Sunday, 16 February 2025
POLITICS NEWS

เผย “ชวน” งดประชุมสภาฯต่ออีก 1 สัปดาห์ ขานรับประกาศ ศบค.ฉบับล่าสุด

นายศุภชัย โพธิ์สุข รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง กล่าวว่า นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เตรียม แจ้งส.ส. ถึงการงดประชุมสภาผู้แทนราษฎ ออกไปอีก 1 สัปดาห์ จากเดิมที่มีคำสั่งงดประชุมสภาฯ ถึงวันที่ 25 ก.ค.นี้ โดยเหตุผลที่งดการประชุมเพิ่มเติมอีก 1 สัปดาห์ เพราะเป็นไปตามคำสั่งของ ศบค. ฉบับล่าสุด

เมื่อถามว่าการเพิ่มวันงดประชุมสภาฯ ฝ่ายค้านอาจไม่เห็นด้วย นายศุภชัย กล่าวว่า ต้องพิจารณาเหตุการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ปัจจุบันพบการระบาดไปทั่วบ้านทั่วเมือง หากสภาฯ ยังนัดประชุมอาจเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งห้ามการรวมตัวของประชาชนหรือการชุมนุมได้ เพราะสภาฯ ถือเป็นสถานที่ปฏิบัติงานที่รวมประชาชนจากทุกจังหวัด และการสั่งงดประชุมเพิ่มเติมนั้น ถือเป็นดุลยพินิจของนายชวน หากติดตามให้ดี นายชวน ไม่มีความต้องการอยากพักหรืองดประชุม เพราะท่านต้องการให้สภาฯ ได้ทำงาน แต่เมื่อสถานการณ์ระบาดของโควิด เพิ่มมากขึ้นและยอดการติดเชื้อไม่ลดลง ดังนั้นต้องคำนึงถึงการให้ความร่วมมือลดอัตราการเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อ  ซึ่งขณะนี้ มีส.ส. ที่ติดเชื้อโควิดแล้ว

จับตาครม.จ่อเยียวยาเพิ่มเติมหลังล็อกดาวน์เพิ่ม 13 จังหวัด

การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบ Video Conference วันที่ 20 ก.ค. 2564 ที่ประชุมเตรียมพิจารณาเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เตรียมเสนอผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ในคราวประชุมครั้งที่ล่าสุดให้กับที่ประชุมพิจารณา ซึ่งมีการประเมินกันว่า ผลการประชุมครั้งนี้อาจจะมีแนวทางของการช่วยเหลือเยียวยาเพิ่มเติมออกมาด้วย หลังจากที่รัฐบาลยกระดับการควบคุมสถานการณ์ในประเทศเพิ่มขึ้นมาเป็น 13 จังหวัด 

ขณะเดียวกันคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ยังเสนอร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 พ.ศ. .... 

เช่นเดียวกับการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สำหรับการปฏิบัติ ของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถนการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 1 ต.ค.2563 - 31 ม.ค.2564 รวม 123 วัน

ส่วนวาระอื่น ๆ กระทรวงอุตสาหกรรม เสนอร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อใช้บริโภคในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ด้าน กระทรวงพลังงาน เสนอการจัดตั้งบริษัทนวัตกรรมของกลุ่มการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ขณะที่กระทรวงการคลัง เสนอการปรับปรุงหลักการและแนวทางการพิจารณาการออกสลากการกุศล 

นอกจากนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2563 เรื่องขออนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง ผู้ประกอบการประมง และกระทรวงสาธารณสุข เสนอแผนระดับที่ 3 ของกระทรวงสาธารณสุข (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาทางการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ 1) พ.ศ.2564 – 2565

เลขาฯรมต.ประจำสำนักฯ ชี้ ม็อบไม่ได้ชุมนุมอย่างสันติ เสี่ยงโควิด-19 เพิ่มภาระแพทย์ เหน็บ รองหน.พท. ใจอำมหิต

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ว่า อยากขอความเป็นธรรมให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย เพราะการชุมนุมดังกล่าวไม่ได้เป็นการชุมนุมอย่างสันติ แต่มีการใช้ความรุนแรง แกนนำพกอาวุธ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ปฏิบัติตามหลักสากล ไม่ได้ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมทันที ตนเห็นดารานักแสดงบางคนออกมาตำหนิรัฐบาล รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ารัฐบาลทำร้ายประชาชน ตำรวจทำร้ายประชาชน ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง จึงไม่อยากให้มีการบิดเบือนข้อมูล เพราะทุกฝ่ายทำตามหน้าที่ และมีหลักฐานการกระทำผิดทุกอย่าง ที่สำคัญคือ ไม่มีใครคิดทำร้ายคนไทยด้วยกันเอง จึงอยากให้ดารานักแสดงกลุ่มดังกล่าวได้เข้าใจด้วย อย่าพยายามสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในสังคม อย่าพยายามแบ่งแยกประชาชน การกระทำของม็อบผิดกฏหมายชัดเจน มีการทำร้ายเจ้าหน้าที่ และบางคนยังพยายามจะเผาพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งสร้างความปวดใจให้กับพี่น้องคนไทยเป็นอย่างมาก

นายธนกร กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้ตนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก่อให้เกิดความวุ่นวายแก่บ้านเมือง ในขณะที่ทั่วโลกเผชิญกับปัญหาวิกฤติโควิด-19 ประชาชนให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ แต่ประเทศไทยกลับมีประชาชนกลุ่มหนึ่งออกมาชุมนุมประท้วง ทั้งๆ ที่ควรจะเห็นใจบุคลากรทางการแพทย์บ้างที่จะต้องทำงานอย่างหนักในการรักษาดูแลผู้ที่ติดเชื้อ รัฐบาลไม่อยากเห็นความขัดแย้ง จึงพยายามทำทุกอย่างในการแก้ปัญหาโควิด-19 เวลานี้ควรเป็นเวลาที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าวิกฤติโควิด-19 ตนอยากเห็นความรักความสามัคคีของคนไทยที่จะเอาชนะโควิด-19 ไปด้วยกัน 

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ยืนเคียงข้างม็อบนั้น อยากบอกนายอนุสรณ์ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่รักษากฏหมาย ดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ม็อบทำผิดกฏหมายและใช้ความรุนแรง แล้วจะให้ไปอยู่ข้างได้ม็อบอย่างไร บ้านเมืองมีขื่อมีแปทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฏหมายเดียวกัน ใครทำผิดก็ต้องรับโทษ หรือต้องให้เจ้าหน้าที่เป็นฝ่ายสูญเสียนายอนุสรณ์ถึงจะพอใจ แบบนั้นนายอนุสรณ์จะไม่จิตใจอำมหิตไปหน่อยหรือ  ตนไม่อยากจะคิดว่า นายอนุสรณ์สนับสนุนม็อบเพราะกำลังดำเนินการแผนเดินสองขาในการล้มรัฐบาลตามที่มีกระแสข่าวมาก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่
 

กมธ.การสื่อสารมวลชนฯ จี้ประยุทธ์-ผบ.ตร รับผิดชอบกรณี ใช้กระสุนยางต่อ 'ผู้ชุมนุม-สื่อมวลชน' ซัดเเรง!! ทำเพื่อรับใช้นายใช่หรือไม่? ชี้ชัด!! ละเมิดสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล

ณัฐชา บุญอินไชยสวัสดิ์ ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์กรณีกลุ่มเยาวชนปลดแอก ประกาศชุมนุมขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในวันอาทิตย์ที่ 18 ก.ค. เวลา 14.00 น. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล โดยการชุมนุมดังกล่าว ชุมนุม เพื่อยืนยัน 3 เรียกร้อง ได้แก่

1.) พล.อ.ประยุทธ์ต้องลาออกโดยไม่มีเงื่อนไข

2.) ปรับลดงบสถาบัน-กองทัพ สู้โควิด

3.) เปลี่ยนวัคซีนหลัก เป็นชนิด mRNA

โดยในขณะที่ผู้ชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมกำลังเคลื่อนขบวนเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาล ระหว่างเส้นทางเจ้าหน้าที่ตรึงกำลังเข้าควบคุมฝูงชน ของเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน (คฝ.) จำนวนมากยืนขวาง โดยมีรถจีโน่ 2 คันตรึงกำลังอยู่ มีการวางแนวรั้วเหล็กและลวดหนามหีบเพลง ซึ่งกลุ่มการ์ดผ้าพันคอสีเขียวพยายามเจรจาเพื่อขอผ่านไปเส้นถนนราชดำเนิน

จากนั้นเจ้าหน้าที่ประกาศเตือนผู้ชุมนุม และเริ่มมีการฉีดน้ำ เพื่อต้องการให้ผู้ชุมนุมหรือทีมการ์ดถอยห่างออกจากสิ่งกีดขวาง ที่เจ้าหน้าที่อ้างว่าต้องการรักษาความปลอดภัยของทรัพย์สินราชการ โดยแกนนำได้ประกาศให้ประชาชนปรบมือให้กำลังใจการ์ดวีโว่ที่อยู่ด้านหน้า เเละได้มีการเเจ้งว่า มีผู้บาดเจ็บจากการโดนยิง โดยใช้กระสุนยาง ซึ่งทราบภายหลังว่าคือ สื่อมวลชนที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในการชุมนุม

จากกรณีที่เกิดขึ้นนั้น ผมเองต้องขอสะท้อนว่า การบริหารราชการของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มันล้มเหลว มันถึงจุดจบเเล้ว เเละที่สำคัญ มันสะท้อนให้เห็นว่า ท่านนำพาประเทศชาติมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เราต้องสูญเสียบุคลากรทางการเเพทย์ ที่เปรียบเสมือนนักรบด่านหน้า ในการเผชิญต่อโรคระบาด ที่พวกเขาทำหน้าที่ด้วยจิตสาธารณะอย่างเต็มที่ เเต่กลับกัน นักรบตัวจริง กลับใช้อาวุธทำร้ายพี่น้องประชาชน เพียงเพราะเขาเห็นต่างกับสิ่งที่ท่านคิด ที่ท่านพยายามยัดเยียดให้ประชาชน เเต่ผลมันออกมาเเล้วว่า รัฐบาลของท่านไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทั้งระบบ ทั้งด้านสาธารณสุข เเละคุณภาพชีวิตของประชาชน

“พวกเขาออกมาร้องขอ ให้รัฐบาลนำวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ให้กับประชาชนเเละบุคลากรทางการเเพทย์ เเละอาสาสมัครสาธารณสุข ท่านไม่ให้เขา หาให้เขาไม่ได้ไม่เป็นไร เเต่ท่านกลับใช้กระสุนยิงใส่ประชาชน ที่สำคัญเป็นสื่อมวลชน ผู้เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน การกระทำเช่นนี้ ท่านจะให้คำตอบว่าอย่างไร ท่านต้องการปิดปากประชาชน ท่านกำลังเป็นฆาตกรอย่างเลือดเย็น ที่มองการตายของประชาชนเป็นเรื่องปกติใช่หรือไม่"

ทั้งนี้ ณัฐชา กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กระสุนยางยิงต่อกลุ่มผู้ชุมนุม โดยไม่ได้มีการประกาศบอกกล่าวก่อนเหมือนทุกครั้ง กรณีเช่นนี้ ผมขอตั้งคำถามไปยังพลตำรวจเอกสุวัจน์ เเจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจเเห่งชาติ ว่าท่านปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านกระทำการป่าเถื่อนเช่นนี้ได้อย่างไร การกระทำเช่นนี้ เป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล กรณีนี้ลูกน้องท่าน ทำเพื่อเอาใจผู้บังคับบัญชาใช่หรือไม่ ท่านต้องให้คำตอบต่อพี่น้องประชาชน ว่าสิ่งที่พวกท่านกำลังทำอยู่ นี่หรือ คือ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ตามคติของตำรวจไทย กรณีที่เกิดขึ้นหากสถานการณ์การเเพร่ระบาดโควิดดีขึ้น เเละรัฐสภาสามารปฏิบัติงานได้ปกติ ผมขอเชิญท่านเเละผู้เกี่ยวข้อง เข้ามาชี้เเจงต่อคณะกรรมาธิการ เพื่อตอบข้อเท็จจริงต่อประชาชนอย่างเร่งด่วน


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โฆษกทร.แจง ทร.ชะลอโครงการจัดหาเรือดำน้ำ ลำที่ 2-3 

ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงกรณีชะลอโครงการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 โดยไม่ขอรับการจัดสรรงบประมาณของโครงการฯ ซึ่งปรากฏรายการอยู่ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ว่า ตามที่พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชน ได้ทราบข่าวการขอชะลอโครงการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2   และ 3 โดยไม่ขอรับการจัดสรรงบประมาณของโครงการฯ ซึ่งปรากฏรายการอยู่ในร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ซึ่ง พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้แถลงต่อ คณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565/สภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ ไปแล้วนั้น ตนขอชี้แจงเป็นประเด็นดังต่อไปนี้ 
 
กองทัพเรือได้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการจัดหาเรือดำน้ำ ลำที่ 2 และลำที่ 3 ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือ และเป็นหน้าที่ที่กองทัพเรือจะต้องเตรียมกำลังรบที่มีความจำเป็น สำหรับการปกป้องอธิปไตยทางทะเล การดำรงเส้นทางคมนาคมทางทะเลให้ได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลกว่า 22.89 ล้านล้านบาทนั้น ทั้งนี้การเตรียมกำลังรบในยามปกติ จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องเตรียมความพร้อมทั้งองค์บุคคล องค์วัตถุ และองค์ยุทธวิธี ให้มีความพร้อมสูงสุดอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้กองทัพเรือยังมีภารกิจสำคัญอื่นๆ อีกมากมายในการสนับสนุนรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาประเทศ ซึ่งกองทัพเรือมีความตระหนักและให้ความสำคัญในทุกภารกิจหน้าที่ที่กองทัพเรือรับผิดชอบ และต้องเตรียมการให้มีความพร้อมสูงสุดที่จะเผชิญภัยคุกคามในทุกรูปแบบ โดยไม่ย่อท้อ และพร้อมที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติทางทะเลตราบชีวิตจะหาไม่ ซึ่งกองทัพเรือได้พิจารณาไตร่ตรองโดยถี่ถ้วนแล้ว เห็นว่ามีความจำเป็นต้องจัดหาเรือดำน้ำไว้ประจำการจำนวน 3 ลำ จะสามารถปฏิบัติการได้ครอบคลุมทั้ง 2 ฝั่งทะเล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับต่อภารกิจและหน้าที่ที่กองทัพเรือรับผิดชอบ และยังเป็นการเพิ่มศักยภาพทางทะเลของกองทัพเรือไทยให้มีมากยิ่งขึ้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นการจัดหาเรือดำน้ำ จึงเป็นหนทางที่มีความเหมาะสมและเกิดความคุ้มค่าสูงสุดกับการใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชน 
      
พล.ร.อ.เชษฐา กล่าวต่อไปว่า จากสถานการณ์วิกฤตของการแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2562 กองทัพเรือได้ให้ความสำคัญในการระดมสรรพกำลังทุกรูปแบบเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถเท่าที่จะกระทำได้ อาทิเช่น การจัดตั้งสถานที่กักตัวที่รัฐจัดให้แห่งแรก  การจัดตั้ง รพ.สนาม การจัดกำลังพลสนับสนุน ศปค.ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดฯ  การดูแลและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น  

ทั้งนี้กลาโหมและกองทัพเรือไปพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ประกอบกับกองทัพเรือได้ประเมินสถานการณ์ในภาพรวมร่วมกับทรวงกลาโหมแล้ว เห็นว่ารัฐบาลมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการช่วยเหลือประชาชนในยามทุกข์ยากเช่นนี้ เพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหาและทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดที่มีความวิกฤต กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด  อีกทั้งในส่วนของการดำเนินการด้านงบประมาณนั้น กองทัพเรือได้ส่งคืนงบประมาณในปี 2563 จำนวน 3,375 ล้านบาท ปี 2564 จำนวน 3,925 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนให้รัฐบาล สามารถบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดในภาพรวม ตามความจำเป็นเร่งด่วนต่อไป โดยการดำเนินการเสนอของบประมาณจัดหาเรือดำน้ำเพิ่มเติมอีกจำนวน 2 ลำ ในปี 2565 กองทัพเรือได้พิจารณาถึงความเหมาะสมด้านงบประมาณที่ไม่เป็นการใช้งบประมาณแต่ละปีมากจนเกินไป โดยได้มีการเจรจากับทางฝ่ายจีนให้สามารถแบ่งจ่ายเงินสำหรับโครงการจัดหาเรือดำน้ำอีก 2 ลำที่เหลือ เป็นเวลาถึง 6 ปี ซึ่งสามารถจ่ายเงินงวดแรกในปีงบประมาณ 65 ที่กำลังพิจารณานี้ เพียง 900 ล้าน จาก ยอดรวม จำนวน 22,500 ล้านบาท ของมูลค่าเรือดำน้ำทั้ง 2 ลำ ทั้งนี้เงินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณปกติของกองทัพเรืออยู่แล้ว มิได้เป็นงบประมาณที่ขอใหม่แต่อย่างใด 

โฆษกกองทัพเรือ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์วิกฤตดังกล่าวที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นตามลำดับและส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นอย่างมาก จึงทำให้กองทัพเรือได้พิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม เพื่อหาหนทางปฏิบัติที่มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์วิกฤตในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง จึงขอชะลอโครงการจัดหา ด. ลำที่ 2 และ 3 ไปก่อน โดยไม่ขอรับการจัดสรรงบประมาณของโครงการจัดหาเรือดำน้ำ ลำที่ 2 และลำที่ 3 ซึ่งปรากฏรายการอยู่ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565  ทั้งนี้การชะลอการจัดหาเรือดำน้ำออกไปในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นการจัดหาในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล  ที่รัฐบาลจีนให้ความช่วยเหลือทางทหารหลายรายการ จึงอาจส่งผลกระทบบางประการที่กองทัพเรือจะต้องไปดำเนินการเจรจากับรัฐบาลจีน เพื่อสร้างความเข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นของการชะลอโครงการดังกล่าว และไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และยังคงความพร้อมที่จะให้การสนับสนุนความช่วยเหลือทางทหารกับกองทัพเรือต่อไป
 
“กองทัพเรือหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การพิจารณาของกองทัพเรือในครั้งนี้ จะเกิดประโยชน์แก่ประชาชนคนไทยในสถานการณ์ที่เหมาะสม ตลอดจนเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยแก้ไขปัญหาของชาติอันเป็นที่รักของพวกเราทุกคน ตลอดจนลดความขัดแย้งทางความคิด อันจะนำไปสู่การมีความสมัครสมาน สามัคคี ที่จะเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้รอดพ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 ได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อ” พล.ร.อ.เชรษฐา กล่าว 

อ.กิตติธัช โพสต์เฟซบุ๊ก สะท้อนสังคมไทยที่กำลังหิวข้อมูลเท็จแบบไม่ลืมหูลืมตา

กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง โพสต์เฟซบุ๊ก 'Kittitouch Chaiprasith' สะท้อนสังคมไทยที่กำลังหิวข้อมูลเท็จแบบไม่ลืมหูลืมตาว่า...

วันนี้ผมเห็นโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา ทำในสิ่งเดียวกับที่ผมทำมาโดยตลอด คือ การเอาข้อเท็จจริงมาให้สังคมดู โดยไม่เกี่ยวว่าจะเป็นใครฝ่ายไหน ใครจะชอบหรือไม่ชอบ แต่ข้อเท็จจริงก็คือข้อเท็จจริง

-----------------

เพราะบรรดาสื่อและ Influencer ที่เชียร์ม็อบและอยากล้มรัฐบาล-สถาบันกษัตริย์นั้น เอาเรื่องกรณีที่บริษัท Food Panda ไล่พนักงานที่ไปเผารูปในหลวงกับเผาสิ่งของในม็อบ ไปเล่าให้มวลชนฟังว่า

"Food Panda ไล่พนักงานออก เพราะไปชุมนุมขับไล่รัฐบาล" ซึ่งทำให้มีกระแสแบน Food Panda

โดยที่สื่อและ Influencer เหล่านี้ไม่บอก เล่า หรือแสดงคลิปการเผารูปในหลวงและสิ่งของข้างทางให้มวลชนและสังคมดู หรือง่าย ๆ คือ เขาพยายามเล่าความจริงครึ่งเดียว/เสี้ยวเดียวแบบที่เขาทำมาตลอดหลายปี

ซึ่งพอโบว์นำความจริงตรงนี้มายืนยัน!! บรรดา 'กลุ่มสามนิ้ว' และคนที่อ้างตัวว่าเป็น 'ฝ่ายประชาธิปไตย' (แต่ทำทุกอย่างตรงข้าม) ก็ไม่พอใจและเข้าไปรุมถล่มเธอ

-------------------

ผมชอบประโยคที่โบว์คอมเมนต์ว่า...

"เข้ามาด่ากันสารพัดเพราะไม่พอใจที่เราเอาข้อเท็จจริงเรื่องการเผาข้าวของ และการระรานแบนคนเค้าไปทั่วโดยไม่สนใจข้อเท็จจริงมาวางให้ดู...เราก็รู้สึกเหมือนถูกหลอกนะ ไม่คิดว่าคำว่า ”ฝ่ายประชาธิปไตย” จะหน้าตาเป็นแบบนี้"

ขนาดเผากองข้าวของริมถนนข้างรถที่ยังติดอยู่แบบนี้ แล้วขึ้นรถถอดป้ายทะเบียนหนียังเห็นดีเห็นงามกัน แล้วมาบอกว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมแบบนี้แปลว่าต้องเข้าข้างรัฐบาล

ควรรู้ตัวได้แล้วว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับทั้งรัฐบาลและพฤติกรรมแบบนี้ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก และเขาเอือมกับพฤติกรรม #อันธพาลออนไลน์ จนปิดปากกันไปหมด

ไม่รู้ตัววันนี้วันหน้าก็จะได้รู้เองว่าพากันถอยหลังไปไกลแค่ไหน ถ้าเราไม่พูดก็ไม่มีใครพูดหรอก แต่ผลของมันจะแย่แน่ ๆ"

-------------------

ซึ่งถูกต้องครับ...ที่ผ่านมาม็อบสามนิ้วทำแต่ละสิ่ง ห่างไกลจากคำว่าประชาธิปไตยไปแบบคนละทิศละทาง

ทั้งการข่มขู่ คุกคาม ตั้งแต่ประชาชนทั่วไปจนถึงสถาบันกษัตริย์ การใช้ Fake News การเล่าความจริงครึ่งเดียว แล้วปั่นกระแส การ Bully คนอื่น และอื่น ๆ อีกมาก

และตามที่โบว์บอก คือ มีคนตรงกลางอีกมากที่ไม่เอาด้วยกับทั้งขวาจัดและซ้ายจัดที่อยากให้มีความรุนแรง เพื่อนำไปสู่การปะทะหรือต่อสู้กัน

เขาอาจไม่ชอบ ไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาล แต่ไม่ได้แปลว่าเขาเอาด้วยกับกลุ่มสามนิ้วเช่นกัน

----------------

>> โพสท์ของโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา

https://www.facebook.com/bow.nuttaa/posts/10158524155920819


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4310585882338871&id=100001625041497


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“โฆษกพปชร.” แนะ “ศุภชัย”  อย่าติดกับคนผู้ไม่หวังดี ชี้ ภาวะวิกฤตต้องมีสติ-หนักแน่น จับมือแก้ปัญหา

น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส. กทม.ในฐานะโฆษกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวกรณีที่นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ตัดพ้อถึงการทำงานของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ว่า การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รวมถึง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทุกกระทรวง ทุ่มเทแก้ปัญหาการระบาดของโควิด-19 เต็มที่ การบริหารจัดการสถานการณ์ปัจจุบันในภาวะวิกฤต ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก มีทั้งข้อจำกัดและแรงกดดันมากเป็นทวีคูณ การตัดสินใจดำเนินการสิ่งใด ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อเกิดประโยชน์แก่ประเทศและประชาชนอย่างสูงสุด แต่สิ่งที่ยากก็คือข้อจำกัดที่อยู่นอกเหนือการควบคุม เช่น การกลายพันธุ์ของโควิด-19 ทำให้อาจจะไม่สามารถทำอย่างที่เราต้องการได้ทั้งหมด

น.ส.พัชรินทร์ กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลถูกโจมตีจากผู้ไม่หวังดีและบิดเบือนความจริงจำนวนมาก ยิ่งต้องรับแรงกดดันด้วยสติ และแก้ปัญหาต่อไปโดยไม่กล่าวโทษไปมา เพราะทุกการตัดสินใจผ่านคณะที่ปรึกษา และคณะรัฐมนตรี ร่วมตัดสินใจด้วย จึงอยากให้มีความหนักแน่น เพื่อพาประเทศผ่านพ้นวิกฤตนี้โดยเร็วที่สุด และนำความปกติสุขคืนสู่ประชาชน ไม่หวั่นไหวไปกับการกระพือข่าวสร้างความแตกแยกของผู้ไม่หวังดีต่อชาติ แต่หากเสียงสะท้อนนั้นสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ก็นำมาปรับปรุงให้ดีขึ้นได้

ศบค. ย้ำ ข้อกำหนดเข้ม ลดการเดินทาง “ให้ลดผดส.-ขนส่งสาธารณะ ทั่วประเทศไม่เกิน 50เปอร์เซ็นต์” แนะ รอฟังประกาศแต่ละจ.กำหนดเพิ่มเติม

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค.กล่าวว่า สำหรับข้อกำหนดเรื่องการเดินทางของประชาชนใน 13 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด(สีแดงเข้ม) ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่21 ก.ค.นี้ ให้กระทรวงคมนาคม กทม.จังหวัด หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูแลการให้บริการขนส่งสาธารณะทุกประเภทในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และการขนส่งสาธารณะทุกประเภทระหว่างจังหวัดทั่วราชอาณาจักร
ให้จำกัดจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการไม่เกินร้อยละ 50 ของความจุผู้โดยสาร คือให้ลดการเดินทางทั้งประเทศ ไม่เฉพาะ 13 จังหวัด โดยเดินทางได้ แต่ต้องลดพื้นที่ขนส่งลง 50 เปอร์เซ็น ให้เว้นระยะห่าง และให้บริการเพียงพอต่อความจำเป็นในเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะอำนวยความสะดวกรับส่งผู้โดยสารไปฉีดวัคซีน  ขณะที่สำนักงานการบินพลเรือนขอความร่วมมือสายการบิน จากดอนเมือง และสุวรรณภูมิ ได้งดเที่ยวบินที่ออกจากกรุงเทพฯไปยังจังหวัดสีแดงเข้มให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค.เป็นต้นไป ดังนั้นเพื่อลดความแออัดขอความร่วมมืออย่าเดินทางในเวลานี้

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า นอกจากนั้นยังคงมาตรการเคอร์ฟิว ตั้งแต่เวลา 21.00 น.-04.00ของวันรุ่งขึ้นเป็นเวลา 14 วัน และยังควบคุมการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มให้ซื้อกลับที่บ้านได้จนถึงเวลา 20.00 น. และห้ามขายแอลกอฮอล์ ส่วนการเปิดห้างจะเข้มข้นขึ้น โดยให้เปิดบริการได้เฉพาะซุปเปอร์มาร์เก็ต แผนกยาและเวชภัณฑ์เท่านั้น และพื้นที่จัดให้บริการฉีดวัคซีน เปิดได้จนถึงเวลา 20.00 น. และปิดกิจการร้านขายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง ธนาคาร สื่อสารฯ ในห้างใหญ่ ด้านร้านสะดวกซื้อ ตลาดสด ให้เปิดได้จนถึงเวลา 20.00 น. และให้เแต่ละจังหวัดพิจารณาสั่งปิดได้ตามความจำเป็น หากมีผู้ติดเชื้อสูงขึ้น ส่วนโรงแรมให้งดจัดกิจกรรมประชุม สัมมนาหรือจัดเลี้ยง และห้ามรวมกลุ่มเกิน 5 คน หากเป็นการรวมกลุ่มของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับอนุญาตไปก่อนหน้านั้น ให้มาขออนุญาตอีกครั้งเพื่อตรวจสอบและทบทวนให้เป็นไปตามมาตรการ นอกจากนั้นให้ภาครัฐสั่งการให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรปฎิบัติงานนอกสถานที่หรือเวิร์กฟรอมโฮมขั้นสูงสุด โดยใช้วิธีประชุมทางอิเล็กทรอนิกส์ และขอความร่วมมือเอกชนปฎิบัติงานนอกสถานที่ตั้งให้มากที่สุดเช่นกัน

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมและกิจการอื่น เช่น สถานที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง สวนสาธารณะ สามารถทำได้หรือไม่ทางศบค.ให้แต่ละจังหวัดออกประกาศข้อกำหนดของตัวเองให้สอดคล้องกับมาตรการหรือเข้มข้นมากขึ้น ขอให้ประชาชนรอฟังประกาศของจังหวัดนั้นๆอีกครั้ง

นอกจากนั้นสถานที่อนุญาตให้เปิดได้ตามความจำเป็น ได้แก่  โรงพยาบาล สถานพยาบาล คลินิกแพทย์รักษาโรค ร้านขายยาและเวชภัณฑ์ ร้านค้าทั่วไป โรงงาน ธุรกิจหลักทรัพย์ ทุรกรรมการเงิน ธนาคารเอทีเอ็ม การสื่อสารคมนาคมไปรษณีย์และพัสดุ ร้านจำหน่ายอาหารสัตว์ ร้านจำหน่ายเครื่องมือช่างและอุปกรณ์ก่อสร้าง ร้านจำหน่ายสินค้าเบ็ดเตล็ด ที่อยู่นอกห้าง รวมถึงสถานที่จำหน่ายแก๊สหุงต้ม เชื้อเพลิง ปั๊มน้ำมัน ปั๊มแก๊ส รวมทั้งบริการสินค้าและอาหารตามสั่งสามารถเปิดได้ตามความจำเป็น 

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เมื่อปีที่แล้วมีการคาดการณ์ว่าจะติดเชื้อ 16.9ล้านคน ถ้าไม่ทำอะไรก็จะมีจะมีการคาดการณ์อาจจะติด9แสนคนหรือ9ล้านคน หรือ4แสนคน วันนี้เห็นเป็นรายวันที่บอกวันละ1 หมื่น2หมื่น 3หมื่นคน แต่เราไม่อยากให้เป็น วันนี้แตะหมื่นหลายวัน จึงอยากให้ลดลงไปโดยทุกคนต้องช่วยกันช่วยกันได้ ความสามัคคีที่จะช่วยกันได้ ข้อกำหนดออกมาเหมือนกติกาที่จะอยู่ร่วมกันเพื่อดึงกราฟตัวเลขลงมาได้ เพื่อให้เห็นพลังและจิตใจของคนไทยนอกจากช่วยตัวเองและญาติพี่น้องก็ยังช่วยชาวไทยทุกคนด้วยจึงขอกราบขอความร่วมมือประชาชนทุกคนแล้วเราจะผ่านความทุกข์ยากไปด้วยกัน

พท.พ้อ ปชช.อยู่กับรบ.ทิพย์ เหน็บมีแต่กลาโหมขยันจะซื้อแต่เรือดำน้ำ

ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า นอกจากการล็อกดาวน์ประเทศ จะล็อกดาวน์ประชาชน ล็อกดาวน์พื้นที่ ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลกำลังล็อกดาวน์บทบาทหน้าที่การทำงานของตัวเองด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผอ.ศบค.รับผิดชอบภาพรวมการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของประเทศ และตั้งตัวเองเป็นผอ.ศูนย์แก้โควิด-19 กรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็ล้มเหลว ผิดพลาด ไร้ประสิทธิภาพแทบทุกตำแหน่ง สะท้อนผ่านการประกาศยกระดับ 13 จังหวัดเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม และมีแนวโน้มอาจต้องประกาศยกระดับจังหวัดต่างๆ เพิ่มขึ้นอีก ทั้งหมดล้วนเป็นความรับผิดชอบของพล.อ.ประยุทธ์ แทนที่จะเพิ่มไอคิว ดันเพิ่มไอโอ จนต้องปั่นไอโอสู้กันเองระหว่างทหารกับพรรคร่วมรัฐบาล เหมือนทหารเหยียบตาปลาหมอ อุตส่าห์ยึดอำนาจมารวมศูนย์ไว้ที่ตัวเอง แต่กลับล็อกดาวน์บทบาทหน้าที่ตัวเอง ไม่ทำงาน ไม่ตั้งสติ ตรวจสอบ แทนที่จะยอมรับผิดแล้วเดินหน้าปรับปรุงแก้ไข แต่ก็ละทิ้งโอกาสและไม่ทำ แทบทุกกระทรวงหายไปจากสารบบของการดูแลเยียวยาแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ปล่อยให้ประชาชนต้องดูแลเยียวยาตัวเอง 

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า มีรัฐบาลก็เหมือนมีรัฐบาลทิพย์ ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ กระทรวงดีอีเอส แทนที่จะบริหารจัดการเชื่อมโยงข้อมูลในระบบบิ๊กดาต้า เพื่อให้สามารถเข้าถึงการเยียวยาประชาชนที่เดือดร้อน แต่กลับไปเน้นหนักในการทำหน้าที่ไล่ฟ้องประชาชน ปกป้องอำนาจรัฐกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่ควรจะมีบทบาทหลักในการดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง กลับล็อคดาวน์ตัวเอง กระทรวงศึกษาธิการที่ควรเป็นเจ้าภาพในการงดหรือลดค่าเทอมหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในช่วงที่นักเรียนต้องเรียนออนไลน์ให้ผู้ปกครอง ก็ไม่สามารถทำได้ ที่ขยันผิดกระทรวงอื่น คือกระทรวงกลาโหมที่ยังคงดำรงความมุ่งหมายในการจ้องจะซื้อเรือดำน้ำอันเป็นความปรารถนาอย่างสูงสุดของกองทัพ

“รัฐบาลทิพย์ รัฐมนตรีล็อกดาวน์บทบาทตัวเอง คนเปราะบาง ประชาชนเดือดร้อนทั่วทุกหย่อมหญ้า เยียวยาไม่พอยาไส้ แต่ให้ประชาชนดูแลกันเอง จิตใจทำด้วยอะไร” นายอนุสรณ์ กล่าว 

พท.อัดรัฐอาการหนัก ล้มเหลวทำวิกฤตโควิดลามหนัก  เย้ยจะอยู่เป็น รบ.เพื่ออะไร

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีการล็อกดาวน์หลังผ่านการบังคับใช้มาครึ่งทางว่า ประชาชนประเมินการล็อกดาวน์ครั้งนี้ มีแนวโน้มเจ็บแต่ไม่จบ  และอาจต้องเจ็บหนักขึ้นไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ สถานการณ์ที่ต้องปิดเมืองก่อนเปิดประเทศ  เศรษฐกิจพังลามวิกฤตหนักไปอย่างรวดเร็ว แต่รัฐบาลแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูก กดตัวเลขผู้เสียชีวิต ผู้ติดเชื้อไม่ลง ก็ยกระดับไปเรื่อยๆ ไม่เห็นแผนงานที่เป็นขั้นเป็นตอนทั้งก่อนและหลังการล็อกดาวน์ จุดเปลี่ยนสำคัญของโควิดระลอกนี้ คือการสั่งปิดแคมป์คนงานก่อสร้างโดยไม่มีแผนรองรับ กลายเป็นการส่งเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วไปทั่วประเทศอย่างเป็นทางการด้วยคำสั่งของรัฐบาลเอง หลักฐานฟ้องความล้มเหลวชัด คือการประกาศขยายล็อกดาวน์ไปยังจังหวัดต่างๆ เพิ่มขึ้นเป็น 13 จังหวัด และมีแนวโน้มว่าอาจจะต้องประกาศเพิ่มจังหวัดต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกในระยะเวลาอันใกล้ สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งทำในภาวะวิกฤตและเวลาเหลือน้อยมากแล้ว คือ 1.สนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจคัดกรองเชิงรุกให้เร็วขึ้น เพื่อแยกคน แยกโรค ลดขั้นตอนและลดภาระของประชาชน ชุดตรวจหาเชื้อด้วยตัวเอง  Rapid Antigen Test ต้องเข้าถึงง่าย ไม่เป็นภาระของประชาชน

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า 2.ต้องเร่งจัดหาวัคซีนคุณภาพ mRNA มาฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าและประชาชน เปิดเผยไทม์ไลน์ที่ชัดเจนถูกต้อง เปิดเผยสัญญาอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ภาคประชาชนได้ร่วมตรวจตรวจสอบ ลดไอโอ เพิ่มไอคิว หยุดกล่าวโทษและด้อยค่าประชาชน ยุติการนำเข้าวัคซีนประสิทธิภาพต่ำแล้วเพิ่มวัคซีน mRNA 3.เร่งสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ รวมถึงยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิดให้เพียงพอ เพราะแม้ต้องดูแลตัวเองที่บ้าน ถ้ามียาเพียงพอ ผู้ติดเชื้อก็สามารถดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง 4.การเยียวยาต้องถ้วนหน้า เข้าถึงง่าย ครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจ ทั้งนี้ อาการหนักของรัฐบาล คือไม่รู้สภาพตัวเองว่ากำลังป่วยหนัก ถ้ายังไม่สามารถแก้ไขปัญหา ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ แล้วไม่ยอมปรับปรุงการทำงาน จะอยู่เป็นรัฐบาลไปเพื่ออะไร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top