Friday, 26 April 2024
POLITICS

'อารยะ ชุมดวง' อดีต ส.ส. 5 สมัยร่วมทัพ ปชป. ยึด 4 ที่นั่ง 'ฟูลทีม' สุโขทัย เผยถูกใจนโยบายที่ดินทำกิน 'จุรินทร์' เปิดตัวสวมเสื้อสีฟ้าชื่นมื่น

ที่ พรรคประชาธิปัตย์ นายอารยะ ชุมดวง อดีต ส.ส. สุโขทัย 5 สมัย พร้อมทีมงาน ได้เข้าพบนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค ผู้อำนวยการเตรียมการเลือกตั้ง เพื่อแสดงความจำนงสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับเสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. สุโขทัย ซึ่งนายจุรินทร์ได้ให้การต้อนรับและแสดงความยินดีกับการเข้าร่วมทำงานกับพรรค พร้อมกับมอบบัตรสมาชิกพรรคและมอบเสื้อแจ็คเก็ตพรรคให้

สำหรับนายอารยะ ชุมดวง เกิดที่อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย สำเร็จการศึกษา สาขาการปกครอง จากวิทยาลัยเคอร์รี่ สหรัฐอเมริกา ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สุโขทัย สมัยแรกในปี 2526 จากนั้นได้รับเลือกต่อมารวม 5 สมัย เคยเป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นอกจากนี้ นายอารยะยังเป็นนักการเมืองที่ทำงานใกล้ชิดกับชาวบ้านในพื้นที่ จ.สุโขทัย มาโดยตลอด

นายอารยะ กล่าวถึงสาเหตุที่มาสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ว่า นอกจากความศรัทธาในพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ยังเห็นว่าทีมงานประชาธิปัตย์ที่จังหวัดสุโขทัยมีความเข้มแข็งและสนิทสนมกับตนเป็นอย่างดี จึงต้องการมาช่วยกันทำให้ทีมประชาธิปัตย์สุโขทัยมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น  รวมทั้งพรรค ปชป. มีนโยบายโดนใจ ทั้งนโยบายแจกโฉนดที่ดิน 1 ล้านแปลงภายใน 4 ปี และนโยบายออกกรรมสิทธิ์ทำกิน ให้ผู้ทำกินในที่ดินของรัฐ เพราะเรื่องที่ทำกินถือเป็นสิ่งสำคัญที่ถูกใจประชาชนเป็นอย่างมาก และยังมีรายละเอียดนโยบายอีกหลายอย่างที่ทราบว่าประชาธิปัตย์กำลังจะทยอยออกมา 

จุรินทร์ฯ เซ็นตั้ง นิพนธ์ฯ นั่งประธานสร้างเศรษฐกิจ ท้องถิ่น พัฒนาการค้า การลงทุน การเชื่อมโยงการตลาด พร้อมจับคู่ธุรกิจให้พื้นที่จังหวัดชายแดนใต้

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ลงนามหนังสือแต่งตั้งคณะทำงานกำหนดแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ กระทรวงพาณิชย์ โดยได้แต่งตั้งนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานคณะทำงานฯ เพื่อกำหนดแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงติดตามและขับเคลื่อน การแก้ไขปัญหากทางเศรษฐกิจ และสร้างความเข้มแข็ง ด้านเศรษฐกิจของพื้นที่ ให้เกิดการยกระดับการค้า และการตลาด ให้กับกลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้มีโอกาสเข้าถึงการสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งด้านผลผลิต การพัฒนาผลผลิต เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมทั่วไปและอุตสาหกรรมฮาลาล พร้อมการเชื่อมโยงการตลาด โดยการจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ กับผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ 

คริส โปตระนันทน์ ชี้! 'ก้าวไกล' หากไม่ปรับบริหาร พรรคก็จะเล็กลงเรื่อย ๆ จนเหลือแต่ 'เลือดแท้' จำนวนน้อย และไม่มีเสียงพอที่จะผลักวาระของพรรคให้สำเร็จผ่านระบบรัฐสภา

“หาก 'ก้าวไกล' ไม่ปรับการบริหาร แทนที่พรรคจะใหญ่ขึ้น ก็จะเล็กลงเรื่อย ๆ จนเหลือแต่ 'เลือดแท้' จำนวนน้อย และไม่มีเสียงพอที่จะผลักวาระของพรรคให้สำเร็จผ่านระบบรัฐสภา”

‘พท.’ แซะ!! มอเตอร์เวย์ ‘บางปะอิน-โคราช’ ล่าช้า โว!! ถ้าได้เป็นรัฐบาล สร้างเสร็จภายใน 6 เดือน

(9 ก.พ. 66) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า การทำงานในสภาฯ ในปัจจุบันไปต่อไม่ได้แล้ว สภาฯ ล่มทุกสัปดาห์ แสดงให้เห็นว่าพรรครัฐบาล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่เคยให้ความสำคัญกับการประชุมสภาฯ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้มาจากการเป็น ส.ส. จึงไม่รับรู้ความเดือดร้อนของประชาชน จะมาร่วมประชุมสภาฯ ก็ต่อเมื่อรัฐบาลหรือตัวเองได้ประโยชน์ หากเป็นความเดือดร้อนของประชาชนจะไม่ให้ความสำคัญ ดูได้จากการตอบกระทู้หรือการชี้แจงในสภาฯ จะให้รัฐมนตรีคนอื่นมาตอบแทน ปัจจุบันไม่มีรัฐมนตรีมาตอบกระทู้แล้ว เพราะเป็นช่วงปลายรัฐบาล รัฐมนตรีจึงให้ความสำคัญกับการย้ายพรรค เปลี่ยนขั้วการเมือง หรือ ลงพื้นที่หาเสียงมากกว่าการแก้ปัญหาให้ประชาชน

นายประเสริฐกล่าวว่า พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญกับ การประชุมสภาฯ มาตลอด เนื่องมาจากรัฐธรรมนูญบังคับให้ นำปัญหาของพี่น้องประชาชนต้องมาพูดคุยในที่ประชุมสภาฯ เพื่อให้รัฐบาลรับไปแก้ไข ดังนั้นการประชุมสภาฯ จึงมีความสำคัญหรือแม้แต่การพิจารณา กฎหมายสำคัญ ที่เป็นประโยชน์กับประชาชน รัฐบาลยังไม่ให้ความร่วมมือ แล้วอย่างนี้จะไปต่อได้อย่างไร หากเป็นรัฐบาลอื่นคงยุบสภาฯ ไปแล้ว

“พรรคเพื่อไทย หลังจากเปิดตัวผู้สมัครครบทั้ง 400 เขตเลือกตั้ง เดือนมีนาคมเป็นต้นไป พรรคเตรียมจัดทัพใหญ่เดินสายปราศรัย เพื่อพูดเรื่องนโยบายของพรรคกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ พรรคมีความพร้อมมากในการเลือกตั้งที่จะมาถึง มั่นใจว่าจะสามารถแลนสไลด์ได้ทั้งประเทศอย่างแน่นอน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประชาชน ขอยืนยันว่า จนถึงเวลานี้ พรรคเพื่อไทยไม่มีการดีลกับพรรคการเมืองอื่นอย่างแน่นอน ทุกอย่าง จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งหากประชาชนให้โอกาส พรรคพร้อมที่จะพลิกโฉมประเทศไทยอย่างแน่นอน” นายประเสริฐ กล่าว

‘โรม’ โต้ ‘คริส’ ไม่มี ‘โปลิสบูโร’ ในก้าวไกล น้อมรับคำติชม จะนำไปพัฒนาให้ดีขึ้น

(9 ก.พ. 66) เวลา 11.40 น. นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ นายคริส โปตระนันทน์ อดีตว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ได้ประกาศถอนตัวจากพรรคก้าวไกล และได้มีการโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า พรรคก้าวไกลมีคนนอกครอบงำกระบวนการคัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และไม่เป็นประชาธิปไตยตามคำโฆษณา ว่า ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายที่นายคริส ลาออกจากพรรคตั้งแต่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งการลาออกทำให้เขตพญาไท ราชเทวี และจตุจักรต้องเว้นว่างผู้สมัคร ดังนั้นพรรคต้องแก้ปัญหาด้วยการหาผู้สมัครใหม่มาแทนที่ เพราะเขตดังกล่าวถือเป็นพื้นที่สำคัญในสนามการเลือกตั้ง กทม.

นายรังสิมันต์ กล่าวว่าในส่วนของการลาออก ตนอยากให้มองเป็นเรื่องปกติ เพราะมีความไม่พอใจ ซึ่งนายคริสก็เขียนเอาไว้ในเฟซบุ๊ก หลายเรื่องพรรคคงต้องน้อมรับและนำไปปรับปรุงแก้ไขให้ดี
ขึ้น 

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ส่วนกรณีการคัดสรรผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อนั้น ต้องคำนึงหลายอย่าง เพราะตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ การที่จะมีผู้สมัครบัญชีรายชื่อ ต้องสะท้อนถึงความหลากหลายของสังคม มีปัจจัยประกอบหลายอย่าง เช่น เพศ เชื้อชาติ และคนพิการ เข้ามาพิจารณา ส่วนนี้จึงอาจเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้นายคริสเลือกเดินทางในเส้นทางของตนเอง

'พี่คนดี' ร่ายกลอนสุดเจ็บ 'นางร้าย' โผล่คอกแม้ว ชุบ 'แสง' ให้ผ่อง แล้วย่องเข้าการเมืองแบบเนียนๆ

(9 ก.พ. 66) เพจเฟซบุ๊ก P.khondee (พี่คนดี กวีสมัครเล่น) โพสต์บทกลอนเรื่อง "นางร้าย นายอิจฉา" ระบุว่า

ปลื้มดารา กล้าคอลเอ้าท์ ว่าเข้าท่า
ในไม่ช้า เขาอาสา เป็นสอสอ
รู้ยังว่า ที่พวกเขา เฝ้าด่าทอ
เพราะเขารอ ลงสมัคร กับพรรคใด

ผลประโยชน์ ที่ทับซ้อน ไม่ซ่อนเงื่อน
แท้เป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง กับกองไหน
ที่ทำท่า เป็นพิโรธ โกรธเป็นไฟ
ปูทางไว้ หวังพวกอวย มาช่วยกา

รัฐบาล งานก้าวหน้า ก็ด่าแย่
สร้างกระแส ว่าไม่ดี มีปัญหา
อาศัยความ ที่คนเห็น เป็นดารา
เมื่อพูดจา วีนเหวี่ยง เกิดเสียงดัง

‘นายกฯ’ แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวในตุรเคีย ร่วมส่งทีมกู้ภัยให้ความช่วยเหลือ หวังให้ตุรเคียผ่านพ้นวิกฤต

(9 ก.พ. 66) เวลา 09.00 น. ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในนามรัฐบาลไทยมอบความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเบื้องต้นให้แก่รัฐบาลสาธารณรัฐตุรเคียผ่าน นางแซรัป แอร์ซอย (H.E. Mrs. Serap Ersoy) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรเคียประจำประเทศไทย

นายกรัฐมนตรี ในนามของรัฐบาลและประชาชนไทย กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่จังหวัดคาห์รามันมาราช (Kahramanmaras) สาธารณรัฐตุรเคีย (ตุรกี) ( ซึ่งห่างจากกรุงอังการาประมาณ 580 กิโลเมตร) และบริเวณใกล้เคียง ในช่วงเช้าของวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 พร้อมขอมอบความช่วยเหลือเบื้องต้นจำนวน 5 ล้านบาทแก่รัฐบาลตุรเคีย และรัฐบาลไทยจะได้จัดส่งทีมหน่วยกู้ภัยฉุกเฉิน จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และความช่วยเหลืออื่น ๆ ตามความต้องการ พร้อมหวังว่า รัฐบาล และประชาชนตุรเคียจะสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ได้โดยเร็ว โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หากตุรเคียต้องการความช่วยเหลือขอให้ประสานผ่านมายังกระทรวงการต่างประเทศ

“ในวันนี้ได้มีการมอบเงินจำนวนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาในตุรเคีย ซึ่งประเทศไทยได้เตรียมความพร้อม จัดชุดทีมกู้ภัยให้พร้อม และให้ตรงกับความต้องการของตุรเคีย ซึ่งหวังว่าสถานการณ์นี้จะเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด ซึ่งในวันนี้ก็เป็นการแสดงความจริงใจ และมิตรต่อกันระหว่างไทยและตุรเคีย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รับทราบเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ว่ามีหญิงชาวไทย 1 ราย เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ด้วย และขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างมาก และได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการา เร่งประสานงานกับทางการตุรเคีย เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ขอให้รัฐบาลตุรเคียช่วยดูแลชาวไทยซึ่งบางรายอาศัยอยู่ในที่พักพิงชั่วคราวที่ทางการตุรเคียจัดหาให้ด้วย

นอกจากนี้ ยังไม่มีรายงานว่าคนไทยได้รับบาดเจ็บเพิ่มเติม และยังมีคนไทยดำรงชีวิตอยู่ในตุรเคีย รวม 30 ราย ซึ่งบางรายอาศัยอยู่ในที่พักพิงชั่วคราวที่ทางการตุรเคียจัดหาให้ รวมทั้ง คืนนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2566) ทีมช่วยเหลือ/กู้ภัย จำนวน 42 นายจะเดินทางไปตุรเคีย พร้อมสิ่งของสำหรับการกู้ภัย การบรรเทาสาธารณภัย และเวชภัณฑ์

ด้านเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรเคียประจำประเทศไทย กล่าวว่าขอบคุณน้ำใจของรัฐบาลไทย และประชาชนไทยในโอกาสนี้ โดยได้เห็นถึงน้ำใจและความช่วยเหลือของทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล ประชาชน และภาคเอกชนที่ได้ส่งกำลังใจ และแสดงความช่วยเหลือมาทางสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรเคียประจำประเทศไทยอย่างมากมาย

เหตุการณ์ครั้งนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงและหนักที่สุดครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ มิตรประเทศได้แสดงน้ำใจ ความช่วยเหลือ ซึ่งประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในเพื่อนแท้ของตุรเคีย เชื่อว่าตุรเคียจะผ่านเหตุการณ์ที่ยากลำบากครั้งนี้ไปได้ พร้อมกล่าวขอบคุณอีกครั้งสำหรับความช่วยเหลือและกำลังใจของประเทศไทยในครั้งนี้

‘สมศักดิ์’ ชวน ‘ทนายตั้ม’ ซบ พปชร. หลังลาออก ‘พท.’ เชื่อฝีมือดีช่วยชาวบ้านได้เยอะ

(9 ก.พ.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน ได้เดินทางเข้าพบ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ โดยนายษิทรา ได้กล่าวว่า ตนได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยแล้ว วันนี้จึงได้เดินทางมาเข้าพบเพื่อขอคำปรึกษา หารือทิศทางการเมืองว่าควรจะเป็นอย่างไรต่อไป 

โดยทางนายสมศักดิ์ ได้สอบถามนายษิทราว่า “จะออกไปไหนล่ะ งานด้านการเมือง ทนายตั้มไม่ควรหยุดเล่น เพราะเป็นคนมีความสามารถ หากทำงานในด้านนี้ก็จะช่วยเหลือประชาชนได้ ซึ่งทางพรรคพลังประชารัฐก็ยังเปิดรับคนรุ่นใหม่ที่สนใจงานการเมืองอยู่ หากทนายตั้มสนใจ คิดว่าเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดี เพราะหากทนายตั้มมีโอกาสเป็น ส.ส. น่าจะช่วยประชาชนได้เป็นจำนวนมาก”

'พปชร.' เสริมทีมโทรโข่ง สื่อสารนโยบายพรรค ดึงคนรุ่นใหม่ 'ฟิล์ม รัฐภูมิ - นพวรรณ' ร่วมทัพ

(9 ก.พ. 66) นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และทีมโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. ต้องการให้พรรคใกล้ชิดกับประชาชน และเข้าใจการทำงานของพรรค โดยเฉพาะการสื่อสารผ่านทีมโฆษก จึงได้แต่งตั้งบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีความรู้ ความสามารถ มาร่วมทีมโฆษกพรรคเพิ่มเติมคือ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ และ น.ส.นพวรรณ หัวใจมั่น ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.บางเขน มาเสริมทัพ จากที่มีคือ ตน และ น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ เพื่อช่วยสื่อสารนำนโยบายของพรรคให้เข้าถึงประชาชน แทนบุคคลเดิมที่ลาออกจากสมาชิกพรรค

ผู้ร่วมก่อตั้ง 'อนาคตใหม่' ลาขาด 'ก้าวไกล' ไร้ประชาธิปไตย ไม่ฟังความเห็นต่าง

(9 ก.พ. 66) หลังจากมีข่าวสะพัดว่า นายคริส โปตระนันทน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตจตุจักร พญาไท ราชเทวี ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ และมูลนิธิเส้นด้าย เตรียมประกาศลาออกจากพรรคก้าวไกล พร้อมทีม ส.ก.อีกจำนวนหนึ่ง เพื่อไปก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่นั้น

ล่าสุด นายคริส โปตระนันทน์ โพสต์เฟซบุ๊กถึงสาเหตุการลาออกจากสมาชิกพรรคก้าวไกลว่า  สวัสดีครับประชาชนที่รักทุกท่าน วันสองวันนี้มีคนสอบถามผมเข้ามาเยอะว่า ผมยังเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลอยู่หรือไม่? ผมเรียนถึงทุกท่านตามตรงว่า ผมมีความภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งในพรรคนี้ไม่น้อยกว่าใคร แต่ตัวผมก็ได้ลาออกจากสมาชิกพรรคก้าวไกลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพราะเหตุผลสามประการ

1. ผมอยากจะทำการเมืองในพรรคที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ความเป็นประชาธิปไตยของพรรคยังห่างจากที่พรรคโฆษณาอีกมาก การที่ผมได้มาร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่กับคุณธนาธรเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 เพราะผมไม่ได้มาทำการเมืองเพื่อให้ใครได้เป็น ส.ส. หรือเพื่อให้ใครได้อำนาจ หรือมาทำการเมืองเพื่อผลักดันวาระทางการเมืองของใครบางคน

ผมอยากได้พรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงคือพรรคการเมืองที่ประชาชนเป็นเจ้าของ

เวลาจากวันนั้นถึงวันผ่านมา 5 ปี  ต้องถามกลับไปที่ประชาชนผู้เป็นสมาชิกพรรค จำนวนกว่า 60,000 คน ว่าทราบบ้างหรือไม่ว่าพรรคมีประชุมสามัญวันไหน พรรคมีการคัดเลือกผู้สมัครส.ส.กันอย่างไร กลไกในการคัดเลือกนโยบายที่จะหาเสียงในคราวนี้ คุณเคยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหรือไม่? ใครจะได้เป็นส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้ คุณรู้หรือไม่?

ผมในฐานะที่เคยเป็นสมาชิกตลอดชีพทั้งพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ตอบได้เลยว่า เรื่องทั้งหมดที่เป็นเรื่องที่สำคัญมากทั้งสิ้น ล้วนเป็นเรื่องของการตัดสินใจของคนกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น ผมให้ชื่อเล่นกลุ่มนี้ว่า 'โปลิตบูโร'

หากการบริหารพรรคยังเป็นอย่างนี้ หากพรรคก้าวไกลได้อำนาจในการบริหารประเทศ พรรคก้าวไกลจะบริหารประเทศอย่างไร ก็คงต้องอยู่ที่คนกลุ่มนี้ ไม่ได้อยู่สมาชิกพรรคแต่อย่างใด
เรื่องดีๆ ใครก็พูดได้ แต่ทำยาก ผมก็เข้าใจ มิฉะนั้น พรรคก้าวไกลในอนาคตคงจะมีชะตากรรมไม่ต่างจากพรรคการเมืองที่ดีแต่พูด (Hypocrital party)

เรื่องนี้ผมสะท้อนให้แกนนำฟัง ผมพูดในที่ประชุมใหญ่พรรคทุกปี พูดกับทุกคน คำตอบที่ได้มีเพียงแค่ “ขอเวลาหน่อย” “เรายุ่งมาก อดทนหน่อยนะ ทำให้แน่ ๆ” “เลือกตั้งคราวหน้า เราทำแน่ ๆ” ฟังดี ๆ มันคล้ายที่คุณประยุทธ์พูด “ขอเวลาอีกไม่นาน”

เรื่องนี้ผมรับรู้อย่างลึกซึ้งด้วยตัวเอง เมื่อเดือนที่ผ่านมา ผมสอบถามผ่านแกนนำว่า ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจะจัดการอย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ที่ผมจะขยับไปลงส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เพราะมีโอกาสสูงมากที่เขตที่ผมลงรอบปี 62 (ราชเทวี พญาไท จตุจักร 2 แขวง) จะถูกแบ่งใหม่แยกเป็นสามส่วน และผมก็เชื่อว่า ความรู้ความสามารถของเราสามารถที่จะช่วยให้พรรคหาเสียงทั่วประเทศได้ เพราะ 2 ปีที่ผ่านมา การทำงานของผมและเพื่อนๆในกลุ่มเส้นด้ายลงไปทำงานกับชุมชนแออัดทั่วทุกเขตในกทม. และในอีกหลายจังหวัดทั่วประเทศ จนส.ก.ในกลุ่มของผมได้รับเลือกตั้งจำนวนมาก และเกือบชนะอีกจำนวนหนึ่ง

คำตอบที่ได้กลับมาคือ คุณจะมาเป็นได้ยังไง? คุณเหยียบย่ำหัวใจคนในพรรคขนาดนี้ ผมก็งงสิครับนี่มันเรื่องอะไร ผมไปเหยียบใครตอนไหน พอนั่งนึกก็ถึงบางอ้อ

- ผมคัดค้านการลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครของส.ส.วิโรจน์ เพราะเห็นว่าตัวผู้สมัครของเราไม่ดีพอที่จะสู้กับผู้ว่าชัชชาติ

ผลคือ พรรคก้าวไกลแพ้ต่อผู้ว่าชัชชาติชนิดคะแนนทิ้งกัน 2 แสนกับ 1.2 ล้านเสียง

- ผมคัดค้านการแต่งตั้งส.ส.บัญชีรายชื่อคนหนึ่งมาเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งส.ส.ซ่อมเขตจตุจักร-หลักสี่ เพราะส.ส.บัญชีรายชื่อไม่มีทางที่จะเข้าใจการเลือกตั้งแบบเขต หากไม่เคยลงเลือกตั้งมาก่อน

ผลคือ พรรคก้าวไกลแพ้ในเขตชนิดคะแนนทิ้งกันเกือบหมื่นคะแนน

- ผมคัดค้านการแต่งตั้งส.ส.บัญชีรายชื่อคนหนึ่งมาเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งส.ส.ในกรุงเทพมหานคร ปี 66 อีกครั้ง เพราะเรากำลังเอาคนที่ทำเลือกตั้งแพ้มาแล้วครั้งหนี่งมาคุมเลือกตั้งที่สำคัญกว่าและใหญ่กว่า

- ผมในฐานะอดีตประธานมูลนิธิเส้นด้ายแถลงข่าวกรณีที่อาสาของมูลนิธิเข้าไปช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศจากอดีต ส.ก. พรรคก้าวไกล

ผลคือ ผมโดนถล่มจากสมาชิกพรรคว่า ไม่ปกป้องพรรค

ผมไม่เคยกลัวในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่เคยกลัวในการกระทำที่เราคิดว่าถูกต้อง และที่ผ่านมา ผมพูดตรง ๆ กับพรรคเสมอถึงความยุติธรรมในประเด็นต่าง เช่น การเกลี่ยทรัพยากรของส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ กับส.ส.เขต ความน้อยเนื้อต่ำใจของคนที่ลงพื้นที่เหล่านี้อยู่ในใจของผู้สมัครท้องถิ่น หรือผู้สมัครส.ส.เขตทุกคนแต่ไม่มีใครกล้าพูด แต่การที่ผมพูดกับแกนนำแบบนั้น มันทำให้ผมกลายเป็น

-ทำไมคุณถึงมีปัญหาตลอดเลย?

-ผมเป็นคนเลว เพราะผมต้องการแย่งเงิน แย่งทรัพยากรจากส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ?

-ผมเป็นคนไม่จงรักภักดีกับพรรค?

วันที่ผมนั่งคุยกับแกนนำเรื่องการขยับไปลงส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ วันนั้นแกนนำท่านหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท เปรียบเทียบให้ผมฟังว่า หากมีเซลล์ในบริษัท 2 คน คนแรกเป็นคนเก่ง คนฉลาด ยอดขายดีมาก ๆ แต่ต่อรองผลประโยชน์ตลอด กับอีกคนยอดขายครึ่งเดียวของคนแรก แต่จงรักภักดีมากๆ เค้าจะเลือกคนที่สอง

ผมก็เลยรู้แล้วว่า ชะตากรรมผมในพรรคนี้จะเป็นตาย ร้าย ดี ก็ขึ้นอยู่กับว่า ผมจะพิสูจน์ความจงรักภักดีกับ “โปลิตบูโร” ได้หรือไม่? แน่นอนนั่นคือวิธีการบริหารงานแบบหนึ่ง เรื่องนี้ไม่มีถูก ไม่มีผิด แต่เมื่อคุณโฆษณากับประชาชนแล้วว่าคุณเป็นพรรคประชาธิปไตย พฤติกรรมของคุณต้องทำให้ได้ตามที่คุณพูด ไม่งั้นจะกลายเป็น สำนวนไทย ข้างนอกสุกใส ข้างในตะติ๊งโหน่ง

2. ผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายหลายประการของพรรคก้าวไกล

พรรคการเมืองอนาคตใหม่ที่ผมร่วมจัดตั้ง ผมฝันว่าพรรคจะเป็นสถาบันทางการเมืองที่เป็นเหมือนร่มคันใหญ่ ที่สามารถโอบรับได้กับความหลากหลายของสมาชิกพรรค ไม่ว่าจะเป็นความคิดการเมืองแบบฝั่งซ้าย ความคิดการเมืองแบบฝั่งขวา ความคิดเศรษฐกิจแบบเสรี ความคิดเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม

วันแรกจุดร่วมของจุดใหญ่คือการไม่เอาเผด็จการ (เรื่องการแก้ไข 112 ในวันนั้นยังไม่ใช่วาระของพรรคด้วยซ้ำ) ส่วนเรื่องอื่น ๆ ที่เหลือ อ.ปิยบุตรยังเคยบอกผมตอนเถียงกับอ.ษัษรัมย์ (ตอนนั้นอ.เสนอเรื่องรัฐสวัสดิการ แต่ผมเสนอว่าคำตอบน่าจะเป็นเศรษฐกิจแบบเสรีมากกว่า) เรื่องนโยบายเศรษฐกิจของพรรคว่า เดี๋ยวค่อยไปคุยกัน เมื่อเราทำภารกิจสำเร็จ ต่างฝ่ายค่อยแยกออกไปตั้งพรรคก็ได้

5 ปี เดินผ่านไป วันนี้นโยบายของก้าวไกลหล่นลงมาจากฝากฟ้า หล่นลงมาจากห้องแอร์ ไม่ว่าคุณจะเรียกชื่อมันว่าอะไร

วันนี้หนึ่งในนโยบายหาเสียงที่สำคัญที่สุดของพรรคก้าวไกลคือ เงินบำนาญของคนที่อายุเกิน 60 ปี ถ้วนหน้าเดือนละ 3,000 บาท หากนโยบายนี้สำเร็จ รัฐบาลจะมีรายจ่ายจากแปดหมื่นกว่าล้าน เป็นสามแสนล้านหกหมื่นล้านบาททันที

‘เสี่ยเฮ้ง’ ฉะ นักการเมืองหาเสียงบิดเบือนข้อมูล ย้ำ ควรเล่นการเมืองอย่างมีเกียรติ - ไม่พูดใส่ร้ายคนอื่น

‘สุชาติ ชมกลิ่น’ โพสต์เฟซบุ๊กกระทุ้งฝ่ายตรงข้ามใส่ร้ายให้ข้อมูลบิดเบือนทำให้ประชาชนเข้าใจผิด สอนมวยเป็นนักการเมืองอย่าหาเสียงใส่ร้ายป้ายสี ย้ำเป็นคนกตัญญูรู้คุณพ่อแม่สั่งสอนมาดี แต่คนที่จ้องทำร้ายอย่าไปเสวนาด้วยมองข้ามให้เขาหลุดพ้น

เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘สุชาติ ชมกลิ่น’ ระบุว่า…

#อย่าได้เสวนา
กับคนที่ให้ข้อมูลบิดเบือน ทำร้ายเรา

#แม่ทัพอัลไซเมอร์
เนื่องจากมีพี่ๆ น้องๆ ที่เห็นการให้ข้อมูลที่บิดเบือน ในพื้นที่และรู้สึกเป็นห่วงผมได้ส่งภาพและเสียงมาให้ดู แต่ผมก็ติดภารกิจหลายอย่าง จึงคิดว่าปล่อยผ่านดีกว่าเอาเวลาทำงานมาดู เพราะเรารู้ว่า (อีกแล้ว) เขาทำเพื่ออะไร ที่ผ่านมาผมคิดว่าไม่เป็นไปตามเนื้อข่าว แล้วเดี๋ยวเรื่องก็ผ่านไป

ทุกวันนี้ผมเข้าใจท่านที่เป็น ดารา-นักร้อง บุคคลสาธารณะมากขึ้นว่าเขาใช้ชีวิตกับข่าวได้ยากลำบากมากแค่ไหน หากมีข่าวอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรา ถ้าไม่จริง ควรต้องออกมา บอกเล่าข้อมูลที่ถูกต้อง เพราะเมื่อเราปล่อยผ่านไป ‘นานวันคนที่ปล่อยข่าวก็ได้ใจ คนทั่วไป ก็เริ่มสับสนและอาจเริ่มเชื่อในข้อมูลนั้นๆ’

‘บิ๊กป้อม’ แรงใจดี!! กลับจากอีสาน มุ่ง ‘ปทุมธานี’ ติดตาม - เร่งรัดโครงการพัฒนาคลอง-สถานีสูบน้ำ

(8 ก.พ.66) เวลา 14.00 น. พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี /ผอ.กอนช. พร้อมคณะได้เดินทางไปตรวจราชการ ณ จ.ปทุมธานี เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ และโครงการป้องกันอุทกภัย รวมทั้งโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ ที่สำคัญในพื้นที่ จ.ปทุมธานี และลุ่มน้ำเจ้าพระยา

โดยเมื่อ เดินทางถึงศาลากลางจังหวัด พล.อ.ประวิตร ได้ประชุมหารือร่วมกับ นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผวจ. (ผู้ว่า หมูป่า), เลขาฯ สทนช., รองอธิบดีกรมชลประทาน, รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยสรุป จ.ปทุมธานี พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา และในทุก ๆ ปี จะประสบปัญหาจากสถานการณ์น้ำท่วม ในช่วงฤดูฝน โดยปีที่ผ่านมา ล่าสุดก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากภาวะน้ำหลาก เข้าท่วมบ้านเรือน และพืชสวนไร่นา สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านและเกษตรกรจำนวนไม่น้อย ซึ่งรัฐบาลมีความห่วงใยและไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้ให้ความช่วยเหลือ เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งเตรียมมาตรการรองรับทั้งแผนงาน/โครงการระยะสั้น และระยะยาว ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้มอบนโยบายที่สำคัญ แก่หน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยกำชับ สทนช., จังหวัด, กรมชลประทาน, กรมโยธาธิการและผังเมือง ตลอดจน กรมทางหลวง ให้บูรณาการทำงานแก้ไขปัญหาร่วมกัน ทั้งการสูบน้ำ การระบายน้ำ การพัฒนาแหล่งน้ำ การเตรียมความพร้อมเครื่องมือ อุปกรณ์ระบบระบายน้ำ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลา และการแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ ให้สามารถระบายน้ำได้อย่างรวดเร็ว ควบคู่การเตรียมแผนเผชิญเหตุ รองรับภัยพิบัติในการช่วยเหลือประชาชนให้ได้ ทันท่วงที โดย ผวจ.ได้รายงานให้ทราบเพิ่มเติมด้วยว่า ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม ได้รับการช่วยเหลือ และเงินเยียวยาแล้ว จึงได้ฝากมาขอบคุณ พล.อ.ประวิตร และ รัฐบาลในโอกาสนี้ด้วย

‘เพื่อไทย’ เฉ่ง ‘ส.ว.’ ลามากสุดในประวัติศาสตร์ เจตนาชัดไม่อยากถูกตัดอำนาจเลือกนายกฯ

(8 ก.พ. 66) ที่รัฐสภา พรรคเพื่อไทยนำโดย นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย, น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวานิชย์ ส.ส.กทม.และโฆษกพรรคเพื่อไทย และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงข่าวถึงกรณีที่การประชุมร่วมรัฐสภานัดพิเศษล่มในวันนี้

น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวว่า เราอยู่ในการพิจารณารัฐธรรมนูญที่สำคัญ เป็นเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เป็นข้อเรียกร้องของประชาชน ที่เราทราบกันดีว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ รวมถึงมาตราที่เรานำเข้าสู่สภาฯ ไม่ว่าจะเป็นมาตรา 159 และมาตรา 272 ล้วนเป็นมาตราที่เป็นปัญหา ทำให้ประเทศไม่สามารถเกิดประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เราเองต้องการเพียงความร่วมไม้ร่วมมือกับเพื่อนสมาชิก เพื่อทำให้สภาฯ เดินหน้าต่อได้

นายสุทิน กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะองค์ประชุมที่ล่มหลายครั้งจะเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญมาก แต่คราวนี้เป็นการประชุมวาระที่สำคัญที่สุด คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การล่มในวันนี้เป็นที่ทราบว่า เป็นการพยายามทำให้ล่มซึ่งทำมาแล้ว 2 ครั้ง ในครั้งที่แล้ววาระดังกล่าวก็ถูกขัดขวางจากสมาชิกวุฒิสภา ว่าเป็นการบรรจุวาระที่ไม่ถูกต้องบ้าง ไม่เชิญ ส.ว.ในการหารือบ้าง จึงทำให้เป็นเหตุให้การประชุมครั้งที่แล้วล้ม 

แต่ในคราวนี้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญวิปทั้ง 3 ฝ่ายหารือกันก่อน แต่ท้ายที่สุดก็ทำให้เห็นว่า ความพยายามที่จะทำให้การประชุมล่มก็ไม่เปลี่ยนไป ทั้งนี้มี ส.ว. อยู่ร่วมประชุมน้อยมาก ทางประธานก็รอจนถึงที่สุด แต่ก็ล่มเพราะ ส.ว. มากันน้อยมากกว่าทุกครั้ง กล่าวได้ว่า "ล้มครั้งนี้ก็เพราะ ส.ว.เป็นฝ่ายทำให้ล้ม" มองเจตนาอื่นไปไม่ได้ เนื่องจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ เป็นการแก้ไขกระทบโดยตรงกับ ส.ว. จึงคิดว่า ส.ว.คงรับไม่ได้ จึงใช้วิธีนี้

8 ปี ‘ประยุทธ์’ บริหารแบบไม่เอาใจประชาชน แต่ทำที่ทุกคนได้ในผลประโยชน์รวมเชิงประจักษ์

เห็นข่าว ‘บิ๊กตู่’ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ใส่อารมณ์เล็กๆ ให้ชวนสงสัย กับคำพูดซึ่งได้กล่าวถึงการใช้งบประมาณสำหรับการดูแลประชาชนต่อผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลว่า…

“ที่ผ่านมาเราใช้งบประมาณดูแลประชาชนเป็นล้านล้านบาทแล้ว ถือเป็นจำนวนไม่น้อย และเราดูแลเต็มที่แล้ว ถ้าจะเพิ่มงบไปอีก 8 แสนล้านบาทตามที่บางพรรคการเมืองเสนอ ตนไม่ได้พูดว่าพรรคไหน แต่ใครเป็นรัฐบาลไปดูเอาเองแล้วกัน ฝากดูแลเองไปหาเงินเอาเองแล้วกัน”

พลันที่คำพูดนี้เผยออกมา ก็มีการตั้งคำถามว่าพรรคไหน? หรือใครกัน? ที่คิดจะเสนอให้ปันงบก้อนนี้ออกมา ปันมาทำไม? ปันไปใช้เพื่ออะไร?

เพราะหากสะระตะกันดูเล่นๆ เงิน 8 แสนล้านบาท นี่มันก็คือตัวเลข 1 ใน 4 ของปีงบประมาณแผ่นดิน 2566 กันเลยทีเดียวเชียวนะ

แต่ก็อย่างว่าแหละ!! เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย เพราะ ณ ห้วงเวลานี้ ในช่วงใบปะพรรคการเมือง เริ่มเกลื่อนเป็นหย่อมๆ ทั่วไทยแลนด์ แสดงให้เห็นถึงการประกาศศักดาของทุกพรรคการเมืองที่พร้อมลงสู่สนามเลือกตั้ง 

โดยในใบปะเหล่านั้น มิไม่มีเพียงแค่การแนะนำตัวบุคคลหรือพรรค หากแต่เปี่ยมล้นไปด้วยถ้อยคำชวนประชาให้นิยม จากแคนดิเดตว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ที่ต่างรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า “เลือกผมได้แน่” / “เลือกอิชั้นได้มากกว่า” / “เลือกพรรคเรารับรองนโยบายนี้มา” ว่อน!!!

เมื่อหยิบจับสถานการณ์มาปะติดกับคำวาทกรรมเกรี้ยวกราดของ ‘ประยุทธ์’ มันเลยไปสะดุดได้ว่า ‘ทุกผู้-ทุกพรรค’ ที่พร้อมลงหาเสียงเลือกตั้ง ต้องมีเงินถังไว้แต่งแต้มฝันให้นโยบายของตนไปล่าผู้คนในมหาศึกกลยุทธ์ล่าประชานิยมเป็นแน่แท้

ยิ่งไปกว่านั้น หากถอดข้อเขียนของ ‘ลุงเปลวสีเงิน’ เมื่อวันที่ 2 ก.พ.66 ทีผ่านมา ประกบคำพูดของ ‘บิ๊กตู่’ เข้าไปอีก ก็พลันให้ร้องอ๋อ!! ได้แบบมัดแน่น ว่าเหตุใดคำตัดพ้อเช่นนั้นจึงออกจากน้องเล็กแห่ง 3ป. ให้ผู้คนสงสัย

นั่นก็เพราะ หากเหลียวไปมองนโยบายจากแต่ละพรรคที่ใช้หาเสียงกันตอนนี้ ช่างดูแล้วหนักใจ!! เนื่องจากนโยบายแต่ละพรรค ล้วนฟังดูไม่ต่างสลากสรรพคุณยา ประเภท ทาปุ๊บหายปั๊บ-กินปั๊บหายปุ๊บ, ทาผัวหอมถึงเมีย อะไรประมาณนั้น ซึ่งมันไม่ต่าง ‘ยาผีบอก’

แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า คือ ‘ทุกนโยบาย-ทุกพรรค’ เอาเงิน ‘งบประมาณแผ่นดิน’ มาเป็นสัญญาว่า ‘จะแจก-จะให้’ ทั้งนั้น

ชาวบ้านตอนนี้ เลยเป็นเหมือนแมวหลงกลิ่นปลาย่างทาจมูก ด้วยการเอาเงินแผ่นดินไปตกเบ็ดชาวบ้าน เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว ทั้งๆ ที่เรารู้กันดีใช่มั้ยว่า...ภาษีที่เก็บจากชาวบ้านได้ปีละเท่าไหร่? แล้วมันพอหรือไม่?

ฉะนั้นการที่จะเอางบประมาณแผ่นดินไปทำสวัสดิการทำนองลดแลกแจกแถมชาวบ้านคนละ 3 พัน 4 พัน แถมนั่นฟรี-ฟรีนี่ / น้ำมัน-แก๊ส ก็ต้องถูก / ค่าไฟฟ้า-ค่ารถโดยสาร ก็ต้องถูก / ค่ารักษาพยาบาลก็ต้องฟรี / เฒ่าชแร-แก่ชรา ก็ต้องมีค่าขนม มันก็ยิ่งจะทำให้ไทยใกล้เป็น ‘รัฐสวัสดิการ’ เข้าไปเต็มตัวแล้ว!

คำถาม คือ แต่ละพรรค ต่างออกนโยบาย ‘สัญญาจะให้’ เห็นแล้วหนักใจ (แทนประเทศ) แต่เมื่อเข้าไปเป็นรัฐบาลแล้ว จะเอาเงินที่ไหนไป ‘ปรนเปรอ-แจกจ่าย’ ตามสัญญา?

เลิกพูดไปเลย เรื่อง ‘พัฒนาประเทศ’ เพราะแค่เงินเดือนข้าราชการกับค่ารายจ่ายประจำ งบประมาณแต่ละปี ก็แทบไม่เหลืออยู่แล้ว แล้วนี่ ยังจะแข่งกัน ‘ปล้นเอาเงินอนาคตประเทศ’ ไปตกเบ็ดหาเสียงอีก

ดังนั้นอยากให้ย้อนกลับมามอง ‘ประเทศไทย’ ในยุค 8 ปี ‘ประยุทธ์’ ที่หลายๆ ด้านมันพัฒนา ‘เกินหน้า-เกินตา’ ประเทศเพื่อนบ้านเขาไปเร็วมา เดี๋ยวติดอันดับประเทศคนมาท่องเที่ยวมากที่สุดบ้าง เดี๋ยวเป็นประเทศน่าอยู่-น่าลงทุนที่สุดบ้างเดี๋ยวเป็นประเทศที่ค่าเงินเสถียรที่สุดบ้าง เดี๋ยวเป็นประเทศที่คนใจดี-น่ารักที่สุดบ้าง เป็นประเทศที่โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมและโทรคมนาคม สะดวก-เร็ว ที่สุดบ้าง 

มันดีจนเพื่อนบ้านในอาเซียนเขาเริ่ม ‘มองค้อน’ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องเหล่านี้เกิดจากหัวใจนโยบายของผู้นำที่ ‘เข้าถึง-จริงใจ’ ในปรัชญาของมัน เขาจะไม่พล่ามพูด แต่งานที่เขาทำ มันจะพูดเอง

ไม่ใช่การใส่ ‘ประชานิยม’ เพื่อหวังเอาใจประชาชน แต่เลือกทำที่ประชาชนโดยส่วนรวมต้องอยากได้ และได้ในผลประโยชน์รวมเชิงประจักษ์!!

พูดง่ายๆ คือ นโยบายที่ดี บ้านเมืองต้องได้ สังคมต้องได้ ประชาชนต้องได้ และอยู่ร่วมกันได้ โดยไม่เหยียบหัวแม่ตีนกัน ซึ่งนี่คือ เผด็จการ ‘ประชาธิปไตย’

'บิ๊กป้อม' ปลื้ม!! 'คิวบา' หนุนเด็กไทยเรียนแพทย์ 1,000 โควตา เพาะต้นกล้าใหม่ เติม สธ.ไทย ในวาระฉลองมิตร 65 ปี

(8 ก.พ. 66) เวลา 10.35 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับ นายเอกเตอร์ กอนเด อัลเมย์ดา เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคิวบา เข้าเยี่ยมคำนับ โดยทั้งสองฝ่ายได้ชื่นชมความสัมพันธ์ และความก้าวหน้าของความร่วมมือทั้งสองประเทศด้านต่าง ๆ เช่น สาธารณสุขและการวิจัยทางการแพทย์, กีฬา, วิชาการ โดยเฉพาะเฉพาะมิติด้านสาธารณสุข และเห็นพ้องร่วมกันที่จะสานต่อและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันให้ใกล้ชิด และครอบคลุมหลายมิติมากขึ้น

พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ต่อเนื่องที่ผ่านมา ส่งผลให้เด็กและเยาวชน ขาดโอกาสทางด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุขและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนแก้ปัญหาดังกล่าวต่อเนื่องมา และยินดีอย่างยิ่ง ที่รัฐบาลคิวบาโดย สถาบัน อิก-ร่า เข้ามาร่วมพิจารณาสนับสนุนทุนการศึกษาด้านการแพทย์แก่นักเรียนไทยที่เรียนดีทั่วประเทศ จำนวน 3,000 ทุน โดยเร่งนำร่องกับเด็กเรียนดีในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ 5 จังหวัด รวม 1,000 ทุน เพื่อให้มีแพทย์ประจำโรงพยาบาลตำบลในพื้นที่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top