Saturday, 3 May 2025
POLITICS NEWS

ป.ป.ส. กางผลงาน 6 เดือน พบเบาะแสยาเสพติดกว่า 7,957 เรื่อง เร่งประสานหน่วยงานภาคีดำเนินการแก้ไข พร้อมย้ำ! ผู้ปกครองดูแลการใช้โซเชียลของบุตรหลาน หวั่นถูกล่อลวงเข้าเครือข่ายค้ายา

นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) เผยผลการดำเนินงานในการลดความเดือดร้อนของประชาชน ตามนโยบายรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่จัดให้ยาเสพติดเป็นปัญหาสำคัญของชาติที่จะต้องเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่ ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง

 

สำหรับการดำเนินงานในเรื่องการรับแจ้งเรื่องร้องเรียนปัญหายาเสพติดผ่านสายด่วน 1386 ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 24 มีนาคม 2564 มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาทั้งสิ้น 7,957 เรื่อง ดำเนินการแล้ว 4,864 เรื่อง หรือคิดเป็นร้อยละ 61.13 จับกุมผู้เสพ จำนวน 810 ราย พาผู้เสพเข้ารับการบำบัด จำนวน 218 ราย จับกุมผู้กระทำความผิด 176 ราย และออกหมายจับ 9 ราย สำหรับยาเสพติดของกลางที่ยึดได้เป็น ยาบ้ารวม 79,280 เม็ด, ไอซ์ 879 กรัม เฮโรอีน 3.4 กรัม, กัญชาสด 15,500 กรัม , กัญชาแห้ง 111กรัม ยาแก้ไอ 740 กรัม คีตามีน 44 กรัม  

 

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน ในเรื่องของการค้ายาเสพติดผ่านสื่อโซเชียลที่พบมากขึ้นในปัจจุบันนั้น สำนักงาน ป.ป.ส. ได้จัดชุดติดตามเครือข่ายค้ายาเสพติดในโซเชียลร่วมกับตำรวจ ซึ่งพบกว่า 10,000 เครือข่าย โดยจากการติดตามพบว่ามีพฤติการณ์ล่อลวงเยาวชนเข้ามาเป็นเครือข่ายค้ายา และจัดส่งยาเสพติดผ่านทางพัสดุภัณฑ์ นอกจากนี้ยังพบว่าการใช้โซเชียลของแก๊งค้ายาจะเป็นกลุ่มผู้ค้ารายย่อยหรือระดับล่าง ในแต่ละปีมีการจับกุมคดียาเสพติดผ่านทางโซเชียล 200,000-300,000 คดี ในจำนวนนี้มากกว่าร้อยละ 90 เป็นผู้เสพ โดย ป.ป.ส. ได้ร่วมกับตำรวจจัดชุดติดตามพร้อมประสานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้สั่งปิดเว็บไซต์ที่กระทำผิด

 

“ฝากเตือนไปยังพ่อแม่ ผู้ปกครองให้เฝ้าระวังบุตรหลานและเยาวชนที่สามารถเข้าถึงโซเซียลได้ง่าย ทำให้เด็กตกเป็นเหยื่อการค้ายาเสพติดได้ง่ายด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และถูกดึงให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยไม่ตั้งใจ และสำหรับพี่น้องประชาชนที่พบพฤติการณ์ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด สามารถแจ้งเบาะแสยาเสพติดผ่าน 4 ช่องทาง ได้แก่ 1. สายด่วน 1386 โทรได้ตลอด 24 ชั่วโมง 2. หนังสือร้องเรียนถึงสำนักงาน ป.ป.ส. ส่วนกลาง/ส่วนภูมิภาค 3. การแจ้งเบาะแสด้วยตนเองได้ที่สำนักงาน ป.ป.ส.ส่วนกลาง/ส่วนภูมิภาค และ 4. การแจ้งผ่านเว็บไซต์ ป.ป.ส. https://1386.oncb.go.th

 

นายวิชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า สำนักงาน ป.ป.ส. และกระทรวงยุติธรรม มีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหายาเสพติด เพื่อลดความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน สร้างสังคมปลอดภัยและน่าอยู่ ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะทำให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด คือ การรับฟังปัญหาจากพี่น้องประชาชนโดยตรง โดย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ตระหนักถึงประเด็นนี้เช่นกัน จึงได้มีการลงพื้นที่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อพบปะพูดคุย รับฟังปัญหา แลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมสร้างการรับรู้ ความเข้าใจถึงความคืบหน้าของการดำเนินงานในด้านต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดของหน่วยงานในกระทรวงยุติธรรม 

 

โดยล่าสุดในการลงพื้นที่ ต.ละหาร อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะสร้างการรับรู้ในประเด็นแนวทางการปราบปรามยาเสพติดโดยอาศัยนโยบายการยึดทรัพย์สิน ตัดวงจรเครือข่ายการค้ายาเสพติด รวมถึงการจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวัง (JSOC) ขึ้น เพื่อทำหน้าที่ในการเฝ้าระวังและติดตามผู้พ้นโทษในคดีสะเทือนขวัญ ด้วยกลไกทางสังคมและความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการป้องกันการกลับไปกระทำผิดซ้ำของผู้พ้นโทษ เป็นต้น

"บิ๊กป้อม" ยอมรับ สั่งถอด ส.ส.กลุ่มดาวฤกษ์จากวิป รบ. เป็นมาตรการลงโทษทางการเมือง ย้ำ ภท. พอใจแล้ว ฉุนสื่อฯ ถามให้ตีกัน

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบกรณี 6 ส.ส.กลุ่มดาวฤกษ์งดลงคะแนนให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่ผ่านมา ว่า เขาได้ลงโทษไปหมดแล้วและได้ขอโทษไปกับพรรคภูมิใจไทย(ภท.) ไปบ้างแล้ว 

เมื่อถามว่า ขณะนี้มีการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลหรือวิปรัฐบาล โดยถอด ส.ส.บางคนในกลุ่มดาวฤกษ์ ออกไปเป็นการลงโทษอย่างหนึ่งของพรรคพปชร.ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ใช่และให้ออกทุกตำแหน่งที่เกี่ยวกับการเมือง เป็นเวลา 3 เดือน อีกทั้งดำเนินการลงโทษทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมือง 

เมื่อถามว่าพรรคภท. ยอมรับกับผลการลงโทษของพรรคพลังประชารัฐใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “พรรคภท. โอเค” พร้อมกับหันไปตอบสื่อด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายว่า “สื่อจะถามทำไม ผมไม่เข้าใจเลย จะถามให้ตีกันให้ได้ แปลก  จะให้ตีกับใครล่ะ ให้ผมตีกับภท.หรือ"   จากนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวยืนยันว่า “จะไม่เกิดรอยร้าว กับภท.แล้ว ” 

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แนวทางการลงโทษนี้ จะทำให้ พรรคภท.และพรรคพปชร. เกิดความสมานฉันท์ใช่หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า มันเป็นแนวทางของพรรคการเมืองและส.ส. กลุ่มดาวฤกษ์ก็เป็นส.ส.สมัยแรก เขาอาจจะไม่เข้าใจ และการลงโทษก็ถือว่าเป็นกฎของพรรคการเมือง

“อนุทิน” ยัน! รมต.สลับกระทรวง “คมนาคม-พาณิชย์” ไม่มีอะไรซับซ้อน แค่ทำงานคล่องตัวขึ้น

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงข้อวิพากษ์วิจารณ์ถึงการปรับครม.ที่ผ่านมา ที่มีการแลกกระทรวงกันของรัฐมนตรีช่วยของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ในส่วนของกระทรวงคมนาคมและพาณิชย์ ที่มองกันว่าอาจทำให้ไม่มีการคานอำนาจกันว่า ถ้ามองอย่างนั้น แล้วรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ไม่มีรัฐมนตรีช่วยใครจะมาคาน มันไม่เกี่ยวกันเลย รัฐมนตรีทุกคนโดยพื้นฐาน โดยหน้าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต การคานอำนาจคือสภาผู้แทนราษฎรที่คานอำนาจ ทำไม่ดีก็โดนอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ก็เห็นแล้วว่าไม่ใช่พวกมากจะลากไปได้ เห็นกันอยู่แล้วว่าผลโหวตออกมาเป็นอย่างไร ไม่เท่ากันสักคน

“หน้าที่ของรัฐมนตรีคือปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มันคานอำนาจกันเองในกระทรวงไม่ได้ รัฐมนตรีช่วยคนไหนกล้าคานรัฐมนตรีว่าการ เป็นไปได้หรือเปล่าล่ะ อำนาจทั้งหมดอยู่ที่รัฐมนตรีว่าการ ดังนั้นมันไม่มี รัฐมนตรีช่วยต้องทำงานตามที่รัฐมนตรีว่าการมอบหมาย ดังนั้นการที่พรรคเดียวกัน กลุ่มเดียวกัน เป็นหัวหน้าเป็นลูกน้องกัน การทำงานก็มีประสิทธิภาพได้ ทำให้กระชับยิ่งขึ้น มองในแง่ที่ว่าทำให้งานรวดเร็วยิ่งขึ้นบ้างซิ อย่าไปมองแค่ว่าจะมาทำอะไรกัน”

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าที่ผ่านมารัฐมนตรีคนละพรรคอยู่กระทรวงเดียวกันทำงานไม่เข้าขากันหรือ นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกกระทรวงมีรัฐมนตรีว่าการเป็นเจ้ากระทรวงอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลหรอก ดีหรือไม่ดีอยู่ที่รัฐมนตรีว่าการ  เมื่อถามว่าการสลับกระทรวงกันครั้งนี้ไม่มีเหตุผลทางการเมืองใช่หรือไม่ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า เหตุผลทางการเมืองก็คือการทำให้การทำงานคล่องตัวขึ้นไม่ดีกว่าหรือ 

“สมมุตผมเป็นรัฐมนตรีว่าการและมีรัฐมนตรีช่วยต่างพรรค ก็อาจจะมีความรู้สึกบ้างได้ว่า แหม เกรงใจเขา เกรงอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วอยู่ดี ๆ ก็มีคนมาออฟเฟอร์ว่า เอาไหม สลับกันไหม จะได้ทำงานได้เต็มที่ คล่องตัวขึ้น ผมก็เอา นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งไม่มีอะไรที่สลับซับซ้อนเลย อำนาจในความรับผิดชอบของกระทรวงแต่ละกระทรวงอยู่ที่รัฐมนตรีว่าการเท่านั้น รัฐมนตรีช่วยเซ็นอะไรไป รัฐมนตรีว่าการก็ยังต้องรับผิดชอบ”

“หมอหนู” ยัน คนเสียชีวิตไม่เกี่ยววัคซีน ชี้! “มนัญญา” มีผลข้างเคียงเป็นเรื่องปกติ กราบเท้าปชช.วัคซีนมาแล้วต้องฉีด ย้ำสธ.ไม่ปิดกันนำเข้าวัคซีน ไฟเขียว จอห์นสันให้โรโรงบาลเอกชน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีมีผู้ฉีดวัคซีนโควิดแล้วมีผลข้างเคียง บางคนถึงขั้นเสียชีวิตหลังได้รับวัคซีน จะสร้างความมั่นใจให้ประชาชนได้อย่างไร ว่า ข่าวที่ออกมาว่าคนที่ฉีดแล้วเส้นเลือดในกระเพาะแตกเสียชีวิตนั้น ขอยืนยันว่าสาเหตุไม่ได้มาจากวัคซีน 100% เขาคงมีปัญหาในเรื่องของเส้นเลือดเป็นทุนอยู่ และอาจเป็นจังหวะพอดีกัน ช่วงเช้าที่ผ่านมา ตนได้หารือกับแพทย์อาวุโสด้านต่าง ๆ ทุกคนบอกว่าไม่ได้มีสาเหตุมาจากวัคซีน อธิบดีกรมควบคุมโรคจะมีการแถลงให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง ตามหลักการแพทย์ ขออย่าให้ตื่นตกใจ อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนทุกชนิดสามารถกิดขึ้นได้ มากบ้างน้อยบ้างเป็นเรื่องปกติ เป็นที่ยอมรับทางการแพทย์

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่มีผลข้างเคียง นายอนุทิน กล่าวว่า ตนได้โทรศัพท์สอบถามอาการตั้งแต่วันแรกแล้ว ซึ่งรมต.ทุกคนมีเรื่องอดนอนเข้ามาเกี่ยวแน่นอน เพราะพักผ่อนน้อย รมต.คนไหนนอน 2 ทุ่มตื่น 6 โมงเช้าก็คงถูกนายกฯ ถามแน่นอนว่าทำไมไม่ทำงาน ดังนั้นมีหลายปัจจัยซึ่งนางสาวมนัญญา ก็ไม่ใช่ว่าจะอายุน้อย ไม่ใช่สาวน้อยร้อยชั่ง เป็นสาวน้อยวัยใกล้เกษียณย่อมมีผลข้างเคียงได้อีกทั้งเดินทางก็มากรับงานรับความเครียดต่าง ๆ ย่อมมีโอกาสที่จะได้รับผลข้างเคียงแต่เมื่อมีไข้จึงเดินทางไปโรงพยาบาล 2 วันก็หาย ไม่ได้เป็นอะไรรุนแรง 

ดังนั้นปัจจัยหลายอย่างรวมกันไม่ใช่วัคซีนอย่างเดียว นายกฯ เองก็บอกว่าฉีดแล้วอารมณ์ดี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ก็ฉีดและยังแข็งแรงดีบางครั้งอาจจะเป็นจังหวะของเรื่องความเครียดอย่างตนในวันที่ฉีดเข็มที่ 2 ก็ความดันขึ้นทั้งที่เตรียมตัวมาอย่างดี แต่เมื่อฉีดแล้วก็รู้สึกกังวลลึก ๆ ว่าถ้าฉีดไปแล้ววูบไปตอนนี้จะทำอย่างไรเพราะมีนักข่าวมาทำข่าวอยู่เป็นจำนวนมาก ขณะนั้นตนเองก็กลัวเหมือนกัน เมื่อยิ่งกลัวก็ยิ่งเครียดถึงขั้นจับชีพจรตัวเองรู้สึกว่าชีพจรเต้นเร็วแต่สุดท้ายก็ไม่เป็นอะไร 

ดังนั้นขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจด้วยเพราะเป็นวัคซีนใหม่แต่ขอยืนยันกับทุกคนจะต้องฉีดเพื่อป้องกันโควิด 19 และกรมควบคุมโรคก็ยืนยันอีกครั้งว่าการฉีดวัคซีนจะไม่ทำให้อาการของโรคปกติที่ประชาชนมีอยู่ทวีความรุนแรง และไม่เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 เมื่อได้รับวัคซีน ซึ่ง 2 ปัจจัยนี้ก็เพียงพอแล้ว ยืนยันได้ว่าเมื่อได้รับวัคซีนแล้วผลข้างเคียงไม่รุนแรง100% ไม่ตาย100% เพราะผลการทดลองของผู้ผลิตวัคซีนและสถาบันทารงการแพทย์ชั้นนำของโลกเขาก็มีผลรับรองอยู่แล้ว 

นายอนุทิน กล่าวว่า สำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวของ จ.ภูเก็ตนั้น ตนยังไม่ระบุว่าจะเริ่มต้นได้เมื่อไหร่เพราะต้องให้กรมควบคุมโรคและทีมแพทย์กระทรวงสาธารณสุขประเมินเป็นระยะ และวันนี้จะต้องทุ่มวัคซีนเข้าไปที่ จ.ภูเก็ต จะเริ่มทยอยฉีดได้ในสัปดาห์หน้าให้ภูเก็ต 1 แสนโดส เกาะสมุย 5 หมื่นโดส สมุทรสาคร 1 แสนโดส กทม. 1 แสนโดส ส่วนเดือนหน้าก็จะมาอีก 1-2 ล้านโดส ซึ่งจะมาตามคำสั่งซื้อเดิมจะได้กระจายไปพื้นที่ต่างๆปลายเดือนพฤษภาคม หรือ ต้นมิถุนายนทะยอยมาเรื่อย ๆ เริ่มฉีดไปเรื่อย ๆ 

“ต้องขอวิงวอนว่าเมื่อวัคซีนมาพร้อมแล้ว ผมต้องกราบเท้าพี่น้องประชาชนทุกคนว่าให้มารับการฉีด อย่ากลัวเพื่อรองรับวัคซีนที่มาในแต่ละเดือน ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้รับวัคซีนแล้วก็ได้อาสาสมัครไปเป็นคนที่บริจาคเลือกหลังได้รับวัคซีน 2 เข็มไปทดสอบว่าสามารถสร้างภูมิต้านทานได้หรือไม่ เพราะถ้าหลายคนที่ฉีดแล้วสามารถสร้างภูมิต้านทานได้แสดงว่าผู้ได้รับวัคซีนส่วนใหญ่สร้างภูมิคุ้มกันได้แล้วเราจึงค่อยมาพิจารณาเรื่องการผ่อนคลายกันเช่นเปิดเมือง การเดินทางสัญจรไปมา ซึ่งเมื่อฉีดวัคซีนไปได้ 5-10 ล้านคนสามารถทยอยเปิดประเทศได้ แต่ไม่ขอระบุว่าเป็นวันไหนเดือนไหน เพราะต้องให้ทางการแพทย์เป็นผู้ประเมิน” 

เมื่อถามถึงวัคซีนของบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ที่ผ่านการรับรองของ อย.แล้วจะสามารถฉีดให้ประชาชนได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับ บริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสันจะขายให้รัฐบาลหรือไม่ เพราะขณะนี้ยังเป็นเพียงการขึ้นทะเบียนให้กับจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าบริษัทใดก็ตามที่มาขึ้นทะเบียนเรารับเอาไว้เพื่อลบคำครหา ที่ว่าเราเลือกปฏิบัติ แต่รัฐบาลได้คุยกับบริษัทดังกล่าวว่าขอให้เป็นหลังจากที่ แอสตราเซนิกา ส่งได้หมดตามคำสั่งซื้อทั้ง 61 ล้านโดสแล้ว เพราะเราถือว่าแอสตราเซนิกา เป็นวัคซีนหลักที่ใช้กับคนไทยซึ่งจะทยอยส่งได้ในเดือนมิถุนายนดังนั้นไม่ว่ายี่ห้อใดที่จะมาหลังจากนั้น ถือว่าเป็นช่วงที่เราไม่ได้มีความต้องการมาก 

แต่ที่เราต้องการคือช่วงจากนี้ถึงมิถุนายนซึ่งนายกฯ ให้ความสนับสนุนเต็มที่เพราะมีความเป็นห่วงคนไทย โดยบอกว่า ถ้ามีใครมาก่อนในช่วงนี้ก็ให้ซื้อ ซึ่งเราก็มีกฎหมายรองรับว่าซื้อเพื่อมารองรับสถานการฉุกเฉินแต่ในช่วง 2 เดือนนี้ไม่มีบริษัทไหนส่งให้ได้แม้แต่ จอห์นสันแอนด์จอห์นสันที่มาพบตนก็บอกว่าจะได้ช่วง ตุลาคม - ธันวาคม ถ้าเป็นช่วงนั้นเราก็ได้วัคซีนหลักมาแล้ว แต่ถ้าวันหนึ่งจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน  มีความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของตัวเอง แล้วไปถอนการใช้วัคซีนฉุกเฉินจากสหรัฐเขาก็สามารถนำมาขายภาคเอกชน ในภาวะปกติเพื่อฉีดให้กับคนที่ยอมเสียเงินนั้นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขยืนยันจะให้การสนับสนุนให้นำเข้าได้เพื่อนำมาใช้กับภาคเอกชนได้ไม่ปิดกั้นเพราะจะเป็นประโยชน์กับภาครัฐ

“รัฐมนตรีป้ายแดง” เดินทางกลับหลังตรวจโควิด-19 “ตรีนุช-ชัยวุฒิ” กลับรถคันเดียวกัน

ภายหลังรัฐมนตรีใหม่ 4 คน เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และใช้เวลาบนตึกไทยคู่ฟ้าประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อพูดคุยและแนะนำตัวต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จากนั้นแยกย้ายเดินทางกลับ โดยนางสาวตรีนุช เทียนทอง รมช.ศึกษาธิการ และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ จากพรรคพลังประชารัฐ ได้เดินทางกลับโดยรถยนต์คันเดียวกัน โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน

“นิพนธ์” ถกคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่สาธารณประโยชน์-ที่ดินเอกชนทิ้งร้าง นัดแรกปี 64 สั่งเข้ม! ทุกจังหวัดเร่งประชุม ติดตาม รายงานความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาที่ดินฯให้อนุกรรมการฯ ทุกเดือน จนกว่าจะแก้ไขเสร็จสิ้น

ที่ห้องประชุมราชสีห์ กระทรวงมหาดไทย นายนิพนธ์  บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่สาธารณประโยชน์และที่ดินเอกชนปล่อยทิ้งร้าง ครั้งที่ 1/2564 ซึ่งได้รับมอบหมายจากพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะประธานอนุกรรมการฯ ขับเคลื่อนและติดตามผลการแก้ไขปัญหาตามข้อเรียกร้องของกลุ่มประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-move) โดยมีนายณรงค์ สืบตระกูล รองอธิบดีกรมที่ดิน  ผอ.สำนักจัดการที่ดินของรัฐ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม ทั้งนี้เป็นการหารือต่อจากการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 12 ก.พ.63  

รวม 4 กรณี คือ

1.) เร่งรัดให้คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อแก้ไขปัญหาที่สาธารณประโยชน์และที่ดินเอกชนปล่อยทิ้งร้างของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และระดับจังหวัด 14 จังหวัด  

2. ) กรณีที่สาธารณประโยชน์ “โคกภูพระ” ต.กุดแห่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร  

3.) กรณีที่สาธารณประโยชน์ “โคกปออีกว้าง” ต.กุดเชียงหมี อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร  

4.) กรณีชุมชนทับยาง ต.ท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา

โดยที่ประชุมได้พิจารณาแก้ไขปัญหาข้อเรียกร้องของกลุ่มประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-move) ซึ่งสรุปได้ดังนี้คือ

1.) กรณีชุมชนมะลิแก้ว ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต  

2.) กรณีที่สาธารณประโยชน์ทุ่งทับใน ต.แหลม อ.หัวไทร  จ.นครศรีธรรมราช  

3.) กรณีชุมชนไทดำ หมู่ที่ 1 ต.ทรัพย์ทวี อ.บ้านนาเดิม จ.สุราษฎร์ธานี  

4.) กรณีชุมชนโนนป่ายาง ต.หญ้าปล้อง ต.หนองไผ่ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ  

5.) กรณีที่ทำเลเลี้ยงสัตว์ป่ายางชุมภูมิตำรวจ ต.ห้วยสำราญ อ.ขุขันธุ์ จ.ศรีสะเกษ  

6.) กรณีที่สาธารณประโยชน์โนนอีหง่อม โนนหนองห้าง โนนม่วง  ต.หัวช้าง อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ

7.) กรณีที่สาธารณประโยชน์โนนสามพันตา ต.ขัวเรียง อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น

8.) เสนอให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงการแก้ไขปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์ และที่ดินเอกชนปล่อยทิ้งร้างของพี มูฟ ใน จ.เชียงราย และจ.เชียงใหม่ 

โดยนายนิพนธ์ กล่าวว่า “ขอสั่งการไปยังส่วนราชการที่รับผิดชอบในพื้นที่ให้เร่งประชุมติดตามความคืบหน้า และเร่งรัดคณะทำงานในทุกจังหวัดที่เกี่ยวข้องให้หาแนวทางแก้ไขปัญหา ให้เป็นไปตามข้อตกลง ทำความเข้าใจร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยต้องรายงานผลความคืบหน้าให้ฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการชุดนี้รับทราบทุกเดือน จนกว่าจะพิจารณาปัญหาเหล่านี้แล้วเสร็จ"

“ราเมศ” ย้ำ! ร่าง กม. ประชามติ ส.ส. ส.ว.ต้องคำนึงถึงเสียงประชาชน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีร่าง พรบ. ว่าด้วยการทำประชามติที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของรัฐสภาว่า 
ทุกฝ่ายต้องรับฟังซึ่งกันและกัน มุมมองของกรรมาธิการเสียงข้างน้อยก็มีเหตุมีผล 5 เงื่อนไข ที่ได้กำหนดขึ้นในมาตรา 9 ต่อการทําประชามติ ได้แก่

1.) การออกเสียงที่เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามที่มีบทบัญญัติกําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

2.) การออกเสียงกรณีเมื่อ ครม. เห็นว่ามีเหตุอันสมควร

3.) การออกเสียงตามที่กฎหมายกําหนดให้ต้องมีการออกเสียง

4.) การออกเสียงในกรณีที่รัฐสภาได้พิจารณาและมีมติเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีเหตุสมควรที่จะให้มี การออกเสียงและได้ชี้แจงเรื่องให้ ครม. ดําเนินการ

และ 5.) การออกเสียงกรณีประชาชนเข้าชื่อเสนอต่อ ครม. เพื่อให้ความเห็นชอบการออกเสียง ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่คณะกรรมการกําหนด ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาไปแล้วในมาตรา 9 

โดยส่วนตัวเชื่อว่าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะยังมีอีก 4 มาตรา ที่ต้องปรับปรุงมาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 14 และมาตรา 15 ให้สอดคล้องต้องกัน รัฐสภาสั่งฝ่ายบริหารไม่ได้ แม้จะถูกหลักการแต่ฝ่ายบริหารเห็นควรกับเหตุผลที่จะทำประชามติในบางเรื่องได้ ประชาชนใช้สิทธิเข้าชื่อเพื่อขอให้ถามความเห็นประชาชนในบางเรื่อง ปชช. เป็นเจ้าของอำนาจ ขอรัฐบาลเพื่อให้พิจารณาจัดทำประชามติคงจะไม่มีอะไรร้ายแรงถึงขนาดเกิดความเสียหายใหญ่โต มีแต่เกิดประโยชน์ รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ 2 มาตราก็จริงอยู่คือ มาตรา 166 และ มาตรา 256(8) แต่ มาตรา 166 ก็ระบุไว้ชัดว่า ครม. ขอให้มีการออกเสียงประชามติได้ ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ เปิดกว้างไว้ให้ออกกฎหมายกำหนดรายละเอียดได้ การกำหนดให้รัฐสภาและประชาชน ขอ ครม. ให้ทำประชามติจึงไม่ใช่การก้าวก่ายแทรกแซง เพราะท้ายที่สุดก็อยู่ที่ ครม. เห็นสมควร 

นายราเมศ กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพของสำนักงานกฤษฎีกา และเชื่อว่าสมาชิกรัฐสภาจะได้พิจารณากันอย่างรอบด้านและยึดหลักการรับฟังเสียงของประชาชนเป็นหลักการสำคัญที่สุด พรรคจะได้มีการเรียกประชุม ส.ส. ก่อนการประชุมร่วมรัฐสภาต่อไป ร่างกฎหมายประชามติ ไม่อยากให้นำมาเป็นประเด็นผูกโยงเป็นเรื่องการเมือง แต่ถ้ามีใครตั้งใจดึงรั้ง หรือไม่ให้ผ่าน จะด้วยเหตุผลใดก็ดี ผู้นั้นก็ต้องรับผิดชอบ

รัฐมนตรีใหม่ เข้าตรวจโควิด-19 ก่อนเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ปฎิบัติหน้าที่

ที่ทำเนียบรัฐบาล รัฐมนตรีใหม่ทั้ง 4 คน เดินทางเข้ามาที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อรับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ โดยนายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ เดินทางมาถึงเป็นคนแรก ตามด้วยนางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช.คมนาคม ตามลำดับ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี เดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาลในเวลา 08.40 น. และภายหลังรับการตรวจ นายกฯได้พูดคุยทักทายกับรัฐมนตรีทั้ง 4 คน ก่อนเป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) หรือศบศ. ครั้งที่ 1/2564 ที่ตึกภักดีบดินทร์
 

ชินวรณ์ นำทีมแกนนำครูเข้าพบ ปธ.กฤษฎีกา เสนอ 5 แนวคิด ร่าง พรบ.การศึกษาแห่งชาติ 

นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช ประธานวิปพรรคประชาธิปัตย์ นำแกนนำครูและเครือข่ายเดินทางไปสำนักงานคณะกรรมกฤษฎีกาเพื่อเสนอความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ โดยมีท่านมีชัย ฤชุพันธ์ ประธานคณะชุดใหญ่ในกฤษฏีกาเป็นประธาน

ทั้งนี้ได้มีการเสนอใน 5 ประเด็นหลัก 
1.) กระจายอำนาจการบริหารศึกษา 
2.) คุณภาพการศึกษาของเยาวชน
3.) ขวัญกำลังใจครู
4.) เทคโนโลยี นวัตกรรม และดิจิทัล เพื่อการศึกษาในอนาคต 
5.) กองทุนครูแห่งแผ่นดินและกองทุนเทคโลยีนวัตกรรมทางการศึกษา

ขอขอบพระคุณท่านมีชัย ฤชุพันธ์ และคณะกรรมการที่จะนำความคิดเห็นไปปรับปรุงเพื่อเสนอเข้าสู่ ครม.ต่อไป

‘ปิยบุตร’ เดินสาย 8 เวทีทั่ว ‘ร้อยเอ็ด’ อ้อนขอกำลังใจแบบจับต้องได้ให้เดินหน้าสู้กับ ‘ยักษ์ตนใหญ่’ ศัตรูประชาธิปไตยต่อ

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เดินสายขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลในจังหวัดร้อยเอ็ดที่ลงสมัครในนามคณะก้าวหน้า ซึ่งประกอบด้วย นายพลเสฏฐ์ พงศ์ฤทธิบาล ผู้สมัครนายกเทศมนตรีกู่กาสิงห์, นายชาตรี กุลสุวรรณ ผู้สมัครนายกเทศมนตรีโพนเมือง, นายเดชา แก้วภูมิแห่ ผู้สมัครนายกเทศมนตรีโคกกกม่วง, นายร่วมภูมิศักดิ์ พลเยี่ยม ผู้สมัครนายกเทศมนตรีโพนทอง, นายสมใจ สุระ ผู้สมัครนายกเทศมนตรีท่าม่วง, นายทวีสิทธิ์ มนตรีชน ผู้สมัครนายกเทศมนตรีดงสิงห์ นายประมวล สุวลักษณ์ ผู้สมัครนายกเทศมนตรีผักแว่น และนายเทพพร จำปานวน ผู้สมัครนายกเทศมนตรีอาจสามารถ

โดยในวันที่ 24 มีนาคม 2564 เป็นการปราศรัย 3 เวที และในวันที่ 25 มีนาคม 2564 เป็นการปราศรัยหาเสียงอีก 5 เวทีรวด รวม 2 วันเป็นจำนวน 8 เวทีท่ามกลางประชาชนในพื้นที่ ที่มารอฟังและรอให้กำลังใจกันเป็นจำนวนมาก

นายปิยบุตร กล่าวว่า จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นจุดเริ่มต้นทางการเมืองในภาคอีสานของตนเอง เพราะเมื่อครั้งที่เป็นเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ได้ตระเวนขึ้นเวทีปราศรัย ช่วยผู้สมัคร ส.ส.หาเสียง ก็ได้มาปราศรัยครั้งแรกที่จังหวัดร้อยเอ็ดแห่งนี้ จึงรู้สึกผูกพันกับร้อยเอ็ดเป็นอย่างมาก และต่อมาก็ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องชาวร้อยเอ็ดจำนวนเกือบ 9 หมื่นเสียง เมื่อรวมกันกับพี่น้องทั่วประเทศ พรรคอนาคตใหม่ได้รับคะแนนเสียงทั้งสิ้น 6 ล้าน 3 แสนเสียง ส่งผลให้ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ตนเองและเพื่อนๆ ได้เป็น ส.ส.ทั้งสิ้น 80 คน กลายเป็นพรรคอันดับ 3 ของประเทศ 

แม้ว่าต่อมาหัวหน้าพรรคอันดับ 3 จะอยู่ในสภาได้แค่เพียงสิบนาทีก็ตาม จะพูดสักคำในสภา เขาก็ยังไม่ให้โอกาสได้พูด และตนเองโชคดีกว่านิดหน่อยที่ได้อยู่ 10 เดือน 28 วัน เพราะผู้มีอำนาจตกใจที่เห็นพวกเราทำงานการเมืองแบบใหม่ ไม่เคยมีประสบการณ์เป็นนักการเมืองมาก่อน แต่สามารถได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนอย่างถล่มทลาย ดังนั้นคมดาบ คดีความต่างๆ จึงมาเต็มไปหมด ไม่หยุดหย่อนเพราะพวกเขาต้องการขจัดพวกเรา เตะออกไปจากการเมืองให้ได้ แต่พวกเขาจะไม่มีวันทำสำเร็จ เหมือนเป็นการปล่อยเสือออกจากกรงให้เข้าป่า พวกเราแม้จะไม่ได้อยู่ในสภา แต่ก็จะเดินทางไปพูดให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศฟังถึงหน้าบ้าน ไปช่วยผู้สมัครจากคณะก้าวหน้าหาเสียงทั้ง อบจ. เทศบาล และ อบต.

“หลายคนอาจคิดว่า เคยเป็นอดีตแกนนำพรรค ใส่สูทผูกเนกไทพูดอภิปรายในสภา ทำไมต้องมาช่วยหาเสียงในระดับท้องถิ่น เป็นการลดเกรด ลดชั้นหรือไม่ แต่สำหรับพวกเรากลับคิดในทางตรงกันข้าม เพราะพวกเราคิดว่า การเลือกตั้งในทุกระดับมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ จะมีประชาชนจำนวนเท่าใด เป็นการเลือกตั้ง ส.ส. หรือเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่น เพราะประชาชนทุกคนคือเจ้านายของพวกเรา และพวกเราเชื่อว่า นี่เป็นโอกาสให้ได้มาเจอพี่น้องประชาชนทั่วประเทศไทย มาเจอพี่น้องประชาชนตัวเป็นๆ มาถ่ายรูปกัน มาให้กำลังใจกัน อีกทั้งการที่มีอดีตแกนนำพรรคการเมือง เคยเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เคยเป็น ส.ส.อยู่ในสภา มาช่วยผู้สมัครรับเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ระดับเทศบาลทั่วประเทศแบบนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ประเทศไทย”

เลขาธิการคณะก้าวหน้า ยังได้กล่าวเชิญชวนให้เลือกการเมืองแบบใหม่เข้าไปรับใช้ประชาชน ขอโอกาสครั้งนี้ให้ได้ร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศไทย หยุดการเมืองแบบเก่าเปลี่ยนเป็นการเมืองแบบใหม่ที่แข่งกันด้วยนโยบาย แข่งขันกันที่ใครจะมีนโยบายที่ทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น เป็นการแข่งขันที่ใครไปนั่งอยู่ในหัวจิตหัวใจของประชาชนมากกว่ากัน ซึ่งผู้สมัครของคณะก้าวหน้าทุกคนที่เราคัดสรร มีความตั้งใจทำงาน มีหัวใจประชาธิปไตย 100% ตั้งใจคิดนโยบายและทำงานเพื่อให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี

“ถ้ารักธนาธร รักผม และต้องการส่งกำลังใจ อย่างเป็นรูปธรรม ให้พวกเราทำการเมืองแบบใหม่ ในการต่อสู้กับศัตรูประชาธิปไตยที่เป็นยักษ์ตนใหญ่ที่มีทั้งอำนาจรัฐและเงินทองมากมาย พวกเรามีเพียงสมอง กำลังใจและสองมือ รวมทั้งการสนับสนุนจากพี่น้องประชาชน และเพื่อส่งเสียงเป็นกำลังใจบอกพวกเราว่าแนวทางที่กำลังทำอยู่นี้มาถูกทางแล้ว แนวทางการเมืองแบบใหม่ ก้าวหน้า ก้าวไกล เพื่อเดินหน้าไปสู่อนาคตใหม่ของคนไทยทั้งประเทศ ต่อสู้กับเผด็จการสืบทอดอำนาจ คือการออกไปช่วยกันกาเลือกผู้สมัครจากคณะก้าวหน้าในวันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคมนี้ เพราะการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเริ่มต้นที่บ้านของพวกเรา เปลี่ยนแปลงบ้านเราให้ก้าวหน้า เปลี่ยนให้เทศบาลก้าวหน้า มาช่วยกันครับ” นายปิยบุตร กล่าวทิ้งท้าย

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังรายงานด้วยว่า ช่วงหนึ่งของการปราศรัยเมื่อ นายปิยบุตร กล่าวว่า ในอนาคตอยากจะพูดปราศรัยเป็นภาษาอีสานทั้งหมด แม้ว่าตอนนี้ก็พอพูดได้บ้างบางคำแล้ว แต่สำนวนการออกเสียงก็ยังแปลก ๆ อยู่ ดังนั้นอาจต้องมาเป็นเขยอีสานแล้ว จะได้พูดภาษาอีสานได้เก่ง ๆ แต่ตอนนี้เป็นไม่ได้เพราะแต่งเมียแล้ว ได้สร้างเสียงฮือฮา ปรบมือชอบใจจากประชาชนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก พร้อมกันนี้ได้มีประชาชนที่มาร่วมฟังการปราศรัยได้ตะโกนให้กำลังใจเชิงหยอกล้อว่า คนอีสานยินดีต้อนรับ ถึงแม้จะไม่ได้มาเป็นเขยแต่ก็จะอยู่ในใจพวกเราเสมอ และหลังจากนั้นยังได้เข้ามาขอถ่ายรูปและให้กำลังใจพร้อมยืนยันว่าจะกาเลือกผู้สมัครจากคณะก้าวหน้าด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top