Saturday, 10 May 2025
POLITICS NEWS

“บิ๊กตู่” รับทราบรายงานวัคซีน 2.16 ล้านโดส ส่งไปยัง 77 จังหวัดแล้ว ตามแผนการฉีดและการกระจายวัคซีนโควิด-19

วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบการรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งยืนยันการจัดสรรวัคซีนป้องกันโควิด-19  “Sinovac” จำนวน 2,070,279โดสและ “AstraZeneca” จำนวน 89,040 โดส รวมการจัดสรรวัคซีนโควิด-19 ทั้งหมด 2,159,319 โดส  โดยมีการจัดส่งและกระจายวัคซีนทั้งหมดที่ได้นำเข้ามา ส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศทั้ง 77 จังหวัดเรียบร้อยแล้ว เพื่อเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายโดยเร่งด่วน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งให้มีการรายงานตัวเลขการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้สื่อมวลชนและประชาชนทราบทุกวัน  พร้อมทั้งจัดหาวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติมอีกประมาณ 35 ล้านโด๊ส ซึ่งจะทำให้มีวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อคนไทยอย่างน้อย 100 ล้านโดส ภายในปลายปี 2564 นี้

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเรื่องประสิทธิภาพในการฉีดวัคซีนในแต่ละวันให้กับประชาชนในจุดต่างๆทั่วประเทศด้วย ซึ่งทราบว่าหากไทยได้รับวัคซีนมากขึ้น หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขที่จะประสานกับภาคเอกชนที่จะเข้ามาร่วมมือฉีดวัคซีนให้ประชาชนก็จะสามารถดำเนินการฉีดได้มากขึ้นตามลำดับอย่างแน่นอน จึงขอให้ประชาชนได้มั่นใจว่าภายในสิ้นปี 2564 นี้ จะมีวัคซีนเข้ามากว่า 100 ล้านโดส สำหรับฉีดให้กับประชาชนกว่า 50 ล้านคนอย่างแน่นอน

นายอนุชา กล่าวชี้แจงไทม์ไลน์การนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ซึ่งทยอยเข้ามาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้วว่า จาก Sinovac จำนวน 200,000 โดส และ AstraZeneca จำนวน 117,000 โดส  เดือนมีนาคมนำเข้าวัคซีนจาก Sinovac จำนวน 800,000 โดส และเดือนเมษายนนำเข้าวัคซีนจาก Sinovac จำนวน 1,000,000 โดส และในเสาร์ที่ 24 เมษายน 64 นี้จะมีวัคซีนเข้ามาจาก Sinovac จำนวน 500,000 โดส และมีแผนนำเข้า Sinovac เพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคมอีก 1,000,000 โดส ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับรัฐบาลจีน ขณะที่ วัคซีน AstraZeneca ที่ผลิตในประเทศไทย จะเริ่มทยอยส่งได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน เบื้องต้น 6,000,000 โดส และจะเพิ่มจำนวนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมไปถึงสิ้นปี 2564 จนครบ 61,000,000 โดส นอกจากนี้ยังมีบริษัทผลิตวัคซีนยี่ห้อต่างๆ เสนอขายวัคซีนแก่ประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างการพิจารณาหารือราคาและเงื่อนไข นอกจากนี้รัฐบาลเดินหน้าเตรียมพร้อมทั้งการจัดหาวัคซีนทางเลือกภาคเอกชนเพิ่มเติมอีกประมาณ 35 ล้านโดส ซึ่งจะทำให้มีไวรัสป้องกันโควิด-19 เพื่อคนไทย 100 ล้านโดส ภายในปลายปี 2564 นี้

“ทั้งนี้ ความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่ 28 ก.พ. ถึง 21 เม.ย. 64 มีการฉีดไปแล้วทั้งสิ้นรวม 864,840 โดส  เป็นการฉีดเข็มที่ 1 จำนวน 746,617 ราย และจำนวนผู้ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ คือ ครบ 2 เข็ม จำนวน 118,223 ราย ทั้งนี้แบ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ฉีดแล้ว 405,291 โดส  เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย 117,071 โดส  ผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป 26,669 โดส บุคคลที่มีโรคประจำตัว 37,137 โดส และประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 278,672 โดส”นายอนุชา กล่าว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า วัคซีนโควิด-19 ที่นำเข้ามาแล้ว ได้ถูกกระจายส่งต่อไปยังหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่างๆทั่วประเทศอย่างทันท่วงทีด้วยความเร่งด่วน เพื่อฉีดให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุดและรัฐบาลขอขอบคุณ และให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล และอาสาสมัครทุกๆท่าน ที่ทุ่มเททำงานอย่างหนักมาตลอด เพื่อรักษาและดูแลผู้ติดเชื้อ รวมถึงบุคลากรที่บริหารจัดการฉีดวัคซีนเพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วย

คลังออกเกณฑ์คุมรูรั่วข้าราชการเบิกค่ารักษาเกินจริง

นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางออกหลักเกณฑ์การเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลเกินสิทธิและการเรียกคืนเงินใหม่ เพื่อควบคุมการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เป็นไปด้วยความถูกต้อง มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.64 เป็นต้นไป หลังจากที่ผ่านมาตรวจสอบพบว่า ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวจำนวน 24 ราย มีพฤติกรรมใช้สิทธิระบบเบิกจ่ายตรงผิดปกติ โดยเข้ารับบริการในสถานพยาบาลหลายแห่งระยะเวลาใกล้เคียงกัน หรือมีการเข้ารับบริการเกิน 3 สถานพยาบาลต่อเดือน ด้วยโรคเดียวกัน อีกทั้งได้รับยาประเภทเดียวกัน จนมีปริมาณยาสะสมจำนวนมาก คิดเป็นเงิน 15.8 ล้านบาท ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ระงับสิทธิของบุคคลดังกล่าวทุกรายโดยทันทีที่ตรวจสอบพบ

สำหรับหลักเกณฑ์ใหม่ กำหนดให้ผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวเข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอก ณ สถานพยาบาลของทางราชการแห่งเดียวหรือหลายแห่ง หรือได้รับยาประเภทเดียวกันจนมีปริมาณยาสะสมเป็นจำนวนมาก เกินขนาดที่ให้ผลการรักษาในแต่ละโรค หรือเกินกว่าจำนวนที่กรมบัญชีกลางกำหนด ถือเป็นการใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการเพื่อเบิกค่ารักษาพยาบาลเกินสิทธิ มีพฤติกรรมการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในระบบเบิกจ่ายตรงผิดปกติ

กรมบัญชีกลางจะระงับสิทธิการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในระบบเบิกจ่ายตรงทันที และหากเข้าข่ายทุจริตหรือการกระทำความผิดทางอาญา หน่วยงานต้นสังกัดต้องดำเนินการทางวินัยหรือตามขั้นตอนของกฎหมายและเรียกคืนเงินจากผู้มีสิทธิส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดิน แต่หากข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าเป็นการทุจริต กรมบัญชีกลางจะอนุญาตให้สามารถใช้สิทธิในระบบเบิกจ่ายตรงประเภทผู้ป่วยนอก ณ สถานพยาบาลของทางราชการเพียง 1 แห่ง เพื่อเป็นการควบคุมพฤติกรรม

ส่วนกรณีสถานพยาบาลของทางราชการ เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวในระบบเบิกจ่ายตรง โดยไม่ปรากฏข้อมูลในเอกสารว่า มารับบริการจริง ส่วนราชการต้นสังกัดต้องดำเนินการตรวจสอบ หากปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐมีพฤติกรรมทุจริตโดยใช้ระบบเบิกจ่ายตรงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ส่วนราชการต้นสังกัดต้องดำเนินการสอบสวนทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ดังกล่าว  และเรียกคืนเงินจากสถานพยาบาลของทางราชการแห่งนั้น c]tส่วนราชการต้นสังกัดมีหน้าที่ติดตามเรียกคืนเงินที่เบิกเกิน และนำเงินส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดิน หากไม่สามารถเรียกคืนเงิน ต้องมีบังคับชำระหนี้ แล้วนำเงินส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป

‘ชาวทะลุฟ้า’ บุกสภา ยืน 112 นาที ลั่นใหญ่โตจากภาษี แต่ไม่รับใช้ ปชช.

วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564 ที่หน้ารัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีมวลชนหมู่บ้านทะลุฟ้านัดหมายทำกิจกรรม “คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย”​ ยืน หยุด ขัง 112 นาที โดยชาว “หมู่บ้านทะลุฟ้า”

โดยมีนักกิจกรรมกว่า 10 คนแต่งตัวคล้ายนักโทษยืนเป็นแถวเว้นระยะห่าง 2 เมตร  แต่ละคนสวมหน้ากากอนามัย โดยมีโซ่ตรวนล่ามไว้ที่ขา เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์การถูกจองจำ บางรายสวมหมวกกันร้อน พร้อมห้อยป้ายข้อความ อาทิ ปล่อยเพื่อนเรา, ยกเลิก 112, ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และประยุทธ์ออกไป 

ทั้งนี้ กลุ่มหมู่บ้านทะลุฟ้า ระบุว่า ยืน112 นาที ณ รัฐสภา การยืนเป็นการต่อสู้ในรูปแบบหนึ่งของสันติวิธี ปราศจากอาวุธ อาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ทหารนำมาใช้นั้นมีไว้เพื่อยึดอำนาจจากประชาชนเพียงเท่านั้น วันนี้เรามายืนหน้ารัฐสภาก็เพื่อเรียกร้องสิทธิการประกันตัว ให้เพื่อนของเรา และสะท้อนว่ารัฐสภาที่ใหญ่โตนี้สร้างมาจากภาษีของประชาชนแต่มิได้ทำงานรับใช้ประชาชน แต่รับใช้โจรที่ปล้นอำนาจจากประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ ผู้ร่วมกิจกรรมทุกคนสวมถอดรองเท้าแตะ เพื่อกันความร้อน บางรายมีสีหน้าทรมานจากสภาพอากาศ ขณะที่ทีมงานชาวหมู่บ้านทะลุฟ้า ได้นำเสปรย์น้ำ มาพ่นใบหน้า และร่างกาย เพื่อคลายความร้อน โดยจะยืนจนครบ เวลา 112 นาที ท่ามกลางเจ้าหน้าที่รัฐสภา ไปจนถึงตำรวจ ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ยืนเฝ้าสังเกตการณ์รอบบริเวณอย่างใกล้ชิด 

นอกจากนี้ ยังมีการตั้งโต๊ะ จำหน่าย “เสื้อหมู่บ้านทะลุฟ้า” เพื่อระดมทุนทำกิจกรรม ทีมงานหมู่บ้านทะลุฟ้า เปิดเผยด้วยว่า เร็วๆ นี้ อาจจะมีการชุมนุมปักหลัก ส่วนเวลา 17.30 น. วันนี้ จะไปร่วมสมทบ ยืน หยุด ขัง ที่หน้าศาลฎีกา กับ กลุ่มพลเมืองโต้กลับ อีกด้วย

'พิธา' แถลงก่อนการประชุมผู้นำอาเซียนสมัยพิเศษ ย้ำผู้นำอาเซียนต้องไม่ให้การประชุมเป็นเวทีรับรองความชอบธรรมของเผด็จการทหารเมียนมา รัฐบาลประยุทธ์ต้องปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและภูมิภาคไม่ใช่รักษาความสัมพันธ์ส่วนตัว

เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2564 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้แถลงออนไลน์ถึงสถานการณ์ในเมียนมา บทบาทของอาเซียนในการหาทางออกให้กับสถานการณ์ในเมียนมา และบทบาทของไทยในการประชุมผู้นำอาเซียนที่กรุงจาการ์ตาในวันที่ 24 เมษายน 2564

พิธา กล่าวว่า ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาทั้งโลกได้ติดตามสถานการณ์ในเมียนมาด้วยความสะเทือนใจ เนื่องจากมีผู้ถูกทหารเมียนมาสังหารแล้วกว่า 700 คน เป็นเด็กถึง 50 คน บางคนอายุเพียง 7 ขวบเท่านั้น คนนับพันคนถูกจับกุมหรืออุ้มหาย ซึ่งนี่เป็นปฏิบัติการอย่างเป็นระบบของทหารเมียนมาเพื่อปราบปรามประชาชนให้สยบด้วยความหวาดกลัว

“ถ้าไม่มีการยับยั้ง ทหารเมียนมาก็จะเดินหน้าปราบปรามสังหารประชาชนมือเปล่าและชนกลุ่มน้อยต่อไป ถ้าไม่มีใครทำอะไร คนอีกนับพันอาจถูกสังหาร คนนับแสนอาจต้องพลัดถิ่น และวิกฤติทางมนุษยธรรมที่ตามมาก็จะสร้างผลสะเทือนไปทั้งภูมิภาค”

พิธากล่าวต่อไปว่า เมื่ออาเซียนก่อตั้งขึ้นมาในปี 2510 ด้วยปฏิญญากรุงเทพฯ ก็ได้มีระบุไว้ถึงวัตถุประสงค์ของอาเซียนในปฏิญญาว่าก่อตั้งขึ้นเพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาคผ่านหลักนิติธรรมและหลักการของสหประชาชาติ

นอกจากนี้พิธายังกล่าวถึงในกฎบัตรอาเซียนที่เน้นย้ำถึงหลักการสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ในอดีตอาเซียนเคยแสดงบทบาทเป็นตัวกลางเจรจาหาทางออกให้กับความขัดแย้งในภูมิภาคมาแล้วหลายครั้ง และวิกฤติของเมียนมาในครั้งนี้ก็เป็นบททดสอบอีกครั้งหนึ่งของอาเซียน

ในโอกาสของการประชุมผู้นำอาเซียนสมัยพิเศษ ที่กรุงจาการ์ตา ในวันที่ 24 เมษายนนี้ พรรคก้าวไกลเรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนจัดตั้งกระบวนการสันติภาพที่นำโดยอาเซียน เพื่อยุติการสังหารประชาชนและนำเมียนมากลับคืนสู่เส้นทางประชาธิปไตย โดยกระบวนการสันติภาพก็มีหลายกลไกที่อาเซียนสามารถใช้ได้ เช่น จัดตั้ง กลุ่มผู้ประสานงานอาเซียน (ASEAN Troika) จัดตั้งทูตพิเศษของอาเซียน (Special Envoy) หรือจัดตั้งกลุ่มเพื่อนประธาน (Friends of the Chair)

พรรคก้าวไกลเชื่อว่าเป็นความจำเป็นทางมโนสำนึกที่กระบวนการสันติภาพจะมีเป้าหมาย ได้แก่ การทำให้เมียนมากลับคืนสู่สภาวะปกติที่ สิทธิ เสรีภาพ ความเป็นอยู่ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ได้รับการคุ้มครอง และทหารเมียนมาต้องยุติการใช้ความรุนแรงและปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข นี่คือเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรมขั้นต่ำที่ประชาชนอาเซียนควรเรียกร้องจากผู้นำของตนเอง

พิธาย้ำว่า ผู้นำอาเซียนต้องไม่ปล่อยให้การประชุมผู้นำอาเซียนเป็นเวทีที่ให้การยอมรับและความชอบธรรมกับเผด็จการทหารเมียนมา ผู้นำอาเซียนควรผลักดันผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มได้มีโอกาสหาทางออกร่วมกันในกระบวนการจะเปิดรับทุกฝ่าย ดังนั้นผู้นำอาเซียนจึงควรยื่นคำเชิญให้กับทุกฝ่ายในการหาทางออกร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจากพรรค NLD คณะกรรมการผู้แทนสมัชชาแห่งสหภาพ (CRPH) ไปจนถึงกองทัพ และกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อให้กระบวนการสันติภาพที่เปิดกว้างและมีความจริงใจเกิดขึ้นได้

นอกจากนี้อาเซียนควรยืนยันในหลักการ “ความเป็นแกนกลางของอาเซียน” โดยตระหนักว่าถึงเวลาแล้วที่จะเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ดำเนินการตามอำนาจในหมวด 6 และจัดตั้งคณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงของสถานการณ์ในเมียนมา และเพื่อรับมือกับวิกฤติด้านมนุษยธรรม พิธาเรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนจัดตั้งคณะทำงานเพื่อประเมินสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในเมียนมา และเรียกร้องให้ทหารเมียนมายอมเปิดให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าไปถึงได้ในทุกพื้นที่ของประเทศ

พิธากล่าวว่า ประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านที่มีความใกล้ชิดและเป็นประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียนควรมีบทบาทเชิงรุกในการหาทางออกให้กับสถานการณ์ในเมียนมา แต่รัฐบาลของ พล.อ ประยุทธ์ ก็แสดงออกให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่ได้มีสำนึกที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาวไทยและชาวเมียนมาในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดเช่นนี้ ซึ่งผลประโยชน์ของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนนั้นอยู่บนหลักการของความเจริญผาสุกร่วมกันที่จำเป็นต้องมีเมียนมาที่มั่นคงทางการเมืองและเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ถ้าเมียนมาเกิดวิกฤติ ก็จะเป็นวิกฤติของประเทศไทยที่มีชายแดนติดต่อกับเมียนมาถึง 2,400 กิโลเมตร เช่นเดียวกัน

“ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาล พล.อ ประยุทธ์ จะต้องทำตามหลักการ “การคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองในระยะยาวโดยรู้แจ้งถึงสิ่งที่ถูกต้อง” (Enlightened self-interest) และแสดงออกให้เห็นว่าประเทศไทยยืนอยู่ข้างประชาชนชาวเมียนมา ไม่ได้เป็นสหายในสงครามร่วมหัวจมท้ายกับทหารเมียนมา” พิธากล่าวทิ้งท้าย

ที่มา : https://www.facebook.com/timpitaofficial/videos/544792376534565


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“ทิพานัน” โต้ เพื่อไทย ยันโมเดล ศบค.สู้โควิด มีเอกภาพแก้ปัญหาได้ เหน็บ เปิดกว้างฟังข่าวสาร-หยุดรับข้อมูลบิดเบือน

เมื่อวันที่ 22 เม.ย. น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวกรณีที่พรรคเพื่อไทย ออกจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เสนอแนะเรื่องการแก้ปัญหาการแพร่ระบาด เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นให้ประชาชน ลดการบริหารงานแบบรวมศูนย์ว่า การบริหารแบบรวมศูนย์ มีความเป็นเอกภาพ สามารถจัดการปัญหาได้เบ็ดเสร็จรวดเร็ว การแพร่ระบาดระลอกนี้ควบคุมโดยแบ่งโซนสี ให้เศรษฐกิจโดยรวมเดินต่อได้ และยังเตรียมพร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยา และเวชภัณฑ์ สำรองเตียงรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลเอกชน ตั้งโรงพยาบาลสนามในมหาวิทยาลัย และขยายเตียงไอซียูเพิ่มหากผู้ป่วยมีจำนวนมาก อาจจัดตั้ง “ไอซียูสนาม”

นอกจากนั้นมีมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด อาทิ สนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) และสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้) เพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจ มีการจัดโครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-19 ระหว่าง พ.ค.-ธ.ค. 64 เพื่อสร้างอาชีพให้ผู้ว่างงาน กระตุ้นธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs ขนาดเล็ก ขยายเวลาโครงการเราชนะ ไปถึง 30 มิ.ย โครงการคนละครึ่งเฟส 3 เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 และทัวร์เที่ยวไทย และเตรียมตำแหน่งงานว่าง 2 แสนอัตรา แก้ปัญหาคนว่างงาน และดูแลผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดสถานประกอบการให้ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยโควิด-19 โดยลูกจ้างมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวันรวมกันไม่เกิน 90 วัน

“ข้อมูลทั้งหมดนี้ พรรคเพื่อไทยสามารถช่วยสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างความเข้าใจได้ทันที อยากขอพรรคเพื่อไทย งดรับข่าวสารที่บิดเบือนผ่านทางโซเชียล หากต้องการข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ครอบคลุมและเพียงพอ สามารถรับฟังจากการแถลงข่าวของศบค. แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ และข้อมูลจากภาครัฐ เพื่อจะได้นำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไปบอกต่อประชาชน” น.ส.ทิพานัน กล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“สมศักดิ์” แจงร่วมงานเลี้ยง คนติดโควิด ยัน ไม่ใช่ปาร์ตี้ โวย บางภาพไม่ใช่งานนี้ อย่าเอามารวมทำคนเข้าใจผิด

เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กล่าวกรณีการเดินทางไปร่วมรับประทานอาหารกับกลุ่มคนสนิทแล้วมีการติดเชื้อโควิด-19 ว่า ในช่วงวันหยุดยาวได้เร่งทำงานมอบนโยบายปราบปรามยาเสพติด พื้นที่จ.เชียงใหม่และลำปาง และได้พักทำบุญที่บ้านเกิดจ.สุโขทัย ในวันที่ 12 เม.ย. จากนั้นเป็นประธานมอบนโยบายยาเสพติดภาคเหนือแก่ตำรวจภาคเหนือตอนล่างในการตัดวงจรยาเสพติด หลังจากจบภารกิจ ข้าราชการและผู้ติดตามทุกคนในคณะ ได้ตรวจโควิดและผลออกมาไม่มีใครติดเชื้อ 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับในงานเลี้ยงอาหารที่ร้าน คาเฟ่ เดอ ทรี ที่ตนเดินทางไปร่วมนั้นไม่ทราบว่ามีการจัดรดน้ำดำหัว และไม่ทราบว่าใครเป็นคนแพร่เชื้อ ไม่สามารถหาต้นตอได้ว่าใครเป็นผู้ติดเชื้อบ้างเพราะคนร่วมงานมีหลายคน ทั้งนี้ต้องขอโทษที่มีภาพหลุดออกมาจนเป็นประเด็นในสังคม แต่การไปรับประทานอาหารครั้งนี้ไม่ใช่ปาร์ตี้ตามที่เข้าใจผิดกัน เพราะ ไม่มีดนตรีและการแสดง แต่พูดคุยรับฟังปัญหาชาวบ้านจากกลุ่มคนที่ช่วยทำงานในพื้นที่ และกิจกรรมดังกล่าวใช้เวลาไม่นาน 

แต่ในโซเชียลมีเดีย บางแห่ง นำภาพบุคคลที่ร่วมรับประทานอาหารในวันที่ 12 เม.ย.ที่ติดเชื้อโควิด-19 มาเผยแพร่ ทั้งที่บางภาพไม่ใช่งานที่ตนไปร่วมรับประทานอาหาร โดยไม่ชี้แจงให้ชัดว่าเป็นวันใดซึ่งอาจทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด ยืนยันว่าทุกครั้งที่จะไปร่วมงาน จะระมัดระวังป้องกันตัวเองอย่างเข้มงวด ใส่หน้ากากและเว้นระยะเวลาพูดคุยกับใครๆเสมอ และที่ออกมาชี้แจงเพื่อยืนยันว่าไม่ได้ติดโควิด เพราะมีข้อมูลบางส่วนยังไม่ตรงจนเกิดความเข้าใจผิดกลายเป็นความแคลงใจ

“จตุพร”บอกอย่ากระพริบตา!! ยก 2 ไล่ “ประยุทธ์” ออนไลน์ แฉทุกปมบกพร่องผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เผย 24 เม.ย. “ธีระชัย” อดีต รมว.คลัง เตรียมชำแหละ ศก.ระบอบประยุทธ์ 25 เม.ย.คิว “ไพศาล พืช” ถลกปมโควิด ลั่นภาพรวม 7 ปีสิ่งที่ รบ.เด่นชัดมีแต่ยโส โอหัง อวดดี ห่วยแตก

เมื่อ 22 เมษายน พ.ศ.2564 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk ถึงรูปแบบการปราศรัยออนไลน์ เวทีไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย ในหัวข้อ “24 เมษา ยก 2 ประยุทธ์ออกไป”  
 
นายจตุพร กล่าวว่า การจัดรูปแบบชุมนุมผ่านโซเชียลมีเดีย ในนัยยะหนึ่งเกี่ยวกับมาตรการโควิด-19 ซึ่งมีการระบาดไปทั่วประเทศนั้นจะต้องมีการวิพากษ์ถึงความล้มเหลว และชี้ให้เห็นว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีนั้น ไม่สมควรที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไปแม้แต่เพียงวันเดียว  
  
ในวันที่ 24 เมษายนนี้ จะเริ่มต้นกิจกรรมปราศรัยในเวลา 13.00 น.เป็นต้นไป โดยจะมีผู้ปราศรัยร่วมเเสดงความคิดเห็นเพิ่มขึ้น โดยไฮไลท์หลักของวันแรกจะอยู่ที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล  อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะพูดถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในแง่มุมต่างๆ  ทั้งเศรษฐกิจของประเทศ การเงินการคลัง หรือกรณีเรื่องทุนผูกขาด จึงอยากให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้รับรู้อย่างเท่าเทียมกันว่าเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ไหน   
 
ดังนั้นอยากให้พี่น้องประชาชนได้รับฟังว่าอย่างน้อยที่สุดในฐานะที่เราเป็นเจ้าของประเทศร่วมกันนั้นเราควรมีสิทธิ์ที่จะรับรู้ถึงสถานการณ์ที่เป็นความจริงของประเทศไทย หรือแม้กระทั่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาก็ควรจะรับฟัง   
  
พร้อมเปรียบเปรยว่า ขณะนี้ ใครเข้ามามีอำนาจ หูก็จะเริ่มหาย ก็คือเป็นเหมือนกับโดเรมอนแต่ว่าเป็นมนุษย์ที่ไร้หูซึ่งหมายความว่าใครพูดอะไร เสียงจะไม่เข้าหู แต่จะเข้าจมูกเป็นหลัก ก็จะมีการอาละวาดไปตอบโต้ไม่รับฟัง  
 
อีกทั้ง ข้อเสนอแนะใดๆในการหาทางออกให้กับชาติบ้านเมืองทั้งที่ตัวเองก็ไม่มีปัญญาในการแก้ไขปัญหาชาติแต่อย่างใด สภาพผู้นำที่ไร้หูนั้นเป็นภาวะวิกฤตของประเทศ ซึ่งในยามที่บ้านเมืองเป็นปกติ ผู้นำที่ไม่ฟังใครนั้นก็คนอาจจะไม่รู้สึกถึงผลกระทบ แต่ความล้มเหลวในทุกมิติโดยเฉพาะการบริหารการจัดการเรื่องวัคซีน ซึ่งต้องโทษคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีว่าเมื่อประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นอำนาจมาอยู่ที่นายกรัฐมนตรีและ ศบค.ก็ต้องฟังนายกรัฐมนตรี เพราะตอนนี้เป็นมาตรการเหมือนกับการใช้มาตรา 44 แต่อยู่ในรูปแบบ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน  
  
ดังนั้นจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแม้กระทั่งการจัดหาวัคซีน นายกรัฐมนตรีก็ยังไม่ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหรือรัฐมนตรีช่วยสาธารณสุขเข้าไปเป็นกรรมการร่วมรับผิดชอบ แปลความว่าปัญหาทั้งหมดที่พยายามยกมาอธิบายว่ามีการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาดคิดว่าควบคุมโควิด-19 ได้ทำให้การบริหารการจัดการเรื่องวัคซีนไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ซึ่งเป็นการอธิบายความล้มเหลวได้อย่างทุเรศ แต่ปัญหาหลักวันนี้ ที่อยากให้นายกรัฐมนตรีได้ทบทวนคือ สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีกหรือไม่  
 
ส่วนกิจกรรมต่อเนื่องในวันที่ 25 เมษายนนี้ ไฮไลท์จะอยู่ที่นายไพศาล พืชมงคล อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นคนที่ติดตามในเรื่อง สถานการณ์โควิด-19 ตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งถึงปัจจุบัน รัฐบาลรับมือบกพร่องผิดพลาดกันอย่างไร อยากให้ติดตามกัน  
  
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า ในสถานการณ์การที่บริหารประเทศจนกระทั่งไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ โควิด-19 ได้ หลายคนก็ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมพลเอกประยุทธ์ จึงไม่ทำเรื่องขอเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อทรงขอคำปรึกษาหรือฟังข้อเสนอแนะจากในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งปกติแล้วในสถานการณ์ที่บ้านเมืองวิกฤตคนที่เป็นผู้นำประเทศต้องทำเรื่องขอเข้าเฝ้าเพื่อขอพระราชทานคำปรึกษาในการแก้ไขปัญหาวิกฤตินี้  ซึ่งหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าทำไมพลเอกประยุทธ์ไม่กระทำ  เพราะสถานการณ์ที่มันเลยเถิดจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้มีหลากหลายเรื่องราวที่เดินเข้ามาสู่จุดนี้และนายกรัฐมนตรีก็ยังไม่กระทำการในเรื่องนี้  
  
นอกจากนี้การพยายามที่จะปั่นกระแสใดๆก็ตาม ซึ่งจะไม่เป็นผลดี ซึ่งหลายเรื่องราว บุคลากรทางการแพทย์ซึ่งเป็นมืองานของรัฐบาลตัวจี๊ดจ๊าดทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ชำนาญการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาด แต่เป็นผู้ชำนาญการในอีกเรื่องหนึ่ง ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรคระบาด ก็กลายเป็นหน่วยปฏิบัติการจิตวิทยา ของรัฐบาลชุดนี้ ในการสร้างความหวาดวิตกให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน  
 
ดังนั้นเรื่องนี้ภายหลังจากสถานการณ์โควิด 19 ก็ควรจะได้รับการสะสาง และส่วนตัวมองว่าการจะอยู่โดยกล่าวอ้างสถานการณ์โควิด-19 โดยแก้ไขปัญหาชาติไม่ได้ หรือ จะอยู่โดยอ้างว่า รอฉีดวัคซีนคนให้ครบนั้น หากเป็นคนที่มีประสิทธิภาพปีนี้ทุกอย่างจะจบหมด แต่เพราะเรามีรัฐบาลที่ด้อยประสิทธิภาพ ยโส โอหัง อวดดี และห่วยแตก  ไม่รับฟังใคร   
  
อีกอย่าง ตนอยากเรียกร้องให้ผู้ที่มีความรู้ กล้าที่จะลุกขึ้นมาอธิบายเพราะหลากหลายเรื่องราวมันผิดปกติเป็นที่น่าสงสัย เพราะอย่างน้อยจะได้แลเห็นว่าในสถานการณ์ที่คนไทยได้รับโชคชะตากันอย่างนี้นั้นก็มีคนได้ประโยชน์กันอยู่มากมายและที่สำคัญที่สุดก็คือ ประโยชน์อันนี้มันคือความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งหลาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ค้างคาที่ต้องการจะสื่อความให้เห็นว่าทำไมเราไม่สามารถที่จะให้พลเอกประยุทธ์บริหารประเทศชาติบ้านเมืองได้ต่อไป   
  
“7 ปีที่ผ่านมานั้นถ้ามันมีความสำเร็จเป็นรูปธรรมเพียงแค่เรื่องเดียวให้เห็น คนอาจจะมีความรู้สึก แต่นี่ลองอธิบายถึงความสำเร็จว่า ตั้งแต่ 22 พฤษภาคมซึ่งกำลังจะครบ 7 ปีในเดือนหน้านี้ มีอะไรที่เป็นความสำเร็จ มีอะไรที่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาบ้าง”  
  
พร้อมย้ำว่า หากพลเอกประยุทธ์ออกไปตนเชื่อว่า เราจะได้สถาปนารัฐธรรมนูญโดยประชาชน การอยู่หรือไปของพลเอกประยุทธ์นั้นตนขอย้ำอีกครั้งว่า จะเคียงคู่กับรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญปี 60 นั้นอย่างที่ตนเคยบอกว่าเป็นมรดกบาปเป็นพินัยกรรมของคนที่ได้รับประโยชน์คือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเพราะฉะนั้นการแก้ไขพินัยกรรมเพื่อให้ประโยชน์ตกเป็นของคนอื่นนั้นคนที่ได้รับประโยชน์จากพินัยกรรมไม่มีวันจะทำให้ดังนั้น มันจึงเป็นหน้าที่ของประชาชน  
  
ขณะเดียวกันในปรากฏการของคณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทยนั้นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น แต่ไปตรงกับความรู้สึกของประชาชนที่เขามีความทุกข์ยาก  ดังนั้นแม้ว่าเป็นเรื่องที่ยากของการเปิดประตูให้กับคู่ขัดแย้งที่จะต้องวางเรื่องของตัวเองไว้ชั่วคราวสามัคคีกันเฉพาะหน้าเอาพลเอกประยุทธ์ออกไปนั้นยังเป็นภารกิจที่มีความสำคัญจะต้องทำจิตใจให้กว้างขวาง ต้องทำจิตใจให้ผ่องโต ต้องทำจิตใจให้ใหญ่มากเพื่อแลกกับสิ่งที่ประเทศไทยจะต้องได้รับความเชื่อมั่นกลับคืนมานั่นคือการเอาพลเอกประยุทธ์ออกไป

'เสรีพิศุทธ์' ชี้ 'บิ๊กตู่' หมดเวลาแล้ว หลังบริหารจัดการโรคระบาดและล่าช้าในการจัดหาวัคซีน

ที่รัฐสภา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวถึงการฉีดวัคซีนของประเทศไทยว่า การฉีดวัคซีนล่าช้ากว่าประเทศอื่น ฉีดได้เพียงร้อยละ 1 เปอร์เซนต์ แต่ประเทศอื่นฉีดไปแล้วร้อยละ 70 เปอร์เซ็นต์ เพราะการสั่งซื้อล่าช้า ตนขอตั้งข้อสังเกตถึงการทุจริตจัดซื้อวัคซีนที่มีผลประโยชน์ นำเงินทอนไปใช้ทางการเมืองสำหรับการเลือกตั้ง แม้จะยังไม่มีข้อมูลหลักฐานชี้ชัด แต่ด้วยประสบการณ์ของตัวเองแค่มองก็รู้แล้ว หากมีพยานหลักฐานที่พบว่ามีการทุจริตการจัดซื้อวัคซีน ก็จะหยิบขึ้นมาเป็นวาระในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ

(กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร แน่นอน

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวสะท้อนว่าไทยยังมีความเหลื่อมล้ำชนชั้นทางสังคมในการเข้าถึงวัคซีน เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือแม้แต่ในรัฐสภาที่มีความเหลื่อมล้ำ ส.ว.ได้ฉีดก่อนและมีรถมารับ แต่ ส.ส. ได้ฉีดทีหลังและต้องเดินทางไปเอง และส่วนตัวตนยังไม่ได้ฉีดวัคซีนซึ่งรัฐสภาแจ้งให้ ส.ส.ไปฉีดภายในสิ้นเดือน เม.ย.นี้ ที่สถาบันบำราศนราดูร

“หากผมเป็นนายกรัฐมนตรีจะสั่งปลดนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่ติดโควิด-19 ไปแล้ว และมุมการบริหารต้องใช้คนให้ถูกกับงาน ไม่ใช่ตามโควต้าพรรคร่วมรัฐบาล เพราะต่างก็คิดแต่อำนาจของตัวเองเป็นหลัก” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังฝากไปถึงนายกรัฐมนตรี ว่าหมดเวลาแล้ว 1-2 ปีเป็นเครื่องพิสูจน์ได้แล้วว่าสามารถบริหารได้หรือไม่ แม้ในขณะที่เป็นหัวหน้าพรรคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็บังคับอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้กฎหมายต้องผ่านสภา ทุกอย่างก็ยิ่งยากขึ้น สิ่งที่ควรแก้ก็ไม่แก้ อย่างเช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ขณะเดียวกัน ทาง กมธ.ป.ป.ช. เตรียมที่จะเชิญรมว.คมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตการบินพลเรือน และหากไม่มาชี้แจงภายในเดือนนี้ จะสรุปคำร้องว่ากระทำผิดกฎหมาย เพราะส่งผลกระทบความเดือนร้อนต่อประชาชน

ที่มา: https://siamrath.co.th/n/237658


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“แรมโบ้” ยืนยัน “บิ๊กตู่”รับฟังความเห็นทุกฝ่ายหากมีความจริงใจ ไม่ใช่ผู้หลบหนีคดีไปต่างประเทศ เตือน “อนุสรณ์” ปกป้องนายใหญ่ออกนอกหน้าจะพาเพื่อไทยเดือดร้อน

เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตอบโต้ตนเองที่พูดถึงนายทักษิณ ชินวัตร หรือ  อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พูดผ่านคลับเฮาส์ ขอย้ำว่า การออกมาพูดของนายทักษิณ เป็นการพูดเอาแต่ดีใส่ตัวโยนชั่วให้คนอื่น เพราะในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเกิดวิกฤตโควิด-19  ซึ่งนายกฯ และรัฐบาล ทำงานอย่างหนัก แต่นายทักษิณกลับอาศัยจังหวะนี้ออกมาพูดแบบนี้ ที่ผ่านมานายทักษิณ พรรคเพื่อไทย ก็ออกมาพูดแต่ตำหนิ กล่าวโจมตีนายกฯไม่หยุด ออกมาพูดเพื่อเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น หรือหวังผลทางการเมือง

“ ที่ผ่านมานายทักษิณ พรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่นายอนุสรณ์เองก็ออกมาพูดกล่าวโจมตีนายกฯไม่หยุด ไม่เคยเลยที่จะช่วย หรือพูดดี ให้กำลังใจรัฐบาล แบบนี้จะให้คิดได้อย่างไรว่านายทักษิณแสดงความจริงใจกับนายกฯ อย่างแท้จริง” นายเสกสกลกล่าว

นายเสกสกลกล่าวว่า ยืนยันว่านายกฯพร้อมรับฟังข้อเสนอจากทุกฝ่าย หากบุคคลเหล่านั้นมีความจริงใจที่แท้จริงตั้งแต่ต้น ไม่เป็นบุคคลที่หลบหนีคดีไปต่างประเทศ ทั้งนี้นายกฯก็บอกแล้วว่าอย่ามาถามถึงคนที่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ไม่รู้เรื่องของนายทักษิณ ดังนั้นก็ขอให้นายอนุสรณ์เข้าใจด้วย และอย่าออกมาปกป้องนายใหญ่ จนออกนอกหน้า เกินความพอดี เพราะเป็นถึงรองหัวหน้าพรรค หากมีพฤติกรรมเช่นนี้ก็ขอให้ระวังว่าคนจะเข้าใจผิดได้ว่านายทักษิณ เป็นหัวหน้าพรรคตัวจริงของพรรคเพื่อไทย ซึ่งอาจทำให้พรรคเพื่อไทยลำบากได้เพราะมีรองหัวหน้าพรรคเช่นนายอนุสรณ์ 

"นายอนุสรณ์คงหวังว่านายใหญ่อาจจะให้รางวัลตอบแทนหรือเปล่า เพราะเห็นใครแตะต้องนายทักษิณหรือนางสาวยิ่กษณ์สองคนนี้เมื่อไร นายอนุสรณ์คนเดียวที่รีบกระโดดงับ ออกมาปกป้องทันที ก็ขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับรางวัลโบนัสที่นายใหญ่ทั้งสองอาจจะมอบให้กับนายอนุสรณ์"นายเสกสกลกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top