Saturday, 10 May 2025
POLITICS NEWS

เข้าใจดีว่าอึดอัด ‘วิโรจน์’ ดีใจ ‘สาธิต’ ยอมเปิดปากกล้าสารภาพความจริงที่ ‘ประยุทธ์ - อนุทิน’ ปกปิด จี้ เปิดข้อมูลสำคัญที่ถูก ‘ถมดำ’ เพื่อประโยชน์ประชาชน ถามย้ำ ปชป.ยังจะร่วม ‘รัฐบาลประยุทธ์’ ที่ก่อกรรมทำเข็ญกับประชาชนต่อไปอีกหรือ

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล  กล่าวถึงจากกรณีที่นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ออกมาสารภาพความจริง ให้ประชาชนได้รับทราบว่า สัญญาที่รัฐบาลได้ทำเอาไว้กับ AstraZeneca ไม่ได้ระบุว่าต้องส่งมอบเมื่อใดนั้น และเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลไม่น่าจะได้รับวัคซีนเพื่อนำมาใช้ปกป้องชีวิตของประชาชนคนไทยจากโรคระบาด ได้ครบ 61 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564 นี้ โดยมีการขยายระยะเวลาการส่งมอบไปถึงเดือน พ.ค. ปี 65 ซึ่งถ้าสัญญา ไม่ได้ระบุ ระยะเวลาในการส่งมอบที่ชัดเจน ก็ไม่รู้ว่าจะถูกเลื่อนการส่งมอบอีกหรือไม่

วิโรจน์ กล่าวต่อกรณีนี้ว่า แม้จะรู้สึกคับแค้น และเสียใจที่ได้รับทราบข่าวดังกล่าว แต่ก็ยังดีที่วันนี้ได้รู้ความจริง จากปากของ นายสาธิต ที่กล้านำเอาความจริงที่ พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ไม่ยอมบอกกับประชาชน มาบอกให้ประชาชนได้ล่วงรู้ความจริง ว่าเรื่องวัคซีนจะมีเต็มโรงพยาบาล มีเต็มแขนของประชาชน คงจะเป็นไปได้ยากมากๆ แล้ว เข้าใจว่านายสาธิต คงต้องเผชิญแรงกดดันจากทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน เป็นอย่างมาก ที่นำเอาความจริงมาเปิดเผยในครั้งนี้ 

“ในเมื่อประชาชนได้รู้ความจริงแล้วว่า รัฐบาลนั้นเชื่อถือไม่ได้อีกแล้ว ต่อจากนี้ไป ประชาชนคงต้องเน้นพึ่งพาตนเองให้มากขึ้น ตลอดจนช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามทุกข์ยามยากให้มากขึ้น” 

วิโรจน์ กล่าวต่อว่า ในเรื่องการกระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีน ตนและภาคประชาชน ได้เตือนรัฐบาลมาโดยตลอด ว่าหากรัฐบาลไม่กระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีนเอาไว้ล่วงหน้า ถ้าเกิดปัญหาการส่งมอบวัคซีนล่าช้า หรือเกิดปัญหาประสิทธิผลของวัคซีนที่ไม่เพียงพอต่อการป้องกันการระบาด หรือเกิดปัญหาอาการไม่พึงประสงค์หลังรับการฉีดวัคซีนที่ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่น หรือในกรณีที่ต้องเผชิญหน้ากับเชื้อกลายพันธุ์ แล้วรัฐบาลจะแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อปกป้องชีวิตของประชาชนได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม ในเมื่อนายสาธิต กล้าที่จะนำเอาความจริงมาเปิดเผยแล้ว ก็ควรจะเปิดเผยความจริงทั้งหมดให้กับประชาชนได้รับทราบ เพราะมีอีกหลายเรื่อง ที่ประชาชนอยากรู้ความจริง เช่น

1) ในเมื่อเงื่อนไขการอุดหนุนวงเงิน 600 ล้านบาท ให้กับ บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด มีเงื่อนไขที่ระบุในหนังสือจากคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ลงวันที่ 24 ส.ค. 63 ระบุชัดว่า มีเงื่อนไขจำกัดการส่งออก และประเทศไทยจะมีสิทธิสั่งซื้อเป็นอันดับแรก แล้วเหตุใด ในรายละเอียดในหนังสือแสดงเจตจำนงในการทำสัญญา (Letter of Intent) ในวันที่ 12 ต.ค. 63 รัฐบาลจึงไปตกลงที่ยอมให้ AstraZeneca สามารถส่งออกได้ โดยปราศจากเงื่อนไข

2) ตกลงแล้วสัญญาวัคซีน AstraZeneca 26 ล้านโดส ที่ลงนามในวันที่ 12 ม.ค. 64 นั้นมีเงื่อนไขจำกัดการส่งออก และประเทศไทยมีสิทธิซื้อก่อน อยู่หรือไม่ แล้ว ณ วันนี้ ที่ประชาชนได้รับวัคซีนไม่เป็นไปตามแผน 10 ล้านโดสต่อเดือน รัฐบาลสามารถบังคับสัญญาได้หรือไม่

3) ในกรณีที่ไม่มีเงื่อนไขการจำกัดการส่งออก และสิทธิการซื้อวัคซีนก่อน แล้วสัญญารับทุนอุดหนุนของบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ที่ลงนามในวันที่ 18 ธ.ค. 63 นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร

4) สัญญาที่เปิดเผย ณ วันนี้ นั้นเป็นสัญญาสั่งซื้อวัคซีน AstraZeneca ที่ปรากฎตัวเลขเพียง 26 ล้านโดส เท่านั้น จึงอยากจะสอบถามว่า ตัวเลขอีก 35 ล้านโดส เพื่อรวมเป็น 61 ล้านโดส นั้นอยู่ในสัญญาฉบับไหน และมีเงื่อนไขการสั่งซื้ออย่างไร

นอกจากนี้ วิโรจน์ ยังได้ทวงถามไปถึงนายอเนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.กระทรวง อว. ว่า ปกติแล้วประชาชนทั่วไป จะสามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลสต๊อกวัคซีนโควิด-19 ได้ผ่านระบบการติดตามตรวจสอบย้อนกลับโซ่ความเย็นของวัคซีนโควิด-19 ซึ่งพัฒนาโดยกระทรวง อว. แต่ทำไม ในปัจจุบัน จึงมีการปิดกั้นไม่ให้ประชาชนเข้าไปตรวจสอบได้ จึงขอเรียกร้องให้กระทรวง อว. กลับมาเปิดให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลสต๊อกวัคซีน โดยเร็วที่สุด เพราะนี่คือ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของประชาชน ความโปร่งใสเท่านั้น ที่จะเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนกลับมาได้ ยิ่งปิดกั้น ยิ่งทำให้ประชาชนขาดความเชื่อถือในรัฐบาล และจะทำให้รัฐบาลล่มสลายในความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินในที่สุด

สุดท้าย วิโรจน์ ได้ให้กำลังใจนายสาธิต เพราะเข้าใจในความอึดอัดของนายสาธิตดี ที่ต้องทนเห็นประชาชนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส เห็นประชาชนตายคาบ้าน เห็นคนรอคิวตรวจต้องนอนรอตามริมกำแพงวัด นอนรอบนฟุตบาท ต้องตากฝนรอ เห็นน้ำตาประชาชนที่หมดหนทางในการหาเตียง เห็นเด็กตัวเล็กๆ ต้องกำพร้าที่จะไม่ได้รับอ้อมกอดจากพ่อแม่อีก เห็นคนต้องสิ้นเนื้อประดาตัว หมดอาลัยตายอยากในชีวิต

“ผมขอตั้งคำถามเชิงให้กำลังใจ ไปยังนายสาธิตว่า พรรคประชาธิปัตย์ ยังจะยอมให้กับ รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ก่อกรรมเข็ญกับประชาชน ต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ จริงๆ หรือพรรคประชาธิปัตย์ ทำได้แค่เบือนหน้าหนี กัดริมฝีปากล่าง และแอบไปร้องไห้ปาดคราบน้ำตา กับภาพความทุกข์ยากสิ้นหวังของประชาชน ที่สาหัสขึ้นอยู่ทุกวัน ทำได้แค่นี้จริงๆ หรือ”  วิโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย

 

“ราเมศ”ประกาศ ระดมพลนักกฎหมายทั่วประเทศ ช่วย ปชช ถูกยกเลิกกรมธรรม์ โควิด-19 หลังบริษัทประกันบอกเลิกสัญญาไม่เป็นธรรม

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์และเลขานุการประธานรัฐสภา กล่าวถึงกรณีที่บริษัทประกัน ได้บอกเลิกกรมธรรม์ ประชาชนที่ทำประกันภัยการติดเชื้อโควิด-19 ว่า เรื่องนี้กฎหมายระบุไว้ชัดประชาชนผู้ทำประกันภัยการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายทุกประการ บริษัทตกลงใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งในกรณีภัยหากมีขึ้น คือหากผู้ทำประกันภัยติดเชื้อโควิด-19 บริษัทก็ต้องทำตามสัญญาคือการใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ ผูกพันสมบูรณ์ตามระยะเวลาที่กำหนด เมื่อได้หลักความสมบูรณ์ของสัญญาประกันภัยแล้ว ก็ต้องมาดูว่ากรณีที่จะยกเลิกสัญญาประกันภัย ทำได้เพราะเหตุใดบ้าง หลักกฎหมายกำหนดไว้ชัดว่า หากมีการแถลงข้อความอันเป็นเท็จหรือรู้อยู่แล้วไม่บอกความจริง สามารถบอกเลิกได้ เช่น หากติดเชื้อโควิด-19 แล้ว แต่นำหลักฐานเท็จมาแสดงต่อบริษัทว่าตนไม่เป็นผู้ติดเชื้อโควิด ต่อมาเมื่อทำสัญญาประกันแล้ว นำผลตรวจมาแจ้งว่าติดเชื่อโควิดเพื่อขอรับเงินค่าสินไหม กรณีตัวอย่างนี้บอกเลิกสัญญาได้ เช่นเดียวกันคือประชาชนผู้ทำสัญญาประกันภัยกระทำการทุจริต เช่น นำผลตรวจปลอมมาขอรับเงินค่าสินไหม กรณีนี้บอกเลิกสัญญาได้

นายราเมศ กล่าวต่อว่า กรณีบริษัทสินมั่นคงประกันภัย อ้างเหตุบอกเลิกสัญญาตามกรมธรรม์ ข้อ 2.4.3 ที่ระบุการสิ้นสุดความคุ้มครองเมื่อผู้เอาประกันภัยหรือบริษัทบอกเลิกกรมธรรม์ตามเงื่อนไขทั่วไปและข้อกำหนดข้อ 2.5 และอ้างเหตุตาม ข้อ 2.5.1. ที่ระบุว่าบริษัทสามารถบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยนี้โดยบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนถึงผู้เอาประกันภัยตามที่อยู่ครั้งสุดท้ายที่แจ้งให้บริษัททราบโดยบริษัทจะคืนเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยโดยหักเบี้ยประกันภัยสำหรับระยะเวลาที่กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ได้ใช้บังคับมาแล้วออกตามส่วน ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานชัดเจนต่อบริษัทว่าผู้เอาประกันภัยได้กระทำการโดยทุจริตเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการประกันภัยนี้ บริษัทจะไม่คืนเบี้ยประกันภัยที่ได้เรียกเก็บมาแล้ว เพราะเหตุแห่งการฉ้อฉลหรือการทุจริตดังกล่าวข้างต้นและบริษัทจะไม่รับผิดสำหรับการเรียกร้องค่าทดแทนอันเกิดจากการกระทำดังกล่าว” จากกรณีการกล่าวอ้าง กรมธรรม์ข้อ 2.4.3. และข้อ 2.5.1. ไม่ชอบด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมายและกรมธรรม์ การจะเลิกสัญญาได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีเหตุผลตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่นกรณีการปกปิดความจริง การทุจริตฉ้อฉล หากไม่มีเหตุย่อมไม่มีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาได้ การบอกเลิกสัญญาประกันภัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

นายราเมศ กล่าวต่อว่า การทำประกันของประชาชนเพื่อป้องกันความเสี่ยงภัยในอนาคต ไม่ใช่ว่าบริษัทเสี่ยงภัยแล้วเลยบอกเลิกสัญญา แล้วอย่านี้จะทำสัญญาประกันไปทำไม ไร้ประโยชน์ การบอกว่าจะคืนเบี่ยประกันบางส่วนยิ่งเป็นเรื่องตลก เพราะเหตุผลที่บอกมาคือบริษัทต้องบริหารความเสี่ยง เพราะเป็นวิกฤตที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ คือบริษัทเสี่ยงจึงบอกเลิก ทั้งที่เหตุเกิดจากบริษัท แล้วจะให้ประชาชนรับกรรมจากความเสี่ยงของบริษัทอย่างไร ขอเตือนไว้ก่อนเลยว่าขอให้ฝ่ายกฎหมายกลับไปดู พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมให้ดีด้วย มาตรา 4 ระบุไว้ชัด ข้อตกลงให้สัญญาสิ้นสุดลงโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือให้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้โดยอีกฝ่ายมิได้ผิดสัญญาในสาระสำคัญ ถือได้ว่าเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ให้ไปท่องให้ขึ้นใจ และประชาชนที่ทำประกันภัยกับบริษัทสินมั่นคง ไม่จำเป็นต้องรับคืนค่าเบี้ยประกันที่บริษัทจะจ่ายคืน เพราะสัญญายังสมบูรณ์ และประชาชนที่ทำประกันติดเชื้อโควิด ก็ยังมีสิทธิได้รับเงินตามจำนวนที่เอาประกันภัยไว้คือ 100,000 บาท

“ผมขอประกาศจุดยืนตอนนี้เลยว่าจะสู้เรื่องนี้ให้กับประชาชน โดยจะระดมนักกฎหมายทั่วประเทศเพื่อเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมให้กับประชาชน การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมให้กับประชาชนไม่ใช่เรื่องยาก บริษัทจะมีเงินทองมากมายก่ายกองขนาดไหนไม่สำคัญ แต่หลักสำคัญคือบริษัทต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมกับประชาชน เพราะบริษัทอยู่ได้มีรายได้มากก็เพราะประชาชนในประเทศนี้ อย่าซ้ำเติมวิกฤติในสถานการณ์แบบนี้เลย” นายราเมศ กล่าว

ผบ.นทพ. ตรวจคัดกรองกำลังพลที่ปฏิบัติงานในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

พลเอก นเรนทร์ สิริภูบาล ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) ได้ประสานขอรับการสนับสนุนรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย พระราชทาน จากกรมควบคุมโรค จำนวน 1 คัน มาตรวจคัดกรองหาผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 เชิงรุก ด้วยการเก็บตัวอย่างส่งตรวจ (Swab) โดยการเก็บสารคัดหลั่งบริเวณหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal swab) ของกำลังพลกลุ่มเสี่ยง นทพ. ที่ออกปฏิบัติงานตามนโยบายและสั่งการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) และศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) ในการสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขและศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC ) กรุงเทพมหานคร  ณ รพ.บุษราคัม, สนามบินสุวรรณภูมิ, แคมป์คนงานและจุดตรวจในพื้นที่เขตลาดกระบัง และจุดให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 นทพ. เพื่อเฝ้าระวังและค้นหาผู้ที่อาจติดเชื้อจากการปฏิบัติงาน 

รวมทั้งป้องกันการแพร่ระบาดของโรค โดยได้สั่งการให้สำนักงานสนับสนุน หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (สสน.นทพ.) จัดเตรียม บุคลากรที่ได้รับการฝึกปฏิบัติจาก สถาบันป้องกันและควบคุมโรคเขตเมือง(สปคม) พร้อมกับการจัดสถานที่ อำนวยการ ประสานงาน และกำกับดูแลการตรวจคัดกรอง ณ บริเวณโรงจอดรถยนต์ขนาดใหญ่ ด้านหลังอาคารกองบังคับการ สำนักงานสนับสนุน หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา และมีกำลังพล จิตอาสา 904 นทพ. ร่วมอำนวยความสะดวกในการตรวจคัดกรอง

ทั้งนี้ เพื่อดูแลและเฝ้าระวังกำลังพลของหน่วยที่ออกปฏิบัติงานในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ต้องเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงและใกล้ชิดกับประชาชนกลุ่มเสี่ยง ให้สามารถปฏิบัติงานตามนโยบายและสั่งการได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัย

อย่าทำเหมือนไม่มีวิกฤต! ‘ศิริกัญญา’ เสนอ ‘ส่วนกลาง’ หนุนเงินให้โรงเรียน ลดภาระค่าเทอมผู้ปกครอง กังวล อุปสรรค ‘เรียนออนไลน์’ อุปกรณ์และระบบไม่พร้อม สร้างภาระให้ครู-นักเรียนแสนสาหัส จี้ จัดงบสนับสนุนหน่วยงานด้วย

ที่อาคารรัฐสภา นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ได้ตั้งคำถามกับหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการช่วงหนึ่งว่า ประเด็นเรื่องการลดค่าเทอม เป็นเรื่องที่ประชาชนในสังคมต่างให้ความสนใจ รวมทั้งมีข่าวออกมาว่านายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการก็เคยมีการสั่งการเรื่องนี้ แต่มองไม่เห็นทางออกว่าจะเป็นไปได้อย่างไร หากไม่มีเงินอุดหนุนจากส่วนกลางมอบให้ไป จะให้ไปบีบบังคับโรงเรียนแต่ละโรงเรียนลดค่าเทอมเองคงแทบจะเป็นไปไม่ได้ และยิ่งโรงเรียนเอกชนไม่ต้องพูดถึง เพราะปัจจุบันก็ยังไม่สามารถอุดหนุนเงินครอบคลุมค่าใช้จ่ายบุคลากรหรือครูให้กับพวกเขาได้เลยด้วยซ้ำ เพราะเงินอุดหนุนรายหัวที่อุดหนุนกันนั้น ครอบคลุมแค่ค่าดำเนินการเท่านั้น การไปบีบให้ลดค่าเทอมอีกจึงเป็นไปไม่ได้

“เห็นด้วยถ้าจะนำเงินกู้ส่วนหนึ่งไปช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้กับผู้ปกครองในยามวิกฤตด้วยการอุดหนุนค่าเทอมบางส่วนให้กับแต่ละโรงเรียน แนวทางนี้คิดว่าอาจจะเป็นทางออกของเรื่องนี้ได้” นางสาวศิริกัญญา กล่าว

นอกจากนี้ ในประเด็นเรื่องการเรียนออนไลน์นั้น นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า เป็นเทอมที่ 3 แล้ว ที่นักเรียน นิสิต นักศึกษาต้องเรียนออนไลน์ จึงขอสอบถามถึงการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานว่าได้มีการเตรียมอุปกรณ์ เตรียมความพร้อมให้กับครูและผู้เรียนอย่างไรบ้าง เพราะจากที่ดูจากงบประมาณที่ตั้งมายังไม่ค่อยเห็นรายการที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือ มีแต่รายการที่ใช้สำหรับอบรมวิธีการสอนออนไลน์เท่านั้น

“หลายที่มีการเก็บข้อมูล รวมถึงของหน่วยงานอย่างกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้มีรายงานข้อมูลมาว่า ครอบครัวที่ยากจนนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กจะสามารถเรียนออนไลน์ได้อย่างสะดวก ด้วยความที่ขาดแคลนอุปกรณ์ แม้กระทั่งกรณีที่ไม่ได้เป็นครอบครัวที่มีฐานะยากจนมาก แต่หากต้องเรียนออนไลน์ผ่านทางโทรทัศน์ ถ้าในครอบครัวนั้นมีลูก 2 คนขึ้นไป ก็ทำไม่ได้แล้ว หากที่บ้านมีโทรทัศน์เพียงเครื่องเดียว และยิ่งไปกว่านั้นการเรียนออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องที่ทรมาน เมื่อต้องนั่งจ้องจอมือถือที่มีจอขนาดเล็กไปนานๆ 
.
“ดิฉันจึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจเด็กๆมาก รวมไปถึงครูเองด้วยที่ต้องมีภาระเพิ่มขึ้น โดยครูบางท่านต้องแก้ปัญหาโดยการแบ่งจำนวนนักเรียนในห้องออกเป็น 2 ห้อง เพราะไม่สามารถสอนนักเรียนพร้อมกันได้ทั้ง 50-60 คน โดยที่ต้องดูนักเรียนที่อยู่ในออนไลน์พร้อมกันได้ กลายเป็นว่าต้องสอน 2 รอบ ต้องวิ่งส่งงานให้ตามบ้านนักเรียนบ้าง ต้องทำงานเพิ่มขึ้น คำถามคือมีการเพิ่มอัตรากำลังบ้างหรือไม่ หรือมีการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงให้กับครูที่ต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นบ้างหรือไม่” นางสาวศิริกัญญา ระบุ

นางสาวศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า จากผลการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลกอย่างบริษัท McKinsey พบว่า การเรียนออนไลน์ทำให้ความรู้ของเด็กถดถอย ดังนั้นภายหลังจากที่มีการกลับมาเรียนปกติแล้ว จำเป็นต้องมีการฟื้นฟูการเรียนรู้กลับคืนมา ทางหน่วยงานได้เตรียมการ เตรียมงบประมาณสำหรับใช้จัดการเรื่องนี้แล้วหรือไม่ จำเป็นต้องมีการเรียนเสริมหรือเรียนเพิ่มอะไรหรือไม่ และที่สำคัญในปีการศึกษา 2563 จำนวนวันการเรียนการสอนก็น้อยลง น้อยลงไป 10 % แล้ว โดยจากเดิมที่หนึ่งปีจะเรียนประมาณ 200 วัน จะเหลือเพียงปีละประมาณ 180 วันเท่านั้น ไม่นับว่าการเรียนออนไลน์อาจทำให้เรียนไม่ทันตามบทเรียนอีกด้วย หน่วยงานจะมีการวางแผน จัดการอย่างไร

“ปีนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. ถูกลดงบประมาณไปประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มูลค่า 3,000 ล้านบาทเป็นการลดลงของงบประมาณด้านบุคลากร เนื่องจากมีการเกษียณอายุราชการในแต่ละปีค่อนข้างมาก แม้จะรับครูเข้ามาทดแทน แต่ก็ยังไม่เท่ากับจำนวนครูที่เกษียณออกไป ดังนั้นจึงขอเอกสารชี้แจงว่ามีจำนวนครูที่เกษียณในอีก 10 ปี ข้างหน้า โดยแต่ละปีมีจำนวนเท่าใด และขอแผนที่จะมีการรับครูเข้ามาทดแทนด้วย เพื่อที่จะดูแผนและงบประมาณว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” นางสาวศิริกัญญา กล่าว

ในเรื่องหลักสูตร นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า แม้ว่าทาง สพฐ. มีแผนที่จะปฏิรูปการสอนเรื่องเพศวิถีและเพศศึกษา แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีการเปิดเผยว่า การอบรมศึกษานิเทศก์ ในเนื้อหาการอบรมมีการเหยียดเพศและมีการพูดถึงว่า เด็กที่ความหลากหลายทางเพศเป็นเพราะเด็กเห็นเพื่อนเป็นกันเยอะแล้วสนุกดี ก็เลยมีแนวโน้มที่จะเป็นคนข้ามเพศ จึงเป็นความน่าผิดหวังและอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นปฏิรูปการสอนเรื่องเพศหรืออย่างไร เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องการสอนในห้องเรียนแล้วมีครูที่แสดงทัศนคติที่ไม่ดีต่อเพศหลากหลาย แต่นี่คือการอบรมศึกษานิเทศก์ ซึ่งจะเป็นการผลิตซ้ำความคิดแบบนี้ไปกับครูอีกหลายๆ ท่าน

“ในปีนี้ทราบว่าจะเริ่มการเรียนแบบการจัดการการเรียนรู้แบบใช้สมรรถนะเป็นฐาน (Competency-based learning) เป็นปีแรก ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี เนื่องจากการศึกษาในระดับแนวหน้าของโลกก็เปลี่ยนมาใช้วิธีการแบบนี้กันหมดแล้ว ทั้งนี้ทางหน่วยงานได้มีการเตรียมพร้อมให้กับบุคลากรแล้วหรือไม่ เพื่อที่จะเข้าอกเข้าใจและสามารถถ่ายทอดกระบวนการเรียนรู้วิธีการดังกล่าวได้ เนื่องจากขณะนี้การอบรมครูก็มีการทำแบบออนไลน์เช่นเดียวกัน จึงทำให้หวั่นใจว่าหากไม่มีการเตรียมความพร้อม ก็อาจจะทำให้ล้มเหลวแบบที่เกิดขึ้นแบบในอดีตที่มีการเปลี่ยนหลักสูตร ถึงแม้ว่าหลักสูตรจะถูกออกแบบไว้ดีแค่ไหนก็ตาม หากเป็นเช่นนั้นก็จะส่งผลทำให้เด็กๆ ต้องเสียโอกาสในการเรียนรู้ไปอย่างน่าเสียดาย” นางสาวศิริกัญญา กล่าว

“คนรักสถาบันฯ” ร้อง “นายกฯทบทวนคุณสมบัติ “ชัยวุฒิ” นั่งดีอีเอส เหตุ ปล่อยปละเกิด เฟกนิวส์ กระทบความมั่นคง

ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล ตัวแทนกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน(ศปปส.) กลุ่มภาคีประชาชนปกป้องสถาบัน ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด Bully ทางสังคมออนไลน์ (ศชอ.) อาชีวะปกป้องสถาบัน ในนาม พสกนิกรปกป้องสถาบัน นำโดย นางแน่งน้อย อัศวกิตติกร อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.พิษณุโลก พรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.)ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้ตรวจสอบการทำงานของนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ผ่านนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี

นางแน่งน้อย กล่าวว่า สภาวะของประเทศไทยเวลานี้ เต็มไปด้วยความขัดแย้งของผู้คนในสังคม การต่อสู้กันจะอยู่ในสื่อสังคมออนไลน์ ทุกแพลตฟอร์ม วิธีการที่นิยมนำมาใช้เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามคือการสร้างข่าวปลอม หรือเฟกนิวส์ หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และมีอำนาจโดยตรงในการเข้ามาจัดการกับข่าวปลอมคือ กระทรวงดีอีเอส แต่สิ่งที่เกิดขึ้น และประชาชนเห็นชัดคือ กระทรวงดีอีเอส ไม่สามารถจะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ข่าวปลอมยังท่วมประเทศ ก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง และไม่สามารถนำคนที่ปล่อยข่าวปลอมมาลงโทยเอาผิดทางกฎหมายได้ โดยเฉพาะข่าวปลอมที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น ประชาชนภาคสังคม จึงขอให้พล.อ.ประยุทธ์ ตรวจสอบการทำงานของนายชัยวุฒิ ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2564 จนถึงปัจจุบันว่ามีความสามารถ และมีความเหมาะสมเพียงพอหรือไม่ที่จะมาเป็นรัฐมนตรี เพื่อกำกับดูแลกระทรวงดีอีเอส ซึ่งถือเป็นกระทรวงหลักสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ

ด้านนายเสกสกล กล่าวว่า ขอชื่นชมทั้งองค์กรที่มาในวันนี้ที่มาช่วยกันรวมพลังปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้อยู่คู่สังคมไทยตลอดตราบนานเท่านาน ตนขอชื่นชมจากใจจริงเพราะก็เป็นคนหนึ่งที่พร้อมร่วมมือปกป้องสถาบันฯ และไม่ต้องการที่จะให้ใครหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้ามาคิดไม่ดีต่อสถาบันฯ ทั้งการจาบจ้วงก้าวล่วงหรือทำผิดกฎหมายมาตรา 112 

“องอาจ” เสนอนายกฯ แจกชุดตรวจเชื้อโควิดด้วยตนเองให้ประชาชนฟรี

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการตรวจเชื้อโควิด-19 ว่า นับตั้งแต่โควิดแพร่ระบาดรอบ 3 ที่กระจายตัวมากขึ้นทำให้มีประชาชนจำนวนมากสนใจตรวจโควิดมากขึ้น ถึงขนาดไปนอนรอคิวตามจุดตรวจต่างๆ จนภาครัฐต้องประกาศปลดล็อคให้โรงพยาบาลเอกชน และห้องแล็บเอกชนให้ตรวจเชื้อโควิดได้ โดยไม่บังคับให้ต้องรับผู้ติดเชื้อรักษาตัว รวมทั้งอนุญาตให้ประชาชนซื้อ Rapid Antigen Test มาตรวจเชื้อโควิดด้วยตัวเองได้เหมือนที่ทำกันในหลายประเทศทั่วโลก

อย่างไรก็ดีจากการติดตามการจัดตรวจหาเชื้อโควิดฟรีของหน่วยงานภาครัฐ ตามจุดต่างๆ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่ามีประชาชนจำนวนมากยังมีความต้องการตรวจเชื้อโควิดฟรีตามที่ทางราชการกำหนด เพราะถ้าไปใช้บริการตรวจตามโรงพยาบาลก็เสียค่าใช้จ่ายหลักพันบาทขึ้นไป หรือถ้าจะซื้อชุดตรวจมาตรวจหาเชื้อด้วยตนเองก็ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น สำหรับคนหาเช้ากินค่ำหรือผู้มีรายได้น้อยเงินทุกบาททุกสตางค์ล้วนมีความหมาย จึงพบว่าประชาชนส่วนมากต่างมุ่งไปตรวจฟรีตามที่ทางราชการกำหนด

จากการตรวจสอบตามจุดตรวจต่างๆ ของทางราชการ พบว่ามีการบริหารจัดการดีขึ้น ประชาชนมารอข้ามคืนน้อยลง โดยใช้ระบบบัตรคิวซึ่งมีทั้งแจกบัตรคิววันต่อวัน หรือแจกบัตรคิวล่วงหน้า 1 วัน โดยเริ่มตั้งแต่ 6.00 น. หรือ 7.00 น. บ้าง แต่ก็มีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ตรวจเพราะคิวเต็มต้องไปเสาะแสวงหาจุดตรวจอื่นๆ 

การที่ประชาชนไปรอคิวตรวจฟรีตามที่ต่างๆ แสดงให้เห็นว่าประชาชนให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการช่วยกันยับยั้งการแพร่ระบาด เพราะถ้าพบว่าตนเองติดเชื้อก็จะได้เข้าสู่กระบวนการของการรักษาตัวตามสถานพยาบาล หรือแยกกักตัวที่บ้าน เพื่อไม่นำเชื้อไปแพร่ให้บุคคลอื่นต่อไป ภาครัฐจึงควรจัดให้มีการเข้าถึงบริการสาธารณสุขดังนี้ 

1. จัดให้มีการตรวจเชื้อโควิดเพิ่มมากขึ้นให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่คิดว่าตนเองเป็นกลุ่มเสี่ยงใน กทม. ที่มีการระบาดสูง
2. อำนวยความสะดวก ลดขั้นตอนและอุปสรรคที่ทำให้การเข้าถึงการตรวจเชื้อโควิดทุกกรณี
3. รัฐควรจัดหาชุดตรวจเชื้อโควิดด้วยตนเองฟรีให้ประชาชนส่งตรงถึงบ้าน โดยกำหนดช่องทางการขอรับชุดตรวจเชื้อด้วยตนเองฟรีที่สะดวกที่สุด

จึงขอฝากข้อเสนอทั้ง 3 ข้อนี้ให้นายกรัฐมนตรี นำไปพิจารณาใน ศบค. เพื่อกำหนดมาตรการและวิธีการปฏิบัติเพื่อจะได้ช่วยกันทำให้การแพร่ระบาดของโควิดทุเลาเบาบางลง เมื่อสามารถขจัดต้นตอของการติดเชื้อของบุคคลต่างๆ ลงได้ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาวิกฤติโควิดในที่สุด 

“สิระ” อัด ”โทนี่” แสร้งสงสารคนไทย แต่เศษเนื้อ-เศษสตางค์ไม่เคยกระเด็นมาช่วย ชี้ คนเสื้อแดงควรตาสว่างสักที เผย ยินดีหากกลับมาประตูหน้า จะได้จองเมรุไว้รอเผา

นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี่ วู้ดซัม ร่วมเสวนาผ่านคลับเฮาส์ โดยระบุให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โทรศัพท์หา เพื่อขอคำปรึกษาและพร้อมกลับประเทศไทย ว่า ตนได้เห็นกระแสของบรรดาลิ่วล้อโทนาฟต้อนรับให้กลับประเทศมาหลายวัน แต่ช่วงที่ผ่านมา ตนมีภารกิจในการช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์โควิด-19 เยอะจึงไม่มีเวลาจะออกมาพูดอะไรถึงนายทักษิณ แต่วันนี้เห็นแล้วก็รู้สึกสงสารบรรดาคนเสื้อแดงและพวกที่พลีชีพให้นายทั้งหลาย เวลานี้นายทักษิณไม่สร้างประโยชน์ใดๆ ให้กับประเทศ แบบที่เคยทำในอดีตเป็นอย่างไรก็ยังคงเหมือนเดิม ดีแต่พูดสร้างค่าให้ตัวเอง และด้อยค่ารัฐบาลและประเทศไทย ตนคิดว่าบรรดาคนรักทักษิณควรที่จะหูตาสว่างได้บ้างแล้ว

“ทุกคนลองไปดูชีวิตประจำวันของมิจฉาชีพหนีคดีคนนี้ดูว่า เขาทำอะไรบ้าง เวลามาออกคลับเห่าก็แสร้งทำว่าสงสารประเทศไทย รักประชาชน แต่ภาพที่เห็นคือการใช้เงินที่โกงกินภาษีประชาชนกินเที่ยวที่ต่างประเทศอย่างสนุกสนาน มีความสุขกับลูกหลาน ถ้านายทักษิณคิดจะช่วยประเทศจริง วันนี้ไม่ต้องรอให้กลับมาเหยียบแผ่นดินไทยก็ทำได้ การบริจาคเงินผ่านบรรดา ส.ส.ในพรรคของคุณให้มาช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่ก็สามารถทำได้ แต่วันนี้แค่ดีแต่พูด แต่ไม่เคยลงมือทำ งานถนัดของคนนี้คือสร้างวาทกรรมสวยหรูหลอกคนเสื้อแดงไปวันๆ เศษเนื้อ เศษสตางค์สักแดงเคยกระเด็นมาเผื่อแผ่ คนเสื้อแดงทั้งคนในคุกและนอกคุกหรือไม่ วันนี้บุคลากรทางการแพทย์ และคนไทยทุกคนกำลังร่วมมือกันเพื่อให้ผ่านวิกฤต นายทักษิณช่วยหุบปากบ้าง เอาเวลาไปถลุงเงินที่โกงประเทศ ใช้นั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวพาลูกหลานไปท่องเที่ยวสวิตเถอะ”นายสิระ กล่าว 

นายสิระ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยไม่เคยกีดกันให้มิจฉาชีพคนนี้กลับมาที่แผ่นดินไทย อย่าออกมาพร่ำให้ประเทศชาติเสียหายไปมากกว่านี้ เพราะที่ผ่านมากว่า 10 ปี คนไทยแตกแยกก็เพราะนายทักษิณ ถ้าจะกลับก็กล้าๆ หน่อย มาอย่างเปิดเผย อย่าหนีเหมือนตอนออกไปเป็นสัมภเวสีนอกประเทศ ส่วนตัวตนอยากให้กลับมาด้วยซ้ำ ถ้าหากได้กลับมาทางประตูหน้า ตนจะได้ทำบุญจองเมรุรอไว้พร้อมเผา 

“โฆษกศบศ.” แจง “บิ๊กตู่” สั่งเร่งช่วยลูกหนี้ 10 จังหวัดล็อกดาวน์ เผยคลังถกแบงค์ชาติเตรียมพักชำระหนี้ 2 เดือน ช่วยผู้ประกอบการ-แรงงาน ที่ปิดกิจการจากมาตรการของรัฐ ส่วนลูกหนี้ที่ยังเปิดกิจการแต่ได้รับผลกระทบ เตรียมพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามความจำเป็น

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการในที่ประชุม ครม. เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (13 ก.ค. 64) ให้รีบหารือกันโดยเร่งด่วน เพื่อหามาตรการผ่อนปรนการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย หรือการเลื่อนงวดการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้า ทั้งที่เป็นประชาชนและผู้ประกอบการอย่างจริงจัง รวมถึงช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบ ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย และสมาคมธนาคารนานาชาติ จึงร่วมกันออกออกมาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ SMEs และรายย่อย เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 เดือน ให้กับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงทั่วประเทศ ซึ่งได้แก่ ลูกหนี้ทั้งที่เป็นนายจ้างและลูกจ้างในสถานประกอบการในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 10 จังหวัด และนอกพื้นที่ควบคุมแต่ต้องปิดกิจการจากมาตรการควบคุมการระบาดของภาครัฐ เริ่มตั้งแต่งวดการชำระหนี้เดือนกรกฎาคม 2564 หรือเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป แล้วแต่กรณี

นายธนกร กล่าวต่อว่า สำหรับลูกหนี้ที่ยังเปิดกิจการได้แต่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการระบาดของภาครัฐจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ตามความจำเป็นและสอดคล้องกับสถานการณ์ของลูกหนี้ เริ่มตั้งแต่งวดการชำระหนี้เดือนกรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป ซึ่งเมื่อหมดระยะเวลาพักชำระหนี้แล้ว สถาบันการเงินจะไม่เรียกเก็บเงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้างอยู่ในทันที เพื่อไม่ให้เป็นภาระหนักกับลูกหนี้ อย่างไรก็ตาม การพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยภายใต้มาตรการนี้ เป็นเพียงการเลื่อนการชำระออกไป ลูกหนี้ที่ยังมีศักยภาพและสามารถชำระหนี้ได้ ควรชำระหนี้ต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เป็นภาระหนี้ในอนาคตเพิ่มขึ้นสูงเกินจำเป็น 

นายธนกร กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมารัฐบาลมีมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือทั้งประชาชนและผู้ประกอบการหลายๆ มาตรการ โดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 เช่น สินเชื่อฟื้นฟูท่องเที่ยวไทย ให้ผู้ประกอบการรายย่อยในธุรกิจท่องเที่ยวและ Supply Chain สามารถกู้เงินกับธนาคารออมสิน วงเงินต่อรายอยู่ที่ 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี ซึ่งตอนนี้ อนุมัติเงินกู้ไปแล้ว จำนวน 2,885 ราย วงเงินรวม 1,218 ล้านบาท
สินเชื่ออิ่มใจ ธนาคารออมสินให้กู้กับผู้ประกอบการร้านอาหารหรือเครื่องดื่ม วงเงินต่อราย อยู่ที่ 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี ระยะเวลากู้ ไม่เกิน 5 ปี ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 งวดแรก และสินเชื่อสำหรับ SMEs ขนาดย่อมและขนาดกลาง  ได้แก่ สินเชื่อ Extra cash โดย SME Bank ให้กู้กับ SMEs ขนาดย่อมในธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจอื่น วงเงินรายละ 3 ล้านบาท ปัจจุบันอนุมัติแล้ว 4,283 ราย วงเงินรวม 7,335 ล้านบาท และสินเชื่อมีที่มีเงิน นอกจากนี้ ยังมีมาตรการเสริมสภาพคล่องสำหรับผู้ประกอบการทั่วไป ได้แก่ มาตรการพักทรัพย์พักหนี้ และมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูอีกด้วย 

“เลขาฯสมช.” ระบุ รอ14 วัน ประเมินสถานการณ์ หลังคุมเข้ม 10 จว. ยัน โครงการ “สมุย พลัส” ตรวจยิบกว่าภูเก็ต แซนด์ บ็อกซ์ ปัดตอบกระแส ไทยบริจาค 1 แสนดอลลาร์ ให้องค์การอนามัยโลก

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 หรือ (ศปก.ศบค.)กล่าวถึงการประชุมศบค.ในวันที่16 ก.ค.ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมวกลาโหม ในฐานะผอ.ศบค.เป็นประธาน จะหารือถึงมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดหรือไม่ หลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงอย่างต่อเนื่องว่า ในที่ประชุมยังไม่มีการทบทวนมาตรการที่ประกาศยกระดับควบคุมเข้มในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จ.ได้แก่ กทม. และปริมณฑล และ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้  โดยการทบทวนหรือไม่จะต้องประเมินสถานการณ์ภาพรวมหลังออกประกาศข้อกำหนดไปแล้ว 14 วัน ซึ่งจะตรงกับวันที่ 25 ก.ค.นี้ก่อน 

เมื่อถามถึงข้อกังวลจากหลายฝ่ายต่อการเปิดโครงการสมุยพลัส จะต้องเพิ่มมาตรการที่เข้มข้นขึ้นหรือไม่ เพราะอาจจะยิ่งเป็นการนำเข้าเชื้อจากต่างประเทศ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า มาตรการสำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาจะมีความเข้มข้นมากกว่ามาตรการโครงการภูเก็ต แซนด์
บ็อกซ์

ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวที่ไทย บริจาคเพิ่มเติม 1 แสนดอลลาร์สหรัฐฯให้องค์การอนามัยโลก เพื่อสนับสนุนความมั่นคงด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศและโครงการโคแวกซ์ เพื่อต่อสู้โควิด -19 เป็นสัญญาณว่าไทยจะเข้าร่วมโครงการดังกล่าวด้วยหรือไหม่  พล.อ.ณัฐพล ปฎิเสธตอบคำถาม โดยระบุให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ชี้แจงในรายละเอียด

“ธีรัจชัย” สงสัย กต.ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปมประสานข้อมูล “ธรรมนัส” 

ที่รัฐสภา นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการประชุมคณะกมธ.ฯ กรณีการตรวจสอบร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ว่าผิดจริยธรรมหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่กมธ.เคยพิจารณาต่อเนื่องมา โดยเชิญอดีตปลัดกรวงการต่างประเทศ ช่วงปี 59 – 63 และปลัดกระทรวงการต่างประเทศ คนปัจจุบันมาสอบถามเกี่ยวกับการประสานข้อมูลไปยังออสเตรเลีย ในการขอคำพิพากษาศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลส์ โดยได้รับการชี้แจงว่า กระทรวงการต่างประเทศเคยสอบถามไปยังสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงแคนเบอร์รา และสามารถขอสำเนาคำพิพากษาศาลแขวงด้วยการทำหนังสือไปขอได้เลย ส่วนศาลอุทธรณ์จะต้องมีการกรอกตามแบบฟอร์มคำขอ พร้อมกับชี้แจงว่าเคยสอบถามข้อมูลไปยังร.อ.ธรรมนัส แต่ไม่ได้รับคำตอบจึงไม่สามารถดำเนินการได้  

นายธีรัจชัย กล่าวว่า กมธ.ป.ป.ช. เคยขอข้อมูลไปยังศาลแขวงและศาลอุทธรณ์รัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ส่งมาให้ กระทรวงการต่างประเทศก็สามารถติดตามข้อมูลได้จากกมธ.แต่กลับไม่ถาม แต่ไปถาม ร.อ.ธรรมนัส จึงเกิดคำถามว่าปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการต่างประเทศ ทำหน้าที่อย่างเต็มที่หรือไม่ นอกจากนี้ กมธ.ป.ป.ช.ยังเคยได้รับหนังสือของกระทรวงการต่างประเทศ ในปี 40 ที่ส่งคดีร.อ.ธรรมนัส มายังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) แสดงว่ากระทรวงการต่างประเทศ มีข้อมูลร.อ.ธรรมนัสอยู่แล้ว โดยป.ป.ส.ได้มาชี้แจง และแนบเอกสารดังกล่าวให้กมธ.ป.ป.ช. ซึ่งมีเอกสาร 2 ฉบับ แต่กระทรวงการต่างประเทศกลับบอกว่าไม่มีข้อมูล จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าการปฏิบัติหน้าที่กรณีของร.อ.ธรรมนัส กระทรวงการต่างประเทศได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างครบถ้วนหรือไม่ ทางคณะกมธ.ป.ป.ช. จึงให้กระทรวงการต่างประเทศประสานไปยังศาลอีกครั้ง ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าสามารถทำได้ แต่ไม่ได้มีการรับปากว่าจะดำเนินการให้

นายธีรัจชัย กล่าวว่า สำหรับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 6/2564 เรื่องคุณสมบัติสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรัฐมนตรี ของร.อ.ธรรมนัส ปรากฎว่าในหน้าที่ 5 มีคำวินิจฉัยในวรรคแรกบอกว่าเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาอาศัยตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2561 มาตรา 27 วรรค 3 ศาลรัฐธรรมนูญมีหนังสือเรียกสำเนาคำพิพากษาศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลล์ เครือรัฐออสเตรเลีย ลงวันที่ 13 มีนาคม 2537 และสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ รัฐนิวเซาท์เวลล์ เครือรัฐออสเตรเลีย ลงวันที่ 10 มีนาคม 2538 และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจากผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง และปลัดกระทรวงต่างประเทศ เพื่อดำเนินการช่องทางการทูต โดยมีทางราชการรับรองสำเนาถูกต้อง คำว่าเพื่อดำเนินการช่องทางการทูต กมธ.ได้ติดใจมาโดยตลอดว่าเมื่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 27 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญไต่สวน สามารถสั่งการให้หน่วยงานราชการดำเนินการใดๆได้ และเมื่อสั่งแล้วเหตุใดกระทรวงต่างประเทศถึงไม่ทำตามช่องทางการทูต 

นายธีรัจชัย กล่าวต่อว่า ปลัดกระทรวงต่างประเทศชี้แจงว่า สำเนาของคำพิพากษาศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลล์ เครือรัฐออสเตรเลีย ลงวันที่ 13 มีนาคม 2537 และสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ รัฐนิวเซาท์เวลล์ เครือรัฐออสเตรเลีย ลงวันที่ 10 มีนาคม 2538 เป็นข้อมูลทางการออสเตรเลียและไม่อยู่ในความครอบครองของกระทรวงต่างประเทศ จึงไม่สามารถที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญได้ ตนจึงได้ถามต่อว่าทำไมจึงปฏิเสธเช่นนี้ เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้เป็นการดำเนินการทางช่องทางการทูต ไม่ทำก็ถือว่าเป็นการขัดคำสั่ง ซึ่งได้รับคำตอบว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้สั่งให้ดำเนินการทางการทูต ในส่วนนี้ตนตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดศาลรัฐธรรมนูญเขียนว่าเพื่อดำเนินทางการทูตด้วยหากไม่ได้สั่ง ตนจึงขอเอกสารที่ศาลรัฐธรรมนูญส่งให้ ทางปลัดกระทรวงต่างประเทศได้ส่งให้ดู และตนได้ตรวจสอบพร้อมให้ถ่ายไว้ ปรากฏว่าไม่มีในหมายเรียกของศาลรัฐธรรมนูญที่ 49/2563 ลงวันที่ 29 กันยายน 2563 หากเป็นเช่นนี้จริงกระทรวงต่างประเทศก็ไม่ผิด แต่ทำไมศาลรัฐธรรมนูญถึงเขียนไว้ในคำพิพากษา ตนคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญต้องชี้แจงในเรื่องนี้ให้ประชาชนได้ทราบ ซึ่งจะมีการสอบถามไปยังสำนักเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญว่าตามหนังสือเรียกนี้จริงหรือไม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top