Friday, 9 May 2025
POLITICS NEWS

"สถาบันนโยบายก้าวไกล" เสนอ มหาลัยลดค่าเทอม 30% ชี้ รัฐบาลควรอุดหนุนมหาลัยขนาดกลาง-เล็ก เพื่อลดค่าเทอมให้เท่าเทียม

นายเดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายของพรรคก้าวไกล (Think Forward Center) กล่าวว่า ขอเสนอให้มหาวิทยาลัยลดค่าเทอมลง 30% ช่วงเกิดวิกฤตโควิด-19 และรัฐบาลต้องเข้ามาอุดหนุนมหาวิทยาลัยขนาดกลาง-ขนาดเล็ก เพราะภาระค่าใช้จ่ายในการศึกษาระดับอุดมศึกษาเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับครัวเรือน โดยเฉพาะสำหรับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย เมื่อก้าวจากการศึกษาภาคบังคับมาสู่มหาวิทยาลัยจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่า และเมื่อนำค่าใช้จ่ายในการศึกษาดังกล่าวมาเทียบกับรายได้ของแต่ละครัวเรือนด้วยแล้วจะพบว่าครัวเรือนที่มีรายได้น้อยที่สุด 10% จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการศึกษาถึง 49% ของรายได้ครัวเรือน ในขณะที่ครัวเรือนที่มีรายได้สูง มีภาระค่าใช้จ่ายประมาณร้อยละ 7 ของรายได้เท่านั้น

นายเดชรัต กล่าวต่อว่า จึงไม่น่าแปลกใจว่าเด็กจากกลุ่มครัวเรือน 40% ล่าง มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 16.6 ของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาทั้งหมด ตรงกันข้ามกับสัดส่วนของนักเรียนในระดับชั้นอื่นๆ ยิ่งเมื่อรายได้ของครัวเรือนลดลงจากผลกระทบของโควิด-19 จะพบว่าสัดส่วนของภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษาของครัวเรือนที่มีรายได้น้อยต่อรายได้ทั้งหมดของครัวเรือน จะเพิ่มขึ้นเยอะกว่าครัวเรือนที่มีรายได้สูงมาก ยังไม่ต้องพูดถึงข้อเท็จจริง ที่ว่า ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยน่าจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาวะโควิด-19 มากกว่า นั่นหมายความว่าเด็กๆ จากครัวเรือนที่มีรายได้น้อยอาจต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา หรือครัวเรือนก็ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สินมากขึ้น ฉะนั้น ตนขอสนับสนุนให้มีการลดค่าลงทะเบียนและค่าใช้จ่ายในการศึกษาอื่นๆ ของนักเรียน นิสิต นักศึกษา เพื่อไม่ให้กลายเป็นความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามากไปกว่านี้

นายเดชรัตน์ กล่าวต่อว่า มหาวิทยาลัยควรลดค่าเทอมเท่าไรเป็นคำถามที่ตอบยาก เพราะแต่ละมหาวิทยาลัยมีโครงสร้างทางการเงินที่แตกต่างกันมาก อาจแยกได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ คือ 1.มหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ที่พึ่งพารายได้จากการจัดการศึกษา หรือค่าเทอมและอื่นๆ ของนิสิตนักศึกษา ไม่ถึง 20% ของรายรับทั้งหมด ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ช่วงปี 63 มหาวิทยาลัยกลุ่มนี้ยังมีรายได้สุทธิเป็นหลักพันล้านบาท และมีรายได้สุทธิสะสมเป็นหมื่นล้านบาทขึ้นไป เช่น จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยกลุ่มนี้น่าจะลดค่าเทอมได้มากกว่า 30-50% โดยยังรายได้สุทธิเป็นบวก และถึงติดลบบ้างก็ไม่กระเทือนเงินสะสมมากนัก 2. มหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ที่พึ่งพารายได้จากการจัดการศึกษามากกว่า 30% ขึ้นไป เช่น ศิลปากร มศว มหาวิทยาลัยกลุ่มนี้มีรายได้สุทธิสะสมเป็นหลักพันล้านบาทปลายๆ มหาวิทยาลัยกลุ่มนี้น่าจะได้รับผลกระทบจนรายได้สุทธิติดลบได้ ถ้ามีการลดค่าเทอมมากกว่า 30% และ 3.มหาวิทยาลัยขนาดเล็ก กลุ่มนี้ฐานะการเงินในช่วงหลังไม่ดีนัก รายได้สุทธิอาจมีติดลบในบางปี หรือถ้าเป็นบวกก็ไม่มากนัก กลุ่มนี้อาจลดค่าเทอมได้ในอัตรา 10% ถ้าลดมากกว่าอาจกระทบต่อรายได้สุทธิได้ ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยกลุ่มนี้มีรายได้สุทธิสะสมเป็นหลักพันล้านต้นๆ

"ผมเชื่อว่า ทุกมหาวิทยาลัยน่าจะลดค่าเทอมได้ 10% มหาวิทยาลัยขนาดใหญ่อาจลดได้ถึง 15-30% ส่วนที่เหลือ ผมว่าถ้ารัฐบาลเข้ามาช่วยอุดหนุนมหาวิทยาลัยขนาดเล็กและขนาดกลาง เพื่อให้ลดค่าเทอมได้ในสัดส่วนเดียวกันที่ 30% น่าจะเป็นเรื่องที่ดี นอกจากนี้ รัฐบาลและมหาวิทยาลัยควรเตรียมสินเชื่อเฉพาะกิจปลอดดอกเบี้ย สำหรับค่าเล่าเรียนในปีการศึกษานี้" นายเดชรัต กล่าว

‘สิระ’ สุดทน! นอนโลงซ้อมตาย ประชดการช่วยเหลือโควิด ไล่ ‘อธิบดีควบคุมโรค’ พ้นเก้าอี้ จี้ รับผิดชอบปล่อยคนตายแบบหมาจรจัด ซัด เอาแต่โยนขี้กัน แช่ง พวกหากินกับวัคซีนให้เจอภัยพิบัติทั้งการเมืองและครอบครัว

เมื่อวันที่ 20 ก.ค. ที่สำนักงานของนายสิระ ที่ถนนวิภาวดี นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า การซ้อมตายในวันนี้ คือ การออกมาเรียกร้องให้กับประชาชน เพราะเขาไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 หรือไม่ และไม่รู้ว่าจะตายโดยไม่ได้สั่งลาคนใกล้ชิดเมื่อใด เนื่องจากขณะนี้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงการรักษาของระบบสาธารณสุขได้เลย ทั้งที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ภาพที่ปรากฏ คือ คนไทยจำนวนมากนอนรอความตายอยู่ที่บ้าน แม้กระทั่งยาฟาวิพิราเวียร์ก็ไม่ได้กินเพื่อปกป้องชีวิตของตัวเอง

สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้ จะวางเฉยไม่ได้ ในเมื่อเป็นคนที่ได้รับมอบหมายมาให้แก้ไขเรื่องนี้ ถ้าแก้ให้คนไทยไม่ได้ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขต้องสั่งเปลี่ยนตัว ให้บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถมาทำหน้าที่แทน ชีวิตของคนไทยไม่สามารถอยู่ในมือคนไร้ความสามารถได้อีกต่อไป ใครที่ทำไม่ได้ก็พิจารณาตัวเอง ลาออกไปซะ ท่านต้องตอบคำถามกับประชาชนให้ได้ในทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องวัคซีนว่าทำไมต้องเจาะจงเฉพาะยี่ห้อนี้ ทำไมถึงแทงม้าตัวเดียว มีความพิเศษตรงไหน เรื่องนี้ไม่ใช่อำนาจของ ศบค.เพราะเป็นการเซ็นสัญญาซื้อตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว ไปดูคนที่ออกมาแถลงข่าวเก่า ๆ ว่าเป็นอำนาจของใคร

“วันนี้ผมเป็นผู้แทนราษฎร ประชาชนเลือกผมเข้ามาทำหน้าที่ แต่แค่เตียงให้ชาวบ้านไปนอนรักษาตัว ผมยังไม่สามารถทำได้ ผมทำได้เพียงนำถุงยังชีพและยาฟ้าทะลายโจรไปให้เพื่อบรรเทาอาการป่วย และที่สุดแล้วตนกับเพื่อน ๆ ก็รวบรวมเงินมาซื้อโลงศพไว้ สำหรับแจกให้กับประชาชน การที่ต้องไปเห็นคนป่วยนอนรอความตายอยู่ที่บ้าน รอการช่วยเหลือแบบไร้ความหวังเป็นภาพที่น่าหดหู่ นพ.โอภาส มีโอกาสได้เห็นภาพเช่นนี้หรือไม่ ผู้บริหารมัวแต่โยนขี้ใส่กัน ถึงตอนนี้ประชาชนเขาไม่สนใจหรอกว่าใครจะเป็นคนซื้อวัคซีน อำนาจหรือคนรับผิดชอบอยู่ที่ใคร แต่พวกเขาต้องการรู้ว่าเขาจะมีโอกาสรอดตายกี่เปอร์เซ็นต์ ต้องการรู้แนวทางการจัดการวิกฤตนี้อย่างชัดเจน ไม่ใช่คลุมเครือ จับต้องไม่ได้ ชีวิตคนไม่ใช่สุนัขจรจัด ถึงจะปล่อยให้ตายตามยถากรรม” นายสิระ กล่าว

นายสิระ กล่าวต่อว่า วิกฤตวันนี้คือระบบสาธารณสุขกำลังล่มสลาย แต่ทุกคนที่เกี่ยวข้องลอยตัวกับปัญหา ออกข่าวให้ประชาชนใช้ยาฟ้าทะลายโจรเพื่อรักษา แต่กลับไม่มีการควบคุมราคาและคุณภาพ ที่สำคัญคือของขาดตลาด ประชาชนหาซื้อไม่ได้ วันนี้เขาไม่มีทางเลือกแล้ว นอกจากรอว่าตัวเองจะดวงซวยติดโควิดและรับสภาพรอความตายที่จะมาถึงเท่านั้น ตนขอแช่งให้บรรดาบุคคลที่ยังหากิน หาผลประโยชน์จากวัคซีน และเห็นการตายของคนไทยเป็นของเล่นว่า ขอให้พบกับภัยพิบัติทางการเมืองและชีวิตครอบครัว และขอให้กรรมตามทันคนเหล่านี้ภายในภพชาตินี้

“กระทรวงสาธารณสุขมีคนที่มีความรู้ ความสามารถอยู่มาก มีจำนวนกรมมากมายที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตในครั้งนี้ เช่น กรมควบคุมโรค เป็นคนทำสัญญาซื้อวัคซีนแอสตราเซเนกา ขณะที่องค์การเภสัชกรรมทำสัญญาซื้อวัคซีนซิโนแวค และหากเอกชนจะซื้อวัคซีนไฟเซอร์หรือวัคซีนโมเดอร์นา จะต้องผ่านองค์การเภสัชกรรม ต้องไปดูว่าใครเป็นประธานบอร์ด และคนที่เป็นบอร์ด นามสกุลดังหรือนักการเมืองทั้งนั้น นี่คือต้นตอปัญหาวัคซีนใช่หรือไม่ เพราะวันนี้แม้กระทั่งคนที่มีกำลังทรัพย์ พร้อมจะควักเงินเพื่อซื้อวัคซีนมาป้องกันไม่ให้ตัวเองตายยังไม่สามารถเข้าถึงได้เลย แล้วประชาชนทั่วไปจะสามารถเข้าถึงวัคซีนพื้นฐานได้เมื่อไหร่ หรือต้องรอให้ตายก่อน

วันนี้ผมโชคดีที่ได้สั่งเสียก่อนที่จะตายแล้ว สงสารก็แต่คนที่ตายไปโดยที่ไม่มีโอกาสได้พบหน้าและกล่าวคำลาคนที่ตัวเองรักแม้สักนาทีเดียว นอกจากนี้ ภาพที่สะท้อนออกมาจากบุคลากรทางการแพทย์ที่ทั้งกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ทั้งลาออก เพราะความเครียดจากภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับ ผู้บริหารให้ความใส่ใจบ้างหรือไม่ มีการสร้างขวัญและกำลังใจให้บุคลากรหน้าด่านเหล่านี้หรือไม่” นายสิระ กล่าว


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'ณัฐนันท์-พรรคกล้า' ซัดรัฐบาลไม่ใช้ผล 'Rapid Antigen Test' ยืนยันติดเชื้อโควิด ต้องไปตรวจ RT-PCR ซ้ำ ถึงเข้าระบบรักษา ยกเหตุการณ์จริง บางรายตายเพราะหาที่ตรวจซ้ำไม่ได้ ชี้คนรอความตาย เพราะระบบราชการล้าหลัง

นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ ทีมกฎหมาย พรรคกล้า กล่าวถึงการทำงานช่วยหาเตียงให้ประชาชนที่ติดเชื้อโควิด-19 ว่า มีหลายคนตรวจ Rapid Antigen Test เป็นโควิด แต่เข้าระบบหาเตียงไม่ได้ เพราะรัฐบาลไม่ยอมรับ หลายรายป่วยหนัก ถึงขั้นให้ออกซิเจนอยู่ จะไปตรวจ RT-PCR ก็ไปไม่ไหว บางคนเป็นคนท้อง อาการหนัก บางบ้านเป็นทั้งบ้าน พอตรวจ Rapid Antigen Test ก็เข้าสู่ระบบหาเตียงได้เพียงบางคน ทั้งมีอาการทุกคน เมื่อคืนมีผู้ป่วยอายุ 80 กว่าปี รอตรวจ PCR จนน็อกเข้าไอซียู เป็นตายเท่ากันไปแล้ว พูดตรง ๆ มีผู้ป่วยตายไปแล้วด้วย เพราะหาที่ตรวจ PCR ไม่ได้

“เรื่องนี้เราไม่โทษเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และเราเข้าใจความอึดอัดด้วยซ้ำ แต่นโยบายของรัฐบาล หรือนโยบายของกระทรวงที่ยึดติดระเบียบเคร่งครัด ไม่ยืดหยุ่น ไม่ตอบสนองต่อสถานการณ์ ระบบราชการล้าหลัง กำลังฆ่าคนอย่างช้า ๆ และเลือดเย็นที่สุด เฉพาะที่อยู่ในมือทีมงานพรรคกล้า คลองสามวา ผมคิดว่าจะมีอย่างน้อย 3 คน ที่กำลังจะเสียชีวิต จากระบบนี้"

นายณัฐนันท์ กล่าวว่า ถ้าจะอ้างว่าผลตรวจ Rapid Antigen Test ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ต้องแก้ปัญหาด้วยการอาศัยการสอบสวนโรคควบคู่ เช่น เคสที่เป็นทั้งบ้าน มีผล PCR บางคน บางคนเป็น Rapid Antigen Test และอาการทุกคนก็ใช่ มันก็ชัดอยู่แล้ว จะไปบังคับให้ตรวจ PCR ซ้ำทำไม

หรือถ้าจะบังคับให้คนต้องตรวจ PCR ก็ต้องมีที่ตรวจให้เพียงพอ สะดวก รวดเร็ว ถ้าจัดให้ไม่ได้ก็ต้องหันมายอมรับ Rapid Antigen Test ซึ่งพรรคกล้าเรียกร้องให้รัฐบาลอนุมัติให้ใช้ และให้ยอมรับผลตรวจเข้าสู่ระบบหาเตียงมานานแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง และรัฐไม่มีทีท่าจะตอบสนอง ต้องรอคนตายอีกเท่าไหร่ถึงจะคิดได้


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“สุทธวรรณ โฆษกพรรคก้าวไกล  เรียกร้องหน่วยงานรัฐดูแลสุขภาพจิตให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ หลังกรณีพยาบาลในนครปฐม ฆ่าตัวตายเพราะสภาวะกดดัน”

นางสาวสุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล และส.ส.จังหวัดนครปฐม กล่าวถึงกรณีพยาบาลวิชาชีพท่านหนึ่งในสังกัดโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม ที่ฆ่าตัวตายจากสภาวะกดดันและซึมเศร้าหลังคลอดบุตร และต้องกลับมาปฏิบัติงานในสถานการณ์โรคโควิดระบาด

นางสาวสุทธวรรณกล่าวว่า เป็นเหตุการณ์ที่น่าเห็นใจ และน่าสลดใจมาก เนื่องจากบุคลากรท่านนี้เพิ่งคลอดบุตรได้ไม่นาน แต่ต้องกลับมาปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางความกดดันและปัญหาภายในใจที่รุมเร้าเกินกว่าจะหาทางออกได้ด้วยตัวเอง ส่วนตัวขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์นี้ และขอส่งกำลังใจไปยังครอบครัวของผู้เสียชีวิตด้วย ต้องยอมรับว่าสถานการณ์วิกฤตโควิดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในขณะนี้มีความรุนแรงและยังระบาดหนักอยู่ในหลายพื้นที่ อย่างในจังหวัดนครปฐมก็มีการระบาดหนักอยู่หลายอำเภอ เช่น อำเภอสามพราน อำเภอเมือง ซึ่งที่ผ่านมา ตนได้ประสานกับสาธารณสุขจังหวัดนครปฐม เพื่อหาทางส่งผู้ติดเชื้อที่มีอาการ ซึ่งนอนรออยู่ที่บ้านไปรักษา

ทั้งนี้ ตนขอส่งกำลังใจถึงบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนที่ทำงานหนัก ทุกท่านเป็นด่านหน้าที่ต้องรับความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา นอกจากสวัสดิการที่มีแล้ว ตนอยากเสริมให้หน่วยงานของรัฐคำนึงถึงความรู้สึกของบุคลากรแพทย์ ที่ขณะนี้มีแนวโน้มจะเป็นโรคซึมเศร้าหลายราย การปฏิบัติงานเต็มไปด้วยความเครียด วิตกกังวล อ่อนล้า และสิ้นหวัง หากเป็นไปได้ อยากให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องได้รับการดูแลสภาพจิตใจตลอดเวลา ได้รับการพูดคุยกับจิตแพทย์ หรือนักบำบัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความตึงเครียด และที่สำคัญ บุคลากรทางการแพทย์ ต้องได้รับวัคซีนชนิด mRNA โดยเร็วที่สุด เพื่อรับมือกับโควิดสายพันธุ์เดลตาที่กำลังระบาดหนักในขณะนี้

“สงคราม” ผิดหวังรัฐถ่วงเวลาเยียวยาคนรากหญ้าอัด “บิ๊กตู่”แก้ปัญหาแบบโง่เชื่อหยุดเชื้อโควิดไม่ได้

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติและอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิดในประเทศไทยทวีความรุนแรงขึ้น รัฐบาลยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ การประกาศมาตรการล็อคดาวที่เข้มข้นเพิ่มขึ้น เพื่อหวังลดจำนวนผู้ติดเชื้อจากหลักหมื่นคนต่อวันให้ลดลงนั้น เชื่อว่าไร้ประโยชน์ และ ไม่สามารถหยุดการระบาดของไวรัสโควิดได้ เพราะการบริหารจัดการสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ยังคงใช้วิธีการแบบโง่ๆของรัฐบาลไม่มีทางลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้

รัฐบาลต้องเร่งในการจัดการ คือการตรวจเชิงรุกควรปูพรมตรวจทุกพื้นที่ เพื่อแยกผู้ติดเชื้อ ออกจากชุมชนพร้อมนำไปรักษา ทั้งนี้รัฐบาลควรขอความร่วมมือกับกองทัพบก โดยใช้พื้นที่ของหน่วยงานกองทัพ ที่มีทุกจังหวัด ปรับเป็นโรงพยาบาลสนาม เพราะมีความเหมาะสม เนื่องจากมีความพร้อมในการดูแลผู้ติดเชื้อ ทั้งสถานที่และมีแพทย์ทหารดูแล รวมทั้งกองทัพเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล จะไม่ปฏิเสธคนติดเชื้อแม้แต่คนเดียว การทำเช่นนี้จะเป็นผลดีกว่าการปล่อยให้ผู้ติดเชื้อรอจนต้องเสียชีวิตในบ้านหรือเสียชีวิตข้างถนน นอกจากนี้รัฐบาลต้องเร่งจัดหาวัคซีนที่ดีที่สุดให้กับประชาชนมากที่สุด อย่าดีแต่พูดว่าจะจัดหา ควรทำงานด้วยความจริงใจกับประชาชน เพราะรัฐบาลมีงบประมาณมหาศาล ดังนั้นต้องใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า มาตรการล็อคดาวน์ต้องมาพร้อมความรับผิดชอบต่อความเดือดของประชาชน แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ การเยียวยาล็อคดาวน์รอบแรกประชาชนยังไม่ได้รับ ทำไมรัฐบาลไม่ประกาศมาตรการเยียวยาก่อนบังคับใช้กฎหมาย พลเอกประยุทธ์เลือกใช้อำนาจบนความเดือดร้อนของประชาชน แต่ไม่มีความจริงใจจะช่วยประชาชน ประชาชนเดือดร้อนทุกพื้นที่ของประเทศ แต่รัฐกลับไม่ได้ยินเสียงความเดือดร้อนของประชาชน ดังนั้นที่พลเอกประยุทธ์บอกว่าพร้อมรับฟังเสียงประชาชนคือการดีแต่พูดแต่ไม่เข้าใจความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง รัฐบาลต้องไม่ถ่วงเวลาที่จะช่วยเหลือประชาชน ควรเร่งหามาตรการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างรวดเร็ว” นายสงคราม กล่าว

หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เชื่อรัฐบาลใช้ความรุนแรงสลายม็อบ คือสัญญาณใช้อำนาจควบคุมประชาชนกลบเกลื่อนความล้มเหลว เตือนข้าราชการอย่าตกเป็นเครื่องมือเพราะการเมืองกำลังจะเปลี่ยนแปลง

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า การใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมราษฎรในวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา คือ สัญญาณการใช้อำนาจในการควบคุมประชาชนเพื่อกลบเกลื่อนความล้มเหลวเรื่องการแก้โควิดและความพังพินาศทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการล็อกดาวน์ซ้ำซากแต่ไม่จบ

หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า ตอนนี้กระแสความนิยมรัฐบาลตกต่ำสุดขีด อันเนื่องมาจากความผิดพลาดในการแก้ไขสถานการณ์โควิด ดังนั้นหาก พล.อ.ประยุทธ์จะดื้อดึงอยู่ในอำนาจต่อไป ทั้งที่ทำผิดซ้ำซาก ก็คงพยายามจะใช้อำนาจและความรุนแรงในการจัดการกับประชาชนที่เห็นต่าง

"พวกเด็ก ๆ ไปชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลลดงบกองทัพมาช่วยประชาชนกับให้ไปซื้อวัคซีนดี ๆ มาฉีดแต่รัฐบาลกลับยิงกระสุนยางและนำแก๊สน้ำตามาฉีดให้แทน คงต้องการจะบอกว่าต่อไปประชาชนที่เดือดร้อนจากการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาล หากจะมาเรียกร้องอะไรก็จะโดนเหมือนกับม็อบนี้ โดยอ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉินบังหน้า แต่จริง ๆ แล้วคงต้องการกดหัวประชาชนให้ยอมรับความผิดพลาดล้มเหลวของตัวเอง จึงเป็นเรื่องที่น่าเวทนา หาก พล.อ.ประยุทธ์ จะใช้วิธีการเช่นนี้" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวอีกว่า ตอนนี้อารมณ์ชาวบ้านโกรธเกลียดรัฐบาลเป็นอย่างมากเพราะต้องสูญเสียญาติพี่น้องจากการรอเตียงจนตายหรือการยังไม่ได้ฉีดวัคซีนที่ดี ยิ่งมาเจอข่าวเรื่องการหมกเม็ดสัญญาจัดซื้อวัคซีนก็ยิ่งทำให้ประชาชนทั้งโกรธแค้น ทั้งสงสัยว่ามันมีอะไรซุกซ่อนอยู่หรือไม่ ทำไมคนส่วนใหญ่จึงยังไม่ได้ฉีด ครั้นพอประชาชนไปเรียกร้องให้ซื้อวัคซีนดี ๆ มาฉีดก็ถูกปราบปรามด้วยความรุนแรง

"อยากเตือนไปยังข้าราชการทั้งหลายว่า อย่าไปยอมเป็นเครื่องมือรัฐบาลในการทำร้ายประชาชนหรืออย่าออกมาแก้ต่างแทนรัฐบาลที่กระทำความผิดหลายกระทง เพราะในไม่ช้าการเมืองจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน" หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยกล่าว


ที่มา : https://www.posttoday.com/politic/news/658446


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

"แท็กซี่ไทยไม่ทน" จัดกิจกรรม บีบแตรไล่ผู้นำที่ไร้ความสามารถ-แรลลี่ไปอ่านแถลงการณ์หน้าพรรคร่วมรบ. ก่อนกลับมาปักหลักหน้าทำเนียบ ปราศรัยถึง 5 โมงเย็น

ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล แท็กซี่ไทยไม่ทน นำโดย นายวรพล แกมขุนทด พร้อมสมาชิกกลุ่มประมาณ 10 คน ได้ขับรถแท็กซี่เขียวเหลือง ประมาณ 9 คัน มารวมตัวเพื่อยื่นหนังสือถึงรัฐบาล และ พรรคร่วมรัฐบาล โดยกลุ่มเรียกร้องให้คนขับแท็กซี่ทั้งหลายออกมาขับไล่ผู้นำเผด็จการ โดยกลุ่มได้มีการจัดกิจกรรม และปราศรัยเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไป ร่วมบริจาคคนละ 9 บาท ทั้งนี้กลุ่มแท็กซี่ไทยไม่ทน ได้จัดในรูปแบบแรลลี่ บีบแตรไล่ผู้นำที่ไร้ความสามารถ ไม่มีวิสัยทัศน์ ผู้นำเผด็จการ ไม่ฟังเสียงประชาชน ใช้แต่อำนาจข่มเหงประชาชน โดยทางสมาชิกกลุ่มแท็กซี่ไทยไม่ทน ได้จุดธูปปักที่กระถางต้นไม้ริมถนนราชดำเนิน ใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พร้อมระบุว่าเป็นการกราบไหว้บรรพชนคนประชาธิปัตย์ที่ได้สูญเสียไปกับระบอบเผด็จการที่ผ่านมา จากนั้นกลุ่มแท็กซี่ไทยไม่ทนได้เคลื่อนขบวนแรลลี่ แท็กซี่ทั้งหมดไปอ่านแถลงการณ์ ที่บริเวณหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย และพรรคพลังประชารัฐ ก่อนที่จะมารวมตัวกันที่หน้าทำเนียบรัฐบาล และประกาศด้วยว่า จะปักหลักทำกิจกรรมและปราศัยที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลไปจนถึงเวลา 17.00 น. 

“สิระ” อัด "ศุภชัย” กลัวนายไม่รัก หวั่น หลุดส.ส.สมัยหน้า โดดป้อง “อนุทิน” ไร้เหตุผล ชี้ ย้อนดูสัญญาซื้อวัคซีนล็อตแรกปี 63 ทำไมแทงม้าตัวเดียว

นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย ระบุถึงการจัดหาวัคซีนของประเทศไทย ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เป็นแพะรับบาปของศบค. ว่า สถานการณ์ตอนนี้มีความเหมาะสมในการโยนความผิดกันไปมาใช่หรือไม่ การหาแพะรับบาปไม่ใช่ว่าเพราะกลัวลูกพี่ไม่รัก จึงต้องออกมาปกป้องโดยไม่มีสาเหตุ โต้ตอบ ไม่ได้ดูเลยว่าแตะเรื่องอะไร ออกมาโวยวาย กลัวไม่ได้ลงเลือกตั้งครั้งหน้า หรือไม่มีเขตจะลง ฝ่ายการเมืองมีหน้าที่แก้ไขไม่ใช่โยนขี้ใส่กัน เราต้องหาวิธีแก้ไขปัญหา

“ไปดูการแทงม้าตัวเดียวในการจัดซื้อวัคซีนล็อตแรก ใช่ปี 63 หรือไม่ ที่จนตอนนี้ก็ยังไม่สามารถเปิดเผยสัญญาซื้อขายได้ ผมยังพูดกับอธิบดีกรมควบคุมโรคในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ และไอซีทีเลยว่า เงินภาษีประชาชนใช้อะไรไปต้องเปิดเผยได้ เรื่องนี้มีผลต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย ตอนนั้นประชาชนดีใจทั้งประเทศ อุ่นใจ แต่วันนี้หลอนทั้งประเทศ ตื่นเช้ามาก็หลอน การตายยังไงก็ต้องตาย แต่การตายครั้งนี้มันไม่ปกติ แพะมันก็คือแพะ ไม่ใช่หรือ หรือจะเอามากินเป็นข้าวหมกแพะ” นายสิระ กล่าว 

ศรีสุวรรณ ร้อง กลต. สอบหมอบุญ ส่อมีพฤติกรรม ดีลวัคซีนทิพย์

ที่สำนักงาน กลต. ถนนวิภาวดี นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องต่อเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.) เพื่อให้ตรวจสอบ และบังคับใช้กฎหมายกรณีการออกมาให้ข่าวของ นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เกี่ยวกับดีลการเจรจาจัดหาวัคซีนทางเลือก 20 ล้านโดส ซึ่งอาจเป็น “วัคซีนทิพย์” เพื่อหวังผลสร้างกระแสความนิยมในหุ้นของบริษัทหรือไม่

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า นพ.บุญออกมาให้ข่าวอย่างต่อเนื่อง กำลังดำเนินการลงนามจัดซื้อวัคซีน BioNTech ของเยอรมัน ชนิด mRNA เป็นตัวเดียวกับไฟเซอร์ และ Novavax ของอเมริกา ซึ่งสร้างความดีใจและความหวังให้กับคนไทยเป็นจำนวนมากที่หวังจะได้ใช้วัคซีนชนิด mRNA เพื่อนำมาป้องกันเชื้อโควิด-19 โดย นพ.บุญ ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะลงนามจัดซื้อได้ภายในเย็นวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไป ไม่มีคำตอบใดๆให้กับสังคม

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ในทางกลับกัน สื่อมวลชนหลายแขนงได้รายงานข่าวว่าบริษัทเตรียมเซ็นสัญญาซื้อวัคซีน BioNTech ของเยอรมนี จำนวน 20 ล้านโดส ทำให้ช่วงเช้าวันที่ 15 ก.ค.64 ราคาหุ้นของธนบุรีเฮลท์แคร์กรุ๊ป จากราคา 29.75 บาทพุ่งขึ้นถึง 33.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 12.61 % เลยทีเดียว และสื่อต่างประเทศได้รายงานว่าการออกมาให้ข่าวดีลการซื้อวัคซีนดังกล่าวช่วยให้ราคาหุ้นของเครือธนบุรีเฮลท์แคร์กรุ๊ปดีดตัวขึ้น และมีมูลค่าด้านการตลาดเพิ่มขึ้นราว 1,500 ล้านบาทเลยทีเดียว

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ขณะเดียวกันมีการเผยแพร่อีเมลอย่างเป็นทางการจากบริษัท Pfizer Deutschland GmbH เรื่องสิทธิ์การจัดจำหน่ายวัคซีน โดยระบุว่า “เรายังคงร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการจัดหาวัคซีน Pfizer-BioNTech COVID-19 ให้ใช้ได้ทั่วประเทศไทย และเรากำลังอยู่ในช่วงปรึกษาหารือกับกรมควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น” ส่วนผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของสหรัฐฯ ก็ยืนยันเช่นกันว่า ทางบริษัทมีการเจรจาเรื่องการส่งออกวัคซีนชนิด mRNA กับรัฐบาลไทยเท่านั้น

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า บทสรุปของการดีลเจรจาซื้อวัคซีนทางเลือกของ นพ.บุญ ยังไม่มีใครทราบว่าจะออกมาทางใด แต่ที่แน่ๆ การออกมาให้ข่าวอย่างต่อเนื่องดังกล่าว เป็นพฤติการณ์ที่น่าสงสัยว่าเป็นการสร้างกระแสความนิยมในหุ้นของบริษัทในเครือของตนหรือไม่ ทั้งที่กฎหมายห้ามมิให้บุคคลใดบอกกล่าวเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ ฯลฯ ซึ่งมีโทษหนักทั้งทางอาญาและหรือทางแพ่ง คือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับตั้งแต่ 1 ล้านถึง 5 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม ม.240 ม.242 ม.243 ประกอบ ม.296 วรรคสอง แห่งพรบ.ตลาดหลักทรัพย์ 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงนำความมาร้องเรียนต่อ กลต.เพื่อขอให้ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังหากพบว่ามีการละเมิดกฎหมายของ กลต.เพื่อหวังผลการเพิ่มมูลค่าหุ้นของตนในตลาดหลักทรัพย์ บนความคาดหวังลมๆแล้งๆของคนไทยหรือไม่

“บิ๊กตู่”เริ่มมาตร​การWFH 100% วันแรก ถกครม.ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์​จากบ้านพัก เตรียมพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาลูกจ้างจังหวัดล็อกดาวน์​เพิ่ม พร้อมติดตามการจัดหาวัคซีน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์จากบ้านพัก ภายในกรมทราบราบ มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ร.1 ทม.รอ.) ซึ่งเป็นวันแรกของการยกระดับมาตรการ​ควบคุม​การแพร่ระบาด​ของเชื้อไวรัส​โค​วิด​-19 ที่เข้มข้นขึ้น โดยเป็นการ Work from home 100% เช่นเดียวกับ​รัฐมนตรี​คนอื่นๆ รวมไปถึงข้าราชการ และ​เจ้าหน้าที่ ของทำเนียบรัฐบาล ซึ่งมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าเวรมาปฏิบัติหน้าที่ในภาคบริการบางส่วนด้วย  ทั้งนี้ ในส่วนของพล.อ.ประยุทธ์ นั้นจะ เข้าปฎิบัติหน้าที่ที่ทำเนียบรัฐบาลเท่าที่จำเป็นเท่านั้น อาทิ ภารกิจเกี่ยสกับการพบบุคคลสำคัญ เช่น เอกอัครราชทูต นายกรัฐมนตรีก็จะเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อปฏิบัติภารกิจตามปกติ แต่หากเป็นการประชุมก็จะเป็นในรูปแบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์จากบ้านพัก 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับวาระการประชุม  ครม.ที่น่าสนใจ ในวันนี้ ยังคงเป็นการติดตามสถานการณ์การแก้ไขปัญหาโควิด 19 ภายหลังรัฐบาลยกระดับมาตรการให้เข้มมากยิ่งขึ้น ข้อกำหนดที่ 28 ใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีผลบังคับใช้วันนี้ ในพื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด ขณะเดียวกันได้เตรียมพิจารณาผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ รวมถึงการเร่งรัดจัดหาวัคซีน ทั้งนี้กระทรวงแรงงาน จะมีการนำรายละเอียดการเยียวยานายจ้างและลูกจ้าง ในระบบประกันสังคม ตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ในพื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด รวมทั้ง จ.พระนครศรีอยุธยา ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ที่เพิ่งถูกประกาศให้เป็นพื้นที่สีแดงเข้ม หรือพื้นที่สูงสุดและเข้มงวดเพิ่มเติมเข้าที่ประชุม ครม. 

ขณะที่กระทรวง​ศึกษา​ธิการ  มีการรายงานมาตรการลดภาระผู้ปกครองและนักเรียนในส่วนของค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าเทอมในเบื้องต้น​ให้นายกรัฐมนตรี​รับทราบ ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งได้วางแผนจัดโครงการแพคเกจที่เหมาะสมไว้แล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top