Friday, 4 July 2025
POLITICS NEWS

ครม .เคาะแล้ว ตั้ง 'สุทธิพงษ์ จุลเจริญ' อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ที่มีความอาวุโสสูงสุด เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ โยกผู้ว่าฯหมูป่า มาปทุมฯ

การประชุมครม. ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นานกรัฐมนตรี เป็นประธานการประขุม ได้เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ แต่งตั้งให้นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ที่มีความอาวุโสสูงสุด เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ แทนนายฉัตรชัย พรมเลิศ  ปลัดกระทรวงที่จะเกษียนอายุราชการในเดือนตุลาคมนี้  และแต่งตั้งนายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เข้ากระทรวงดำรงตำแหน่งเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย  และแต่งตั้งผู้ว่าฯหมูป่า นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานีแทน

 

“แรมโบ้”สวน “บรรยง” ยัน ”บิ๊กตู่” อยู่ครบเทอม ซัดกลับ ไม่คิดทิ้งปัญหาเหมือนคนวิจารณ์ ซัดเป็นผู้ใหญ่ ควรแก้ปัญหามาก กว่าเล่นการเมือง

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่นายบรรยง พงษ์พานิช อดีตบอร์ดการบินไทย โพสต์เฟซบุ๊ก เรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายก นายกรัฐมนตรี ลงจากตำแหน่ง และให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบสภา โดยไม่ต้องรักษาการณ์ เพื่อรักษาเกียรติของชายชาติทหาร ว่า นายกฯมาตามกฎหมาย การจะยุติปฏิบัติหน้าที่ต้องเป็นไปตามกฎหมายเช่นกัน คือต้องบริหารงานจนครบเทอม และการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ไม่ใล่เรื่องง่าย จึงเป็นธรรมดาที่คนที่ไม่ชอบนายกฯต้องเคลื่อนไหวกดดันให้ลาออก เพราะต้องการกลับมามีอำนาจรัฐ หากนายบรรยง คิดแบบไม่มีอคติกับนายกฯหรือรัฐบาล ขอให้มองรอบด้านว่าที่ผ่านมานายกฯและรัฐบาล ทำงานอย่างไร โดยพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายลงให้ได้  

“นายบรรยง เป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่การงานใหญ่โต น่าจะคิดได้มากกว่านี้ เวลานี้ทุกคนในชาติต้องร่วมมือแก้ไขปัญหาให้บ้านเมือง ไม่ควรนำประเด็นทางการเมืองมาพูดเช่นเรื่องยุบสภา ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ระหว่างการดำเนินการในรัฐสภา และนายกฯมีภารกิจรับผิดชอบต่อประเทศชาติ ไม่เคยคิดทิ้งปัญหาเอาตัวรอด หายใจเข้าออกคือประชาชน ไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาวเหมือนนายบรรยง ที่คิดจะทิ้งปัญหาความทุกข์ของประชาชน เพื่อเอาตัวเองรอด เพราะไม่ใช่นิสัยของลูกผู้ชาย ชายชาติทหารที่ชื่อพล.อ.ประยุทธ์ ช่วยเอาคำแนะนำของนายบรรยงไปใช้กับคนอื่นจะดีกว่า”นายเสกสกล กล่าว 

ทบ.ดูแลผู้เสียชีวิตโควิด-19 อย่างครบวงจรไม่มีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่เคลื่อนย้าย ตลอดจนประกอบพิธีในศาสนสถาน ซึ่ง 3 เดือนที่ผ่านมา ฌาปนกิจแล้ว 640 ราย

ร.อ.หญิง กัญญ์ณณัฐ พรนิพัทธ์กุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบันที่พบผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตรายวันเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จนในบางครั้งเกิดการเสียชีวิตแบบกะทันหันในเขตที่พักอาศัยหรือในพื้นที่สาธารณะต่างๆ และการจะนำร่างออกมาได้นั้น ต้องกระทำโดยเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกอบรม ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่ง พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ได้รับทราบถึงข้อจำกัดในการเคลื่อนย้ายและการจัดพิธีศพของผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 รวมทั้งต้องการนำทรัพยากรที่มีอยู่ในทุกรูปแบบของกองทัพบก ทั้งกำลังพล, ยานพาหนะ ตลอดจนฌาปนสถานในความดูแล มาช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ในสถานการณ์วิกฤตครั้งนี้

ร.อ.หญิง กัญญ์ณณัฐ กล่าวว่า ล่าสุด ผบ.ทบ.ได้สั่งการให้หน่วยทหารในพื้นที่ กทม. ประกอบด้วย กองพลทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์, กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์, กองพลปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน และมณฑลทหารบกที่ 11 สนับสนุนกำลังพลจากหมวดการศพ กองพลาธิการ จัดตั้ง”ชุดจัดการศพ” ดูแลเคลื่อนย้ายร่างของผู้วายชนม์ที่ได้รับการยืนยันสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ออกจากเขตชุมชน เพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาตามความประสงค์ของญาติหรือในฌาปนสถานของกองทัพบก ซึ่งกำลังพลทุกนายได้ผ่านการฝึกอบรมจากกรมแพทย์ทหารบก, กองการฌาปนกิจ กรมสวัสดิการทหารบก และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู เพื่อให้มีความพร้อม สามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างถูกต้องปลอดภัย ตามมาตรฐานของกรมควบคุมโรค และตามกระบวนการทางกฎหมายในการเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิต โดยตั้งแต่ 23 ก.ค.64 ที่ผ่านมา ได้รับการประสานจากประชาชนหรือชุมชนต่างๆ เข้าให้การดูแลเคลื่อนย้ายแล้ว 20 ราย

ร.อ.หญิง กัญญ์ณณัฐ กล่าวว่า ขณะที่ด้านการประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อส่งร่างผู้วายชนม์สู่สุคตินั้น กองทัพบกได้อนุเคราะห์ศาสนสถานทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ วัดอาวุธวิกสิตาราม, วัดโสมมนัสวรวิหาร และวัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต กทม. และวัดสุทธจินดา จ.นครราชสีมา ดูแลพิธีศพอย่างสมเกียรติให้กับผู้เสียชีวิตและครอบครัว ตั้งแต่ 4 พ.ค.64 ประกอบด้วย การสวดพระอภิธรรม บำเพ็ญกุศลและพิธีฌาปนกิจ ซึ่งดำเนินการไปแล้วรวม 640 ราย และจะให้การอนุเคราะห์อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลืออำนวยความสะดวกบรรเทาทุกข์และลดภาระให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต


ทั้งนี้ กองทัพบกขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตทุกราย โดยพร้อมให้การช่วยเหลือแบ่งเบาภาระ และเติมกำลังใจให้ผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างดีที่สุด ตลอดจนร่วมดูแลผู้เสียชีวิตในวาระสุดท้ายอย่างครบวงจรโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่การเคลื่อนย้ายจนถึงฌาปนกิจ ซึ่งหากครอบครัวผู้เสียชีวิตต้องการขอรับการสนับสนุน หรือประชาชนพบเห็นผู้เสียชีวิตในพื้นที่ต่างๆ สามารถติดต่อได้ที่ “ศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด กองทัพบก” โทร. 02-2705685-9 และ 02-092-7766 ฟรีตลอด 24 ชม.

โฆษกรัฐบาล เผย รัฐบาลชวนคลินิกเอกชน ร่วมระบบดูแลผู้ป่วย รักษาตัวที่บ้าน-ชุมชน ชี้ ช่วยกระจายยารักษาได้เร็วขึ้น ยัน เผย ผู้ป่วยโควิด มีสิทธิเคลมประกันและจ่ายย้อนหลังได้

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลเพิ่มระบบการบริหารจัดการผู้ป่วยโควิด-19 แบบไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อยให้เข้าสู่การดูแลที่บ้าน และการดูแลที่ชุมชน เพื่อให้รักษาตัวได้เร็วขึ้น ลดการครองเตียงในโรงพยาบาลสนาม ให้ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงกว่าได้รับการรักษาในโรงพยาบาล โดยมีหน่วยบริการสาธารณสุขทั้งคลินิกชุมชนอบอุ่น ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)และศูนย์สาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร ที่จะเป็นผู้ดูแลผู้ป่วย ในพื้นที่กทม.มีคลินิกเอกชน มากกว่า 3,000 แห่ง ที่ยังไม่ได้เป็นคู่สัญญากับทางสปสช. รัฐบาลอยากเชิญชวนให้เข้าร่วม เพราะจะช่วยเป็นหน่วยกระจายการดูแลผู้ป่วย และครอบคลุมอุปกรณ์ตรวจร่างกายปรอทวัดไข้และเครื่องวัดระดับอ๊อกซิเจน ยาฟ้าทะลายโจร ฟาวิพิราเวียร์ ให้ตามระดับอาการที่แพทย์วินิจฉัย อาหารสามมื้อ โดยคลินิกที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อลงทะเบียน โทร 089-969-6492  หรือสอบถามสปสช. หมายเลข 1330 และเมื่อเป็นคู่สัญญาแล้ว จะได้รับการสนับสนุนการดูแลผู้ป่วยแบบเหมาจ่าย อัตรา 3,000 บาทต่อรายต่อสัปดาห์ 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ในเดือนส.ค.นี้ ทางสปสช.จะเริ่มแจกชุดตรวจเร็ว Antigen Test Kit ซึ่งมีแผนจัดซื้อ 8.5 ล้านชุด ผ่านหน่วยบริการสาธารณสุข โรงพยาบาล คลินิก ศูนย์อนามัย ตามพื้นที่เป้าหมาย และเมื่อมีคลลินิกเอกชนร่วมเป็นภาคีการทำงานกับสปสช.เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้การคัดกรองและดูแลผู้ป่วยโควิด-19เบื้องต้น ครอบคลุมและรวดเร็วขึ้นอีก เป็นการลดการแพร่เชื้อในวงกว้างและจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการได้อย่างมาก

น.ส.รัชดา กล่าวว่า เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้ป่วยโควิด-19 ที่แยกตัวมาดูแลที่บ้านหรือที่ชุมชน ทางคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ออกคำสั่งนายทะเบียนให้ผู้ป่วยที่ได้ซื้อกรมธรรม์ สามารถเคลมประกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อกรมธรรม์คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล กรณีผู้ป่วยนอกหรือผู้ป่วยใน เฉพาะค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น ส่วนกรณีกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองค่าชดเชยรายวันเมื่อต้องรักษาตัวเป็นผู้ป่วย จะได้ค่าชดเชยรายวันสูงสุด 14 วัน นับแต่วันที่มีความจำเป็นทางการแพทย์ที่ต้องรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในสถานพยาบาล แต่ไม่มีสถานพยาบาลรองรับ โดยคลินิก โรงพยาบาลที่ดูแล จะเป็นผู้ออกใบรับรองแพทย์ให้หลังได้รับการรักษาครบกำหนด เพื่อนำไปใช้เป็นหลักฐานในการเคลมประกันต่อไป มากไปกว่านั้น การคุ้มครองสิทธิในการเคลมประกันจะมีผลย้อนหลังก่อนวันออกประกาศนี้ด้วย ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ได้ลงทะเบียนแยกดูแลที่บ้าน หรือชุมชน ก่อน 29 ก.ค. สามารถเคลมประกันได้ 

ภาคีนักกฎหมาย-สื่อมวลชน ยื่นร้องศาลเเพ่งเพิกถอนคำสั่ง นายกฯออกข้อกำหนดให้อำนาจ กสทช.ฟันเฟคนิวส์ ลุ้นศาลรับคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่

ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก กลุ่มทนายความภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน และตัวแทนสื่อออนไลน์ ประกอบด้วย นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความจากภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน, น.ส.ฐปณีย์  เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสื่อออนไลน์ The Reporters, สื่อ Voice, The Standard, The Momentum, THE MATTER, ประชาไท, Dem All, The People, way magazine, PLUS SEVEN  จำนวน 12 คน ได้รวมตัวยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และในฐานะผอ.ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เพื่อให้ศาลแพ่งมีคำสั่งเพิกถอน ข้อกำหนดฉบับที่ 29 ที่ให้อำนาจ กสทช. ตัดเน็ตผู้โพสต์ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว

ซึ่งออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ ไม่มีความจำเป็น ไม่ได้สัดส่วน และขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560  นอกจากนี้ยังได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อคุ้มครองชั่วคราวด้วยซึ่งการยื่นคำฟ้องใช้เวลาประมาณ 20 นาทีจึงเสร็จสิ้น จากนั้นจึงออกให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนโดยนายนรเศรษฐ์ กล่าวว่า วันนี้ตัวแทนสื่อและภาคประชาชน12 คน เป็นโจทก์ ยื่นให้ศาลเพิกถอนข้อกำหนด ตาม พรก.ฉุกเฉินฯ ข้อที่ 29 ซึ่งออกโดยนายกรัฐมนตรี ในลักษณะที่ห้ามไม่ให้นำเข้า ข้อความที่อาจจะทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว ซึ่งข้อกำหนดนี้ อาจทำให้ตีความได้ว่าแม้การนำเข้าความจริงหรือนำเสนอข่าวตามความจริง ก็อาจจะเป็นความผิดตามข้อกำหนดฉบับนี้ได้ จึงเห็นว่าขัดต่อหลักความชัดเจน หลักไม่มีความผิด ไม่มีกฎหมาย ไม่มีโทษตามกฎหมายอาญา และขัดต่อรัฐธรรมนูญ

ประเด็นต่อมาสื่อมวลชนต้องมีเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสาร เป็นเสรีภาพที่ได้รับการรับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 34,35,26 การจำกัดในลักษณะนี้เท่ากับเป็นการจำกัดเสรีภาพ ในการเสนอข่าว ด้วยความจริงอย่างตรงไปตรงมา และข้อกำหนดฉบับนี้ให้อำนาจคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สั่งให้ผู้ให้บริการทำการตรวจสอบ ข้อมูลว่าผู้ใดกระทำผิดและให้มีอำนาจ ระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ต การกำหนดลักษณะนี้มีความไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประการ คือในพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 9 ไม่ได้ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีสั่งระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ตได้ การออกข้อกำหนดนี้จึงเกินกว่าที่กฎหมายให้อำนาจไว้ ไม่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ 

“การตัดอินเตอร์เน็ตเป็นการกระทำที่เกินไปกว่าแนวของศาลอาญาหรือเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เพื่อคุ้มครองเสรีภาพของสื่อและเสรีภาพทางการแสดงออก หากจะปิดกั้นหรือลบข้อความ ก็ควรลบเป็นรายข้อความที่เป็นความผิดต่อกฎหมายเท่านั้น แต่การระงับให้บริการอินเทอร์เน็ต จะทำให้ผู้ที่ถูกระงับไม่สามารถใช้งานได้ในทุกแพลตฟอร์ม และยังถือว่าเป็นการปิดกั้นการสื่อสารในอนาคต ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 30” นายนรเศรษฐ์ระบุ

นายนรเศรษฐ์ กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นที่สังคมอาจจะมีคำถามว่า ถ้าไม่มีข้อกำหนดฉบับนี้ รัฐจะจัดการต่อข่าวปลอม หรือข่าวที่บิดเบือนอย่างไร ตนขอเรียนว่าเรื่องนี้รัฐบาลไม่มีความจำเป็นที่ต้องออกพระราชกำหนดเพราะว่ารัฐสามารถใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ในการดำเนินคดีกับคนที่เผยแพร่ข่าวปลอม หรือข่าวบิดเบือนได้อยู่แล้ว ส่วนหากจำเป็นที่ต้องลบข้อความก็สามารถใช้อำนาจ ตามมาตรา 20 ในการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาให้ศาลสั่งลบข้อความได้ การออกข้อกำหนดลักษณะนี้จึงไม่มีความจำเป็น ที่สำคัญข้อกำหนดนี้ให้ กสทช.มีอำนาจเด็ดขาด โดยไม่ต้องผ่านศาลตรวจสอบ และไม่ให้คู่ความอีกฝ่ายคัดค้าน จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันในวันนี้ก็ได้ขอให้ศาลแพ่งคุ้มครองชั่วคราวด้วย ดังนั้นถ้าศาลแพ่งรับฟ้อง พร้อมมีคำสั่งให้ไต่สวนฉุกเฉินและหากศาลมีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราวนั่น ก็หมายความว่าข้อกำหนดดังกล่าวอาจจะยังไม่สามารถใช้บังคับได้

ด้านน.ส.ฐปณีย์  ตัวแทนสื่อออนไลน์ กล่าวว่า ในนามองค์กรสื่อ และประชาชน เราร่วมกับภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับข้อกำหนด ฉบับที่ 29 ซึ่งในทางกฎหมายอาจขัดรัฐธรรมนูญ ในแง่ของสื่อมวลชนหรือประชาชนที่ใช้อินเทอร์เน็ต ก็ได้รับผลกระทบจากข้อกำหนดนี้ ทำให้สร้างความหวาดกลัวต่อสื่อมวลชน และประชาชน เป็นข้อกำหนดที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

น.ส.ฐปณีย์ กล่าวอีกว่า การนำเสนอข่าวเรื่องผู้ป่วยเสียชีวิตในบ้าน หรือข้างถนน ข่าวเหล่านี้ สลดหดหู่ เศร้า และเป็นข่าวที่น่ากลัว แต่น่ากลัวโดยสถานการณ์และข้อเท็จจริง ในฐานะสื่อมวลชน เรามีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนรายงานข่าว และมีหน้าที่นำเสนอข่าวเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ให้เขาได้เข้าถึงสิทธิการรักษา มองว่ารัฐไม่ควรใช้กฎหมายเหล่านี้เข้ามาปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของประชาชน และปิดกั้นการรายงานของสื่อมวลชนเพื่อช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์ ส่วนมองว่าจะมีการใช้กฎหมายกลั่นแกล้งสื่อมวลชนหรือไม่นั้น ตนมองว่า ข้อกฎหมายนี้ไม่ชัดเจนกำกวม ซ้ำเติมสถานการณ์ เราตระหนักเรื่องจรรยาบรรณในวิชาชีพอยู่แล้ว  ซึ่งแตกต่างจากประเด็นที่รัฐจะจัดการกับเฟคนิวส์ โดยเฟคนิวส์หรือข่าวปลอมนั้น มีกฎหมายที่จะดำเนินการอยู่แล้ว

 “ในสถานการณ์นี้รัฐควรเอื้อให้ประชาชนได้มีพื้นที่ร้องขอความช่วยเหลือและรักษาตัวเอง อย่างไรก็ตามเราไม่ได้หวาดกลัวข้อกำหนดนี้ เราออกมาเพื่อปกป้องสิทธิของทุกคนมากกว่า ความจริงแล้วการที่ประชาชนนำเสนอข่าวในการเรียกร้องว่ามีคนตาย ต้องการความช่วยเหลือ เราควรรีบเข้าไปตรวจสอบข้อมูล และช่วยเหลือเขามากกว่า แทนที่จะไปปิดกั้น” น.ส.ฐปณีย์ระบุ

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากวันนี้ศาลแพ่งมีคำสั่งให้เพิกถอนข้อกำหนดดังกล่าว แล้วมีคำสั่งฉบับใหม่ออกมาชัดเจนขึ้น เช่น ยกเว้นสื่อมวลชน จะพอใจหรือไม่ น.ส.ฐปณีย์ กล่าวว่า  เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้จำกัดเฉพาะสื่อมวลชนเท่านั้น ตนคิดว่าประชาชนเองในบางครั้งก็มีการนำเสนอข่าวได้ค่อนข้างดี ก็ควรมีพื้นที่ดังกล่าวด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยภายหลังยื่นฟ้อง ศาลได้รับคำฟ้องไว้ในสารบบเป็นคดีหมายเลขดำ พ.3618/2564 เพื่อนัดชี้สองสถานต่อ ส่วนคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราวขณะนี้ยังไม่มีการเเจ้งคำสั่งลงมา

ทร. แจง เรือรบอังกฤษเข้าร่วมฝึกในประเทศไทย

พล.ร.อ.เชษฐา  ใจเปี่ยม  โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ตามที่ มีการเผยแพร่ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ระบุว่าเรือรบสหรัฐอาณาจักร ร่วมฝึกกับ กองทัพเรือไทย ตามแผนร่วมสร้างเสรีภาพที่ดีและเปิดกว้าง โดยระบุว่าเรือหลวงริชมอนด์เข้ามาฝึกกับเรือรบ ซึ่งนับเป็นการเยือนไทยครั้งแรกของเรือสหราชอาณาจักรอังกฤษในรอบ 7 ปี  ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด19 ในประเทศไทย พร้อมทั้งวิเคราะห์ว่าเป็นการแสดงกำลังเพื่อคัดค้านอิทธิพลของจีนที่กำลังมีอยู่ในภูมิภาค นั้น 

โฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า เรือหลวงริชมอนด์ ของสหราชอาณาจักร เป็นเรือรบประเภทฟริเกต ซึ่งมีแผนเดินทางผ่านประเทศไทยด้านทะเลอันดามัน ช่วงระหว่างวันที่ 22 – 25 กรกฎาคม 2564 โดยไม่ได้แวะจอดเยี่ยมเมืองท่าประเทศไทย โดยในระหว่างการเดินเรือผ่านทะเลอันดามันนั้น มีความประสงค์จะขอทำการฝึก passex กับ กองทัพเรือไทย ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2564 ซึ่งการฝึกในลักษณะดังกล่าวเป็นการฝึกทั่วไปที่ปกติเรือรบต่างชาติสามารถประสานผ่านสถานฑูตอังกฤษในประเทศไทย เพื่อขอทำการฝึกกับประเทศที่เดินเรือผ่านเพื่อสร้างความคุ้นเคยและเพิ่มทักษะการปฏิบัติการทางเรือทั่วไป ไม่ได้มีเป็นการฝึกขนาดใหญ่ ที่มีรหัสการฝึก และต้องมีการวางแผนร่วมกันล่วงหน้าเป็นกิจลักษณะ  ซึ่งตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วเรือรบทุกชาติที่เดินเรือผ่านไปในน่านน้ำใดๆ มักจะนิยมขอทำการฝึก Passex  ซึ่งใช้เวลาไม่นานและมีหัวข้อการฝึกพื้นฐานในระหว่างเดินเรือผ่าน เพื่อฝึกความคุ้นเคยและทักทายกันแบบชาวเรือ ในการนี้ กองทัพเรือ โดย ทัพเรือภาคที่ 3 ได้จัดเรือและอากาศยานเข้าร่วมฝึก โดยจัดกำลัง ประกอบด้วย เรือกระบุรี และ เฮลิคอปเตอร์ลำเลียงแบบที่ 4  มีหัวข้อการฝึก ประกอบด้วย การแปรกระบวน  การชักธงประมวลสากล  การส่งไฟสากล และการจัดรูปกระบวนถ่ายภาพ ใช้เวลาการฝึกในห้วง 14.00 - 15.00 น.  พื้นที่ฝึกด้านใต้เกาะสิมิลัน ออกจากทับละมุไปประมาณ 40 ไมล์  การปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยเรือรบสหราชอาณาจักรไม่ได้เข้าจอดในพื้นที่ภูเก็ตแต่อย่างใด   
         
สำหรับการฝึก PASSEX นั้นย่อมาจาก Passing Exercise ซึ่งการฝึกในลักษณะนี้โดยส่วนใหญ่แล้วจะกระทำเมื่อมีเรือของกองทัพเรือมิตรประเทศ  เดินเรือเข้ามาจอดในน่านน้ำไทย โดยการฝึก PASSEX แม้ไม่มีการฝึกใช้อาวุธจริงเหมือนการฝึกใหญ่ๆ แต่ก็เป็นการฝึกที่ช่วยสร้างความเข้าใจและความคุ้นเคยในการปฏิบัติงานร่วม กันระหว่างกองทัพเรือของทั้งสองชาติ  ซึ่งที่ผ่านมากองทัพเรือ ได้จัดกำลังเข้าร่วมการฝึก PASSEX  กับกองทัพมิตรประเทศที่เดินเรือผ่านน่านน้ำไทยตามธรรมเนียมปฏิบัติ  ทั้ง อินเดีย ญี่ปุ่น จีน  รวมถึงรัสเซีย  เมื่อวันที่ 17 -​ 20 ตุลาคม 2562  ในโอกาสที่ หมู่เรือเดินทางของกองทัพเรือรัสเซีย ซึ่งประกอบด้วย  เรือตรวจการณ์  ADMIRAL​ VARYAG  เรือพิฆาต   ADMIRAL PANTELEYEV และเรือส่งกำลังบำรุง​ ADMIRAL​ PECHENGA เดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และเข้าจอด ณ  ท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยทัพเรือภาคที่ 1 ได้จัด เรือหลวงรัตนโกสินทร์ และเฮลิคอปเตอร์แบบ S-76 ร่วมฝึก PASSEX กับหมู่เรือ กองทัพเรือรัสเซีย ในครั้งนี้ 

พท.ถาม รบ.ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือหลังคนฝ่าโควิดออกมาไล่ขนาดนี้ ซัดหยุดผูกขาดบริหารประเทศที่ “ประยุทธ์” 

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีประชาชนออกมาร่วมคาร์ม็อบบีบแตรไล่รัฐบาลสนั่นทั่วประเทศ ดาหน้าโจมตีการที่งานที่ผิดพลาดล้มเหลวของรัฐบาลว่า แทนที่จะโกรธคนที่ออกมาไล่ รัฐบาลควรเห็นใจที่มีคนยอมเสี่ยงฝ่าโควิด ออกมาไล่รัฐบาลทั้งประเทศมากขนาดนี้ ประชาชนที่ออกมาดั่งแม่น้ำร้อยสายไหลรวมเป็นหนึ่งเป็นของจริง เดือดร้อนจริง ไม่ใช่การจัดฉาก รัฐบาลผิดพลาดล้มเหลวแก้โควิดไม่ไวเท่าเอาผิดประชาชน ควบคุมโควิดไม่ได้ ทำได้แค่ควบคุมไอโอ จำกัดการแพร่ระบาดของไวรัส ไม่เก่งเท่าจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน

 มาตรการที่รัฐออกมาทำได้แค่ยกระดับล็อกดาวน์ และขยายจังหวัดสีแดงเข้มออกไปเรื่อยๆ แต่คนติดเพิ่ม คนตายพุ่ง ทุบสถิติทำนิวไฮขาขึ้นตลอด เจ็บแล้วไม่จบ มีแนวโน้มเจ็บแล้วเจ็บอีก สำนักข่าวนิเคอิของญี่ปุ่นฟันธงประเทศไทยจะฟื้นตัวจากวิกฤติโควิดเป็นอันดับที่ 118 จาก 120 ประเทศ ต่ำกว่าลาว กัมพูชา เวียดนาม ตามศักยภาพการบริหารจัดการวัคซีน อย่างเร็วสุดคือ 5 ปีกว่าจะฟื้นตัว ยิ่งใช้อำนาจที่ปราศจากความชอบธรรม รัฐบาลยิ่งสูญเสียความชอบธรรม ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงรัฐบาล ไม่เปลี่ยนตัวพล.อ.ประยุทธ์ จะไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้   

“อยุธยาไม่สิ้นคนดี ประเทศไทยไม่ได้อับจนถึงขั้นหาคนมาแก้ปัญหาดีกว่านี้ไม่ได้ หยุดผูกขาดการทำหน้าที่ไว้เฉพาะพล.อ.ประยุทธ์และพวกพ้อง 7 ปีที่ผ่านมายังไม่สาใจแก่ใจหรือ ที่นำพาประเทศไทยมาถึงจุดวิกฤตที่สุดแบบนี้” นายอนุสรณ์ กล่าว

“บิ๊กตู่” รับมอบวัคซีน COVID-19 “ไฟเซอร์” จากรัฐบาลสหรัฐฯ จำนวน 1.5 ล้านโดส “ย้ำ”การบริหารจัดการวัคซีนให้เหมาะสมเพื่อประโยชน์สูงสุดกับประชาชนก่อนรับมอบวัคซีนจากรัฐบาลสหราชอาณาจักร เพื่อช่วยสนับสนุนการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไทยอย่างครอบคลุม 

ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีรับมอบวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยมีนายไมเคิล ฮีธ (Mr. Michael Heath) อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เป็นผู้แทนรัฐบาลสหรัฐอเมริกา

นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้สนับสนุนวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมิตรแท้และความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศที่มีมายาวนานกว่า 188 ปี รวมถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทย-สหรัฐฯ ที่ต้องการจะแก้ไขสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ร่วมกัน ซึ่งการฉีดวัคซีนถือเป็นประโยชน์สำหรับไทยที่มีความต้องการใช้วัคซีนเพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน พร้อมขอขอบคุณ นางแทมมี่ ดักเวิร์ธ วุฒิสมาชิกสหรัฐอเมริกา ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ได้ผลักดันและสนับสนุนให้ไทยได้รับวัคซีนเพิ่มเติมอีกจำนวน 1 ล้านโดส โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ดูแลคนไทยและผู้ประกอบการไทยที่ดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ เป็นอย่างดี พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลจะนำวัคซีนทั้งหมดไปบริหารจัดการอย่างเหมาะสมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนคนไทยต่อไป

นายไมเคิล ฮีธ อุปทูตสหรัฐฯ กล่าวว่า ทางสหรัฐฯ มีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในพิธีส่งมอบวัคซีนไฟเซอร์ในวันนี้ และภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมกับไทยในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 อุปทูตสหรัฐฯ ยังยินดีที่ไทยและสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์ที่ยาวนาน และความร่วมมือครอบคลุมทุกมิติ ทั้งความมั่นคง สาธารณสุข และเศรษฐกิจ นอกจากนี้ เป็นระยะเวลาอันยาวนานที่ไทยและสหรัฐฯ มีความร่วมมือทางด้านสาธารณสุข และการพัฒนาวัคซีนร่วมกันเพื่อป้องกันโรคระบาด การส่งมอบวัคซีนวันนี้นับเป็นการยกระดับความร่วมมือดังกล่าวให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โอกาสนี้ อุปทูตสหรัฐฯ ยังกล่าวขอบคุณรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้ดูแลประชาชนชาวสหรัฐฯ ในไทยเป็นอย่างดีในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  พร้อมหวังว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของไทยจะคลี่คลาย

ทั้งนี้ วัคซีนดังกล่าวของบริษัทไฟเซอร์ ไบโอเอนเทค (Pfizer-BioNTech) จำนวน 1,503,450 โดส ได้จัดส่งถึงไทยแล้วเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564

จากนั้นเวลา 09.30 น. ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานในพิธีรับมอบวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จากรัฐบาลสหราชอาณาจักร โดยมี นายเอวาน โจนส์ (H.E. Mr. Evan Jones) อุปทูตรักษาราชการแทนเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย เป็นผู้แทนรัฐบาลสหราชอาณาจักรเข้าร่วมพิธีฯ

นายกรัฐมนตรี กล่าวถวายพระพรแด่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในนามของรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทย ขอให้ทรงพระเกษมสำราญ พระพลานามัยแข็งแรง และฝากความระลึกไปยัง นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณในมิตรไมตรีและความห่วงใยของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ผ่านการสนับสนุนวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 415,040 โดส สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ไทย-สหราชอาณาจักร ที่แน่นแฟ้นยาวนานมากว่า 400 ปี เพื่อร่วมกันก้าวผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การสนับสนุนวัคซีนโควิด-19 ของสหราชอาณาจักร จะสนับสนุนช่วยให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อได้อย่างเข้มแข็งและมั่นคง โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ สหราชอาณาจักรเป็นต้นแบบในด้านการบริหารการกระจายวัคซีน ซึ่งสามารถจัดวัคซีนให้ประชาชนได้จำนวนมาก ทั้งนี้ เชื่อมั่นในความสัมพันธ์ของไทย-สหราชอาณาจักร ที่จะร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคและก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปพร้อมกัน

โอกาสนี้ อุปทูตรักษาราชการแทนเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย ได้ถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ และกล่าวว่ายินดีที่ได้มีส่วนช่วยเหลือประเทศไทยในสถาณการณ์เช่นนี้ และขอบคุณที่ให้การต้อนรับในวันนี้ ซึ่งในวันพรุ่งนี้วัคซีนโควิด-19 ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 415,040 โดส จะเดินทางถึงประเทศไทย ตามนโยบายของสหราชอาณาจักรที่ประสงค์บริจาควัคซีนให้แก่มิตรประเทศที่ต้องการความช่วยเหลือ
 

‘เสกสกล’ ชี้ ‘ณัฐวุฒิ’ ร่วมคาร์ม็อบ มีเป้าหมาย บอก คนเสื้อแดง เจ็บแล้วต้องจำ เตือน คนรุ่นใหม่ อย่าตกหลุมพราง

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. พร้อมคนเสื้อแดง ร่วมขบวนคาร์ม็อบ ว่า ในขณะที่ประเทศเกิดวิกฤตโควิด-19 แต่นายณัฐวุฒิกลับออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยไม่ห่วงว่าจะเกิดการระบาดคลัสเตอร์ใหม่หรือไม่ และยังไม่นึกถึงการทำงานของ ศบค. บุคลากรทางการแพทย์ และจิตอาสา ที่ทำงานอย่างหนักไม่ได้พักเหนื่อย นายณัฐวุฒิบอกด้วยว่า ออกมาเคลื่อนไหวกับกลุ่ม 3 นิ้ว ครั้งนี้เนื่องจากนายกฯบริหารสถานการณ์โควิด-19 ล้มเหลวนั่นก็ถือเป็นข้ออ้าง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่านายณัฐวุฒิ เคยเป็นรัฐมนตรี เป็น ส.ส. พรรคเพื่อไทย 

ดังนั้นการเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงเป็นการเอาใจนายใหญ่ที่อยู่ต่างประเทศ ต่อสู้เพื่อเอานายใหญ่กลับมา และยังมีเป้าหมายที่ยึดโยงกับสถาบันโดยไม่มีจิตสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่นายณัฐวุฒิได้รับการอภัยโทษ แสดงว่านายณัฐวุฒิมีจิตใจไม่จงรักภักดีร่วมกับกลุ่มนายอานนท์และนายเพนกวินแล้วใช่ไหม ในสมัยชุมนุมกลุ่ม นปช. นายณัฐวุฒิเองมิใช่หรือที่มีการสั่งให้เผาบ้านเผาเมือง คราวนี้คิดจะเผาบ้านเผาเมืองรอบสองหรือ จึงมาเป็นแกนนำม็อบ3นิ้วครั้งนี้คงสนุกแน่ คราวนี้ประเทศคงลุกเป็นไฟหนักยิ่งกว่าเดิม เพราะสไตร์การปลุกระดมที่รุนแรงของนายณัฐวุฒิบวกกับการเคลื่อนไหวของม็อบ 3 นิ้ว อาจจะเกิดเหตุการใช้ความรุนแรงหนักยิ่งขึ้น

เริ่มจากใช้ระเบิดที่ผลิตขึ้นมาเอง ระเบิดไฟ ระเบิดปิงปอง หนังสติ๊กลูกเหล็ก ถล่มโจมตีใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเมามัน ยังมีอาวุธมากมายหลายชนิด เล่นงานเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา เพื่อต้องการยั่วยุให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง ปฎิบัติการเย้ยฟ้าท้าดิน อย่างไม่คิดเกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง ในขณะที่ประเทศกำลังเกิดวิกฤตโควิด กลับไม่มีจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ไม่ได้สงสาร ห่วงใยประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเลยสักนิด คิดแต่จะล้มนายกฯ อยากมีอำนาจ ตนคิดว่าเป้าหมายคือต้องการจลาจลกลางเมืองเพื่อให้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประธานาธิบดี และเป้าหมายเอานายทักษิณนายใหญ่ของนายณัฐวุฒิให้พ้นคดีทุจริตและนำกลับประเทศให้ได้ 

ตนเองยังมีความห่วงใยน้องๆ ที่ถูกชักจูงอย่าไปหลงเชื่อนายณัฐวุฒิและนายสมบัติ บก.ลายจุด ในฐานะรุ่นพี่ที่เคยเคลื่อนไหวมา เคยตกหลุมพราง เคยหลงเชื่อ หลอกให้ต่อสู้เพื่อให้คนอยู่เบื้องหลังตระกูลชินวัตรกลับมามีอำนาจ  สุดท้ายเขาก็ไปแสวงหาผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง ไม่สนใจปัญหาประเทศชาติประชาชนมีแต่การทุจริตโกงกินมากมายและตอนที่ตนเองเข้าร่วมชุมนุมกับ นปช. เมื่อปี 52 -53 ก็บอกได้คำเดียวว่าจุดหมายไม่ได้สู้เพื่ออุดมการณ์ จึงอยากขอร้องน้องๆที่ห่วงใยบ้านเมือง อย่าไปหลงเชื่อ และตกเป็นเครื่องมือกับนายณัฐวุฒิและแกนนำ3 นิ้ว ไม่ควรเข้าไปร่วมในการชุมนุมด้วย เพราะเป้าหมายของเขาต้องการเป็นใหญ่ สู้แล้วรวยเท่านั้น เหมือนที่ได้รับโบนัสใหญ่โตมาแล้ว สุดท้ายคนที่ชอกช้ำหัวใจคือ มวลชนคนเสื้อแดง ที่ถูกหลอก เจ็บแล้วจึงต้องจำ

เคาะแล้ว "ขยายล็อกดาวน์" ยาวถึงสิ้นเดือนสิงหานี้ นายกฯ ถก "ศบค." ชุดใหญ่ ห่วงเชื้อเดลต้า ระบาดในไทย ขนาด สหรัฐฯ มีวัคซีนยังคุมไม่อยู่ ระบุ หาไฟเซอร์ 30 ล้านโดส ในปีนี้ ขยายพื้นที่แดงเข้ม จาก13 เป็น 29 จว. ล็อกดาวน์ ต่อ 14 วัน ร้านอาหารในห้างเปิดได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ประชุมศบค.เห็นชอบยก ระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร โดยปรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 13 จ.เป็น 29 จ.ดังนี้ โดยเพิ่มขึ้น 16 จ.ดังนี้ จ.กาญจนบุรี ตาก นครนายก นครราชสีมา ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ระยองราชบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี สมุทรสงคราม สระบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง 

ขณะที่พื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง )จาก 53 เหลือ 37 จ.ดังนี้ กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ บุรีรัมย์ พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก มหาสารคาม ยโสธร ระนอง ร้อยเอ็ด ลำปาง ลำพูน เลย ศรีษะเกษ สกลนคร สตูล สระแก้ว สุโขทัย สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุดรธานี อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ 

ส่วนพื้นที่ควบคุม(สีส้ม)จาก 10 จังหวัด เป็น 11 จัวหวัด ดังนี้ จ.กระบี่ นครพนม น่าน บึงกาฬ พะเยา พังงา แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน และสุราษฎร์ธานี

นอกจากนี้ ศบค.ปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ตามระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อย โดยพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ห้ามออกนอกเคหะสถานเวลา 21.00-04.00 น. งดให้บริการขนส่งข้ามเขตจังหวัด ให้ตั้งด่านสกัดระหว่างเขตจังหวัด (ตามมาตรการที่ราชการกำหนด) ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 5 คน  ห้ามบริโภคในร้าน ให้ขายแบบนำกลับไปบริโภคที่อื่น  เปิดได้ไม่เกินเวลา 20.00 น. งดจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน 

ส่วนการขายอาหารในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าให้เปิดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มผ่านการให้บริการแบบเดลิเวอรี่ ส่วนร้านขายยา เวชภัณฑ์ ซูเปอร์มาเก็ต เปิดได้ไม่เกินเวลา 20.00 น. ให้ปิดร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม สถานที่เล่นกีฬา หรือแข่งขันกีฬา และห้ามใช้อาคารสถานที่ของสถานศึกษาทุกระดับ สถาบันกวดวิชา เพื่อจัดการเรียนการสอนกิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมาก 

ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุด ให้ตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจ หรือจุดสกัด เพื่อตรวจคัดกรองการเดินทาง ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 20 คน บริโภคอาหารในร้านอาหารได้ เปิดไม่เกินเวลา 23.00 น.และงดจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า เปิดบริการได้ตามเวลาปกติ โดยจำกัดจำนวนคนและงดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ส่วนร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม เปิดบริการได้ตามปกติ และให้ใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอน กิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมาก โดยผ่านความเห็นชอบตากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด  สำหรับสถานที่เล่นกีฬาหรือแข่งขันกีฬา เปิดได้ทุกประเภท ไม่เกินเวลา 21.00 น. จัดแข่งขันโดยจำกัดผู้ชม 

ส่วนพื้นที่ควบคุม ไม่จำกัดการเดินทาง ห้ามจัดกิจกรรม รวมคนมากกว่า 50 คน ร้านอาหารให้บริโภคในร้านได้แบะเปิดได้ตามปกติ  ให้งดจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน ศูนย์การค้าเปิดได้ตามปกติ  ปิดส่วนเครื่องเกมส์ สวนสนุก ร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม เปิดได้ตามปกติ ให้ใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอนได้ ภายใต้มาตรการป้องกันโรคที่ราชการกำหนด  และสถานที่เล่นกีฬาหรือแข่งขันกีฬา เปิดได้ตามเวลาปกติทุกประเภท จัดการแข่งขันโดยจำกัดผู้ชม ทั้งนี้ให้ขยายมาตรการต่างๆ ออกไป 1 เดือน ตั้งแต่1-31 ส.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ช่วยโฆษกศบค. จะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในเวลา 17.00 น. และจะมีการถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ NBT


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top