Tuesday, 13 May 2025
POLITICS NEWS

‘ราเมศ’ เผย พรรคเตรียมพร้อม เปิดประชุมสภา เตรียมถกร่างงบประมาณ ยึดประโยชน์ของ ปชช. ไม่กังวลอภิปรายไม่ไว้วางใจ

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงการเปิดประชุมสภาที่จะถึงนี้ว่า ส่วนของพรรคได้เตรียมความพร้อมเต็มที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคได้กำชับให้ ส.ส.ทุกคนปฏิบัติตนและให้ความร่วมมือตามหลักการปฏิบัติตนของรัฐสภาที่ได้กำหนดไว้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 

ส.ส.ในทุกพื้นที่พร้อมในการนำเสนอปัญหาของพี่น้องประชาชนผ่านกลไกรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็น การตั้งกระทู้ การเสนอญัตติ การประชุมคณะกรรมาธิการ เกี่ยวกับปัญหาของพี่น้องประชาชนในส่วนของร่างกฎหมายที่สำคัญคือ ร่าง พรบ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 เป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ ส.ส.ได้เริ่มทยอยรับเอกสารรายละเอียดที่สภา เพื่อนำมาศึกษารายละเอียดของงบประมาณ เพื่อประกอบกับข้อมูลในแต่ละพื้นที่ ก็จะเป็นประโยชน์ในการกำหนดความสำคัญของการจัดสรรงบประมาณเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนและประเทศ และเนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันประชาชนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่จำต้องกำหนดเรื่องงบประมาณเพื่อช่วยเหลือความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนด้วย

ส่วนในเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็เป็นสิทธิของฝ่ายค้านที่จะมีการตรวจสอบผ่านกลไกรัฐสภา ส่วนของพรรคไม่มีความกังวลใจใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะยึดหลักการทำงานให้กับประชาชนด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่มีเรื่องทุจริตใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนจะยื่นเวลาใดก็เป็นส่วนของฝ่ายค้าน รัฐมนตรีทุกคนในส่วนของพรรคไม่ได้กังวลแต่อย่างใด

"สิระ" จี้ บ.อิตาเลียนไทย เรียกคนงานคลัสเตอร์แคมป์หลักสี่ กักตัว-เปิดไทม์ไลน์ ด่วน หลังเจอ 2 คนงานติดโควิด หวั่น ระบาดหนักที่สุดในประเทศ 

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีคลัสเตอร์แคมป์คนงานหลักสี่ว่า ตนขอเรียกร้องให้บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เรียกคนงานที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างไซต์งานย่านศูนย์ราชการ นับย้อนหลังไป 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. หรือตั้งแต่ 30 เม.ย. ให้มากักตัว ตรวจหาเชื้อโควิด-19 และสอบสวนไทม์ไลน์ทั้งหมด ทั้งแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติ หลังจากพบว่าคนงานของบริษัทอิตาเลียนไทยจำนวน 2 คนที่รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 วันนี้ได้เดินทางกลับไปพักที่บ้านตัวเองย่านลาดพร้าว และอยู่ในชุมชนใกล้แคมป์ย่านศูนย์ราชการ ซึ่งไม่ได้พักอาศัยในแคมป์คนงาน และพบว่าผลติดเชื้อโควิด-19 โดยล่าสุดตนได้ประสานไปยังนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน โดยนายสุชาติได้ให้โรงพยาบาลรับตัวเข้ารับการรักษาเป็นการเร่งด่วนแล้ว

"ตรวจเมื่อวาน ผลออกมาเป็นบวกคือติดเชื้อ ทำไมตรวจแล้วไม่กักไว้ก่อน ผมขอให้ทุกคนที่เป็นแรงงานในแคมป์นี้เปิดเผยไทม์ไลน์ด่วน เพราะคนในครอบครัวของคนงานที่ติดโควิด-19 ก็ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องรับการตรวจค้นหาเชื้อโดยเร็วด้วยเช่นกัน หากยังไม่ได้รับการตรวจและเร่งสอบสวนไทม์ไลน์คนสัมผัสใกล้ชิด ผมห่วงว่าการระบาดครั้งนี้จะเป็นคลัสเตอร์ที่รุนแรงกว่าตลาดกลางกุ้ง และอาจใหญ่ที่สุดในประเทศไทย" นายสิระ กล่าว 

นายสิระ กล่าวด้วยว่า หลังจากที่ทราบข่าวว่ามีคนงานในแคมป์ติดโควิด ในคืนวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา นอกจากจะมีรถพยาบาลรับผู้ติดเชื้อในแคมป์ไปรักษาแล้ว ยังระบุข้อมูลว่ามีรถสองแถวนำคนงานออกไปข้างนอกแคมป์ ทั้งที่มีประกาศปิดแคมป์ห้ามคนงานเข้าออก ซึ่งหากจะบอกว่านั่งรถสองแถวไปตรวจเชื้อ แต่รถไม่มีมาตรการป้องกันตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข และการไปตรวจนอกแคมป์นั้น ไปแล้วกลับเข้าแคมป์จริงหรือไม่ ตนมีคำถามว่าทำไมเจ้าหน้าที่ไม่เข้าไปตรวจคนงานในไซต์งานก่อสร้างของบริษัทอิตาเลียนไทยตั้งแต่แรกที่พบผู้ติดเชื้อ เพราะมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือขัดต่อตามกฎหมายหรือไม่ เช่น แรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้ ตนขอเรียกร้องให้เร่งนำคนงานกลับมาทั้งหมดเพื่อกักตัวและค้นหาเชื้อโดยเร็ว

‘เสกสกล’ ซัด ‘จาตุรนต์’ ไร้สาระ เหน็บไม่ชอบนายกฯ ซื่อสัตย์ หรืออยากได้นายกฯ โกงกินบ้านเมือง

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่ฟันธงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ไม่ยอมทิ้งเก้าอี้นายกฯ แม้หลายฝ่ายจะเรียกร้องให้ลาออกว่า ผลสำรวจความคิดเห็นหลายครั้ง ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังให้ความไว้ใจให้นายกฯ ทำงานแก้ไขปัญหาเพื่อบ้านเมือง ดังนั้นที่บอกว่าหลายฝ่ายเรียกร้องให้ลาออก น่าจะเป็นฝ่ายค้าน กลุ่มเคลื่อนไหวสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน รวมถึงนายจาตุรนต์ ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศ

นายกฯ และรัฐบาลเข้ามาตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่มีความผิดอะไร ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย ทุจริตก็ไม่เคยมี ที่ผ่านมาแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศไปหลายอย่าง พร้อมรับฟังประชาชนและมีความจริงใจ และยังมองไม่เห็นใครทำงานดีเท่ากับนายกฯ ในสถานการณ์วิกฤต หากนายจาตุรนต์ อยากช่วยประเทศจริงขอให้ลงมือทำ ไม่ใช่ใช้ปากวิพากษ์วิจารณ์อย่างเดียวทำให้คนทำงานเสียสมาธิ 

นายเสกสกล กล่าวว่า นายจาตุรนต์ ไม่อยากได้คนทำงานที่ซื่อสัตย์มาเป็นนายกฯ แต่อาจอยากได้นายกฯ ที่ดีแต่โกงกินบ้านเมือง ไม่สนใจประชาชน เช่นนายกฯ ในอดีต ที่นายจาตุรนต์ เคยเป็นรัฐมนตรีอยู่ด้วย ทำไมครั้งนั้น นายจาตุรนต์จึงไม่ออกมาวิจารณ์หรือออกมาขับไล่นายกฯ คนนั้นบ้าง ทั้งที่รู้ว่ารัฐบาลมีปัญหาการทุจริตมากมาย จนประชาชนออกมาขับไล่เต็มท้องถนน อย่างนี้จะเรียกว่าใครเป็นพวกเดียวกันไม่กล้าแตะ จะปิดหูปิดตาปกป้องกันเอาไว้ แต่ถ้าไม่ใช่พวกเดียวกัน จะออกมาขับไล่อย่างไม่ลืมหูลืมตาใช่หรือไม่ เสียดายความรู้ความสามารถของนายจาตุรนต์ ที่หาสาระอะไรไม่ได้ ทำตัวเหมือน เสาหลักปักขี้เลน ไม่มีจุดยืนชัดเจนอะไรที่แน่นอนและน่าเชื่อถือได้

'ธัญวัจน์-ก้าวไกล' ชี้!! เวที Miss Universe เปิดโอกาสสร้างเสรีภาพทางการแสดงออก หลังนางงามเมียนมาแสดงข้อความทางการเมืองเพื่อสันติภาพบนเวที ย้ำ นี่คือพลังการต่อสู้ด้วยเสียงของผู้หญิง สะเทือนถึงผู้มีอำนาจในเมียนมา ต่อสายตาชาวโลก

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึง การประกวด Miss Universe 2021 ที่ผ่านมา ว่าในช่วงหนึ่งของการประกวด เป็นช่วงที่น่าสนใจที่สุด คือ นางสาว ธูซาร์ วิน ลวิน ผู้เข้าประกวดเวทีระดับโลกนางงามจักรวาลจากประเทศเมียนมาได้รับรางวัลชุดประจำชาติยอดเยี่ยม โดยมีจุดเด่นที่เธอถือ “Pray for Myanmar” ซึ่งคนทั่วโลกในขณะนี้ทราบดีว่าประเทศเมียนมาเกิดการยึดอำนาจของ มิน อ่อง หล่าย และในช่วงเวลาที่ผ่านมามีการใช้อาวุธจนทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ออกมาต่อสู้ทางการเมืองบนท้องถนนกว่า 700 คน และถูกจับกว่า 5,000 คน 

จากข่าวคราวทางกองประกวดนางงามจักรวาล ผู้เข้าประกวดจากเมียนมาให้ข่าวว่า ชุดประจำชาติที่เธอเตรียมมาหายไป และก่อนการประกวดได้รับการช่วยเหลือจากชาวเมียนมาด้วยกันในฟลอริดาช่วยจัดหา และใจความสำคัญของชุดเมียนมาคือข้อความที่ นางสาว ธูชาร์ ถือ เสียงแห่งสันติภาพที่ผู้หญิงคนหนึ่งเรียกร้องบนเวทีการประกวด จนวันนี้สะเทือนต่อผู้นำทหารเมียนมาต้องออกหมายจับ

ธัญวัจน์ กล่าวต่อไปว่า ถึงแม้ว่าการประกวดนางงามในสายตาสังคมทั่วไปมองเป็นเรื่องความสวยความงาม เรื่องของความบันเทิง แต่ในบนเวทีการประกวดนั้นมีช่วงเวลาที่ท้าทายความคิด และการนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถาม บุคลิกภาพที่โดดเด่น และ ชุดประจำชาติที่สะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นชาติผ่านการนำเสนอบนร่างกายของผู้เข้าประกวด เป้าหมายของการประกวดมีความหลากหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะได้ยินอยู่บ่อยครั้งบนเวทีการประกวด คือผู้หญิงเหล่านี้จะพูดเรื่อง “การเมืองและสันติภาพ” 

“การออกหมายจับนางสาว ธูซาร์ วิน ลวิน นางงามจากประเทศเมียนมาสะท้อนความ “กลัว” ของผู้มีอำนาจ เพราะ “สันติภาพ” จะเป็นฝ่ายชนะเสมอ หากผู้มีอำนาจใช้การประกาศออกหมายจับจะทำให้นางงามเมียนมากลัว แต่ในทางกลับกันประชาคมโลกต่างเห็นถึง “ความอำมหิต และ ใฝ่อำนาจ” ของฝ่ายรัฐประหาร เพราะประเทศเป็นของประชาชน ไม่มีอำนาจชอบธรรมใด ๆ ในการปกครองที่จะมีมากกว่าประชาชน และการใช้กำลังห้ำหั่นนั้นก็จะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ในที่สุด ธัญขอให้กำลังใจนางงามจากประเทศเมียนมา และขอเรียกร้องให้ มิน อ่อง หล่าย ผู้นำทหารในเมียนมาคืนอำนาจให้กับประชาชน“ ธัญวัจน์ กล่าว 

ทั้งนี้ ธัญวัจน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า นี่คือเสียงของผู้หญิง ธูซาร์ วิน ลวิน ที่อยู่ในช่วงเวลาอันโหดร้ายในประเทศที่กล้าหาญและไม่เกรงกลัวอำนาจใด ๆ เธอชูข้อความ “Pray for Myanmar” เพื่อให้โลกใบนี้ได้เห็นความทุกข์ร้อนของประชาชนในประเทศของเธอ เธอได้ทำหน้าที่ตัวแทนประเทศอย่างสมเกียรติ เพราะเธอได้เป็นเสียง “ของประชาชน” ที่เธอเป็นตัวแทน และมาสื่อสารบนเวทีการประกวดเพื่อให้ชาวโลกรับรู้ นี่คือความทุกข์ร้อนของคนในชาติที่เธอรัก ที่เธอจะทำได้ในฐานะ “ผู้หญิงคนหนึ่ง”

“บิ๊กบี้” สั่ง สกัดแรงงานต่างด้าวพร้อมสั่งขยายผลสู่ต้นตอกระบวนการ พร้อมมอบหน่วยทหารช่วยดูแล รร. รับเปิดเทอม

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564  ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า พล.อ. ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธานการประชุม ด้วยระบบออนไลน์กับหน่วยทหารทั่วประเทศ เพื่อรับทราบผลการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะการสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ปัญหา COVID-19 พร้อมขอบคุณกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ อดทน โดยให้กำลังพลดำรงการปฏิบัติตน ตามนโยบายของภาครัฐและมาตรการพิทักษ์พล เพื่อลดอัตราการแพร่ระบาดและพร้อมช่วยเหลือประชาชนได้ต่อไป  

โดยผู้บัญชาการทหารบก ได้กล่าวถึงภารกิจของกองกำลังป้องกันชายแดนกองทัพบก ที่เฝ้าตรวจและสกัดกั้นการกระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเชื้อเข้าประเทศผ่านแนวชายแดน มีผลการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายได้อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 จนถึงปัจจุบัน 

ทั้งนี้ผบ.ทบ. ได้ย้ำถึงการจับกุมแรงงานต่างด้าวตามเหตุการณ์ในพื้นที่ชายแดนจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการตรวจสอบพื้นที่ตอนใน รวมถึงขยายผลไปสู่ต้นตอของกระบวนการในการนำพาแรงงานเข้าประเทศ พร้อมมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการในเรื่องดังกล่าว เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

สำหรับในเดือน มิ.ย. 64  ซึ่งสถานศึกษาจะเปิดการเรียนการสอน สิ่งสำคัญในการเตรียมเปิดเทอม คือเรื่องของการทำสถานศึกษาให้สะอาดปลอดเชื้อ ซึ่งผู้บัญชาการทหารบกมีความห่วงใยในเรื่องกล่าว ได้มอบให้หน่วยทหารของกองทัพบกทั่วประเทศ ประสานและเข้าสนับสนุนสถานศึกษา โรงเรียนในพื้นที่เพื่อร่วมการพัฒนาและเตรียมสถานศึกษาให้พร้อมรับการเปิดเทอม เพื่อดูแลให้นักเรียน บุคลากรของสถานศึกษามีความปลอดภัยต่อการติดเชื้อ โดยที่ผ่านมากองทัพบกได้ส่งชุดปฏิบัติการล้างสิ่งปนเปื้อนเข้าฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อตามโรงเรียนต่าง ๆ แล้วถึง 165 แห่ง

พล.ท.สันติพงศ์ กล่าวอีกว่า เรื่องการช่วยเหลือประชาชนและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งผู้บัญชาการทหารบก ได้ให้ความสำคัญกับการเตรียมการของหน่วยทหารรับมือกับสถานการณ์น้ำในช่วงฤดูฝน โดยกำชับให้ดูแลใน 2 เรื่อง คือ การระบายน้ำและการกักเก็บน้ำ โดยให้หน่วยทหารพิจารณาสนับสนุนการเปิดเส้นทางระบายน้ำเพื่อป้องกันอุทกภัย ด้วยการพัฒนาแหล่งน้ำ กำจัดวัชพืช ขยะ เพิ่มช่องทางระบายน้ำในช่วงน้ำหลาก ในขณะเดียวกันให้สนับสนุนการเตรียมแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่สาธารณะต่าง ๆ เพื่อสำรองน้ำไว้ให้เกษตรกรใช้ในการเพาะปลูกหลังฤดูฝน

ทั้งนี้ เพื่อให้กำลังพลของกองทัพบกมีความพร้อมด้านร่างกาย เพื่อปฏิบัติงานสนับสนุนการคลี่คลายสถานการณ์ COVID-19 ของรัฐบาลควบคู่ไปกับการช่วยเหลือประชาชน ผู้บัญชาการทหารบกได้มอบให้ ศบค. 19 ทบ. และกรมแพทย์ทหารบกได้เตรียมการวางแผนบริหารจัดการฉีดวัคซีนให้กับกำลังพล และทหารกองประจำการ หากได้รับการสนับสนุนวัคซีนตามการจัดสรรจากสาธารณสุขในช่วงเดือน มิ.ย. 64 ซึ่งในปัจจุบันกำลังพลบางส่วนของกองทัพบกได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว อาทิ ผู้ปฏิบัติงานในกองกำลังชายแดน กำลังพลด่านหน้า บุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น 

ผ่อนคลายมาตรการกิจการร้านจำหน่ายอาหาร

จากที่ ศบค. ได้ประกาศมาตรการผ่อนคลายกิจการร้านอาหารในพื้นที่กทม. คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร จึงได้ประชุมพิจารณามาตรการผ่อนคลายกิจการร้านอาหาร ให้เป็นไปตามข้อกำหนดฯ แห่ง พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 23) ที่กำหนดให้กรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ซึ่งมีมติให้ร้านอาหาร สามารถนั่งรับประทานอาหารในร้านได้ ไม่เกิน 21.00 น. โดยนั่งได้ไม่เกิน 25% ของจำนวนที่นั่งปกติ จำหน่ายอาหารแบบนำไปบริโภคที่อื่นได้ (Takeaway) ไม่เกิน 23.00 น. ห้ามดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้าน และให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด

และยังคงปิดสถานที่ตามประกาศกรุงเทพมหานครปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 25) และ (ฉบับที่ 26) ต่อไป  

โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17-31 พ.ค. 64  ตามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่องสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 29) 

#โควิดกรุงเทพ #โควิด19 #COVID19


 

หัวหน้าพรรคก้าวไกล เย้ย ‘บิ๊กตู่’ ประกาศให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ ล้วนสวนทางกับพฤติกรรมที่ผ่านมา ลั่น ‘วาระแห่งชาติ’ ที่สำคัญที่สุด คือ ‘รื้อถอนระบอบประยุทธ์’ โดยเร็ว เพราะปัญหาการทุจริตที่น่าละอาย ล้วนอยู่ในรัฐบาลทั้งสิ้น

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นต่อกรณีที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ ว่า แท้จริงแล้ว ‘วาระแห่งชาติ’ ที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ คือ การ ‘รื้อถอนระบอบประยุทธ์’ โดยเร็วที่สุดต่างหาก

“เรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบ ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่า เป็นเรื่องที่บั่นทอนศักยภาพของประเทศ เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องแก้ไขให้ได้โดยเร็ว และต้องให้ความสำคัญเพื่อที่จะนำไปสู่การแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ฟังสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ‘ต้องมุ่งสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบและต้องมีความละอาย’ อยากทราบจริง ๆ ว่าก่อนพูดได้ส่องกระจกมองตัวเองให้แล้วหรือไม่ เพราะปัญหาการทุจริตที่ควรต้องละอาย ล้วนแล้วแต่อยู่ในรัฐบาลของท่านเองทั้งนั้น

“ตั้งแต่การเข้าสู่อำนาจด้วยการรัฐประหาร ฉีกกฎหมายสูงสุดของประเทศ ปล้นเจตนารมณ์ของประชาชน บอกว่าขอเวลาอีกไม่นาน แต่ก็เกาะเก้าอี้ไม่ยอมปล่อย ถือเป็นเรื่องที่ต้องละอายหรือไม่?

การสืบทอดอำนาจ คสช. ด้วยกลไกในรัฐธรรมนูญ มี ส.ว.ที่ คสช.เป็นผู้เลือกมาเอง แล้วให้ ส.ว. เหล่านั้นเลือกตัวเองกลับมาเป็นนายก ด้วยเสียง 100% เป็นการทุจริตประพฤติมิชอบที่ถือเป็นเรื่องที่ต้องละอายหรือไม่?

การเลือกบุคคลที่มีประวัติทุจริตประพฤติมิชอบจากการค้ายาเสพติดข้ามชาติมาเป็นรัฐมนตรี และเมื่อพบว่าผิดจริงก็ยังคงให้มีตำแหน่งต่อไป ทำให้แม้แต่กองเชียร์ของท่านเองก็กลืนไม่เข้า คายไม่ออก ถือเป็นเรื่องที่ต้องละอายหรือไม่?

การที่มีพี่ใหญ่ หัวหน้าพรรคแกนนำรัฐบาล ใส่แหวนวงใหญ่ นาฬิกาหรูหลายสิบเรือน สุดท้ายอ้างว่า แหวนของแม่ ส่วนนาฬิกายืมมาจากเพื่อนที่ตายแล้ว ไม่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน ทำเอาเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ได้แต่ยิ้มแหย สื่อมวลชนขอให้เปิดเผยข้อมูลก็ส่งมาแต่กระดาษเปล่า ประชาชนส่ายหน้ากันทั้งประเทศ ถือเป็นเรื่องที่ต้องละอายหรือไม่?

การไม่เปิดเผยรายงานผลการตรวจสอบคดี ‘บอส กระทิงแดง’ ที่บุคคลใกล้ชิดกับรัฐบาลอาจมีส่วนเกี่ยวข้องในการเปลี่ยนสำนวนคดี และเอื้อต่อการหลบหนี เป็นความไม่เปิดเผยและไม่โปร่งใสนี้ ถือเป็นเรื่องที่ต้องละอายหรือไม่?

หรือกระทั่งการอยู่อาศัยในบ้านหลวงใช้น้ำและไฟฟรี เป็นการ ‘รับประโยชน์อื่นใด’ ผิดกฎหมาย ป.ป.ช. มาตลอด 7 ปี พอจะมีการตรวจสอบก็บ่ายเบี่ยง อ้างต้องขอตรงนั้นตรงนี้ ถือเป็นเรื่องที่ต้องละอายหรือไม่?”

พิธา ยังระบุต่อไปว่า เรื่องที่รัฐบาลควรจะละอายใจที่สุด คือ การเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของโรคโควิดทั้งสามระลอก จนเป็นเหตุให้ประชาชนคนไทยต้องประสบกับความเดือดร้อนไม่รู้จบ อันเนื่องมาจากการทุจริตภายในและความหละหลวมหย่อนยานของพวกท่าน ซึ่งเห็นได้จากกรณีบ่อนการพนันและการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และยังมีพฤติกรรมน่ากังขาอีกมากมายที่เครือข่ายระบอบประยุทธ์หรือรัฐบาลนี้ได้กระทำ เช่น การเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุน การใช้อำนาจโดยมิชอบ การยอมรับว่ามีการทุจริตแต่โบ้ยไปให้ข้าราชการ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทั้งไม่ถูกต้องตามกฎหมายและไม่สง่างาม

“สิ่งที่เป็นเสาค้ำยันให้กับการทุจริตในประเทศไทยก็คือ ระบอบอำนาจนิยม ระบบอุปถัมภ์เส้นสาย วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด เป็นต้น ดังนั้นความพยายามในการที่จะขจัดสิ่งเหล่านี้ออกไป เป็นสิ่งที่ต้องทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ให้ได้ก่อน ถึงจะสามารถไปแนะนำสั่งสอนหรือเชิญชวนคนอื่นได้ มิฉะนั้นก็คงเป็นแค่ลมปากที่พูดไปวัน ๆ หาสาระไม่ได้อีกครั้งหนึ่ง

“ผมมองว่า ‘วาระแห่งชาติ’ ที่แท้จริง และเหมาะสมในเวลานี้ที่สุดก็คือ การถอนรากถอนโคน ‘ระบอบประยุทธ์’ ที่เป็นศูนย์กลางของปัญหา ซึ่งหมายถึงกระบวนการทั้งหลาย ที่ทำให้ได้มาซึ่งคนแบบประยุทธ์และคณะ เราจะต้องยุติกลไก ส.ว. ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า การสืบทอดมรดกคณะรัฐประหารผ่านการวางกับดักไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับมีชัยนั้น นำมาซึ่งผู้นำประเทศที่บ้าอำนาจ แต่ไร้ความสามารถที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย” พิธา ระบุ

"สมศักดิ์" เผยเร่งประสาน "อนุทิน" ขอวัคซีนฉีดผู้ต้องขังทุกคน พร้อมใช้ฟาวิพิราเวียร์-ฟ้าทะลายโจร รักษาผู้ติดเชื้อเรือนจำ ตรวจเชิงรุกแบบ 100% พร้อมวางแผนเผื่ออนาคต ยัน! แจ้งทุกรายละเอียดไม่ปิดบัง เตรียมติดป้ายตัวเลขหน้าเรือนจำให้รู้ยอดคนติดเชื้อทุกวัน

ที่กรมราชทัณฑ์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ร่วมแถลงข่าว กรณีผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำ 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้โควิด-19 เข้าไปอยู่ในเรือนจำมากมาย ทั้งกทม. และต่างจังหวัด รวมตัวเลขแล้วผู้ต้องขังติดเชื้อ 10,384 คน ในขณะนี้ที่รวบรวมได้ เจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาลทำงานอย่างหนักและต้องทำต่อไป เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจอย่างเต็มที่ อะไรที่หย่อนยานต้องเร่งปรับปรุง ตอนนี้มีมาตรการ 10 ข้อ คือ

1.) ให้แถลงจำนวนผู้ต้องขัง ที่ได้ตรวจเชิงรุกไปแล้วมีจำนวนเท่าไร

2.) ตรวจเชิงรุกให้ครบทุกเรือนจำ ทั้งผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่เรือนจำและเจ้าหน้าที่ส่วนกลางทุกคน รวมทั้งผู้บริหารระดับสูง ของกรมราชทัณฑ์ทุกคน 55,000 คน

3.) ในส่วนของที่มาของเชื้อให้เร่งสืบข้อเท็จจริงและสาเหตุการติดเชื้อครั้งนี้ และถ้าได้ความแน่ชัดจะแจ้งให้ทราบโดยไม่ปิดบังใด ๆ ทั้งสิ้น

4.) การรักษาและการเฝ้าดูอาการคนไข้จะทำตลอดเวลาไม่มีวันหยุด ทุกคนจะต้องทำงานแข่งกับเวลา

5.) ประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อหาวิธีการรักษาที่เร็วและได้ผลดีที่สุด โดยใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ รวมทั้งการใช้สมุนไพรไทย เช่น ฟ้าทะลายโจร เข้าช่วยรักษาในขณะที่รอดูอาการโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนในระดับสีเขียวที่ติดเชื้อแต่ยังไม่มีอาการ และคนระดับสีเหลืองที่กำลังเริ่มมีอาการ 

6.) ผู้ต้องขังเป็นประชาชนคนไทย ที่ต้องอยู่ในเรือนจำไปไหนไม่ได้ 100% การอยู่ในที่ถูกล้อมเอาไว้ ขยับขยายไปไหนไม่ได้เป็นอุปสรรคอย่างมหาศาลในการแก้ไข้ปัญหา ประกอบกับห้องนอนนั้นมีผู้ต้องขังอยู่กันอย่างแออัด

7.) มีความจำเป็นที่ต้องเอาผู้ต้องขังและผู้คุม ที่ไม่ติดเชื้อในทุกเรือนจำ จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนอย่างเร่งด่วน

8.) จะมีการติดประกาศหน้าเรือนจำทุกแห่งในประเทศไทย เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีผู้ต้องขังติดเชื้อกี่คนและไม่ติดเชื้อกี่คน หายแล้วกี่คน จะมีการแจ้งเช่นนี้เป็นระยะ ๆ อย่างน้อยที่สุดอาทิตย์ละ 1 ครั้ง และจะปรับตัวเลขทุกวัน เพื่อให้ประชาชนในแต่ละชุมชนได้รับทราบ

9.) ผู้บัญชาการเรือนจำทุกคน จะทำรายชื่อผู้ติดเชื้อ และปรับปรุงเป็นรายวันเพื่อให้ญาติผู้ต้องขังทุกคนสามารถเข้ามาตรวจสอบได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่ 08.00 - 18.00 น. 

10.) กระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ จะรีบเร่งวางแผน เตรียมตัวรับการระบาดครั้งนี้ และครั้งหน้าที่จะมีมาได้ทุกเมื่อ

โดยจะรีบเร่งประชุมพิจารณาในเรื่องของบุคลากรที่ต้องเพิ่ม เช่น พยาบาลที่ปัจจุบันขาดแคลนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ตลอดจนพื้นที่ในการรองรับ การดูแลรักษาผู้ต้องขัง เพราะโรคระบาดได้เข้ามาอยู่ในชีวิตสังคมคนไทยแล้วทั้งในวันนี้และอนาคต ซึ่งเป็นความท้าทายของกระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์เป็นอย่างมาก เพราะคุณลักษณะของผู้ต้องขังที่ต้องติดเชื้อถูกจำกัด ในเรื่องของกฎหมายที่ให้ต้องจองจำ ประกอบจำนวนผู้ต้องขังที่มีอยู่มากเกินกว่าที่สถานที่ปัจจุบัน ตลอดจนเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลจะสามารถรองรับได้

ดังนั้นกระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ จะพิจารณานโยบายการพักโทษในรูปแบบพิเศษ เช่น การติดกำไล EM ให้ละเอียดรอบคอบ โดยพิจารณาสิ่งแวดล้อม และข้อเท็จจริง ตลอดจนสภาวะของผู้ต้องขัง เพื่อกำหนดนโยบายการพักโทษขึ้นมา รวมทั้งกฎหมายต่าง ๆ เพื่อให้กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม และสังคมได้ประโยชน์ด้วยกัน ตลอดจนสิทธิขั้นพื้นฐานผู้ต้องขัง 

"ถ้าเราใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ รักษา 10,000 คน หัวหนึ่ง 5,000 บาท จะใช้เงินถึง 50 ล้านบาท แต่หากใช้วัคซีนกับผู้ต้องขัง 300,000 คนหัวละ 1,000 บาท จะใช้ 300 ล้านบาท จะหยุดเชื้อในเรือนจำได้ทั้งหมด ผมจะเสนอไปยังนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ดำเนินการให้เรียบร้อย ซึ่งหวังว่าทางนายอนุทินจะเข้าใจและเร่งดำเนินการให้ ส่วนสถานการณ์ที่ จ.เชียงใหม่ ได้ใช้บับเบิ้ลแอนด์ซีล ควบคุมในเรือนจำ โดยมีการร่วมมือกับส่วนราชการต่าง ๆ ในจังหวัด ในเรื่องตัวเลขต้องแจกแจงให้ชัด เราไม่ได้ปิดบังหรือปกปิด แต่หากไม่สามารถทำให้ถูกต้องได้ต้องมีคนรับผิดชอบ เราจะทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้" นายสมศักดิ์ กล่าว 

นายอายุตม์ กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ต้องขัง 15 เรือนจำติดเชื้อ โดยมี 8 เรือนจำใน กทม. และปริมณฑลที่ต้องเฝ้าระวังพิเศษ เช็คตัวเลขทุกวัน มียอดผู้ติดเชื้อเท่าไร รักษาหายเท่าไร จะมีการติดตามทุกวัน ส่วนเจ้าหน้าที่มีติดเชื้อ 33 ราย เหลือที่ยังไม่หาย 17 ราย และเราได้ประสานงานกับศาล ถึงทางศาลเข้าใจและอำนวยประโยชน์ทุกทาง ตนต้องขอขอบคุณทางท่านประธานศาลฎีกาด้วย 

‘ชัยวุฒิ’ โต้เพจดัง ‘แหม่มโพธิ์ดำ’ ตัดต่อภาพ ‘รพ.บุษราคัม’ เทียบ ‘รพ.สนามพิมรี่พาย’ บิดเบือนงบประมาณโจมตีรัฐบาล สั่งทีมงานตรวจสอบ เตรียมดำเนินคดี เหตุปล่อยข่าวเท็จ ทำสังคมแตกแยก-เข้าใจผิด 

จากกรณีที่โซเชียลมีเดียมีการแชร์ข้อมูลเรื่องงบประมาณจัดทำโรงพยาบาลบุษราคัม พร้อมกับตัดต่อภาพประกอบ ว่าใช้งบประมาณ 239,280,000 บาท สามารถรองรับได้ 1,092 เตียง ตกเตียงละ 220,000 บาท พร้อมกับเปรียบเทียบโรงพยาบาลสนามของพิมรี่พาย ที่ใช้งบประมาณ 170,000 บาท แต่ได้ถึง 50 เตียง ตกเตียงละ 3,400 บาท จนเกิดเสียงวิจารณ์กว้างขวาง นั้น

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ตรวจสอบพบว่ามีความพยายามเชื่อมโยงให้เกิดความเข้าใจผิดถึงการดำเนินการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามของรัฐบาล โดยในส่วนของคุณพิมรี่พาย ที่นำเงินส่วนตัวมาสร้างโรงพยาบาลสนาม ถือเป็นสิ่งที่ดีที่ได้เสียสละช่วยประชาชนในยามลำบาก รัฐบาลก็ต้องขอบคุณถึงความตั้งใจอันดี เช่นเดียวกันอีกหลาย ๆ คนที่ร่วมช่วยกันคนละเล็กคนละน้อย ตามกำลังหรือความสามารถที่พอจะช่วยได้ 

“ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ต่างมีความตั้งใจดี เพื่อให้ประเทศพ้นวิกฤตโดยเร็ว แต่กลับมีขบวนการที่ไม่หวังดี นำมาเปรียบเทียบ บิดเบือน เพื่อต้องการให้เกิดความแตกแยกขัดแย้ง” นายชัยวุฒิ กล่าว

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า โรงพยาบาลบุษราคัม ที่มีข้อสังเกตเรื่องงบประมาณนั้น จัดตั้งในลักษณะโรงพยาบาลถาวรที่มีมาตรฐาน มีความพร้อมทางการแพทย์ มีอุปกรณ์เครื่องมือดูแลผู้ติดเชื้ออย่างครบครัน มีระบบการดูแลความปลอดภัย มีเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์จากหลายจังหวัดจำนวนมาก สับเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุข สามารถชี้แจงรายละเอียดหรืองบประมาณได้ทั้งหมด อีกทั้งภาพที่มีการแชร์เปรียบเทียบในขณะนี้ก็เป็นภาพเก่า ช่วงที่มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับกลุ่มเสี่ยงเพื่อสังเกตอาการ และเป็นการจัดตั้งในภาวะฉุกเฉิน ก่อนที่จะมีการปรับปรุงให้ได้มาตรฐานในภายหลัง

“ในช่วงที่ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจกันเอาชนะโควิด-19 แต่กลับมีผู้ไม่ประสงค์ดีต้องการสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในสังคม ทางกระทรวงฯ ได้ติดตามความเคลื่อนไหวเหล่านี้มาโดยตลอด ขอให้ผู้ที่เป็นต้นตอหรือมีส่วนกับการนำเสนอข้อมูลดังกล่าว ดำเนินการลบโพสต์โดยด่วน และชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องให้สังคมรับทราบ มิเช่นนั้น กระทรวงดีอีเอส อาจต้องดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ต่อไป” รมว.ชัยวุฒิ ระบุ


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=2527537940888294&id=1772417919733637

โฆษกพรรคเพื่อไทย เย้ย รัฐการ์ดตกเอง ไม่ต้องโทษใคร หลังโควิดระบาดหนักใน 9 เรือนจำ ลั่นปัญหาโควิดแก้ง่ายนิดเดียว

เมื่อเวลา 10.40 น. วันที่ 17 พ.ค. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรค พท.แถลงว่า ขณะนี้รู้สึกเป็นห่วงกรณีการติดเชื้อโควิด-19 ที่ระบาดในเรือนจำหลายแห่งทั่วประเทศ 9 แห่ง มีผู้ต้องขังติดเชื้อรวมกว่า 9,783 คน คาดว่าในวันนี้ผู้ติดเชื้อในเรือนจำทั้ง 9 แห่ง จะมีผู้ติดเชื้อเกินหมื่นคน แต่จนถึงขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่มีการประกาศมาตรการพิเศษเป็นการเฉพาะในการป้องกันการระบาดไม่ให้ลุกลามในพื้นที่เรือนจำได้ 

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่านับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 เรือนจำหลายแห่งไม่เปิดให้ญาติหรือบุคคลภายนอกเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังตามขั้นตอนปกติ โดยปรับมาใช้วีดิโอคอลมาระยะหนึ่งแล้ว หรือหากมีผู้ต้องขังรายใหม่เข้าเรือนจำจะต้องกักตัว 14 วัน ขอตั้งคำถามว่าการระบาดในคลัสเตอร์เรือนจำ รัฐเป็นฝ่ายการ์ดตกอีกครั้งหรือไม่ 

น.ส.อรุณี กล่าวต่อว่า ดังนั้นเพื่อลดการระบาดในเรือนจำ 

1.) ควรแยกกลุ่มนักโทษผู้สูงอายุหรือผู้ป่วย ติดกำไลอีเอ็มแล้วปล่อยตัวชั่วคราวโดยยังคงทัณฑ์บน ซึ่งเป็นวิธีการที่รัฐนิวเซาธ์เวล ออสเตรเลีย ใช้เมื่อปีที่ผ่านมา 

2.) สร้างโรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ต้องขังในพื้นที่ทหารที่มีการดูแลเข้มงวด 

3.) ชดเชยความเสียหายอย่างเท่าเทียมหากมีผู้ต้องขังเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิดในเรือนจำ 

ทั้งนี้ การระบาดของโควิด-19 เกิดขึ้นพร้อมกันและในเวลาใกล้เคียงกันจนกลายเป็นคลัสเตอร์ดาวกระจาย แสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลปล่อยปละละเลย ไม่สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้ทันท่วงทีกับเชื้อสายพันธุ์ใหม่ที่เข้ามา ดังนั้น รัฐต้องเปลี่ยนวิธีคิด จัดสรรวัคซีนให้เพียงพอ เท่าทันต่อสถานการณ์การระบาด หากสถานการณ์การระบาดยังรุนแรงภายใต้การบริหารจัดการที่ล้มเหลวแบบนี้ มีโอกาสที่หลายพื้นที่จะกลายเป็นเมืองร้างและไทยอาจกลายเป็นประเทศที่เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าที่สุดในโลก 

รัฐต้องเปลี่ยนวิธีบริหาร ศบค. ต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์การแก้ปัญหา และประเทศต้องเปลี่ยนนายกฯ เท่านั้น เราจึงจะแก้ปัญหาโรคระบาดได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top