Friday, 25 April 2025
POLITICS NEWS

“เลขาประธานรัฐสภา” เผย ร่างพ.ร.บตำรวจฯ อยู่ในชั้นกมธ. วิสามัญ  มีการกำหนดอำนาจหน้าที่ สตช.ให้สอดคล้องภารกิจตำรวจ

นายราเมศ รัตนะเชวง เลขานุการประธานรัฐสภา กล่าวถึงความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. …. ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)เป็นผู้เสนอ ว่า ขณะนี้การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ซึ่งเป็นร่างที่ ครม.ได้เสนอต่อรัฐสภา โดยร่างพ.ร.บ.ตำรวจฯมีทั้งหมด 172 มาตรา  มีสาระสำคัญที่น่าสนใจคือมีการกำหนดหน้าที่และอำนาจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) และเพื่อให้สอดคล้องกับการปฎิบัติภารกิจของตำรวจก็ได้มีการกำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อโอนภารกิจที่ไม่ใช่ภารกิจหลักของ สตช.เช่นกองกำกับการตำรวจรถไฟ ภาระกิจงานจราจร ภารกิจที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะมีการโอนไปให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีภารกิจนั้นโดยตรงรับไปดำเนินการ การจัดระเบียบราชการในสตช.กำหนดแบ่งส่วนราชการอย่างน้อยต้องมีกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาค ให้มีกองบังคับการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรจังหวัด และปรับปรุงประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ประชาชน มีการแบ่งข้าราชการตำรวจออกเป็นสองประเภทคือข้าราชการตำรวจที่มียศและข้าราชการตำรวจที่ไม่มียศ กำหนดให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) มีบทบาทในการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์มากยิ่งขึ้น และบทบาทของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจในร่างพ.ร.บ.ฯ ฉบับนี้ จะมีการปรับปรุงไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์และเรื่องคุ้มครองระบบคุณธรรมต่างๆด้วย

นายราเมศกล่าวต่อว่า ร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว มีประเด็นที่น่าสนใจ คือการกำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจมีหน้าที่และอำนาจพิจารณาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับความเดือดร้อนหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมของประชาชนจากการกระทำของข้าราชการตำรวจที่กระทำการอันมิชอบ ประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสมและเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำรวจ กระทำผิดวินัย ก็จะเป็นกลไกที่สำคัญในการที่จะมาปลดเปลื้องทุกข์ให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากข้าราชการตำรวจและการกำหนดให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการบริหารงานจัดให้มีกองทุนเพื่อการสืบสวนสอบสวนและกาดป้องกันการปราบปรามกระทำความผิด รวมถึงการปรับบัญชีอัตราเงินเดือนเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง

“ณัฐวุฒิ” ควง “บก.ลายจุด”  เปิดเส้นทาง 29 สิงหา CAR MOB  CALL OUT ก่อนยกระดับชุมนุมใหญ่ ขับไล่ “พล.อ.ประยุทธ์”

ที่สำนักงานข่าวยูดีดี นิวส์ (UDD NEWS) แยกแคราย จ.นนทบุรี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ  (นปช.) และ แกนนำผู้จัดกิจกรรม นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด แถลงข่าวรายละเอียดกิจกรรมนัดชุมนุม29 สิงหา  CAR MOB  CALL OUT  ว่า การนัดหมายครั้งนี้ถือเป็นการนัดหมายครั้งสำคัญโดยหลังจากนี้เราจะยกระดับการเคลื่อนไหวเชิญชวนประชาชนทั้งประเทศออกมาแสดงพลัง ไม่ไว้วางใจและขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีประชาชนมากมายเพียงใดที่ไม่เอาพลเอกประยุทธ์ โดยในวันที่ 29 สิงหา จึงเป็นการแสดงพลังครั้งสุดท้ายก่อนจะยกระดับการชุมนุมใหญ่หลังจากนี้ไม่กี่วัน ซึ่งครั้งนี้ก็ยังคงเช่นเดิมมีสีสันในการจัดประกวดตกแต่งรถ ป้ายข้อความ เพิ่มเติมคือการประกวดภาพถ่ายจากช่างภาพสมัครช่างภาพอิสระ เล่น ทั้งภาพนิ่ง และวีดีโอ โดยนำภาพถ่ายของท่านขึ้นโชว์ในโลกออนไลน์ จะมีคณะกรรมการตรวจสอบและให้คะแนน นอกจากนั้นยังมีการประกวดของเชียร์สองข้างทางในการมีส่งนร่วม และเผยแพร่ภาพลงในโซเชียลมิเดียร์ เป็นการหล่อหลวมพลัง ทุกกลุ่มมารวมกันเดินทางไปทิศทางเดียวไปทิศทางเดียวกัน โดยนัดหมายในเวลา 14.00 น. 

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า เริ่มจากแยกเกษตร หัวขบวนมุ่งหน้าถนนวิภาวดี ท้ายขบวนยาวไปทางฝั่งถนนเกษตร-นวมินทร์ 15.00 น. จะเคลื่อนขบวนลอดใต้อุโมงค์เกษตร ผ่านหน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ข้ามสะพานถนนวิภาวดีผ่านหน้าเรือนจำ ข้ามสะพานแยกพงษ์เพชร ตรงข้ามสะพานแยกแคราย มุ่งสู่ถนนรัตนาธิเบศร์ข้ามพระนั่งเกล้า(ใหม่) ผัดแยกท่าอิฐจากนั้นขึ้นสะพานยกระดับวนขวาไปทางถนนราชพฤกษ์ (เกาะช่องจราจรซ้ายสุด) จากนั้นขึ้นสะพานยกระดับวนขวาเข้าถนนชัยพฤกษ์ จากนั้นมุ่งหน้าไปทางปากเกร็ดขึ้นสะพานพระรามสี่ ลงสะพานทางซ้าย เข้าห้าแยกปากเกร็ดเลี้ยวซ้าย เข้าถนนติวานนท์มุ่งหน้าสวนสมเด็จฯ งั้นตรงไปเรื่อยๆ จะเข้าเขตเชื่อมต่อระหว่างจ.นนทบุรี-จ.ปทุมธานี จากนั้นมุ่งหน้าไปทางปทุมธานี ข้ามสะพานปทุมธานี แล้วไปสุดทาง ที่ลายเทพปทุม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหน้าศาลากลางหลังเก่าจ.ปทุมธานี 

“เราจะไปเส้นทางเดียวกันทั้งขบวน CAR MOB  CALL OUT แตกต่างกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาซึ่งครั้งนี้มีระยะทางไกลรวม 50 กิโลเมตร เชื่อมต่อกรุงเทพ ปริมณฑลกินพื้นที่สามจังหวัด จากนั้นพอถึงจุดหมายปลายทางแล้ว จะมีการปราศรัยเราจะปิดขบวบ พร้อมกันประกาศเจตนารมณ์ ขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ แล้วทางเราจะแจ้งกำหนดนัดหมายการชุมนุมใหญ่ในครั้งถัดไป ซึ่งจะไม่เห็นการเคลื่อนขบวนอย่างที่ผ่านมา หลังจากนี้การชุมนุมรูปแบบคงเปลี่ยนแปลงไปเรายังคงยืนยันหลักการชุมนุมด้วยสันติวิธี เรามีเจตนารมย์ ที่เปิดเผยไม่เข้าไปในพื้นที่เปาะบาง หรือพื้นที่เผชิญหน้า ที่อาจทำให้เกิดความรุนแรงในทุกรูปแบบ ไม่มีลุยไม่มีเผชิญหน้า ไม่มีปะทะ มีแต่ความมุ่งมั่นไม่ลดละที่จะขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ ให้พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เรายินดีที่จะเปิดรับทุกคนทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่มีเจตนารมย์ร่วมกัน และเข้าใจในภารกิจร่วมกัน เราจะมีการประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อสร้างแนวทางการเคลื่อนไหวให้เข้าใจเส้นทางเข้าใจรูปแบบเข้าใจวัตถุประสงค์ถือว่าเป็นการทำงานร่วมกันอำนวยความสะดวกให้กันและกันซึ่งเราสามารถขึ้นไหวตามเสรีภาพของเราซึ่งกฎหมายคุ้มครองเจ้าหน้าที่ ก็สามารถที่จะปฏิบัติงานอำนวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัยให้พี่น้องประชาชนได้” นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายสมบัติ กล่าวว่า ตนมองว่ารูปแบบคาร์ม็อบ เดินทางมาถึงจุดสำคัญ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่ห้าแล้วเชื่อว่าโดยรูปแบบโดยในแต่ละครั้งก็มีการยกระดับมีประชาชนเข้าร่วมจำนวนมากและเรามั่นใจว่าในครั้งที่ 5 คาดว่าจะมีประชาชนเข้าร่วมจำนวนมากที่สุดเท่าที่เราเคยทำกิจกรรมมา ในเชิงปริมาณถือว่าจะใช้จำนวนคนที่เข้าร่วมกิจกรรมเป็นหน้าตักเพื่อที่จะเสนอไปถึงตัวพลเอกประยุทธ์และพรรคร่วมรัฐบาลไม่เช่นนั้นฝ่ายการเมืองก็จะอธิบายว่าเป็นประชาชนกลุ่มหนึ่ง เราจะใช้จำนวนคนเป็นตัวที่จะบอกว่าเราเป็นประชาชนกลุ่มไม่น้อยที่ออกมาเคลื่อนไหว และหลังวันที่ 29 สิงหา เป็นวันที่สำคัญ เพราะจะเป็นวันที่เชื่อมต่อ ที่มีความเคลื่อนไหวในสภาฯ แต่เราเป็นกิจกรรมนอกสภาฯ ในสภามีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในสภา วันที่ 31 สิงหาคม ต่อเนื่องไปถึงวันที่ 2 กันยายน  ถึงเราจะจัดกิจกรรมใหญ่เป็นการลงคะแนนไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์และรัฐบาลนอกสภาซึ่งหมายความว่าในสภาก็จะมีการที่ไปอำนวยการกันไปเป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองแต่นอกสภาเราจะมีเวทีมีการชุมนุมใหญ่เคลื่อนไหว พร้อมกันและเชิญประชาชนมาร่วมในการลงคะแนนไม่ไว้วางใจรัฐบาลรหัสเสียงของประชาชนออกมาว่าไม่ไว้วางใจรัฐบาลและเสียงในสภาออกมาว่าบรรดาสส. ไว้วางใจรัฐบาล สิ่งนี้ก็จะกลายเป็นประเด็นและเงื่อนไขซึ่งจะนำไปสู่การชุมนุมใหญ่ที่ต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด 

นายสมบัติ กล่าวอีกว่า ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญและเป็นโอกาสที่ประชาชนที่จะร่วมไม้ร่วมมือกันซึ่งจริงแล้วเรากำลังสู้กับยางภายของพลเอกประยุทธ์คือพลเอกประยุทธ์เป็นบุคคลที่ที่เราสงสัยว่ามียางอาย หรือป่าว ความผิดพลาดในการบริหารประเทศ มาถึงขนาดนี้ แต่ยังไม่ยอมออกมาแสดงความรับผิดชอบใดๆเลยเราจะใช้วิธีการรีดยางอาย ซึ่งปกติคนมียางอาย ทำผิดพลาดนิดหน่อยก็ต้องยอมรับ แต่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยมีการแสดงความรับผิดชอบใดๆ ซึ่งยางอายอาจจะอยู่ลึกมาก หรืออาจจะมีน้อย พวกเราจะต้องรีบจนพล.อ.ประยุทธ์ ยอมเราไม่ต้องการเอาชนะ อย่าเข้าใจผิด 

“ผมมองแล้วว่าพล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความสามารถหากยังคงบริหารประเทศต่อไปแบบนี้ภายใต้ก่อนนำของพล.อ.ประยุทธ์ มันจะนำความเสียหายมาสู่พี่น้องประชาชน แล้วยากมากที่จะกอบกู้วิกฤตหรือกู้ซากปรักหักพังที่พล.อ.ประยุทธ์ สร้างสมไว้เป็นสมบัติให้กับประชาชน ไปใช้หนี้กันในอนาคต บาดแผลเหล่านี้เราไม่ควรให้พล.อ.ประยุทธ์ ทำเละเทะไปมากกว่านี้ หากไม่สามารถที่จะสร้างยางอายด้วยตัวเองได้ ผมก็ขอเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาล ช่วยทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ลงจากอำนาจเสียที หากพรรคร่วมรัฐบาลไม่กระทำการแต่ยังคงเป็นนั่งร้าน ให้กับพล.อ.ประยุทธ์ ต่อไปสุดท้ายประชาชนจะเป็นคนตัดสินพรรคร่วมรัฐบาล เองไม่ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด ช่วงเวลานี้หรือในการเลือกตั้งในโอกาสต่อไป ผมมองว่า 10 วันหลังจากนี้จะมีความเข้มข้นทางการเมืองขึ้นเรื่อย” บก.ลายจุด กล่าว

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าจะมีเหตุปะทะอย่างที่เคยจัดครั้งผ่านๆมา นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า จะมีเหตุปะทะกันที่ไหนก็ตามเราเป็นห่วงอยู่แล้วเพราะในแนวทางหรือวัตถุประสงค์ของการเคลื่อนไหวมันไม่มีเรื่องนี้และการแสดงเจตนารมย์คือการหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ทั้งนั้นจึงขอแสดงความหวังในตรงนี้ว่าในวันที่ 29 สิงหาคมทุกอย่างจะเริ่มต้นและจบลงด้วยความสงบเรียบร้อยในเวลา ก่อนค่ำ คือ 18.00 น. ก็จะประกาศยุติการชุมนุม และหวังว่าจะไม่เกิดความรุนแรงในพื้นที่ใดก็ตามในวันนั้นและหวังว่าพลังเนื้อหาสาระหรือรูปแบบการเคลื่อนไหวของ CAR MOB  CALL OUT  จะมีพื้นที่ทางสาธารณะในทุกช่องทางของสื่อสารมวลชนหรือสื่อออนไลน์สื่อไปถึงประชาชนทั้งคนไทยและคนทั่วโลกได้อย่างเต็มที่

เมื่อถามว่าการปะทะกันที่สามเหลี่ยมดินแดง ไม่ว่าจะฝ่ายใดเริ่มก่อนก็ตามมองอย่างไร นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า นี้เป็นสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักร่วมกันว่า มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายใดไม่ว่าจะเป็นฝ่ายประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ โดยหลักการในสังคมประชาธิปไตย ที่เกิดเหตุประทะระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ทุกวันจนเกือบกายเป็นเรื่องปกติ รัฐจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ รัฐจะเอาชนะประชาชนด้วยการใช้กำลังกลางถนนทุกวัน เช่นที่ผ่านมาไม่ได้ เราเรียกร้องเสมอให้รับฟังเสียงจากเยาวชนและให้เปิดพื้นที่การปฎิบัติการลดความรุนแรง ลดเงื่อนไขการเผชิญหน้ากับเยาวชนกลุ่มดังกล่าวให้มากขึ้น และเราเรียกร้องด้วยว่าให้นายกรัฐมนตรี หรือผู้ใหญ่ในรัฐบาลส่งสัญญาณให้ชัดว่าท่านไม่ประสงค์สิ่งนี้กำชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติว่าจะต้องไม่ให้มีการปะทะหรือใช้กำลังกับประชาชนอีกต่อไป

ด้านนายสมบัติ กล่าวว่า ตนยอมรับว่าเป็นปฏิกิริยาของน้องๆที่เขาไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์ และหาวิธีการในการแสดงออก ซึ่งหากเราต้องการเอาชนะพล.อ.ประยุทธ์ หรือชนะเผด็จการ ที่มีกำลัง มีกองกำลัง มีงบประมาณ มีอาวุธซึ่งหนทางสำคัญที่จะเป็นไปได้เราจะต้องชนะทางการเมืองก่อน ทางการเมืองนั้นหมายถึงจะต้องมีประชาชนจำนวนมาก เห็นด้วยและเข้าร่วมแนวทางที่เป็นแนวทางทางการเมืองมันถูกมานำเป็นแนวทางหลักของการต่อสู้ของประชาชน การใช้กำลังของรัฐในการต่อสู้ทางการเมืองที่ยืนหยัดอยู่บนแนวทางสันติวิธี จะเป็นการลดทอนความชอบธรรมทางการเมืองของรัฐ ให้ตกต่ำลงไปอีก แล้วจะทำให้การเคลื่อนไหวของประชาชน ได้รับความชอบธรรม ตนอยากจะเชิญชวนน้องๆอยากให้ลองมาร่วมต่อสู้ทางการเมือง มาสู้กันแล้วไม่เอาตัวเองไปเป็นเหยื่อกับฝ่ายรัฐที่ใช้ความรุนแรงกับเรา เวลานี้เป็นโอกาสสำคัญ ที่ประชาชนจะออกมาขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ ในครั้งนี้ 

รัฐบาลเบาใจมูดี้ส์ คงอันดับความน่าเชื่อถือประเทศมีเสถียรภาพ 

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้รับทราบการประเมินสถานทางการเงินการคลังล่าสุด บริษัท Moody’s Investors Service  ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยไว้ที่ Baa1 หรือเทียบเท่า BBB+  และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ที่ระดับมีเสถียรภาพ จากปัจจัยสำคัญ คือ ไทยมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่และหลากหลาย ภาครัฐมีฐานการเงินที่เข็มแข็ง ภาคการคลังสาธารณะ มีความแข็งแกร่ง หนี้ระยะสั้นอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 8 สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลสกุลเงินต่างประเทศอยู่ในระดับต่ำมาก คือ น้อยกว่าร้อยละ 2 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง และอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพ

ขณะเดียวกัน ตัวเลขมูลค่าการส่งออกและการลงทุนในประเทศ เป็นอีกสองตัวชี้วัดถึงโอกาสฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยกระทรวงพาณิชย์รายงานว่า การส่งออกในช่วงเดือนม.ค.-ก.ค.ปี64 มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 16.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  และเกินดุลการค้าอยู่ 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการลงทุนในประเทศ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รายงานภาวะการลงทุนครึ่งปีแรกของปี 64 ว่า มีโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน  801 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 3.86 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 158%  ประเทศที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนที่มีมูลค่าลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และจีน 

นางสาวรัชดา กล่าวว่า ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่น่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติ และยังได้รับการประเมินทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ หลังจากผ่านช่วงโควิด19 นี้ไป มูดี้ส์ ยังคาดว่าการลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะช่วยเพิ่มการลงทุน การจ้างงานของภาคเอกชนและอุปสงค์ภายในประเทศอีกมาก และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างแน่นอน ควบคู่กันไป รัฐบาลได้เดินหน้านโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี 

นอกจากนี้จะเร่งแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ ที่สำคัญ หวังว่าทุกฝ่ายจะร่วมกันแสดงความเห็นต่างทางการเมืองอยู่บนวิถีประชาธิปไตยในกรอบกฎหมาย เพื่อไม่ให้กระทบโอกาสเติบโตทางเศรษฐกิจ และบรรยากาศที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุนของประเทศ

โฆษกรัฐบาล ชี้ รัฐบาลอยู่ได้ด้วยศรัทธาประชาชน ต่อ ‘ลุงตู่’ จวก ฝ่ายค้าน ผุดแคมเปญไล่นายกฯ ไม่เหมาะสม ไม่ควรขยายผลนอกสภา จี้ ทบทวน

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวเชิญชวนประชาชนร่วมลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นกลไกหนึ่งในการตรวจสอบรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นสิทธิที่ชอบธรรมและสามารถดำเนินการได้ แต่การเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้ร่วมลงชื่อโหวตไม่วางใจรัฐบาลด้วยนั้น ฝ่ายค้านต้องทบทวนให้ดีว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลควรเป็นเรื่องที่ดำเนินการภายในที่ประชุมสภา ไม่ควรนำไปขยายผลออกไปสู่นอกสภา 

หากฝ่ายค้านมั่นใจว่ามีข้อมูลเพียงพอ ก็สามารถนำมาแสดงและอภิปรายต่อที่ประชุมสภาได้ จากนั้นก็ยังสามารถยื่นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อตามขั้นตอนได้อีกด้วย ตนอยากให้การอภิปรายนั้นเป็นไปด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ใช้เป็นเวทีสาดโคลนใส่กัน โดยรัฐบาลจะถือโอกาสนี้ชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนถึงนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลด้วยเช่นกัน

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านระบุว่า เสียงข้างมากของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลในสภารวมกับเสียงของสมาชิกวุฒิสภา ค้ำจุนการอยู่รอดของรัฐบาลและการดำรงอยู่ในตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีนั้น ขอชี้แจงว่า การกล่าวหาดังกล่าวถือเป็นการไม่ให้เกียรติสมาชิกวุฒิสภา และเพื่อนส.ส.ในซีกรัฐบาลเกินไปหรือไม่ เพราะสมาชิกวุฒิสภาย่อมมีดุลพินิจของตัวเอง ไม่มีใครไปบังคับหรือสั่งการใด ๆ ได้ 

ขณะที่ ส.ส.รัฐบาลนั้นก็เป็นตัวแทนของประชาชนเช่นเดียวกับ ส.ส.ฝ่ายค้าน ศักดิ์และสิทธิเท่าเทียมกัน แต่วันนี้สิ่งที่ค้ำจุนรัฐบาลอยู่ก็คือ ความเชื่อมั่นและความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ที่คิดนโยบายต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม อย่างไรก็ตาม วันนี้ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตโควิด-19 รัฐบาลทุ่มสรรพกำลังแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ เชื่อว่าเมื่อพี่น้องประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีอย่างทุกวันนี้ เราจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้โดยเร็วอย่างแน่นอน


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“สงคราม” อัด “บิ๊กตู่” เปิดช่องทุจริตเชิงนโยบาย หวั่นงบภาษีเกือบหมื่นล้าน ใกล้หาเสียงผ่านโครงการต่างๆ

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เห็นชอบข้อเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก รวมเป็นทั้งสิ้น 35 จังหวัด จำนวนโครงการที่ผ่านการอนุมัติ 4,303 โครงการ รวมกรอบวงเงินจัดสรรที่ 9,757.86 ล้านบาท การจัดทำโครงการดังกล่าว รัฐบาลหวังว่าจะเกิดการจ้างงานอย่างน้อย 95,500 คน มีผู้ได้รับประโยชน์มากกว่า 18 ล้านคน และโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก 

แต่จากการพิจารณาโครงการที่รัฐบาลนำเสนอนั้น ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ละเป็นการใช้งบประมาณอย่างมีนัยยะทางการใช้ งบประมาณ เพราะหลายโครงการไม่สมเหตุสมผลและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ  อาทิ โครงการพัฒนาสินค้า ท่องเที่ยวบริการ และการค้า เช่น การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว พัฒนาผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมการตลาด เมื่อสถานการณ์โควิดยังอยู่ในขั้นวิกฤตแล้วจะมีนักท่องเที่ยวที่ไหนมาเที่ยว การพัฒนาสินค้าจะไปขายให้กับใคร 

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า หลายจังหวัดได้งบประมาณไปเพื่อ การขุดบ่อบาดาลสำหรับการเกษตร การขยายท่อเพื่อการเกษตร ซึ่งในงบประมาณปี 2565 มีการจัดสรรให้กับแต่ละกระทรวงไปดำเนินการแล้ว การจัดงบประมาณลงไปจึงเป็นการจัดงบประมาณลงไปซ้ำซ้อนและอาจจะเกิดการทุจริตงบประมาณได้ ซึ่งงบประมาณที่ลงไปเป็นงบประมาณหาเสียงมากกว่าพัฒนาพื้นที่

“นอกจากนี้ โครงการที่รัฐบาลกำหนดขึ้นมานั้น น่าสนใจว่าทำไมต้องเร่งรีบใช้เงิน เพื่อประชาชนหรือเพื่อประโยชน์ทางการเมืองมากกว่า หวั่นโครงการดังกล่าวเปิดช่องทุจริต เอื้อประโยชน์ใครหรือไม่และหาโอกาสใช้เงินภาษีหาเสียงทางการเมืองมากกว่าต้องการช่วยเหลือประชาชน”
นายสงคราม กล่าว

“ครูมานิตย์” จี้ โยกงบสัมมนากมธ. ซื้อวัคซีน mRNA บูสเข็ม3ให้ส.ส.-เจ้าหน้าสภาฯที่ทุกคน 

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯคนที่ 2 เป็นประธานการประชุม ทั้งนี้ก่อนเข้าสู่วาระได้เปิดให้สมาชิกหารือถึงปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่ โดยนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ขอหารือว่า ขอเสนอให้นำงบประมาณในส่วนของการจัดสัมมนาของคณะกรรมาธิการต่างๆที่ต้องลงพื้นที่ไปจัดสัมมนากับประชาชน แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ ให้นำงบส่วนตรงนี้ไปจัดซื้อวัคซีน mRNA เพื่อฉีดให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสภา พ่อค้า แม้ค้า พนักงานทำความสะอาด เจ้าหน้าที่สภาฯ ส.ส.และคนติดตามให้หมด สำหรับตนฉีดซิโนแวค 2 เข็ม เหมือนฉีดน้ำใส่ตัว ลำพังสามารถซื้อฉีดเองได้ แต่ไม่รู้จะไปซื้อที่ใด เมื่อเราต้องประชุมกันแบบนี้ ทางสภาฯควรต้องมาคิดกันใหม่ 

"กมธ.ไม่มีการประชุม ภาระต่างๆ เราจำเป็นต้องงด ต้องเสียโอกาส เสียประโยชน์ จึงขอหารือ รวมทั้งส.ส.ต้องกลับลงพื้นที่ ต้องไปเยี่ยมศูนย์พักคอย สถานที่กักตัว บนแขนเราเต็มไปด้วยซิโนแวค ผมจะไปบูสเข็ม 3 ในพื้นที่โรงพยาบาลที่บ้านก็อายประชาชน เพราะบางคนยังไม่ได้ฉีดกันเลย หรือบางคนฉีดเข็มเดียวซิโนแวค ด้วยซ้ำไป หากอยู่ๆไปฉีด เข็ม 3 ก็อายเขา จึงอยากฝากทางประธานพิจารณา เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน"นายครูมานิตย์ กล่าว 

ด้านนายศุภชัย ชี้แจงว่า ได้รับแจ้งจากทางเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรว่า ทางเจ้าหน้าที่ บุคลากร ส.ส. ฉีดวัคซีนไปแล้วรวม 5 พันกว่าคน ส่วนข้อเสนอของนายครูมานิตย์ ขอฝากเลขาสภาฯนำไปพิจารณาอีกครั้ง 

“สิระ” แต่งชุดดำไว้อาลัย จนกว่าจะจับ “ผกก.โจ้” ได้ ฝาก สภาฯ เร่งนำ พ.ร.บ.อุ้มหายและทรมาน มาใช้ จ่อ เชิญ ผบ.ตร.-ผบช.ภ.6-ผู้การนครสวรรค์-แพทย์-ทนาย เข้าแจงกมธ. เย้ย “เสรีพิศุทธ์” ไม่ขอฟัง หลังบอกไม่มีวัฒนซ้อมผู้ต้องหา เหน็บ กดปุ่มโหวตยังผิด

ที่รัฐสภา นายสิระ เจาจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ผู้กำกับโจ้ หรือ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ มีคลิปฉาวรีดเงินผู้ต้องหาด้วยการคลุมถุงพลาสติกจนเสียชีวิต จนนำไปสู่คำสั่งให้ออกจากราชการและมีการออกหมายจับ รวมถึงมีกระแสข่าวลือว่าเจ้าตัวอาจจะหลบหนีไปแล้วนั้น ว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตนจะแต่งชุดดำเพื่อไว้ทุกข์ให้กับผู้สูญเสียและสำนักงานแห่งชาติ (สตช.) ในฐานะที่เป็นผู้กำกับดูแลตำรวจ ซึ่งได้มีการกระทำซ้อมทรมานกันอย่างโหดเหี้ยมและเปิดโอกาสให้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ หลบหนีหรือไม่ ทั้งๆ ที่มีหลักฐานเป็นคลิปชัดเจน แต่ทำไมไม่มีการอนุมัติออกหมายจับ มีแค่คำสั่งย้าย โดยตนจะแต่งชุดดำจนกว่าสตช.จะจับพ.ต.อ.ธิติสรรค์ได้และมารับกรรมกับสิ่งที่กระทำไป นอกจากนี้จะมีการตรวจสอบว่าพ.ต.อ.ธิติสรรค์ร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ เนื่องจากเมื่อวานนี้ (26 ส.ค.) มีการตรวจสอบทรัพย์สิน เช่น รถ ที่ดิน บ้านและเงินสด 

นายสิระ กล่าวต่อว่า พื้นเพ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ไม่ใช่คนร่ำรวย แต่มีผู้สนับสนุนเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ทราบว่าเป็นว่าที่ลูกเขยว่าที่พ่อตากัน รวมทั้งเรื่องกระทำความผิดในการรับราชการลักษณะเดียวกัน และมีการโดนไล่ออกจากราชการ แต่ยังได้กลับมารับราชการใหม่ได้ และมีความเจริญก้าวหน้าในอาชีพข้าราชการตำรวจ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่สตช.ต้องปฏิรูปครั้งใหญ่ วันนี้ขอฝากถึงสภาฯ ขอให้ดำเนินการนำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อุ้มหายและทรมานที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้จัดทำเสร็จสิ้นเป็นปีแล้วมาใช้ เพราะหากเร่งดำเนินการจะทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องได้รับการโดนอุ้มหรือถูกทรมานเพิ่มขึ้นเพราะกฎหมายนี้มีโทษรุนแรง 

เมื่อถามว่ามีข้อมูลจากนายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล ในเรื่องการซ้อมรีดเอาข้อมูล ว่ามีการกระทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว ทาง กมธ.กฎหมายฯ จะมีการเรียกมาให้ข้อมูลหรือไม่ นายสิระ กล่าวว่า วันพฤหัสบดีหน้า จะมีการออกหนังสือเชิญผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ รวมถึงนายแพทย์ที่ออกใบรับรองแพทย์ของผู้ตายว่ามีการออกใบรับรองแพทย์ผิดหรือไม่ และมีการรับผลประโยชน์กันหรือไม่ และขอเรียกร้องไปที่รัฐบาล ซึ่งกมธ.กฎหมายได้ยื่นเรื่องผ่านสภาฯ ไปแล้วเรื่องการแก้ไข ป.วิอาญาในการสอบสวน ซึ่งหากปล่อยพนักงานสอบสวนที่เป็นตำรวจทำการสอบสวนแต่ฝ่ายเดียว การได้ความยุติธรรมของประชาชนอาจจะไม่เพียงพอ จึงต้องมีการขอให้อัยการเข้ามาร่วมการสอบสวนตั้งแต่เบื้องต้น นอกจากนี้จะมีการเชิญทนายที่ได้รับคลิปแต่ไม่ยอมส่งคลิปให้กับพนักงานสอบสวน ที่มีข่าวว่าไปเรียกเงินค่าคลิป 20 ล้านบาทกับ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ มาสอบสวนว่าเพราะอะไรทำไมถึงถือไว้กับตัวเอง 

เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ระบุว่าไม่มีวัฒนธรรมในการซ้อมผู้ต้องหา นายสิระ กล่าวว่า “ผมไม่ฟังท่านหรอก ขนาดกดปุ่มยังผิดเลย แล้วมาแก้ไขมติทีหลัง ซึ่งท่านก็รู้กฎระเบียบข้อบังคับของสภา ผมจึงได้ส่งหนังสือฝากไปที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ให้ไปแก้ไขที่สภาโจ๊ก คิดว่าสิ่งที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์พูดค่อนข้างสับสน”

'โฆษกรัฐบาล' จวก 'ฝ่ายค้าน' ผุดแคมเปญไล่นายกฯ ไม่เหมาะสม ไม่ควรขยายผลนอกสภา จี้ ทบทวน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวเชิญชวนประชาชนร่วมลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นกลไกหนึ่งในการตรวจสอบรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นสิทธิที่ชอบธรรมและสามารถดำเนินการได้ แต่การเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้ร่วมลงชื่อโหวตไม่วางใจรัฐบาลด้วยนั้น ฝ่ายค้านต้องทบทวนให้ดีว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลควรเป็นเรื่องที่ดำเนินการภายในที่ประชุมสภา ไม่ควรนำไปขยายผลออกไปสู่นอกสภาหากฝ่ายค้านมั่นใจว่ามีข้อมูลเพียงพอ ก็สามารถนำมาแสดงและอภิปรายต่อที่ประชุมสภาได้ จากนั้นก็ยังสามารถยื่นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อตามขั้นตอนได้อีกด้วย ตนอยากให้การอภิปรายนั้นเป็นไปด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ใช้เป็นเวทีสาดโคลนใส่กัน โดยรัฐบาลจะถือโอกาสนี้ชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนถึงนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลด้วยเช่นกัน

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านระบุว่า เสียงข้างมากของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลในสภารวมกับเสียงของสมาชิกวุฒิสภา ค้ำจุนการอยู่รอดของรัฐบาลและการดำรงอยู่ในตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีนั้น ขอชี้แจงว่า การกล่าวหาดังกล่าวถือเป็นการไม่ให้เกียรติสมาชิกวุฒิสภา และเพื่อนส.ส.ในซีกรัฐบาลเกินไปหรือไม่ เพราะสมาชิกวุฒิสภาย่อมมีดุลพินิจของตัวเอง ไม่มีใครไปบังคับหรือสั่งการใดๆ ได้ ขณะที่ ส.ส.รัฐบาลนั้นก็เป็นตัวแทนของประชาชนเช่นเดียวกับ ส.ส.ฝ่ายค้าน ศักดิ์และสิทธิเท่าเทียมกัน แต่วันนี้สิ่งที่คำ้จุนรัฐบาลอยู่ก็คือ ความเชื่อมั่นและความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ที่คิดนโยบายต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม อย่างไรก็ตาม วันนี้ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตโควิด-19 รัฐบาลทุ่มสรรพกำลังแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ เชื่อว่าเมื่อพี่น้องประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีอย่างทุกวันนี้ เราจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้โดยเร็วอย่างแน่นอน 

‘พิธา’ ยืนยัน พร้อมสู้ทุกกติกาเลือกตั้ง ด้าน 2 ส.ส.เขต ‘ก้าวไกล’ ซัด ออกแบบระบบเลือกตั้งใหม่ แต่กลับให้ย้อนใช้ระบบเก่า ชี้ ผ่านมาแล้ว 24 ปี บริบทเปลี่ยนแล้วสิ้นเชิง ควรพัฒนาเป็นระบบ ‘บัตรสองใบ’ ที่สะท้อนเสียงของประชาชนถูกตามสัดส่วนจริง

แบบปี 40 ก็ไม่กลัว ‘พิธา’ ยืนยัน พร้อมสู้ทุกกติกาเลือกตั้ง ด้าน 2 ส.ส.เขต ‘ก้าวไกล’ ซัด ออกแบบระบบเลือกตั้งใหม่ แต่กลับให้ย้อนใช้ระบบเก่า ชี้ ผ่านมาแล้ว 24 ปี บริบทเปลี่ยนแล้วสิ้นเชิง ควรพัฒนาเป็นระบบ ‘บัตรสองใบ’ ที่สะท้อนเสียงของประชาชนถูกตามสัดส่วนจริง กระทุ้ง ‘หน้าที่ ส.ส.’ คือใช้อำนาจ ‘นิติบัญญัติ’ แทนประชาชน ไม่ใช่แย่งงานดูแลถนน น้ำ ไฟ ของ ‘ท้องถิ่น’ ไปทำเอง

วันที่ 25 สิงหาคม 2564 ที่อาคารรัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ร่วมอภิปรายญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 แก้ไขมาตรา 83 กล่าวว่า น่าเสียดายที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไม่สามารถเปิดทางให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ สสร. มาทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับได้ เพราะการมี สสร. จะเป็นการเปิดพื้นที่ ที่สังคมไทยจะสามารถมาร่วมกันหาฉันทามติใหม่ มาหาทางออกร่วมกันจากประชาชนทุกกลุ่ม ทุกความฝัน เพื่อมาสะสาง หาทางออกจากปัญหาที่ต้นตอได้อย่างแท้จริง

“เมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่ประชาชนเรียกร้อง ได้ถูกลดทอนลงเหลือแค่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเฉพาะเรื่องระบบเลือกตั้ง อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็ต้องเสนอทางออกที่ดีที่สุดให้สังคมในเรื่องนี้ด้วย ทั้งนี้ บัตรเลือกตั้งแบบ 2 ใบ เป็นสิ่งที่พวกเราต้องการตั้งแต่แรก หากจะแก้ไขระบบเลือกตั้งใหม่ให้เป็นแบบบัตร 2 ใบ ก็จำเป็นต้องสรุปบทเรียนจากปัญหาระบบเลือกตั้งที่เคยใช้มาแล้วในอดีต ที่มีข้อบกพร่องด้วย แล้วพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิมโดยใช้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเมื่อปี 2540 เป็นรากฐาน” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวต่อไปว่า รัฐธรรมนูญปี 40 ได้นำระบบบัตรเลือกตั้งสองใบมาใช้ โดยการมี ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อนั้น ได้กระตุ้นให้พรรคการเมืองแข่งขันกันในเชิงนโยบายที่ตอบสนองประชาชนทั้งประเทศมากขึ้น รวมทั้งสนับสนุนความเป็นสถาบันทางการเมืองให้แก่พรรคการเมืองด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเห็นด้วยหากจะแก้ไขให้มีบัตรเลือกตั้งสองใบ ประชาชนสามารถเลือกคนที่ใช่ และเลือกพรรคที่ชอบ และสนับสนุนให้คงสัดส่วนจำนวน ส.ส. แบบเขตกับแบบบัญชีรายชื่อเป็น 350 ต่อ 150 เพื่อส่งเสริมให้การทำงานของผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งได้สัดส่วนเหมาะสมกับการทำงานของผู้แทนราษฎรในเชิงนโยบาย นอกจากนี้เรายังสามารถที่จะปรับปรุงระบบเลือกตั้งแบบบัตรสองใบในอดีตให้ดีขึ้นได้อีก ด้วยการออกแบบวิธีการคำนวณ ส.ส. ของแต่ละพรรคการเมืองในสภาอย่างเป็นธรรม ให้สะท้อนเสียงทุกเสียงของประชาชนได้มากขึ้น

“ตลอดเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยผ่านการรัฐประหารมาแล้ว 2 ครั้ง ผ่านวิกฤตการเมืองอีกหลายครั้ง ประเทศของเราเผชิญกับโจทย์ใหญ่ที่สำคัญและยังหาทางออกไม่ได้ คือเรายังไม่สามารถหาข้อยุติว่าระบบการเมืองแบบไหนที่ทุกฝ่ายยินยอมพร้อมใจที่จะอยู่ร่วมกันได้ และระบบเลือกตั้งก็เป็นส่วนหนึ่งของระบอบการเมืองด้วย” นายพิธา ระบุ

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังระบุด้วยว่า เรื่องนี้ต้องมองให้ยาว ซึ่งการออกแบบระบบเลือกตั้ง จำเป็นต้องตอบโจทย์ปัญหาการเมืองที่ประเทศที่กำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ และต้องเป็นระบบที่ออกแบบสำหรับระยะยาว ไม่ใช่มองแค่ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น

นายพิธา กล่าวว่า เราควรออกแบบระบบการเมือง รวมถึงระบบการเลือกตั้ง ให้สนับสนุนประสิทธิภาพของระบบรัฐสภา สร้างความเข็มแข็งของสถาบันพรรคการเมือง พร้อม ๆ กับสามารถโอบรับความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ความฝัน ของคนในชาติได้ด้วย ทำให้รัฐสภาเป็นพื้นที่ปลอดภัย แปรเปลี่ยนทำให้ทุกคะแนนเสียงจากทุกความฝัน ทุกพื้นที่ มีความหมาย ถูกคิดคะแนนอย่างเป็นธรรม ให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้เสียที ตรงกันข้าม เราไม่ควรออกแบบระบบที่ผลักให้ประชาชนรู้สึกว่า ระบบรัฐสภาไม่ใช่พื้นที่ของพวกเขา ไม่ใช่พื้นที่ที่เสียงของพวกเขาจะมีความหมาย แม้ว่าจะเป็นเสียงที่ขัดหูขวางตาของชนชั้นนำผู้มีอำนาจ

“ในท้ายที่สุดผมเชื่อว่าหากระบบเลือกตั้งสามารถสะท้อนเสียงของประชาชนได้อย่างแท้จริง อำนาจของประชาชนที่เป็นอำนาจสูงสุดของประเทศนี้ จะสามารถปรากฏกายขึ้นในรัฐสภาแห่งนี้ สามารถเข้าไปใช้อำนาจนิติบัญญัติ สามารถเข้าไปใช้อำนาจบริหารจัดตั้งรัฐบาล และเมื่อนั้นเสียงของประชาชนจะไม่มีวันอนุญาตให้ระบอบที่กดหัวประชาชนดำรงอยู่ได้อีกต่อไป”

“พวกผม พรรคก้าวไกลทุกคน ทุกจังหวัด ทุกเขตเลือกตั้ง พร้อมที่จะต่อสู้ผ่านสนามการเลือกตั้ง ไม่ว่าผู้มีอำนาจจะพยายามออกแบบระบบการเลือกตั้งให้ตนเองได้เปรียบอย่างไร เพราะพวกผมมั่นใจว่า เสียงของประชาชนส่วนใหญ่จะมีความหมายมากที่สุด มีพลังมากที่สุด และมีความชอบธรรมมากที่สุด พวกผมจะนำเสียงของผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศนี้ มาปรากฏในสภาผู้แทนราษฎรให้ได้อย่างแท้จริง” นายพิธา กล่าวทิ้งท้าย

‘ปดิพัทธ์’ ย้ำ ระบบเลือกตั้งต้องออกแบบอย่างประณีต

ด้าน ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.เขต 1 จังหวัดพิษณุโลก พรรคก้าวไกล กล่าวว่า เรื่องระบบเลือกตั้งในรายละเอียดเป็นเรื่องเทคนิคและเป็นผลประโยชน์พรรคการเมือง ดังนั้น แต่ละประเทศที่จะออกแบบระบบการเลือกตั้งจะต้องมาจากบริบททางสังคมว่า อยากจะออกแบบระบบรัฐสภาอย่างไร ออกแบบสัดส่วน ส.ส.แบบไหน จะแก้ปัญหาของกลุ่มประชากรต่าง ๆ อย่างไร จึงไม่ใช่การมาคุยกันเรื่องตัวเลข ซึ่งไม่แก้ปัญหาว่าจะมีระบบเลือกตั้งที่ดีได้อย่างไร 

“เราจึงไม่เสนอเรื่องนี้ในชั้นกรรมาธิการ เพราะการออกแบบระบบเลือกตั้งจำเป็นต้องถกเถียงในชั้น สสร. จำเป็นต้องมีนักวิชาการมาร่วม หรือแม้แต่ควรมีการทดลองใช้ เช่น ในการเลือกตั้งท้องถิ่นหรือการเลือกตั้งบางอย่างมาก่อน เพื่อออกแบบระบบอย่างประณีต เพราะเรื่องนี้จะมีผลต่อพรรคการเมืองและคุณภาพของสังคมไทยโดยรวม” 

ปดิพัทธ์ กล่าวต่อไปว่า แต่เมื่อทุกคนรับรู้กันดีว่า รัฐธรรมนูญ 60 มีปัญหาและอาจมีการเลือกตั้งเร็ว ๆ นี้ จึงปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องยอมรับความจริงและต้องพูดคุยกันเรื่องระบบเลือกตั้ง แต่สิ่งที่พรรคก้าวไกลพยามยามผลักดัน แม้จะมีข้อจำกัดคือ การออกแบบระบบเลือกตั้งควรต้องคิดไปข้างหน้าไม่ใช่มีปัญหาแล้วจะกลับไปใช้ระบบเมื่อ 24 ปีก่อน อย่าลืมว่า 2 ปีที่แล้วคนไทยยังไม่รู้จักโควิด 10 ปีที่แล้วยังไม่มีสมาร์ทโฟน ดังนั้น ระบบเลือกตั้งเมื่อ 24 ปีที่แล้วจึงไม่มีทางที่จะตอบโจทย์ทางการเมืองในปี 64 ได้ 

“หลักการที่สภารับมาได้กำหนดตัวเลขสัดส่วน ส.ส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์ไว้ แต่หากคิดแค่เรื่องการคำนวณตัวเลขก็คงเถียงกันไม่จบ เพราะบางประเทศไม่มี ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เลยก็มี แต่นั่นเพราะ ส.ส.เขตทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติได้อย่างดี ไม่ต้องไปดูแลเรื่องถนนหนทาง ไฟส่องสว่าง น้ำประปา เพราะตรงนั้นคือหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและส่วนราชการ เพราะฉะนั้นจะมี ส.ส.เขต ทั้งหมดก็ได้ หากทำหน้านิติบัญญัติได้โดยถ้าไม่หลงทางเรื่องการทำหน้าที่ของ ส.ส.ว่าคืออะไร”

ปดิพัทธ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนสาเหตุที่ต้องมี ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์นั้น หากจำได้คือ ก่อนปี 40 เอาเฉพาะในจังพิษณุโลกที่ตนเกิดมา นักการเมืองมีแค่ 3 แบบ  คือ เจ้าพ่อ มาเฟีย และนายทุนเกษตร คนธรรมดาที่มีความรู้ความสามารถเข้าไปในระบบการเมืองไม่ได้ การชนะการเลือกตั้งได้ต้องเป็นนายทุนเกษตรที่ผูกขาดเศรษฐกิจได้หรือเป็นผู้มีอิทธิพลที่มีลูกน้องมากมาย จึงมีการคิดเรื่องระบบปาร์ตี้ลิสต์และสามารถทำให้พรรคการเมืองหาเสียงด้วยนโยบายได้ เป็นมรดกอันดีของรัฐธรรมนูญ 40 แต่มรดกอันดีนี้ได้พิสูจน์ผ่านการเลือกตั้งมมาแล้ว 2 ครั้งคือ ปี 44 และ 48 ทำให้พบว่า สัดส่วนการคิดคำนวณคะแนนแบบนี้ยังมีข้อผิดพลาดคือ จำนวนเก้าอี้ ส.ส.ที่เกินความเป็นจริงจากคะแนนนิยมของพรรคการเมืองนั้น ๆ ที่ประชาชนเลือกมา เพราะคำนวณจากคะแนนเสียงแบบคู่ขนานที่คิดแยกกัน ถ้าถอยกลับไปก็เหมือนเราไม่เรียนรู้ข้อผิดพลาดอะไรเลย 

“ทำไมจึงไม่คิดหาวิธีการคำนวณคะแนนที่ถูกต้องเป็นธรรม ทำไมเราจึงไม่คิดหาวิธีถ่วงดุลตรวจสอบในสภาให้ได้ดีขึ้น แต่การยืนยันเพื่อความถูกต้องนี้กลับถูกนำไปบิดเบือนว่า พรรคก้าวไกลกลัวการเลือกตั้งแบบ MMM หรือแบบคู่ขนาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่จริง พรรคก้าวไกลพร้อมเข้าสู่ระบบการเลือกตั้งทุกรูปแบบแต่ไม่สบายใจเลยที่จะเดินกลับไปสู่ระบบที่มีข้อผิดพลาดแบบนี้โดยการเห็นชอบของสภา สิ่งที่ผมพยายามผลักดันบรรยากาศทางการเมืองพิษณุโลกให้มีเปลี่ยนแปลงคือบทบาทหน้าที่ของ ส.ส. 

จนตอนนี้เวลาไปลงพื้นที่ เช่น จะไปแก้ปัญหาน้ำประปาสีแดง ประชาชนเริ่มไล่ให้ไปทำหน้าที่ในสภาโดยบอกว่านี่คือหน้าที่ของ อปท. หลายครั้งที่ไปพบประชาชน เขาจะถามว่ากฎหมายที่สัญญาไว้ตอนเลือกตั้งผลักดันถึงไหนแล้ว รัฐสวัสดิการผลักดันหรือยัง กฎหมายความเท่าเทียมทางเพศผลักดันหรือยัง เขาไม่ได้บอกให้ไปดูหลังคาเสียหายอีกแล้ว นี่คือสิ่งที่เราพยายามพัฒนาและเปลี่ยนแปลงเพื่อทำให้หน้าที่ ส.ส.เป็น ส.ส.จริง ๆ แต่กลับไปแบบเดิมและบอกว่า ควรมี ส.ส.เขต เพิ่มขึ้นจาก 350 เป็น 400 เพื่อจะได้ไปดูแลประชาชนได้ทั่วถึงนั้น ต้องขอโทษที่ต้องบอกว่า หากคิดคำนวนแล้วเท่ากับ ส.ส.ที่เพิ่มขึ้นลดจำนวนการดูแลประชาชนลงไปได้แค่ 20,000 คนเท่านั้น เหตุผลนี้จึงไม่หนักแน่นพอในการยืนยันให้ผ่านสัดส่วนแบบนี้” ปดิพัทธ์ ระบุ 

ดูแลพื้นที่คืองานท้องถิ่น ‘จิรัฏฐ์’ เทียบ ส.ส.เพิ่มอีกแค่ 50 จะดูแลใกล้ชิดกว่าบุคลากร 3,000,000 ได้อย่างไร

จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.เขต 4 จังหวัดฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ขอแปรญัตติในมาตรา 83 เพื่อขอให้คงจำนวน ส.ส. เขต 350 ต่อจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 150 คน เอาไว้ ด้วยเหตุผลประการแรกคือ มิติด้านการเแข่งขันของพรรคการเมือง เพราะการแก้ไขให้เพิ่ม ส.ส.เขต เป็น 400 คน และปาร์ตี้ลิสต์เหลือ 100 คน หมายความว่าต้องขีดเส้นแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ ซึ่งผู้เป็นคนขีดเส้นจะได้เปรียบและยืนยันว่าการขีดเส้นมีผลต่อการเลือกตั้งมาก ไปดูเขตตนก็ได้เพราะหากดูจากแผนที่เทียบกับจำนวนประชากรจะรู้ทันทีว่าการขีดเส้นแบ่งเขตจะต้องไม่มีขีดอย่างที่เป็นตอนนี้แน่นอน 

“ประการต่อมา คือเอาหลักการมาจากอะไรไปบอกว่า ส.ส. 400 เหมาะกว่า 350 และอ้างว่าจะดูแลแลประชาชนได้ใกล้ชิดมากขึ้น ใกล้แค่ไหนคือดี ถ้าใช้หลักการนี้ไม่คงต้องมีปาร์ตี้ลิสต์เพราะไม่ใกล้ชิดประชาชนเลย แต่เจตนาของการแบ่งเขตเลือกตั้งคือ การกระจายตัวแทนของประชาชนให้มาจากทุกเขตพื้นที่ แต่ไม่ได้หมายความว่า ผู้แทนราษฎรมีหน้าที่ดูแลสารทุกข์สุกดิบหรือดูแลเฉพาะเขตของตัวเอง เมื่อเป็นผู้แทนราษฎร หมายถึงการเป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศ และหน้าที่ของผู้แทนก็คือ การใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนประชาชน ส.ส. ไม่ได้มีหน้าที่ในการใช้อำนาจบารมีเพื่อทำให้เขตตัวเองดีขึ้นโดยดึงงบประมาณไปลงเขตเลือกตั้งของตัวเอง ไม่มีหน้าที่ใช้อำนาจบารมีไปดึงเอาหน่วยราชการไปช่วยในเขตพื้นที่ตัวเอง ถนนพัง น้ำไม่ไหล ไฟดับ ก็ไม่ใช่งานหลักของผู้แทนราษฎร เพราะเรามี อปท.อยู่แล้วถึง 7,850 แห่งทั่วประเทศ 

การไปแทรกแซงงานของ อปท.ต่างหากที่จะทำให้การแก้ปัญหาพื้นที่ยากขึ้นเพราะต้องใช้อำนาจบารมีที่ให้คุณให้โทษเขาได้ ตามหลักก็คือการลุแก่อำนาจ ซึ่ง อปท.ก็เลือกตั้งมา การทำแบบนั้นจึงดูเหมือนใหญ่กว่าประชาชนเกินไป ไม่เบื่อหรือที่การเมืองจะมีแต่บ้านใหญ่เข้าไปได้เท่านั้น ถ้าใช้วิธีแบบนี้คนธรรมดาไม่มีโอกาสเข้ามา อาชีพนี้จะจำกัดไว้แค่คนหน้าเดิม 

"ที่จะเพิ่มเป็น 400 คน บอกว่าเพราะดูแลไม่ทั่วถึง หมายความ อปท. 7,850 แห่ง ที่มีบุคลากรกว่า 3,000,000 กว่าคนดูแลไม่ทั่วถึงหรือ ต้องตอบตรงนี้ก่อน ถ้าแบบนี้ยังไม่ทั่วถึง การเพิ่มผู้แทนอีก 50 คนจะทั่วถึงได้อย่างไรถ้าเทียบกับสามล้านคน แต่ถ้าห่วง กลัวไม่มีคนดูแลสารทุกข์สุกดิบประชาชนก็มีวิธีอื่นอีกมากที่ทำได้โดยไม่ต้องแก้รัฐธรรมนูญมาตรานี้และทำได้ทันที เช่น ใช้หน้าที่ กมธ.ไปตรวจสอบการใช้งบประมาณให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน วันนี้ทำได้เลย ไม่ควรเอาเวลาของสภาไปทำอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์เพียงแค่เพื่อแสวงหาความได้เปรียบทางการเมืองเท่านั้น 

สำหรับจำนวนปาร์ตี้ลิสต์เวลานี้ เรื่องดีที่เกิดขึ้นก็มีมากมายในสภาแห่งนี้ วันนี้ เรามีผู้แทนที่มาจากกลุ่มแรงงานที่พูดเรื่องแรงงานโดยเฉพาะ ยังมีเรื่องคนพิการ ชาติพันธุ์ LGBT ที่มีตัวแทนของเขาในสภามาผลักดันเรื่องความเท่าเทียมโดยเฉพาะ เมื่อก่อนเราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ และเราทิ้งไม่ได้ ต้องคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง การเลือกตั้งผลต้องมาจากการตัดสินใจของประชาชนเป็นสำคัญ ตัวแปรต้องไม่ใช่กติกา ถ้าอยากชนะการเลือกตั้งก็ไปทำงาน ถ้าไม่ยอมทำงานที่ตัวเองควรจะทำแต่ไปแก้กติกามันไม่ถูกต้อง และถ้าอยากแก้ปัญหาประเทศนี้จริง ควรไปตั้ง สสร. ให้ได้ นั่นต่างหากคืการแก้ปัญหาจริง ๆ และจะได้แก้ระบบการเลือกตั้งที่ท่านต้องการด้วย"


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“แรมโบ้” ไม่เลิก “ณัฐวุฒิ – สมบัติ” มอบฝ่ายกม.ดำเนินคดีอีกเพียบ ลั่น ต้องส่งเข้าคุกให้ได้

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด นัดชุมนุมคาร์ม็อบวันที่ 29 ส.ค. ว่า ขอให้นายณัฐวุฒิ และนายสมบัติ มีจิตสำนึกก่อนจะออกมาเคลื่อนไหวว่าจะทำให้บ้านเมืองเกิดความเสียหายมากน้อยแค่ไหน ประชาชนเดือดร้อนหรือไม่ ที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวสร้างความรุนแรง มีประชาชน ตำรวจ ได้รับบาดเจ็บ และเสี่ยงต่อการระบาดของโควิด-19 

หากเกิดคลัสเตอร์ใหม่จะเพิ่มภาระให้บุคลากรทางการแพทย์ และนายณัฐวุฒิ นายสมบัติ จะต้องรับผิดชอบเพราะเป็นทั้งตัวการสั่งการให้ทำผิดกฎหมาย และร่วมกระทำการอย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดความไม่สงบ หวังกดดันให้นายกฯลาออก เพื่อให้ฝ่ายตนเองได้รับประโยชน์หวังกลับมามีอำนาจรัฐ รับโบนัสกันจากนายทุนใหญ่หากเห็นแก่บ้านเมืองและประชาชน คงหยุดการเคลื่อนไหวไปตั้งนานแล้ว จึงขอย้ำกับประชาชน หรือเยาวชนที่จะเข้าร่วมกับนายณัฐวุฒิ ว่ากำลังถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ และให้ทำผิดกฎหมาย

นายเสกสกล กล่าวว่า ตนจึงต้องตัดไฟต้นลม โดยให้ฝ่ายกฎหมายเตรียมแจ้งความดำเนินคดีกับทั้งสองคนเพิ่มเติมอีกหลายกระทง ต่างกรรมต่างวาระ เพื่อให้สองคนที่กำลังคิดร้ายต่อแผ่นดินไทย เข้าไปอยู่ในคุกให้ได้ ไม่ให้ทำตัวเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีต่อเยาวชน คนหนักแผ่นดินเช่นนี้ เป็นภัยร้ายต่อประเทศชาติบ้านเมือง ไม่สมควรมีที่ยืนในสังคม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top