื้อๆ เน้นๆ

ปลายสัปดาห์ที่แล้ว กกต.มีมติตีตกไม่รับเรื่องของปมคุณสมบัติกรณีถือหุ้นไอทีวี อ้างเหตุเพราะยื่นเรื่องร้องช้ากว่าที่ระเบียบกฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม กกต.โดยคุณแสวง บุญมี เลขาธิการสำนักงาน กกต.ได้ตอบคำถามพอที่จะสรุปทิศทางได้ว่า เรื่องคุณสมบัตินายพิธาจะดำเนินการได้ต่อเมื่อเป็น ส.ส.แล้ว ส่วนเรื่องคดีอาญาตามมาตรา 151 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง หรือ พ.ร.ป เลือกตั้ง 2560 นั้น ตอนนี้จะพิจารณาดำเนินการ

คำสัมภาษณ์ดังกล่าว คือที่มาของการจับประเด็น และพาดหัวไปในทิศทางเดียวกันของสื่อมวลชนน้อยใหญ่ว่า ‘พิธารอด” รับรองผลก่อน… สอยทีหลัง…

บางสำนักฯ ก็พาดหัวข้ามช็อต เอาบทลงโทษของ พ.ร.ป.เลือกตั้งมาตรา 151 มาพาดหัวว่า “พิธาหนักกว่าเดิม ลุ้นระทึกโดนตัดสิทธิ-ติดคุก…”

อย่างไรก็ตาม คุณแสวง บุญมี ก็ได้พูดกว้างๆ เอาไว้ตามหลักกฎหมายว่า เรื่องคุณสมบัตินั้นสมาชิกรัฐสภาและ กกต.สามารถยื่นเรื่องตาม “ความปรากฏ” ต่อ กกต.ได้ ตามมาตรา 82 (วรรคสี่) แต่ไม่ได้บอกว่า กกต.จะดำเนินการหรือไม่
.
ความที่ชอบแถลงกันแบบกำกวม หรือการ์ดสูงของ กกต.ชุดนี้นี่เอง ที่ทำให้นาทีนี้ กกต.ตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์ว่า หลายต่อหลายครั้งออกอาการ “เหยาะแหยะ และขาดความคมชัด”

และด้วยความไม่ชัดเจนกรณีการดำเนินการเรื่องคุณสมบัติของนายพิธานี่เอง ที่กลุ่มสมาขิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะ ส.ว.สายบิ๊กตู่ เตรียมทหารบกรุ่น 12 ได้จับกลุ่มหารือกันเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา และมีความเห็นคล้ายๆ กันว่า “ใช่หรือไม่? ว่าตอนนี้ กกต.กำลังโยนเผือกร้อนให้ ส.ว.และ ส.ส.โหวตคว่ำพิธาไปก่อน” จากนั้น กกต.ค่อยไปคิดอีกทีว่าจะทำอะไรหรือไม่ อย่างไร

ส.ว.กลุ่มนี้ตั้งคำถามด้วยว่า จะดำเนินคดีอาญา ตามมาตรา 151 กับนายพิธาได้อย่างไร ถ้าปัญหาคุณสมบัติยังไม่ได้ถูกพิจารณา และใครต่อใครก็รู้ว่า คดีอาญาตามมาตรา 151 นั้นใช้เวลาอีกนานและโอกาสรอดก็มีสูง เหมือนที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เคยรอดมาแล้ว เพราะอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องเมื่อปี 2565 หลังจากใช้เวลาทั้งหมด 2 ปีครึ่ง…

หลายเสียงใน ส.ว.กลุ่มนี้ เลยตั้งประเด็นขึ้นมาว่า หาก กกต.ไม่ดำเนินการประเด็นคุณสมบัติของนายพิธาให้เป็นที่แจ้งชัด อาจจะต้องฟ้อง กกต.ผิดอาญามาตรา 157 ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ก็ได้…

“ขอเวลาให้พวกผมดูข้อกฎหมาย รายละเอียดต่างๆ ให้รอบคอบ หาข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมอีกหน่อย” ส.ว.เตรียมทหารรุ่น 12 ท่านหนึ่งกล่าว

พูดถึง ส.ว.จากเตรียมทหารบก รุ่น 12 ก็ต้องบอกว่าพวกเขาคือขุมกำลัง ส.ว.สายทหารที่ใหญ่ที่สุดมีถึง 28 คน เสียชีวิตไปหนึ่งคน คือ พล.ร.อ.ชุมนุม อาจวงศ์ เหลือ 27 คน ที่ชื่อคุ้นๆ เช่น พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา, พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ, พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ, พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์, พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร, พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร เป็นต้น

สรุปว่า ในชั้นนี้… พิจารณาจากไทม์ไลน์แล้วอีกเดือนเศษ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็จะเดินเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ในฐานะแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี… แต่โอกาสผ่าน 376 เสียงนั้นยังมืดมิด ส่วนหลังจากนั้น จะถูกสอยด้วยปัญหาคุณสมบัติหรือไม่อย่างไร ก็รอดูกระบวนท่า กกต.อีกนิด ก็จะชัดเจนขึ้น

 

‘โบว์ ณัฏฐา’ ชำแหละรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ชี้!! เป็นข้อเท็จจริงที่นำสืบได้ ไม่มีผลต่อ ‘พิธา’ ปมถือหุ้นสื่อ

วันที่ (12 มิ.ย. 66) คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมอิสระ และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ชื่อ ‘Bow Nuttaa Mahattana’ ถึงกรณี ความถูกต้องของรายงานการประชุม เพื่อการตรวจสอบความโปร่งใสของไอทีวี โดยระบุว่า…

แม้การตั้งคำถามเกี่ยวกับความถูกต้องของรายงานการประชุมจะทำได้และควรทำ เพื่อการตรวจสอบความโปร่งใสของบริษัทมหาชน แต่จะไม่มีผลกับการวินิจฉัยประเด็น ‘การถือหุ้นสื่อ’ (ส่วนที่ว่าไอทีวีเป็นสื่อหรือไม่) ของคุณพิธานัก (หากถูกส่งคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญหลังรับรอง ส.ส.) เพราะ

1.) หากศาลให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการประกอบกิจการ ว่าไอทีวียังมีการผลิตสื่ออยู่หรือไม่ ก็ต้องแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงอยู่แล้ว

2.) หากศาลให้ความสำคัญกับวัตถุประสงค์ของบริษัท ตามเอกสารจดทะเบียนบริษัท ก็มีปรากฏอยู่แล้ว และไม่เคยถูกเปลี่ยน

จึงต้องพิจารณาว่าความเป็นสื่อนั้น นับตามนิตินัยจากเอกสาร หรือพฤตินัยเฉพาะช่วงเวลา หรือประกอบกัน

คำตอบในเอกสารรายงานการประชุม จึงเป็นเพียงการยืนยันว่า บริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ตามวัตถุประสงค์อย่างกว้างๆ เท่านั้น ไม่ได้เจาะจงว่าทำอะไรแน่ชัด ซึ่งวัตถุประสงค์ทั้งหมดมีถึง 45 ข้อ

(ส่วนคดี ม.151 เป็นอีกประเด็น จะตั้งต้นได้ต้องวินิจฉัยประเด็นนี้ให้ชัดก่อน)
ที่มาเอกสารอ้างอิง : https://www.isranews.org/.../118460-inves09-545-4.html

ส่วนความเห็นส่วนตัวโบว์ที่พูดมาตลอด คือ กฎหมายนี้ไม่ควรมีอยู่แต่แรก ไม่สมเหตุสมผลทั้งในเชิงหลักการและการปฏิบัติ ทันทีที่ทำได้ควรแก้ไขค่ะ

นอกจากนี้ คุณโบว์ ยังได้โพสต์ข้อความอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า “ประเด็น คือ ไม่ว่าจะเขียนอย่างไร คำตอบต่อคำถามนั้นในรายงานการประชุมก็ไม่มีผลต่อคดีคุณพิธา เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่นำสืบได้อยู่แล้ว คำตอบตามเอกสารนี้จึงไม่ได้ให้คุณให้โทษกับใคร ไม่ว่าคนที่โยนคำถามจะมีเจตนาพิเศษอะไรหรือไม่ก็ตาม

ด้อมส้ม อย่าอ่านโพสต์นี้ด้วยอคติ (หรือไม่อ่านแต่พิมพ์ด่า) เพราะไม่มีส่วนไหนที่เป็นโทษกับคุณพิธาค่ะ ประเด็นคือ รายงานการประชุมนี้ ไม่สามารถให้คุณให้โทษกับคุณพิธาได้ในทางคดี

อดีตทูต ‘นริศโรจน์’ ย้อนถาม รักษาเอกราช ปกป้องสถาบันกษัตริย์ แบบนี้เรียก ‘แช่แข็งประเทศ’ หรือ

วันที่ 11 มิ.ย.2566 - นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์เฟซบุ๊กโต้ข่าวที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ ระบุฝ่ายอนุรักษ์นิยมอยากแช่แข็งประเทศ

โดยนายนริศโรจน์ ระบุว่า การต้องการรักษาความเป็นเอกราชหนึ่งเดียวของประเทศมิให้ถูกแบ่งแยก  การรักษาสถาบันกษัตริย์ สถาบันครอบครัวให้คงอยู่ การพัฒนาประเทศจนมีเงินทุนสำรอง และทองคำสำรองสูงจนติด Top อันดับโลก การพัฒนา infrastructure ถนนหนทาง รถไฟฟ้า ฯลฯ การพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจ EEC  การพัฒนานวัตกรรมใหม่ เช่น ดวงอาทิตย์ประดิษฐ์ การปล่อยจรวด NAPA ขึ้นสู่อวกาศ ฯลฯ แบบนี้เรียกว่าการ “แช่แข็งประเทศ” หรือ ?

แล้วการปล่อยให้มีสุราเสรี มี sex worker เสรี  ครอบงำข้อมูลมิติด้านเดียวให้เด็กกระด้างกระเดื่องเป็นคนก้าวร้าว รังเกียจชาติ รังเกียจพ่อแม่ตัวเอง รังเกียจความเป็นไทย การสมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติในการแบ่งแยกจังหวัดชายแดนภาคใต้ แบบนี้เรียกว่าอะไร ?

‘กรณ์’ แจง ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝง กรณี มีภาพถ่ายคู่ รถหรูทะเบียน 151 ย้ำชัด ไม่ชอบแอบแซะ 

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ชี้แจงถึงเรื่องที่มีภาพถ่ายคู่กับรถหรูทะเบียน 2 ขร 151 กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีคนนำไปโยงกับเรื่องทางการเมือง ซึ่งนายกรณ์ ก็ได้ชี้แจงว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่ไม่เป็นเรื่องอย่างสิ้นเชิง โดยมีใจความว่า ...

เห็นมีคนเอาภาพนี้ไปดราม่ากัน ขอชี้แจงสั้นๆ ตรงนี้ครับ
-ภาพนี้ผู้ช่วยผมถ่ายตั้งแต่สองสามวันก่อนแล้ว
-เป็นวันสบายๆ ทานอาหารเช้ากัน เขาเห็นผมถือตะกร้าให้ภรรยา และบอกว่ามันเข้ากับสีเสื้อที่ใส่ก็เลยถ่ายไว้ แล้วเอาไปโพสต์ส่วนตัวของเขา
-รถคันนี้จอดอยู่ลานจอดรถ หน้าร้านคาเฟ่ จอดอยู่หลายคัน รถใครก็ไม่ทราบ (ต้องขออภัยต่อเจ้าของรถด้วยนะครับที่กลายเป็นดราม่า) วันที่โพสต์ ยังไม่มีข่าวเรื่องมาตรา 151 หรืออะไรเลย ทุกอย่างจึงเป็นเรื่องบังเอิญที่ไม่เป็นเรื่องอย่างสิ้นเชิง

ขอบอกว่าผู้ช่วยผมไม่ได้มีเจตนาอันใด และเดิมทีผมเองไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามีการโพสต์รูปนี้

ส่วนตัวนั้นผมไม่ชอบการแซะอะไรไร้สาระแบบนี้ 
ส่วนในกรณีปัญหาทางกฎหมายของคุณพิธานั้น ผมรู้สึกเสียดายที่มีอุปสรรคมากมาย กีดกันความต้องการของประชาชนจำนวนหนึ่งที่จะได้นายกฯ ที่เขาเลือกมา ผมเองแสดงความเห็นไว้ตั้งแต่หลังการเลือกตั้งว่าผมอยากให้การรวมตัวตั้งรัฐบาลโดยพรรคที่ 1 กับพรรคที่ 2 ประสบความสำเร็จ และความเห็นผมที่อยากให้ระบอบประชาธิปไตยของเราเดินหน้าไปอย่างราบรื่นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้หลังจากที่แฟนคลับพรรคส้มได้กดดันให้คุณพิธากลับคำในการเชิญพรรคชาติพัฒนากล้าเข้าร่วมรัฐบาล พร้อมกับด่าทอ กล่าวหาผมต่างๆนานา ซึ่งผมก็ไม่เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์พรรคก้าวไกลหรือคุณพิธาแม้แต่ครั้งเดียว

ในทางตรงกันข้าม ช่วงที่ผ่านมามีคนที่ผมรู้จักมากมายที่เลือกพรรคก้าวไกล และมาบ่นกับผมว่าผิดหวังในหลายๆการแสดงออกของคนของพรรค ไปจนถึงเรื่องนโยบายที่หาเสียงไว้และส่งสัญญาณว่ายังอาจจะทำไม่ได้ ผมก็บอกให้ทุกคนใจเย็น ให้โอกาสเขาก่อน ดังนั้นผมอยากเห็นทุกท่านตั้งสติกันหน่อยครับ โอกาสมันมากับความรับผิดชอบ และเป็นดาบสองคมเสมอ

ส่วนประเด็นเรื่องกฎหมายก็เป็นเรื่องที่นักการเมืองทุกคนต้องตระหนักและให้ความสำคัญ 
ผมเองก็เคยโดนพรรคอนาคตใหม่ยื่นร้องเรียนเพื่อถอดถอนผมจากการเป็น สส. ด้วยกฎหมายเดียวกัน คือได้กล่าวหาว่าผมถือหุ้นสื่อ ทั้งๆที่หุ้นที่ผมถือนั้นคือบริษัท ‘เกษตรเข้มแข็ง’ ที่ผมและทีมตั้งขึ้นมานำร่องทำนโยบายเกษตรพรีเมียมช่วยชาวนาไทย 

ประเด็นถือหุ้นสื่อ ผม (และเพื่อนสส.อีกหลายสิบคนที่ถูกกล่าวหาโดยอนาคตใหม่) ก็ต่อสู้ทางกฎหมายและชี้แจงตามข้อเท็จจริงไป ซึ่งส่วนตัวนั้นผมมองว่ากฎหมายนี้หยุมหยิมเกินไป และส่วนตัวไม่เคยยื่นฟ้องร้องใครด้วยกฎหมายนี้ แต่ก็เคารพสิทธิของอนาคตใหม่ในวันนั้นที่จะใช้กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

พูดไปคนเชื่อก็คงเชื่อ คนที่มีอคติก็คงเลือกที่จะไม่เชื่อ แต่ผมขอพูดแค่ว่า คนที่รู้จักผมดีจะรู้ว่า ถ้าผมจะว่าอะไรใคร ผมไม่มาแอบแซะโง่ๆ แบบนี้ครับ ผมซัดตรงๆ แน่นอน นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top